Chapter 5 (บทที่ 5)
“Like a Grain of Mustard Seed”
“เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง”

In the multitude that listened to Christ’s teaching there were many Pharisees. These noted contemptuously how few of His hearers acknowledged Him as the Messiah. And they questioned with themselves how this unpretending teacher could exalt Israel to universal dominion. Without riches, power, or honor, how was He to establish the new kingdom? Christ read their thoughts and answered them: {COL 76.1}

ในบรรดาฝูงชนที่ฟังคำสอนของพระคริสต์ มีฟาริสีอยู่เป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้มองด้วยความเหยียดหยามว่า ผู้ฟังจำนวนน้อยยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร และพวกเขาก็ถามคำถามกับตนเองว่าครูผู้ไม่โอ้อวดท่านนี้ จะนำอิสราเอลครอบครองโลกได้อย่างไร เขาจะจัดตั้งอาณาจักรใหม่โดยไม่มีเงินทอง อำนาจ หรือเกียรติยศได้อย่างไร พระคริสต์ทรงอ่านความคิดของพวกเขาและตอบว่า {COL 76.1}

“Whereunto shall we liken the kingdom of God? or with what comparison shall we compare it?” In earthly governments there was nothing that could serve for a similitude. No civil society could afford Him a symbol. “It is like a grain of mustard seed,” He said, “which, when it is sown upon the earth, though it be less than all the seeds that are upon the earth, yet when it is sown, groweth up, and becometh greater than all the herbs, and putteth out great branches; so that the birds of the heaven can lodge under the shadow thereof.” (R.V.) {COL 76.2}

“แผ่นดินของพระเจ้าจะเปรียบเหมือนสิ่งใด หรือจะแสดงด้วยอุปมาอย่างไร” สำหรับการปกครองทางโลก ไม่มีสิ่งใดที่จะนำมาเปรียบเทียบได้ ไม่มีสังคมทางการเมืองใดที่พระองค์ทรงนำมาใช้เป็นตัวอย่างได้ พระองค์ตรัสว่า “ก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ตอนที่เพาะลงในดิน ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้” มาระโก 4:30-32 {COL 76.2}

The germ in the seed grows by the unfolding of the life-principle which God has implanted. Its development depends upon no human power. So it is with the kingdom of Christ. It is a new creation. Its principles of development are the opposite of those that rule the kingdoms of this world. Earthly governments prevail by physical force; they maintain their dominion by war; but the founder of the new kingdom is the Prince of Peace. The Holy Spirit represents worldly kingdoms under the symbol of fierce beasts of prey; but Christ is “the Lamb of God, which taketh away the sin of the world.” John 1:29. In His plan of government there is no employment of brute force to compel the conscience. The Jews looked for the kingdom of God to be established in the same way as the kingdoms of the world. To promote righteousness they resorted to external measures. They devised methods and plans. But Christ implants a principle. By implanting truth and righteousness, He counterworks error and sin. {COL 77.1}

ต้นอ่อนในเมล็ดเติบโตโดยเปิดเผยกฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงปลูกฝังไว้ออกมา การเจริญเติบโตของมันไม่ได้พึ่งอำนาจของมนุษย์ แผ่นดินของพระคริสต์ก็เช่นกัน เป็นสิ่งที่เนรมิตสร้างใหม่ หลักของพัฒนาการนี้แตกต่างไปจากกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งหลายในโลกนี้ รัฐบาลของโลกปกครองด้วยกำลัง พวกเขารักษาการปกครองโดยการใช้อำนาจทางสงคราม แต่ผู้ก่อตั้งอาณาจักรใหม่ทรงเป็นองค์สันติราช พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปรียบอาณาจักรของโลกด้วยสัญลักษณ์ของสัตว์ดุร้ายที่คอยจ้องหาเหยื่อ แต่พระคริสต์ทรงเป็น “พระเมษโปดก [ลูกแกะ] ของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป” ยอห์น 1:29 ในแผนการของการปกครองของพระองค์ จะไม่มีการใช้ความรุนแรงที่โหดร้ายในการบังคับความคิด ความสำนึกผิดชอบ ชาวยิวเฝ้ารอคอยการจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับการจัดตั้งอาณาจักรทั้งหลายของโลกนี้ เพื่อสนับสนุนในเรื่องของความชอบธรรม พวกเขาคิดหามาตรการภายนอก พวกเขาค้นหาวิธีการและการวางแผน แต่พระคริสต์ทรงปลูกฝังหลักการ ด้วยการปลูกฝังความจริงและความชอบธรรม พระองค์ทรงต่อต้านความไม่ถูกต้องและบาป {COL 77.1}

As Jesus spoke this parable, the mustard plant could be seen far and near, lifting itself above the grass and grain, and waving its branches lightly in the air. Birds flitted from twig to twig, and sang amid the leafy foliage. Yet the seed from which sprang this giant plant was among the least of all seeds. At first it sent up a tender shoot, but it was of strong vitality, and grew and flourished until it reached its present great size. So the kingdom of Christ in its beginning seemed humble and insignificant. Compared with earthly kingdoms it appeared to be the least of all. By the rulers of this world Christ’s claim to be a king was ridiculed. Yet in the mighty truths committed to His followers the kingdom of the gospel possessed a divine life. And how rapid was its growth, how widespread its influence! When Christ spoke this parable, there were only a few Galilean peasants to represent the new kingdom. Their poverty, the fewness of their numbers, were urged over and over again as a reason why men should not connect themselves with these simple-minded fishermen who followed Jesus. But the mustard seed was to grow and spread forth its branches throughout the world. When the earthly kingdoms whose glory then filled the hearts of men should perish, the kingdom of Christ would remain, a mighty and far-reaching power. {COL 77.2}

ขณะที่พระเยซูตรัสอุปมานี้ ทรงมองเห็นต้นมัสตาร์ดได้ทั้งใกล้และไกล มันชูต้นขึ้นเหนือต้นหญ้าและต้นข้าวและโบกกิ่งใบไปมาช้าๆ พวกนกก็โผบินจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง และส่งเสียงร้องออกมาจากแมกไม้เหล่านั้น แต่ถึงกระนั้นเมล็ดที่เป็นต้นกำเนิดของพืชขนาดใหญ่นี้กลับเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดพืชทั้งหลาย ในช่วงแรกมันงอกขึ้นด้วยหน่ออ่อน แต่เป็นหน่อที่สำคัญเท่าชีวิตและเติบโตเจริญขึ้นอย่างสมบูรณ์จนกระทั่งมีขนาดใหญ่เต็มที่ ในทำนองเดียวกันในระยะแรกแผ่นดินของพระเจ้าดูเหมือนว่าต่ำต้อยและไม่สำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรของฝ่ายโลก จะเห็นว่าเป็นอาณาจักรที่เล็กที่สุด คำกล่าวอ้างของพระคริสต์ที่ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งนั้น ถูกประมุขของโลกหัวเราะเยาะ ถึงกระนั้นในความจริงอันยิ่งใหญ่ที่มอบให้กับผู้ติดตามของพระองค์ อาณาจักรแห่งข่าวประเสริฐนั้นคือการมีชีวิตแบบพระเจ้า และอาณาจักรนี้ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงใด อำนาจครอบครองก็แผ่ขยายกว้างไปมากเพียงใด ในขณะที่พระคริสต์ตรัสอุปมานี้ มีชาวนากาลิลีเพียงไม่กี่คนเป็นตัวแทนของอาณาจักรใหม่นี้ คนเหล่านี้ที่ยากจนและมีจำนวนน้อยนิดเป็นเหตุผลที่ชักจูงไม่ให้คนอื่นๆ เข้าร่วมกับชาวประมงผู้ต่ำต้อยที่ติดตามพระเยซู แต่เมล็ดมัสตาร์ดจะเติบโตขึ้นและแผ่ขยายกิ่งก้านไปทั่วโลก เมื่ออาณาจักรของโลกซึ่งมีความรุ่งเรืองครอบคลุมอยู่ในใจมนุษย์จะต้องพินาศ แผ่นดินของพระคริสต์จะยั่งยืน ยิ่งใหญ่และแผ่ขยายออกไป {COL 77.2}

So the work of grace in the heart is small in its beginning. A word is spoken, a ray of light is shed into the soul, an influence is exerted that is the beginning of the new life; and who can measure its results? {COL 78.1}

ในทำนองเดียวกัน พระคุณของพระเจ้าในจิตใจจะเริ่มต้นขึ้นจากจุดเล็กๆ เมื่อถ้อยคำหนึ่งถูกกล่าวออกมา รัศมีของแสงนั้นก็ส่องเข้าไปในจิตใจ และมีอำนาจชักจูงให้เกิดชีวิตใหม่ แล้วใครเล่าจะสามารถวัดผลที่จะเกิดขึ้นตามมา{COL 78.1}

Not only is the growth of Christ’s kingdom illustrated by the parable of the mustard seed, but in every stage of its growth the experience represented in the parable is repeated. For His church in every generation God has a special truth and a special work. The truth that is hid from the worldly wise and prudent is revealed to the child-like and humble. It calls for self-sacrifice. It has battles to fight and victories to win. At the outset its advocates are few. By the great men of the world and by a world-conforming church, they are opposed and despised. See John the Baptist, the forerunner of Christ, standing alone to rebuke the pride and formalism of the Jewish nation. See the first bearers of the gospel into Europe. How obscure, how hopeless, seemed the mission of Paul and Silas, the two tentmakers, as they with their companions took ship at Troas for Philippi. See “Paul the aged,” in chains, preaching Christ in the stronghold of the Caesars. See the little communities of slaves and peasants in conflict with the heathenism of imperial Rome. See Martin Luther withstanding that mighty church which is the masterpiece of the world’s wisdom. See him holding fast God’s word against emperor and pope, declaring, “Here I take my stand; I can not do otherwise. God be my help.” See John Wesley preaching Christ and His righteousness in the midst of formalism, sensualism, and infidelity. See one burdened with the woes of the heathen world, pleading for the privilege of carrying to them Christ’s message of love. Hear the response of ecclesiasticism: “Sit down, young man. When God wants to convert the heathen, He will do it without your help or mine.” {COL 78.2}

ไม่เพียงแต่อุปมาของเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นที่ใช้แสดงถึงการเติบโตของอาณาจักรของพระคริสต์ แต่ในทุกขั้นตอนของการเติบโต ประสบการณ์ที่อธิบายไว้อยู่ในอุปมาก็จะนำมากล่าวซ้ำ พระเจ้าทรงมีความจริงและภารกิจพิเศษสำหรับคริสตจักรในทุกยุคสมัย ความจริงที่ซ่อนไว้จากคนฉลาดและรอบคอบของทางโลก จะสำแดงแก่ผู้ที่เชื่อเหมือนเด็กและถ่อมใจ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเสียสละส่วนตน มีสงครามที่ต้องต่อสู้และชัยชนะที่จะได้มา เมื่อเริ่มต้นในช่วงแรก มีผู้เชื่อจำนวนน้อย พวกเขาถูกผู้นำชั้นสูงในโลกและคริสตจักรที่เลียนแบบฝ่ายโลกต่อต้านและดูหมิ่น ดูยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา เขาเตรียมทางของพระคริสต์ เขาลุกขึ้นเพียงคนเดียว ตำหนิความหยิ่งยโสและการเคร่งในระเบียบของชาวยิว ดูผู้นำข่าวประเสริฐคนแรกที่เดินทางไปยุโรป เปาโลและสิลาสคนเย็บเต็นท์ทั้งสองคนทั้งที่เป็นคนไม่มีชื่อเสียงและแทบจะไม่มีความหวัง ในขณะที่คนเหล่านี้และสหายไปขึ้นเรือที่เมืองโตรอัสเพื่อไปยังเมืองฟีลิปปี ดู “เปาโลผู้ชรา” ในขณะที่ถูกล่ามด้วยโซ่ในคุกอันแข็งแรงของเมืองซีซารียาก็ยังเทศนาสั่งสอน ดูหมู่ทาสและชาวนา พวกเขาต่อสู้กับพวกนอกศาสนาของอาณาจักรโรมัน ดูมาร์ติน ลูเธอร์ ผู้ต่อต้านคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของสติปัญญาแห่งโลก จงดูเขายึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อต่อต้านจักรพรรดิและพระสันตะปาปาโดยประกาศว่า “ข้าพเจ้าขอยืนหยัดดังนี้ไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าโปรดช่วยข้าพเจ้าเถิด” ดูจอห์น เวสเล่ย์ ผู้เทศนาเรื่องพระคริสต์และความชอบธรรมของพระองค์ท่ามกลางผู้ถือลัทธิระเบียบ มักมากในกามตัณหาและไม่เลื่อมใสในศาสนา ดูผู้หนึ่งที่มีภาระกับความทุกข์ระทมของโลกที่ไม่รู้จักพระเจ้า ร้องวิงวอนขอโอกาสที่จะนำข่าวความรักของพระคริสต์ไปประกาศ ฟังการตอบสนองของคณะนักบวชซึ่งกล่าวแก่เขาว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย จงนั่งลงเถิด เมื่อพระเจ้าทรงต้องการนำคนนอกศาสนามาหาพระองค์ พระองค์จะทรงกระทำโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของเจ้าหรือของฉัน” {COL 78.2}

The great leaders of religious thought in this generation sound the praises and build the monuments of those who planted the seed of truth centuries ago. Do not many turn from this work to trample down the growth springing from the same seed today? The old cry is repeated, “We know that God spake unto Moses; as for this fellow [Christ in the messenger He sends], we know not from whence he is.” John 9:29. As in earlier ages, the special truths for this time are found, not with the ecclesiastical authorities, but with men and women who are not too learned or too wise to believe the word of God. {COL 79.1}

ผู้นำยิ่งใหญ่ทางศาสนาในยุคนี้ยกย่องสรรเสริญและสร้างอนุสาวรีย์แก่ผู้ที่หว่านเมล็ดแห่งความจริงเมื่อหลายศตวรรษก่อน ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากหันไปจากงานนี้เพื่อเหยียบย่ำต้นที่งอกขึ้นจากเมล็ดที่หว่านไว้หรือไม่ คำกล่าวของสมัยก่อนได้ถูกนำมาใช้ใหม่ “เรารู้ว่าพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส แต่สำหรับคนนั้น [พระคริสต์ในผู้สื่อข่าวที่ทรงส่งให้ไปทำงาน] เราไม่รู้ว่ามาจากไหน” ยอห์น 9:29 เช่นเดียวกับยุคแรกเริ่ม ความจริงพิเศษยุคนี้ไม่ได้อยู่ที่นักบวชหรือศาสนาจารย์ แต่อยู่กับชายและหญิงผู้มีการศึกษาไม่มากเกินไปหรือไม่ฉลาดเกินกว่าที่จะเชื่อพระวจนะคำของพระเจ้า {COL 79.1}

“For ye see your calling, brethren, how that not many wise men after the flesh, not many mighty, not many noble, are called; but God hath chosen the foolish things of the world to confound the wise; and God hath chosen the weak things of the world to confound the things which are mighty. And base things of the world, and things which are despised, hath God chosen, yea, and things which are not, to bring to naught things that are” (1 Cor. 1:26-28); “that your faith should not stand in the wisdom of men, but in the power of God” (1 Cor. 2:5). {COL 79.2}

“พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูสภาพพวกท่านเมื่อได้รับการทรงเรียก มีน้อยคนที่โลกถือว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าโง่ เพื่อทำให้พวกมีปัญญาอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ” 1โครินธ์ 1:26 – 28 “เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า” 1 โครินธ์ 2:5 {COL 79.2}

And in this last generation the parable of the mustard seed is to reach a signal and triumphant fulfillment. The little seed will become a tree. The last message of warning and mercy is to go to “every nation and kindred and tongue” (Rev. 14:6-14), “to take out of them a people for His name” (Acts 15:14; Rev. 18:1). And the earth shall be lightened with His glory. {COL 79.3}

ในยุคสุดท้ายนี้ อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดจะเป็นตัวอย่างที่สำคัญ และเป็นความสำเร็จแห่งชัยชนะ เมล็ดเล็กๆ นี้จะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ข่าวสุดท้ายแห่งการตักเตือนและพระกรุณาจะต้องประกาศไปยัง “ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษาและทุกชนชาติ” วิวรณ์ 14:6 – 14 “เพื่อจะทรงเลือกชนกลุ่มหนึ่งออกจากเขาทั้งหลายให้เป็นของพระองค์” กิจการ 15:14 วิวรณ์ 18:1 และโลกจะสว่างด้วยพระสิริของพระองค์ {COL 79.3}