Chapter 76 (บทที่ 76)
Judas
ยูดาส

The history of Judas presents the sad ending of a life that might have been honored of God. Had Judas died before his last journey to Jerusalem he would have been regarded as a man worthy of a place among the twelve, and one who would be greatly missed. The abhorrence which has followed him through the centuries would not have existed but for the attributes revealed at the close of his history. But it was for a purpose that his character was laid open to the world. It was to be a warning to all who, like him, should betray sacred trusts. {DA 716.1}

ประวัติชีวิตของยูดาสนำเสนอให้เห็นจุดจบอันน่าเศร้าสลดของชีวิตที่ควรจะได้รับเกียรติจากพระเจ้า หากยูดาสตายก่อนการเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มครั้งสุดท้ายแล้ว เขาก็อาจจะได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่คู่ควรกับตำแหน่งในบรรดาสาวกสิบสองคน และทุกคนจะคิดถึงเขาอย่างสุดซึ้ง ความสยดสยองที่ติดตามเขาอีกหลายศตวรรษก็น่าจะไม่ปรากฏหากแต่ไม่ใช่การเปิดเผยคุณลักษณะในช่วงท้ายประวัติชีวิตของเขา แต่เพื่อเป้าหมายบางอย่างลักษณะอุปนิสัยของเขาจึงถูกเผยออกให้โลกเห็น นั่นคือเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจคนทั้งหลายที่จะทำอย่างเขาด้วยการทรยศความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ {DA 716.1}

A little before the Passover, Judas had renewed his contract with the priests to deliver Jesus into their hands. Then it was arranged that the Saviour should be taken at one of His resorts for meditation and prayer. Since the feast at the house of Simon, Judas had had opportunity to reflect upon the deed which he had covenanted to perform, but his purpose was unchanged. For thirty pieces of silver–the price of a slave–he sold the Lord of glory to ignominy and death. {DA 716.2}

ก่อนเทศกาลปัสกาเล็กน้อย ยูดาสต่อสัญญากับปุโรหิตเพื่อมอบพระเยซูไว้ในเงื้อมมือของพวกเขา และตกลงว่าพระเยซูจะถูกจับกุมจากที่พักแห่งหนึ่งที่ทรงใช้เพื่อใคร่ครวญและการอธิษฐาน นับแต่งานเลี้ยงที่บ้านของซีโมน ยูดาสมีโอกาสไตร่ตรองถึงการกระทำที่เขาตกลงสัญญาที่จะทำ แต่จุดประสงค์ของเขาก็ไม่เปลี่ยน เขาขายองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริให้แก่ความอัปยศและความตาย ด้วยเงินสามสิบแผ่น ซึ่งเท่ากับราคาซื้อขายทาส {DA 716.2}

Judas had naturally a strong love for money; but he had not always been corrupt enough to do such a deed as this. He had fostered the evil spirit of avarice until it had become the ruling motive of his life. The love of mammon overbalanced his love for Christ. Through becoming the slave of one vice he gave himself to Satan, to be driven to any lengths in sin. {DA 716.3}

ยูดาสมีธรรมชาติของการรักเงินอย่างแรงกล้า แต่เขาก็ไม่เลวพอที่จะลงมือกระทำการใดในลักษณะนี้ เขาเก็บถนอมวิญญาณชั่วร้ายของความโลภไว้จนกลายเป็นแรงจูงใจหลักที่ควบคุมชีวิตของเขา ความรักเงินของเขาเอาชนะความรักที่เขามีต่อพระคริสต์ ด้วยการยอมเป็นทาสของความชั่ว เขาจึงมอบตัวเองให้ซาตานและถูกผลักดันลึกเข้าไปในบาป {DA 716.3}

Judas had joined the disciples when multitudes were following Christ. The Saviour’s teaching moved their hearts as they hung entranced upon His words, spoken in the synagogue, by the seaside, upon the mount. Judas saw the sick, the lame, the blind, flock to Jesus from the towns and cities. He saw the dying laid at His feet. He witnessed the Saviour’s mighty works in healing the sick, casting out devils, and raising the dead. He felt in his own person the evidence of Christ’s power. He recognized the teaching of Christ as superior to all that he had ever heard. He loved the Great Teacher, and desired to be with Him. He felt a desire to be changed in character and life, and he hoped to experience this through connecting himself with Jesus. The Saviour did not repulse Judas. He gave him a place among the twelve. He trusted him to do the work of an evangelist. He endowed him with power to heal the sick and to cast out devils. But Judas did not come to the point of surrendering himself fully to Christ. He did not give up his worldly ambition or his love of money. While he accepted the position of a minister of Christ, he did not bring himself under the divine molding. He felt that he could retain his own judgment and opinions, and he cultivated a disposition to criticize and accuse. {DA 716.4}

ยูดาสเข้าร่วมกับพวกสาวกเมื่อมหาชนติดตามพระคริสต์ คำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดขับเคลื่อนหัวใจของพวกเขาในขณะที่พวกเขาฟังพระวจนะของพระองค์ด้วยความจับใจเมื่อพระคริสต์ตรัสในธรรมศาล อยู่ริมทะเล และบนภูเขา ยูดาสเห็นคนป่วย คนง่อย คนตาบอดจากเมืองเล็ก เมืองใหญ่ต่างๆ แห่กันมาหาพระเยซู เขาเห็นคนที่กำลังจะตายถูกนำมาวางไว้แทบพระบาทของพระองค์ เขาเห็นเป็นประจักษ์พยานถึงพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระผู้ช่วยให้รอดในการรักษาคนป่วย ขับไล่ผีและทำให้คนตายกลับเป็นขึ้นมา ตัวเขาเองสัมผัสได้ถึงหลักฐานอำนาจของพระคริสต์ เขายอมรับว่าคำสอนของพระคริสต์เหนือกว่าคำสอนอื่นใดที่เขาเคยได้ยิน เขารักพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่และปรารถนาที่จะอยู่กับพระองค์ เขารู้สึกถึงความปรารถนาที่จะเปลี่ยนลักษณะอุปนิสัยและชีวิต และเขาหวังที่จะได้รับประสบการณ์ผ่านการเชื่อมสัมพันธ์ตัวเองเข้ากับพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ผลักไสยูดาส พระองค์ทรงรับเขาเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน พระองค์ทรงวางพระทัยให้เขาทำงานของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ พระองค์ประทานอำนาจของการรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจให้แก่เขา แต่ยูดาสไม่ได้มาถึงจุดของการยอมจำนนต่อพระคริสต์อย่างเต็มที่ เขาไม่ยอมทิ้งความทะเยอทะยานทางฝ่ายโลกหรือการรักเงินทอง ขณะที่เขารับตำแหน่งผู้ปฏิบัติศาสนกิจของพระคริสต์ เขาไม่ได้นำตัวเองไปอยู่ภายใต้การปั้นแต่งของพระเจ้า เขารู้สึกว่าเขาสามารถเก็บการตัดสินใจและความคิดเห็นของตนเองไว้ได้ และเขายังเพาะบ่มการวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวโทษไว้อีกด้วย {DA 716.4}

Judas was highly regarded by the disciples, and had great influence over them. He himself had a high opinion of his own qualifications, and looked upon his brethren as greatly inferior to him in judgment and ability. They did not see their opportunities, he thought, and take advantage of circumstances. The church would never prosper with such shortsighted men as leaders. Peter was impetuous; he would move without consideration. John, who was treasuring up the truths that fell from Christ’s lips, was looked upon by Judas as a poor financier. Matthew, whose training had taught him accuracy in all things, was very particular in regard to honesty, and he was ever contemplating the words of Christ, and became so absorbed in them that, as Judas thought, he could not be trusted to do sharp, far-seeing business. Thus Judas summed up all the disciples, and flattered himself that the church would often be brought into perplexity and embarrassment if it were not for his ability as a manager. Judas regarded himself as the capable one, who could not be overreached. In his own estimation he was an honor to the cause, and as such he always represented himself. {DA 717.1}

ยูดาสได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงส่งจากพวกสาวกและมีอิทธิพลต่อพวกเขาอย่างมาก ตัวเขาเองถือว่าตนมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนอื่น และมองว่าพี่น้องของเขามีวิจารณญาณและความสามารถด้อยกว่าตัวเขามาก เขาคิดว่าพวกเขาไม่เห็นโอกาสของพวกเขาและใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ คริสตจักรจะไม่มีวันเจริญรุ่งเรืองโดยมีคนที่มีสายตาสั้นเช่นนี้เป็นผู้นำ เปโตรหุนหันพลันแล่น เขาจะก้าวไปโดยปราศจาคการพินิจพิจารณา ยอห์นผู้ซึ่งเก็บสะสมความจริงจากริมพระโอษฐ์ของพระคริสต์ ถูกยูดาสตราว่าเป็นนักการเงินที่ย่ำแย่ มัทธิวที่ถูกฝึกมาให้มีความแม่นยำในทุกเรื่องจะละเอียดถ้วนถี่กับความสุจริตและใคร่ครวญพระวจนะของพระคริสต์อยู่ตลอดเวลา และดื่มด่ำในพระวจนะของพระองค์จนทำให้ยูดาสคิดว่าไม่อาจมอบความไว้วางใจให้เขาทำธุรกิจที่ต้องมองการณ์ใกลและอย่างเฉียบแหลมได้ ด้วยประการฉะนี้ยูดาสประเมินลักษณะของสาวกทั้งหมด และยกย่องตนเองว่าคริสตจักรน่าจะตกเข้าไปสู่ความสับสนและความอับอายหากไม่ใช่ความสามารถของเขาในการจัดการ ยูดาสถือว่าตัวเองมีความสามารถและไม่มีใครจะทำเกินเลยเขาได้ ด้วยการประเมินของตัวเขาเอง เขาเป็นคนมีเกียรติในพระราชกิจ และในลักษระนี้ เขามักจะนำเสนอตนเองเสมอ {DA 717.1}

Judas was blinded to his own weakness of character, and Christ placed him where he would have an opportunity to see and correct this. As treasurer for the disciples, he was called upon to provide for the needs of the little company, and to relieve the necessities of the poor. When in the Passover chamber Jesus said to him, “That thou doest, do quickly” (John 13:27), the disciples thought He had bidden him buy what was needed for the feast, or give something to the poor. In ministering to others, Judas might have developed an unselfish spirit. But while listening daily to the lessons of Christ and witnessing His unselfish life, Judas indulged his covetous disposition. The small sums that came into his hands were a continual temptation. Often when he did a little service for Christ, or devoted time to religious purposes, he paid himself out of this meager fund. In his own eyes these pretexts served to excuse his action; but in God’s sight he was a thief. {DA 717.2}

ยูดาสตาบอดให้กับความอ่อนแอของตัวเขาเองและพระคริสต์ทรงวางเขาไว้ในที่ที่เขามีโอกาสเห็นและแก้ไขสิ่งนี้ ในฐานะเหรัญญิกของพวกสาวก เขาได้รับการทรงเรียกให้จัดหาสิ่งจำเป็นให้กับกลุ่มคนขนาดเล็กๆ นี้ และบรรเทาความขัดสนของคนยากจน เมื่ออยู่ในห้องเลี้ยงปัสกา พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ” ยอห์น 13:27 พวกสาวกคิดว่าพระองค์ทรงโปรดใช้ให้เขาไปซื้อสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานเลี้ยงนั้นหรือให้เอาของไปช่วยคนยากจน ในการปรนนิบัติคนอื่น ยูดาสน่าจะพัฒนาวิญญาณที่ไม่เห็นแก่ตัว แต่ในขณะที่ฟังบทเรียนของพระคริสต์ทุกวันและเป็นพยานเห็นชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ยูดาสก็ปล่อยใจให้เป็นไปตามความปรารถนาอย่างเห็นแก่ตัวของเขา เงินก้อนเล็กๆ ที่เข้ามาอยู่ในมือของเขาเป็นสิ่งล่อใจอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งเมื่อเขารับใช้พระคริสต์เพียงเล็กน้อยหรืออุทิศเวลาให้กับเรื่องของฝ่ายศาสนา เขาก็จ่ายเงินตอบแทนให้กับตัวเองจากกองทุนที่น้อยนิดอยู่แล้ว ในสายตาของเขาเองแล้ว ข้ออ้างเหล่านี้ใช้เพื่อแก้ตัวการกระทำของเขา แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเขาเป็นขโมย {DA 717.2}

Christ’s oft-repeated statement that His kingdom was not of this world offended Judas. He had marked out a line upon which he expected Christ to work. He had planned that John the Baptist should be delivered from prison. But lo, John was left to be beheaded. And Jesus, instead of asserting His royal right and avenging the death of John, retired with His disciples into a country place. Judas wanted more aggressive warfare. He thought that if Jesus would not prevent the disciples from carrying out their schemes, the work would be more successful. He marked the increasing enmity of the Jewish leaders, and saw their challenge unheeded when they demanded from Christ a sign from heaven. His heart was open to unbelief, and the enemy supplied thoughts of questioning and rebellion. Why did Jesus dwell so much upon that which was discouraging? Why did He predict trial and persecution for Himself and for His disciples? The prospect of having a high place in the new kingdom had led Judas to espouse the cause of Christ. Were his hopes to be disappointed? Judas had not decided that Jesus was not the Son of God; but he was questioning, and seeking to find some explanation of His mighty works. {DA 718.1}

พระดำรัสที่พระคริสต์ทรงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ทำให้ยูดาสขุ่นเคือง เขาขีดเส้นไว้เพื่อหวังให้พระคริสต์ทรงทำงานตามนั้น เขาวางแผนไว้ว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาควรได้รับการช่วยให้ออกจากคุก แต่ดูเถิดยอห์นถูกทิ้งให้ถูกตัดศีรษะ และแทนที่พระเยซูจะยืนยันสิทธิ์ในราชวงศ์ของพระองค์และแก้แค้นการตายของยอห์น พระองค์เสด็จพร้อมกับสาวกของพระองค์ไปยังชนบท ยูดาสปรารถนาการรุกรานที่แข็งก้าวกว่านี้ เขาคิดว่าหากพระเยซูไม่ทรงขวางพวกสาวกจากการดำเนินแผนการของพวกเขาแล้ว งานที่ทำน่าจะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เขาคอยสังเกตติดตามความเป็นปฏิปักษ์ของผู้นำชาวยิวที่เพิ่มมากขึ้นและเห็นความท้าทายของพวกเขาไม่ได้ถูกตอบสนองเมื่อพวกเขาเรียกร้องให้พระคริสต์ทรงสำแดงหมายสำคัญจากสวรรค์ ใจของเขาเปิดกว้างให้กับความไม่เชื่อ และศัตรูก็คอยป้อนแนวคิดสงสัยและการต่อต้านเข้าไปในสมอง เหตุใดพระเยซูจึงเข้าไปยุ่งมากนักเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้หัวใจท้อแท้เล่า? ทำไมพระองค์จึงทรงทำนายถึงเรื่องของการทดลองและการข่มเหงของพระองค์เองและสาวกของพระองค์เล่า? ความหวังที่จะได้ตำแหน่งสูงในราชอาณาจักรใหม่ทำให้ยูดาสยอมเข้าร่วมอยู่ในพระราชกิจของพระคริสต์ ความหวังของเขาจะสลายไปหรือไม่? ยูดาสยังไม่ตัดสินว่าพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า แต่เขาตั้งแง่สงสัยและลงแรงหาคำอธิบายพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ {DA 718.1}

Notwithstanding the Saviour’s own teaching, Judas was continually advancing the idea that Christ would reign as king in Jerusalem. At the feeding of the five thousand he tried to bring this about. On this occasion Judas assisted in distributing the food to the hungry multitude. He had an opportunity to see the benefit which it was in his power to impart to others. He felt the satisfaction that always comes in service to God. He helped to bring the sick and suffering from among the multitude to Christ. He saw what relief, what joy and gladness, come to human hearts through the healing power of the Restorer. He might have comprehended the methods of Christ. But he was blinded by his own selfish desires. Judas was first to take advantage of the enthusiasm excited by the miracle of the loaves. It was he who set on foot the project to take Christ by force and make Him king. His hopes were high. His disappointment was bitter. {DA 718.2}

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดเอง ยูดาสก็ยังคงเร่งเร้าแนวคิดว่าพระคริสต์จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในกรุงเยรูซาเล็ม เขาพยายามทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงห้าพันคน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ยูดาสช่วยแจกจ่ายอาหารให้กับฝูงชนที่หิวโหย เขามีโอกาสเห็นผลประโยชน์อยู่ในอำนาจของเขาที่จะมอบให้กับผู้อื่น เขารู้สึกได้ถึงความพึงพอใจที่ได้รับใช้พระเจ้าเสมอ เขาช่วยนำคนป่วยและคนที่ทุกข์ทรมาณท่ามกลางฝูงชนเข้ามาหาพระคริสต์ เขาเห็นความโล่งใจ ความสุข ความปีติยินดีที่มาถึงจิตใจมนุษย์ผ่านอำนาจแห่งการรักษาของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นฟู เขาน่าจะทำความเข้าใจวิธีการของพระคริสต์ แต่ตาของเขามืดบอดไปด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง ยูดาสเป็นคนแรกที่ใช้ประโยชน์จากความกระตือรือร้นที่ตื่นเต้นจากการอัศจรรย์ของขนมปัง เขาเองลงมือวางแผนในโครงการที่จะใช้กำลังบังคับพระคริสต์และแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ความหวังของเขานั้นสูงลิบลิ่ว ความผิดหวังของเขาขมขื่น {DA 718.2}

Christ’s discourse in the synagogue concerning the bread of life was the turning point in the history of Judas. He heard the words, “Except ye eat the flesh of the Son of man, and drink His blood, ye have no life in you.” John 6:53. He saw that Christ was offering spiritual rather than worldly good. He regarded himself as farsighted, and thought he could see that Jesus would have no honor, and that He could bestow no high position upon His followers. He determined not to unite himself so closely to Christ but that he could draw away. He would watch. And he did watch. {DA 719.1}

คำปราศรัยของพระคริสต์ในธรรมศาลาเรื่องอาหารแห่งชีวิตเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของยูดาส เขาได้ยินคำว่า “ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน” ยอห์น 6:53 เขาเห็นว่าพระคริสต์กำลังมอบของประทานฝ่ายวิญญาณไม่ใช่สิ่งของทางฝ่ายโลก เขาถือว่าตัวเองเป็นคนที่มองการณ์ไกลและคิดว่าเขามองเห็นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ไร้เกียรติและพระองค์ประทานตำแหน่งที่สูงศักดิ์ใดให้กับผู้ติดตามของพระองค์ไม่ได้ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปชิดใกล้กับพระคริสต์มากนัก แต่เพื่อที่เขาจะได้ตีตัวจากไป เขาจะคอยดู และเขาก็ได้แค่ดู {DA 719.1}

From that time he expressed doubts that confused the disciples. He introduced controversies and misleading sentiments, repeating the arguments urged by the scribes and Pharisees against the claims of Christ. All the little and large troubles and crosses, the difficulties and the apparent hindrances to the advancement of the gospel, Judas interpreted as evidences against its truthfulness. He would introduce texts of Scripture that had no connection with the truths Christ was presenting. These texts, separated from their connection, perplexed the disciples, and increased the discouragement that was constantly pressing upon them. Yet all this was done by Judas in such a way as to make it appear that he was conscientious. And while the disciples were searching for evidence to confirm the words of the Great Teacher, Judas would lead them almost imperceptibly on another track. Thus in a very religious, and apparently wise, way he was presenting matters in a different light from that in which Jesus had given them, and attaching to His words a meaning that He had not conveyed. His suggestions were constantly exciting an ambitious desire for temporal preferment, and thus turning the disciples from the important things they should have considered. The dissension as to which of them should be greatest was generally excited by Judas. {DA 719.2}

จากเวลานั้นเป็นต้นมา เขาแสดงออกถึงความสงสัยที่ทำให้สาวกทั้งหลายสับสน เขานำเสนอความขัดแย้งและแนวคิดเห็นที่นำไปในแนวทางที่ผิด ด้วยการกล่าวข้อโต้แย้งของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีที่ต่อต้านคำเรียกร้องของพระคริสต์ ความทุกข์ยากและกางเขนน้อยและใหญ่ ความยากลำบากและอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าของพระกิตติคุณที่เห็นๆ กันอยู่นั้น ยูดาสตีความว่าเป็นหลักฐานต่อต้านความจริง เขามักนำข้อพระคัมภีร์ต่างๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงที่พระคริสต์นำเสนอขึ้นมา ข้อความเหล่านี้เมื่อแยกออกไปจากเนื้อความทำให้สาวกงงงวย และเพิ่มความท้อแท้ใจที่ทับถมใส่พวกเขาอยู่ตลอดเวลา แต่กระนั้น ทั้งหมดที่ยูดาสทำนี้ก็เพื่อให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนมีมโนธรรมที่รู้ผิดรู้ชอบ และในขณะที่เหล่าสาวกค้นหาหลักฐานเพื่อยืนยันพระดำรัสของพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ยูดาสจะนำพวกเขาไปสู่อีกเส้นทางอย่างแทบจะไม่ทันรู้ตัว ดังนี้แหละด้วยวิธีที่เคร่งครัดศาสนาและการแสดงออกให้เห็นว่าฉลาด เขานำเสนอเรื่องราวด้วยแสงสว่างที่แตกต่างออกไปจากที่พระเยซูประทานไว้ให้แก่พวกเขาแล้ว และเอาความหมายไปเชื่อมโยงกับพระดำรัสที่พระองค์ไม่ได้สื่อ ข้อเสนอแนะของเขากระตุ้นให้มีความปรารถนาอย่างทะเยอทะยานเพื่อการเลื่อนตำแหน่งทางโลก และด้วยประการฉะนี้หันสาวกทั้งหลายออกไปจากสิ่งที่สำคัญที่พวกเขาจะต้องพินิจพิจารณา โดยส่วนใหญ่แล้วการไม่ลงรอยกันว่าใครคนใดจะเป็นใหญ่ที่สุดนั้น เกิดจากการปลุกระดมของยูดาส {DA 719.2}

When Jesus presented to the rich young ruler the condition of discipleship, Judas was displeased. He thought that a mistake had been made. If such men as this ruler could be connected with the believers, they would help sustain Christ’s cause. If Judas were only received as a counselor, he thought, he could suggest many plans for the advantage of the little church. His principles and methods would differ somewhat from Christ’s, but in these things he thought himself wiser than Christ. {DA 719.3}

เมื่อพระเยซูทรงนำเสนอเงื่อนไขของการเป็นสาวกให้แก่นักการปกครองหนุ่มที่ร่ำรวยนั้น ยูดาสก็ไม่พอใจ เขาคิดว่าน่าจะมีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น หากคนเช่นนี้ที่เป็นนักการปกครองจะเข้าร่วมกับผู้เชื่อได้แล้ว พวกเขาก็จะช่วยสนับสนุนพระราชกิจของพระคริสต์ หากยูดาสได้ถูกคัดเลือกให้เป็นที่ปรึกษา เขาคิดว่าเขาน่าจะเสนอแผนการมากมายเพื่อประโยชน์ของคริสตจักรเล็กๆ นี้ หลักการและวิธีการของเขาจะแตกต่างไปจากของพระคริสต์อยู่บ้าง แต่ในสิ่งเหล่านี้เขาคิดว่าตนเองฉลาดกว่าพระคริสต์ {DA 719.3}

In all that Christ said to His disciples, there was something with which, in heart, Judas disagreed. Under his influence the leaven of disaffection was fast doing its work. The disciples did not see the real agency in all this; but Jesus saw that Satan was communicating his attributes to Judas, and thus opening up a channel through which to influence the other disciples. This, a year before the betrayal, Christ declared. “Have not I chosen you twelve,” He said, “and one of you is a devil?” John 6:70. {DA 720.1}

ในทุกสิ่งที่พระคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์ มีบางเรื่องที่ยูดาสไม่เห็นด้วยในใจ ภายใต้อิทธิพลของเขา เชื้อแห่งความบาดหมางกำลังทำงานอย่างรวดเร็ว พวกสาวกไม่เห็นสื่อตัวจริงในเรื่องทั้งหมดนี้ แต่พระเยซูทรงเห็นว่าซาตานกำลังสื่อคุณลักษณะของมันให้กับยูดาส และด้วยประการฉะนี้ จึงเปิดช่องเพื่อให้ส่งอิทธิพลต่อไปยังสาวกคนอื่นๆ หนึ่งปีก่อนการทรยศ พระคริสต์ทรงประกาศถึงเรื่องนี้ ไว้แล้วว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ?” พระองค์ตรัส “แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” ยอห์น 6:70 {DA 720.1}

Yet Judas made no open opposition, nor seemed to question the Saviour’s lessons. He made no outward murmur until the time of the feast in Simon’s house. When Mary anointed the Saviour’s feet, Judas manifested his covetous disposition. At the reproof from Jesus his very spirit seemed turned to gall. Wounded pride and desire for revenge broke down the barriers, and the greed so long indulged held him in control. This will be the experience of everyone who persists in tampering with sin. The elements of depravity that are not resisted and overcome, respond to Satan’s temptation, and the soul is led captive at his will. {DA 720.2}

กระนั้นยูดาสไม่ได้คัดค้านอย่างเปิดเผยหรือแม้ที่จะตั้งแง่สงสัยบทเรียนของพระผู้ช่วยให้รอด เขาไม่บ่นออกมาอย่างออกหน้าจนกระทั่งที่งานเลี้ยงในบ้านของซีโมน เมื่อมารีย์เจิมพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอด ยูดาสแสดงออกถึงนิสัยใจคอของความโลภ เมื่อพระเยซูตำหนิเขา ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนไปเป็นน้ำดีขม ความภาคภูมิใจถูกทำลายและความปรารถนาที่จะแก้แค้นทำลายอุปสรรคขวางกั้นไป และความโลภที่เขาปล่อยตัวหลงระเริงมานานเข้าควบคุมเขาไว้ นี่จะเป็นประสบการณ์ของทุกคนที่ดื้อรั้นยังไปยุ่งอยู่กับบาป องค์ประกอบของความเลวทรามชั่วช้าที่ไม่ถูกต่อต้านและเอาชนะ จะสนองต่อการล่อลวงของซาตาน และจิตวิญญาณจะถูกจับไปเป็นเชลยตามความประสงค์ของมัน {DA 720.2}

But Judas was not yet wholly hardened. Even after he had twice pledged himself to betray the Saviour, there was opportunity for repentance. At the Passover supper Jesus proved His divinity by revealing the traitor’s purpose. He tenderly included Judas in the ministry to the disciples. But the last appeal of love was unheeded. Then the case of Judas was decided, and the feet that Jesus had washed went forth to the betrayer’s work. {DA 720.3}

แต่ยูดาสก็ยังไม่ตายด้านไปอย่างเต็มที่ แม้หลังจากที่เขาปฏิญาณตนถึงสองครั้งว่าจะทรยศพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ยังมีโอกาสกลับใจ ในเวลาอาหารค่ำปัสกาพระเยซูทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยเปิดเผยจุดประสงค์ของผู้ทรยศ ด้วยความอ่อนโยนพระองค์ทรงรวมเอายูดาสเข้ามาไว้ในพันธกิจแห่งการรับใช้กับพวกสาวก แต่คำอ้อนวอนแห่งรักครั้งสุดท้ายไม่ได้รับการตอบสนอง และแล้วคดีของยูดาสก็ถูกตัดสินและเท้าที่พระเยซูได้ล้างเดินก้าวออกไปเพื่อลงมือทำงานของผู้ทรยศ {DA 720.3}

Judas reasoned that if Jesus was to be crucified, the event must come to pass. His own act in betraying the Saviour would not change the result. If Jesus was not to die, it would only force Him to deliver Himself. At all events, Judas would gain something by his treachery. He counted that he had made a sharp bargain in betraying his Lord. {DA 720.4}

ยูดาสให้เหตุผลว่าหากพระเยซูต้องถูกตรึงบนกางเขนแล้ว เหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การกระทำของเขาเองในการทรยศต่อพระผู้ช่วยให้รอดจะไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ หากว่าพระเยซูจะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ก็จะเป็นเพียงบังคับให้พระองค์ช่วยตัวเองให้รอด ในทุกกรณี ยูดาสจะได้รับผลประโยชน์บ้างจากการทรยศหักหลังของเขา เขาถือว่าเขาได้ทำการต่อรองอย่างเฉียบแหลมในการทรยศต่อพระเป็นเจ้าของเขา {DA 720.4}

Judas did not, however, believe that Christ would permit Himself to be arrested. In betraying Him, it was his purpose to teach Him a lesson. He intended to play a part that would make the Saviour careful thenceforth to treat him with due respect. But Judas knew not that he was giving Christ up to death. How often, as the Saviour taught in parables, the scribes and Pharisees had been carried away with His striking illustrations! How often they had pronounced judgment against themselves! Often when the truth was brought home to their hearts, they had been filled with rage, and had taken up stones to cast at Him; but again and again He had made His escape. Since He had escaped so many snares, thought Judas, He certainly would not now allow Himself to be taken. {DA 720.5}

อย่างไรก็ตามยูดาสไม่เชื่อว่าพระคริสต์จะทรงปล่อยให้ตัวเองถูกจับ ในการทรยศพระองค์ เขามีจุดประสงค์ที่จะสอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่พระองค์ เขาตั้งใจจะมีส่วนที่จะทำให้พระผู้ช่วยให้รอดระมัดระวังว่าต่อจากนี้ไปควรที่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพอย่างไร แต่ยูดาสไม่รู้ว่าเขากำลังส่งพระคริสต์ไปสู่ความมรณา บ่อยครั้งเพียงไรขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนด้วยอุปมา บรรดาธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเคลิบเคลิ้มไปกับการสอนด้วยภาพประกอบที่น่าตื่นตาตื่นใจ! บ่อยครั้งเพียงไร พวกเขาประกาศคำตัดสินใส่ตนเอง! บ่อยครั้งเมื่อความจริงได้เข้าไปถึงหัวใจของพวกเขา พวกเขาโกรธและได้หยิบก้อนหินเพื่อขว้างใส่พระองค์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ก็หลบไปได้ ยูดาสคิดว่า เนื่องจากพระองค์ทรงรอดพ้นจากบ่วงมามากมายแล้ว ในเวลานี้พระองค์คงจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับไปอย่างแน่นอน {DA 720.5}

Judas decided to put the matter to the test. If Jesus really was the Messiah, the people, for whom He had done so much, would rally about Him, and would proclaim Him king. This would forever settle many minds that were now in uncertainty. Judas would have the credit of having placed the king on David’s throne. And this act would secure to him the first position, next to Christ, in the new kingdom. {DA 721.1}

ยูดาสตัดสินใจลงมือทดสอบเรื่องนี้ หากพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์องค์เที่ยงแท้ ผู้คนที่พระองค์ทรงประกอบกิจไว้มากมายจะยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ และจะประกาศตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ เรื่องนี้จะทำให้ใจของคนมากมายที่บัดนี้ยังไม่มั่นใจได้สงบไปตลอดกาล ยูดาสจะได้รับเกียรติยศว่าเป็นผู้สถาปณาพระราชาขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด และการกระทำนี้จะทำให้เขาได้รับตำแหน่งสำคัญที่สุดรองจากพระคริสต์ในอาณาจักรใหม่ {DA 721.1}

The false disciple acted his part in betraying Jesus. In the garden, when he said to the leaders of the mob, “Whomsoever I shall kiss, that same is He: hold Him fast” (Matthew 26:48), he fully believed that Christ would escape out of their hands. Then if they should blame him, he could say, Did I not tell you to hold Him fast? {DA 721.2}

สาวกจอมปลอมทำในส่วนของเขาด้วยการทรยศพระเยซู ในสวนเมื่อเขาพูดกับผู้นำของฝูงชนว่า “เราจูบคำนับใครก็คือคนนั้นแหละ จงจับเขาไว้” มัทธิว 26:48 เขาเชื่อมั่นว่าพระคริสต์จะหนีให้พ้นเงื้อมมือของพวกเขา ถ้าพวกเขาจะตำหนิเขา เขาก็พูดว่า “เราไม่ได้บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าให้พวกเจ้าจับเขาไว้ให้ดี? {DA 721.2}

Judas beheld the captors of Christ, acting upon his words, bind Him firmly. In amazement he saw that the Saviour suffered Himself to be led away. Anxiously he followed Him from the garden to the trial before the Jewish rulers. At every movement he looked for Him to surprise His enemies, by appearing before them as the Son of God, and setting at nought all their plots and power. But as hour after hour went by, and Jesus submitted to all the abuse heaped upon Him, a terrible fear came to the traitor that he had sold his Master to His death. {DA 721.3}

ยูดาสเห็นพวกที่จับพระคริสต์ทำตามคำพูดของเขา พวกเขามัดพระองค์ไว้อย่างแน่นหนา ด้วยความประหลาดใจเขาเห็นว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงยอมให้พระองค์ถูกนำพาไป ด้วยความวิตกกังวลเขาตามพระองค์ออกจากสวนไปยังการพิจารณาคดีต่อหน้าผู้ปกครองชาวยิว ในทุกการเคลื่อนไหวเขามองไปยังพระองค์เพื่อให้พระองค์ทำให้ศัตรูของพระองค์ประหลาดใจโดยการปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาในฐานะพระบุตรของพระเจ้า และทำให้แผนการและอำนาจของพวกเขาสิ้นซากไป แต่เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าและพระเยซูทรงยอมจำนนให้กับการล่วงละเมิดทั้งหมดที่กองอยู่บนพระองค์ ความน่ากลัวตกลงมาถึงคนทรยศที่เขาขายพระอาจารย์ให้ไปถึงความมรณา {DA 721.3}

As the trial drew to a close, Judas could endure the torture of his guilty conscience no longer. Suddenly a hoarse voice rang through the hall, sending a thrill of terror to all hearts: He is innocent; spare Him, O Caiaphas! {DA 721.4}

เมื่อการพิจารณาคดีใกล้ปิดฉากลง ยูดาสทนรับการทรมานของความรู้สึกผิดของจิตใต้สำนึกของเขาไม่ได้อีกต่อไป ทันใดนั้นมีเสียงห้าวดังไปทั่วห้องโถง ส่งเสียงความหวาดผวาไปยังทุกขั้วของหัวใจ เขาเป็นคนบริสุทธิ์ โอ คายาฟาสเอ๋ย! {DA 721.4}

The tall form of Judas was now seen pressing through the startled throng. His face was pale and haggard, and great drops of sweat stood on his forehead. Rushing to the throne of judgment, he threw down before the high priest the pieces of silver that had been the price of his Lord’s betrayal. Eagerly grasping the robe of Caiaphas, he implored him to release Jesus, declaring that He had done nothing worthy of death. Caiaphas angrily shook him off, but was confused, and knew not what to say. The perfidy of the priests was revealed. It was evident that they had bribed the disciple to betray his Master. {DA 721.5}

บัดนี้จะมองเห็นว่าร่างสูงใหญ่ของยูดาสพยายามเบียดแทรกฝ่าฝูงชนที่ตกตะลึง สีหน้าของเขาซีดและเหี่ยวซูบผอมและหยดเหงื่อขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผากของเขา เขาเร่งไปที่บัลลังก์พิพากษา เอาแผ่นเงินที่เป็นราคาของการทรยศขายพระเป็นเจ้าของเขาโยนลงต่อหน้ามหาปุโรหิต ด้วยความร้อนใจ เขายึดเสื้อคลุมของคายาฟาสไว้ เขาร้องขอให้ปล่อยพระเยซู ประกาศว่าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรตาย ด้วยความโกรธ คายาฟาสสะบัดเขาออกไป แต่ก็สับสน และไม่รู้จะพูดอย่างไร ความสับปรับของปุโรหิตถูกเปิดเผย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาได้ติดสินบนสาวกเพื่อให้เขาทรยศต่อพระอาจารย์ของเขา {DA 721.5}

“I have sinned,” again cried Judas, “in that I have betrayed the innocent blood.” But the high priest, regaining his self-possession, answered with scorn, “What is that to us? see thou to that.” Matthew 27:4. The priests had been willing to make Judas their tool; but they despised his baseness. When he turned to them with confession, they spurned him. {DA 722.1}

“ข้าพเจ้าทำบาป” ยูดาสร้องขึ้นอีกครั้ง “ที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย” แต่มหาปุโรหิตที่เมื่อตื่นตั้งสติได้แล้วกลับตอบด้วยความเหยียดหยามว่า ““มันเกี่ยวอะไรกับเรา? มันเป็นเรื่องของเจ้าเอง” มัทธิว 27:4 พวกปุโรหิตเต็มใจใช้ยูดาสเป็นเครื่องมือ แต่พวกเขาดูหมิ่นความเลวทรามของเขา เมื่อเขาหันไปหาพวกเขาด้วยคำสารภาพ พวกเขาก็ปฏิเสธเขา {DA 722.1}

Judas now cast himself at the feet of Jesus, acknowledging Him to be the Son of God, and entreating Him to deliver Himself. The Saviour did not reproach His betrayer. He knew that Judas did not repent; his confession was forced from his guilty soul by an awful sense of condemnation and a looking for of judgment, but he felt no deep, heartbreaking grief that he had betrayed the spotless Son of God, and denied the Holy One of Israel. Yet Jesus spoke no word of condemnation. He looked pityingly upon Judas, and said, For this hour came I into the world. {DA 722.2}

บัดนี้ยูดาสทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระเยซู สารภาพว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และวิงวอนขอให้พระองค์ช่วยตัวเองให้รอด พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงตำหนิผู้ทรยศของพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่ายูดาสไม่ได้กลับใจ คำสารภาพของเขาถูกบังคับให้ออกมาจากจิตวิญญาณที่ผิดของเขาอันเกิดจากควมน่าสะพรึงกลัวของการจะถูกกำหนดโทษและการพิพากษาที่จะมาถึง แต่เขาไม่รู้สึกสำนึกถึงความเศร้าโศกเสียใจในส่วนลึกที่เขาทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงไร้ตำหนิ และปฏิเสธองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล แต่กระนั้นพระเยซูไม่ได้ตรัสคำตำหนิใด พระองค์ทรงทอดพระเนตรยูดาสด้วยความสงสารและตรัสว่า เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ {DA 722.2}

A murmur of surprise ran through the assembly. With amazement they beheld the forbearance of Christ toward His betrayer. Again there swept over them the conviction that this Man was more than mortal. But if He was the Son of God, they questioned, why did He not free Himself from His bonds and triumph over His accusers? {DA 722.3}

เสียงพึมพำด้วยความประหลาดใจแล่นผ่านที่ชุมนมชนนั้น ด้วยความฉงนพวกเขามองเห็นความอดกลั้นของพระคริสต์ที่สำแดงต่อผู้ทรยศของพระองค์ อีกครั้งหนึ่งความเชื่อมั่นแผ่ซ่านไปเหนือพวกเขาว่าชายผู้ทรงเป็นพระเจ้าองค์นี้ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์มตะ แต่พวกเขาก็ตั้งคำถามว่าหากพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแล้ว ทำไมพระองค์จึงไม่ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการและมีชัยเหนือผู้กล่าวหาของพระองค์ {DA 722.3}

Judas saw that his entreaties were in vain, and he rushed from the hall exclaiming, It is too late! It is too late! He felt that he could not live to see Jesus crucified, and in despair went out and hanged himself. {DA 722.4}

ยูดาสเห็นว่าคำอ้อนวอนของเขาไม่เกิดผล เขาจึงเร่งรีบออกไปจากห้องโถงและร้องอุทานว่า สายเกินไปเสียแล้ว! สายเกินไปเสียแล้ว! เขาตระหนักดีว่าเขาจะอยู่ต่อไปเพื่อเห็นพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนไม่ได้ และด้วยความสิ้นหวังจึงออกไปแขวนคอตาย {DA 722.4}

Later that same day, on the road from Pilate’s hall to Calvary, there came an interruption to the shouts and jeers of the wicked throng who were leading Jesus to the place of crucifixion. As they passed a retired spot, they saw at the foot of a lifeless tree, the body of Judas. It was a most revolting sight. His weight had broken the cord by which he had hanged himself to the tree. In falling, his body had been horribly mangled, and dogs were now devouring it. His remains were immediately buried out of sight; but there was less mockery among the throng, and many a pale face revealed the thoughts within. Retribution seemed already visiting those who were guilty of the blood of Jesus. {DA 722.5}

ในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน บนถนนที่มาจากห้องโถงของปีลาตมุ่งหน้าไปยังโกลโกธา มีเสียงหนึ่งที่มาขัดจังหวะเสียงตะโกนและเสียงโห่ร้องเยาะเย้ยของกลุ่มคนชั่วที่กำลังนำพระเยซูไปยังสถานที่ที่ตรึงกางเขน ขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านตำแหน่งที่เงียบสงบอยู่ พวกเขาเห็นร่างของยูดาสตรงเชิงต้นไม้ตาย เป็นภาพที่น่ารังเกียจที่สุด น้ำหนักของเขาทำให้เชือกที่เขาใช้แขวนคอตัวเองกับต้นไม้ขาดไป เมื่อร่างนี้ร่วงหล่นลงไปกับพื้น ร่างของเขาก็แตกแหลกสลาย และบัดนี้สุนัขต่างก็กำลังกินกันอยู่ ซากศพของเขาถูกเร่งรีบนำไปฝังให้พ้นสายตา แต่ท่ามกลางฝูงชนเสียงถากถางเยาะเย้ยก็ลดน้อยลง และใบหน้าซีดเซียวมากมายเผยออกมาให้เห็นถึงความคิดภายในใจ ดูประหนึ่งว่าการแก้แค้นมาเยือนคนที่ผิดต่อพระโลหิตของพระเยซูแล้ว {DA 722.5}