Chapter 73 (บทที่ 73)
“Let Not Your Heart Be Troubled”
“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย”

Looking upon His disciples with divine love and with the tenderest sympathy, Christ said, “Now is the Son of man glorified, and God is glorified in Him.” Judas had left the upper chamber, and Christ was alone with the eleven. He was about to speak of His approaching separation from them; but before doing this He pointed to the great object of His mission. It was this that He kept ever before Him. It was His joy that all His humiliation and suffering would glorify the Father’s name. To this He first directs the thoughts of His disciples. {DA 662.1}

ในขณะที่พระคริสต์ทอดพระเนตรสาวกของพระองค์ด้วยความรักอย่างพระเจ้าและด้วยพระเมตตาสงสารอย่างอ่อนโยนที่สุด พระองค์ตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์” ยูดาสออกไปจากห้องชั้นบนแล้วและพระคริสต์ทรงอยู่กับสาวกสิบเอ็ดคนตามลำพัง พระองค์ทรงกำลังจะตรัสถึงเรื่องที่จะไปจากพวกเขา แต่ก่อนที่จะจากไปพระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงเป้าหมายยิ่งใหญ่ของพันธกิจของพระองค์ เรื่องนี้พระองค์ทรงเก็บไว้เบื้องพระพักตร์พระองค์อยู่เสมอ เป็นความสุขของพระองค์ที่ความอัปยศอดสูและความทุกข์ทรมานทั้งหมดของพระองค์จะถวายเกียรติแด่พระนามของพระบิดา ก่อนอื่นพระองค์ทรงหันความคิดของสาวกของพระองค์ไปทางนี้ {DA 662.1}

Then addressing them by the endearing term, “Little children,” He said, “Yet a little while I am with you. Ye shall seek Me: and as I said unto the Jews, Whither I go, ye cannot come; so now I say to you.” {DA 662.2}

จากนั้นด้วยการใช้ศัพท์อันน่ารักใคร่กับพวกเขาที่ว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย” พระองค์ตรัสว่า “ เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือ ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้” {DA 662.2}

The disciples could not rejoice when they heard this. Fear fell upon them. They pressed close about the Saviour. Their Master and Lord, their beloved Teacher and Friend, He was dearer to them than life. To Him they had looked for help in all their difficulties, for comfort in their sorrows and disappointments. Now He was to leave them, a lonely, dependent company. Dark were the forebodings that filled their hearts. {DA 662.3}

เมื่อสาวกได้ยินเรื่องเช่นนี้ พวกเขาร่วมชื่นชมยินดีไม่ได้ ความกลัวครอบงำพวกเขาไว้ พวกเขานั่งประชิดเข้าไปใกล้พระผู้ช่วยให้รอด พระอาจารย์และพระเจ้าของพวกเขา ครูยิ่งใหญ่ และพระสหายของพวกเขา พระองค์ทรงเป็นที่รักมากยิ่งกว่าชีวิตของพวกเขา พวกเขาเข้าหาพระองค์เพื่อขอความช่วยเหลือในความยุ่งยากทั้งหมด เพื่อขอคำปลอบประโลมสำหรับความทุกข์และความผิดหวัง บัดนี้ พระองค์จะจากพวกเขาไปแล้ว พวกเขาที่เป็นกลุ่มคนโดดเดี๋ยวเดียวดายและต้องการที่พึ่ง ความรู้สึกมืดมนของเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอยู่เต็มอกของพวกเขา {DA 662.3}

But the Saviour’s words to them were full of hope. He knew that they were to be assailed by the enemy, and that Satan’s craft is most successful against those who are depressed by difficulties. Therefore He pointed them away from “the things which are seen,” to “the things which are not seen.” 2 Corinthians 4:18. From earthly exile He turned their thoughts to the heavenly home. {DA 662.4}

แต่พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานให้แก่พวกเขานั้นเต็มไปด้วยความหวัง พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาจะถูกศัตรูจู่โจมและเล่ห์กลของซาตานประสบผลมากที่สุดในการต่อสู้กับผู้ที่ห่อเหี่ยวใจอันเนื่องจากความยากลำบาก ดังนั้นพระองค์จึงทรงนำพวกเขาให้หันออกไปจาก “สิ่งที่มองเห็น” ไปยัง “สิ่งที่มองไม่เห็น” 2 โครินธ์ 4:18 พระองค์ทรงหันความคิดของพวกเขาออกไปจากการเนรเทศในโลกไปยังบ้านบนสวรรค์ {DA 662.4}

“Let not your heart be troubled,” He said; “ye believe in God, believe also in Me. In My Father’s house are many mansions: if it were not so, I would have told you. I go to prepare a place for you. And if I go and prepare a place for you, I will come again, and receive you unto Myself; that where I am, there ye may be also. And whither I go ye know, and the way ye know.” For your sake I came into the world. I am working in your behalf. When I go away, I shall still work earnestly for you. I came into the world to reveal Myself to you, that you might believe. I go to the Father to co-operate with Him in your behalf. The object of Christ’s departure was the opposite of what the disciples feared. It did not mean a final separation. He was going to prepare a place for them, that He might come again, and receive them unto Himself. While He was building mansions for them, they were to build characters after the divine แ. {DA 663.1}

“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย” พระองค์ตรัส “พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น” เพื่อเห็นแก่พวกเจ้า เราได้เข้ามาในโลก เราทำงานเพื่อเจ้าทั้งหลาย เมื่อเราไปแล้ว เรายังคงทำงานอย่างจริงจังเพื่อเจ้าทั้งหลายต่อไป เราเข้ามาในโลกเพื่อเปิดเผยตัวเราเองให้แก่พวกเจ้าเพื่อเจ้าทั้งหลายจะเชื่อ เราไปหาพระบิดาเพื่อร่วมมือกับพระองค์เพื่อเห็นแก่พวกเจ้า เป้าหมายของการจากไปของพระคริสต์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่สาวกกลัว การจากไปไม่ได้หมายถึงการจากกันไปตลอดกาล พระองค์กำลังจะไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับพวกเขาเพื่อพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง และรับพวกเขาไปอยู่กับพระองค์เอง ในขณะที่พระองค์กำลังสร้างปราสาทให้แก่พวกเขาอยู่นั้น พวกเขาต้องสร้างลักษณะอุปนิสัยให้คล้ายคลึงพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า {DA 663.1}

Still the disciples were perplexed. Thomas, always troubled by doubts, said, “Lord, we know not whither Thou goest; and how can we know the way? Jesus saith unto him, I am the way, the truth, and the life; no man cometh unto the Father, but by Me. If ye had known Me, ye should have known My Father also: and from henceforth ye know Him, and have seen Him.” {DA 663.2}

สาวกก็ยังคงงุนงง โทมัสมักเป็นทุกข์กับความสงสัย พูดว่า “‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?’ พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์’” {DA 663.2}

There are not many ways to heaven. Each one may not choose his own way. Christ says, “I am the way: . . . no man cometh unto the Father, but by Me.” Since the first gospel sermon was preached, when in Eden it was declared that the seed of the woman should bruise the serpent’s head, Christ had been uplifted as the way, the truth, and the life. He was the way when Adam lived, when Abel presented to God the blood of the slain lamb, representing the blood of the Redeemer. Christ was the way by which patriarchs and prophets were saved. He is the way by which alone we can have access to God. {DA 663.3}

หนทางไปสู่สวรรค์ไม่มีหลายทาง แต่ละคนเลือกทางของตัวเองไม่ได้ พระคริสต์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น. . . . ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” นับตั้งแต่การเทศนาพระกิตติคุณครั้งแรก เมื่อครั้นอยู่ในสวนเอเดนมีการประกาศว่าเชื้อสายของหญิงจะทำให้หัวของงูฟกช้ำ พระคริสต์ได้รับการเทิดทูนขึ้นให้เป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต พระองค์ทรงเป็นทางนั้นในสมัยอาดัม ในสมัยอาแบลนำเลือดของลูกแกะที่ถูกฆ่าไปถวายพระเจ้าซึ่งเป็นตัวแทนพระโลหิตของพระผู้ไถ่ พระคริสต์ทรงเป็นทางนั้นที่ให้เหล่าปิตุลาและผู้เผยพระวจนะได้รับความรอด พระองค์ทรงเป็นทางนั้นทางเดียวที่เราเข้าถึงพระเจ้าได้ {DA 663.3}

“If ye had known Me,” Christ said, “ye should have known My Father also: and from henceforth ye know Him, and have seen Him.” But not yet did the disciples understand. “Lord, show us the Father,” exclaimed Philip, “and it sufficeth us.” {DA 663.4}

“ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว” พระคริสต์ตรัส “ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” แต่สาวกยังไม่เข้าใจ. “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น” ฟิลิปอุทาน “ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว” {DA 663.4}

Amazed at his dullness of comprehension, Christ asked with pained surprise, “Have I been so long time with you, and yet hast thou not known Me, Philip?” Is it possible that you do not see the Father in the works He does through Me? Do you not believe that I came to testify of the Father? “How sayest thou then, Show us the Father?” “He that hath seen Me hath seen the Father.” Christ had not ceased to be God when He became man. Though He had humbled Himself to humanity, the Godhead was still His own. Christ alone could represent the Father to humanity, and this representation the disciples had been privileged to behold for over three years. {DA 663.5}

ด้วยความประหลาดใจกับปัญญาที่ทึบเช่นนี้ พระคริสต์ทรงถามด้วยความเจ็บปวดว่า “ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ?” เป็นไปได้หรือที่เจ้าไม่เห็นพระบิดาในพระราชกิจที่พระองค์กระทำผ่านเรา? เจ้าไม่เชื่อว่าเรามาเพื่อเป็นพยานของพระบิดา “ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?” “คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” พระคริสต์ไม่ได้ยุติการเป็นพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าพระองค์จะทรงถ่อมตัวลงมาเป็นมนุษย์ แต่ความเป็นพระเจ้ายังคงเป็นของพระองค์เอง พระคริสต์เพียงผู้เดียวทรงเป็นตัวแทนของพระบิดาต่อมนุษยชาติได้ และการเป็นตัวแทนของพระองค์นี้ พวกสาวกนี้ได้รับสิทธิพิเศษให้เฝ้ามองมานานเกินสามปี {DA 663.5}

“Believe Me that I am in the Father, and the Father in Me: or else believe Me for the very works’ sake.” Their faith might safely rest on the evidence given in Christ’s works, works that no man, of himself, ever had done, or ever could do. Christ’s work testified to His divinity. Through Him the Father had been revealed. {DA 664.1}

“จงเชื่อเราว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้น” พวกเขาเอาความเชื่อไปวางไว้ได้อย่างปลอดภัยกับหลักฐานของพระราชกิจของพระคริสต์ เป็นพระราชกิจที่ไม่มีมนุษย์คนใดทำได้ด้วยตัวของเขาเอง หรือเคยทำมาก่อน หรือจะทำในภายภาคหน้า พระราชกิจของพระคริสต์เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ โดยทางพระองค์ ได้ทรงเปิดเผยพระบิดา {DA 664.1}

If the disciples believed this vital connection between the Father and the Son, their faith would not forsake them when they saw Christ’s suffering and death to save a perishing world. Christ was seeking to lead them from their low condition of faith to the experience they might receive if they truly realized what He was,–God in human flesh. He desired them to see that their faith must lead up to God, and be anchored there. How earnestly and perseveringly our compassionate Saviour sought to prepare His disciples for the storm of temptation that was soon to beat upon them. He would have them hid with Him in God. {DA 664.2}

หากสาวกเชื่อความสัมพันธ์จำเป็นอันสำคัญสำหรับชีวิตระหว่างพระบิดาและพระบุตรนี้แล้ว ความเชื่อของพวกเขาจะไม่ทรยศพวกเขาเมื่อพวกเขาเห็นความทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อช่วยโลกที่กำลังพินาศ พระคริสต์ทรงแสวงหาทางเพื่อนำพวกเขาออกมาจากสภาพความเชื่อที่ตกต่ำไปสู่ประสบการณ์ที่พวกเขาน่าจะได้หากเพียงแต่ว่าพวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงสภาพเช่นไร นั่นคือพระเจ้าทรงดำรงในเนื้อหนังมนุษย์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเห็นความเชื่อของพวกเขานำขึ้นไปสู่พระเจ้าและยึดให้มั่นไว้ที่นั่น พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาของเราทรงใส่พระทัยอย่างมากยิ่งเพียงไรเพื่อเตรียมสาวกทั้งหลายให้พร้อมสำหรับพายุการทดลองที่กำลังจะโหมกระหน่ำลงมายังพวกเขา พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาหลบซ่อนพร้อมกับพระองค์ในพระเจ้า {DA 664.2}

As Christ was speaking these words, the glory of God was shining from His countenance, and all present felt a sacred awe as they listened with rapt attention to His words. Their hearts were more decidedly drawn to Him; and as they were drawn to Christ in greater love, they were drawn to one another. They felt that heaven was very near, and that the words to which they listened were a message to them from their heavenly Father. {DA 664.3}

ขณะที่พระคริสต์กำลังตรัสถ้อยคำเหล่านี้ พระสิริของพระเจ้าเปล่งประกายออกมาจากพระพักตร์ของพระองค์และทุกคนที่อยู่เบื้องพระพักตร์รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามอันศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่ฟังพระดำรัสของพระองค์ด้วยความตั้งใจอย่างตะลึง หัวใจของพวกเขาถูกดึงดูดเข้าหาพระองค์ด้วยควาแน่วแน่มากขึ้น และเมื่อพวกเขาถูกดึงดูดเข้าหาพระคริสต์ด้วยความรักมากยิ่งขึ้น พวกเขาก็ถูกดึงดุดให้ใกล้ชิดแนบสนิทต่อกันและกันมากยิ่งขึ้น พวกเขารู้สึกว่าสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อมและพระวจนะคำที่พวกเขาได้ยินนั้นเป็นข่าวสารจากพระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ของพวกเขา {DA 664.3}

“Verily, verily, I say unto you,” Christ continued, “He that believeth on Me, the works that I do shall he do also.” The Saviour was deeply anxious for His disciples to understand for what purpose His divinity was united to humanity. He came to the world to display the glory of God, that man might be uplifted by its restoring power. God was manifested in Him that He might be manifested in them. Jesus revealed no qualities, and exercised no powers, that men may not have through faith in Him. His perfect humanity is that which all His followers may possess, if they will be in subjection to God as He was. {DA 664.4}

“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า” พระคริสต์ตรัสต่อไปว่า “คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย” พระผู้ช่วยให้รอดทรงร้อนรนพระหทัยอย่างสุดซึ้งที่สุดเพื่อมุ่งหวังให้สาวกของพระองค์เข้าใจถึงจุดประสงค์ใดที่ความเป็นพระเจ้าจึงต้องมาเข้าร่วมกับความเป็นมนุษย์ พระองค์เสด็จมายังโลกเพื่อสำแดงพระสิริของพระเจ้า เพื่อมนุษย์จะได้รับการยกระดับด้วยอำนาจแห่งการฟื้นฟูกลับสู่สภาพดีดังเดิม พระเจ้าทรงสำแดงออกให้ประจักษ์ในพระองค์เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงออกให้เป็นที่ประจักษ์ในพวกเขา พระเยซูไม่ทรงเปิดเผยคุณสมบัติใดและไม่ทรงใช้อำนาจใดที่มนุษย์จะไม่สามารถมีได้โดยความเชื่อในพระองค์ ความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมของพระองค์คือคุณสมบัติที่ผู้ติดตามทุกคนของพระองค์มีได้หากพวกเขายอมอยู่ใต้บังคับของพระเจ้าเหมือนอย่างพระองค์ทรงดำรงมาแล้ว {DA 664.4}

“And greater works than these shall he do; because I go unto My Father.” By this Christ did not mean that the disciples’ work would be of a more exalted character than His, but that it would have greater extent. He did not refer merely to miracle working, but to all that would take place under the working of the Holy Spirit. {DA 664.5}

“เขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา” โดยพระดำรัสนี้พระคริสต์ไม่ได้หมายความว่างานของสาวกจะมีลักษณะที่เหนือกว่าของพระองค์ แต่จะมีขอบเขตที่กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น พระองค์ไม่ทรงหมายถึงเพียงแค่การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่รวมถึงผลงานทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นภายใต้การประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ {DA 664.5}

After the Lord’s ascension, the disciples realized the fulfillment of His promise. The scenes of the crucifixion, resurrection, and ascension of Christ were a living reality to them. They saw that the prophecies had been literally fulfilled. They searched the Scriptures, and accepted their teaching with a faith and assurance unknown before. They knew that the divine Teacher was all that He had claimed to be. As they told their experience, and exalted the love of God, men’s hearts were melted and subdued, and multitudes believed on Jesus. {DA 667.1}

หลังจากพระเป็นเจ้าเสด็จขึ้นไปสวรรค์แล้ว พวกสาวกได้เห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามพระสัญญาของพระองค์ ฉากภาพของการตรึงกางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์เป็นเหตุการณ์จริงอันมีชีวิตสำหรับพวกเขา พวกเขาเห็นคำพยากรณ์เกิดขึ้นจริง พวกเขาค้นหาพระคัมภีร์และยอมรับคำสอนของพระวจนะ ด้วยความเชื่อและความมั่นใจที่พวกเขาไม่เคยเข้าใจมาก่อน พวกเขารู้จักพระอาจารย์ที่มาจากพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงอ้างทั้งหมด ขณะที่พวกเขาเล่าประสบการณ์ของพวกเขาและเทิดทูนความรักของพระเจ้า หัวใจของคนทั้งหลายก็หลอมละลายและยอมจำนน และคนจำนวนมากเชื่อพระเยซู {DA 667.1}

The Saviour’s promise to His disciples is a promise to His church to the end of time. God did not design that His wonderful plan to redeem men should achieve only insignificant results. All who will go to work, trusting not in what they themselves can do, but in what God can do for and through them, will certainly realize the fulfillment of His promise. “Greater works than these shall ye do,” He declares; “because I go unto My Father.” {DA 667.2}

พระสัญญาของพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานให้แก่สาวกของพระองค์เป็นพระสัญญาที่ประทานให้คริสตจักรของพระองค์จนถึงสิ้นยุค พระเจ้าไม่ทรงออกแบบให้แผนการอันประเสริฐของพระองค์ของการไถ่มนุษย์บรรลุผลอย่างไม่โดดเด่นเท่านั้น ทุกคนที่ออกไปทำงานโดยไม่วางใจในสิ่งที่ตัวเองทำได้ แต่ในสิ่งที่พระเจ้าทรงประกอบกิจเพื่อพวกเขาและโดยผ่านพวกเขาจะตระหนักได้ถึงพระสัญญาของพระองค์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน “เขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” พระองค์ทรงเปิดเผย “เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา” {DA 667.2}

As yet the disciples were unacquainted with the Saviour’s unlimited resources and power. He said to them, “Hitherto have ye asked nothing in My name.” John 16:24. He explained that the secret of their success would be in asking for strength and grace in His name. He would be present before the Father to make request for them. The prayer of the humble suppliant He presents as His own desire in that soul’s behalf. Every sincere prayer is heard in heaven. It may not be fluently expressed; but if the heart is in it, it will ascend to the sanctuary where Jesus ministers, and He will present it to the Father without one awkward, stammering word, beautiful and fragrant with the incense of His own perfection. {DA 667.3}

จนกระทั่งบัดนี้สาวกก็ยังไม่รู้จักแหล่งทรัพยากรและอำนาจอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” ยอห์น 16:24 พระองค์ทรงอธิบายว่าเคล็ดลับของความสำเร็จของพวกเขาคือการขอกำลังและพระคุณในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระบิดาเพื่อทูลขอเผื่อพวกเขา คำอธิษฐานของผู้ถ่อมตน พระองค์ทรงนำเสนอว่าเป็นความปรารถนาของพระองค์เองเผื่อจิตวิญญาณดวงนั้น ทุกคำอธิษฐานที่จริงใจจะได้ยินในสวรรค์ อาจเป็นคำอธิษฐานที่ไม่ได้กล่าวด้วยความคล่องแคล่ว แต่หากกล่าวด้วยใจคำอธิษฐานนั้นจะขึ้นไปยังพระนิเวศที่ซึ่งพระเยซูทรงปรนนิบัติ และพระองค์จะทรงนำเสนอพระบิดาโดยใช้พระดำรัสตรัสที่ไม่เก้งก้างติดขัดแต่งดงามและเคล้าด้วยกลิ่นหอมของเครื่องหอมแห่งความสมบูรณ์แบบของพระองค์เอง {DA 667.3}

The path of sincerity and integrity is not a path free from obstruction, but in every difficulty we are to see a call to prayer. There is no one living who has any power that he has not received from God, and the source whence it comes is open to the weakest human being. “Whatsoever ye shall ask in My name,” said Jesus, “that will I do, that the Father may be glorified in the Son. If ye shall ask anything in My name, I will do it.” {DA 667.4}

เส้นทางแห่งความจริงใจและความซื่อสัตย์ไม่ใช่เส้นทางที่ปลอดสิ่งกีดขวาง แต่ในทุกความยากลำบากเราจะเห็นถึงการเรียกหาให้อธิษฐาน ไม่มีคนใดมีชีวิตที่มีอำนาจที่เขาไม่ได้รับจากพระเจ้า และแหล่งที่มาของเขานั้นจะเปิดให้แก่มนุษย์อ่อนแอที่สุด “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา” พระเยซูตรัส “เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น” {DA 667.4}

“In My name,” Christ bade His disciples pray. In Christ’s name His followers are to stand before God. Through the value of the sacrifice made for them, they are of value in the Lord’s sight. Because of the imputed righteousness of Christ they are accounted precious. For Christ’s sake the Lord pardons those that fear Him. He does not see in them the vileness of the sinner. He recognizes in them the likeness of His Son, in whom they believe. {DA 667.5}

“ในนามของเรา” พระคริสต์ทรงเชิญชวนให้สาวกของพระองค์อธิษฐาน ในพระนามของพระคริสต์ผู้ติดตามของพระองค์จะยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ด้วยคุณค่าของการเสียสละเพื่อพวกเขา พวกเขามีค่าในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ทรงมอบให้แก่พวกเขา จึงนับว่าพวกเขามีคุณค่า เพื่อเห็นแก่พระคริสต์พระเจ้าทรงอภัยผู้ที่ยำเกรงพระองค์ เขาไม่ทรงมองเห็นความชั่วของคนบาป พระองค์ทรงมองเห็นพระฉายาของพระบุตรของพระองค์ในคนเหล่านั้นที่เชื่อ {DA 667.5}

The Lord is disappointed when His people place a low estimate upon themselves. He desires His chosen heritage to value themselves according to the price He has placed upon them. God wanted them, else He would not have sent His Son on such an expensive errand to redeem them. He has a use for them, and He is well pleased when they make the very highest demands upon Him, that they may glorify His name. They may expect large things if they have faith in His promises. {DA 668.1}

พระเจ้าทรงผิดหวังเมื่อประชากรของพระองค์ประเมินตนเองในทางต่ำ พระองค์ทรงปรารถนาให้มรดกที่พระองค์ทรงคัดสรรไว้แล้วประเมินคุณค่าตัวเองตามราคาที่พระองค์ทรงตั้งไว้ให้กับตัวของพวกเขา พระเจ้าทรงประสงค์พวกเขา มิฉะนั้นแล้วพระองค์คงจะไม่ประทานพระบุตรของพระองค์ให้เสด็จออกประกอบกิจธุระที่มีค่าสูงมากเช่นนี้เพื่อไถ่พวกเขา พระองค์ทรงใช้ประโยชน์พวกเขาได้ และพระองค์ทรงพึงพอพระทัยอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาทูลเรียกอย่างสูงที่สุดต่อพระองค์เพื่อพวกเขาจะถวายพระสิริแด่พระนามของพระองค์ พวกเขาคาดหวังสิ่งยิ่งใหญ่ได้หากพวกเขามีความเชื่อในพระสัญญาของพระองค์ {DA 668.1}

But to pray in Christ’s name means much. It means that we are to accept His character, manifest His spirit, and work His works. The Saviour’s promise is given on condition. “If ye love Me,” He says, “keep My commandments.” He saves men, not in sin, but from sin; and those who love Him will show their love by obedience. {DA 668.2}

แต่การอธิษฐานในพระนามของพระคริสต์มีความหมายมากยิ่งนัก การอธิษฐานนี้หมายความว่าเราต้องยอมรับพระลักษณะนิสัยของพระองค์ แสดงออกซึ่งพระวิญญาณของพระองค์และรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ พระสัญญาของพระผู้ช่วยให้รอดทรงโปรดประทานให้ด้วยเงื่อนไข “ถ้าพวกท่านรักเรา” พระองค์ตรัส “ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ไม่ใช่ในบาป แต่ช่วยเขาออกจากบาป และผู้ที่รักพระองค์จะแสดงความรักด้วยการเชื่อฟัง {DA 668.2}

All true obedience comes from the heart. It was heart work with Christ. And if we consent, He will so identify Himself with our thoughts and aims, so blend our hearts and minds into conformity to His will, that when obeying Him we shall be but carrying out our own impulses. The will, refined and sanctified, will find its highest delight in doing His service. When we know God as it is our privilege to know Him, our life will be a life of continual obedience. Through an appreciation of the character of Christ, through communion with God, sin will become hateful to us. {DA 668.3}

การเชื่อฟังที่จริงใจทั้งหมดมาจากใจ เป็นการทำงานด้วยหัวใจถวายพระคริสต์ และเมื่อเรายินยอม พระองค์เองจะทรงเปิดตัวยอมรับความคิดและจุดมุ่งหมายของเรา เพื่อให้หัวใจและจิตใจของเราผสานให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อว่าเมื่อเราเชื่อฟังพระองค์เราก็เพียงแต่ทำตามแรงกระตุ้นของเราเองเอง ความตั้งใจเมื่อผ่านการขัดเกลาและชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะชื่นชมยินดีอย่างสูงส่งที่สุดอยู่ในการทำงานรับใช้พระองค์ เมื่อเรารู้จักพระเจ้าอันเนื่องจากเป็นสิทธิพิเศษของเราในการรู้จักพระองค์ ชีวิตของเราจะเป็นชีวิตแห่งการเชื่อฟังอย่างต่อเนื่อง โดยความซาบซึ้งในพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ โดยการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้า บาปจะเป็นที่น่ารังเกียจต่อเรา {DA 668.3}

As Christ lived the law in humanity, so we may do if we will take hold of the Strong for strength. But we are not to place the responsibility of our duty upon others, and wait for them to tell us what to do. We cannot depend for counsel upon humanity. The Lord will teach us our duty just as willingly as He will teach somebody else. If we come to Him in faith, He will speak His mysteries to us personally. Our hearts will often burn within us as One draws nigh to commune with us as He did with Enoch. Those who decide to do nothing in any line that will displease God, will know, after presenting their case before Him, just what course to pursue. And they will receive not only wisdom, but strength. Power for obedience, for service, will be imparted to them, as Christ has promised. Whatever was given to Christ–the “all things” to supply the need of fallen men–was given to Him as the head and representative of humanity. And “whatsoever we ask, we receive of Him, because we keep His commandments, and do those things that are pleasing in His sight.” 1 John 3:22. {DA 668.4}

เนื่องจากพระคริสต์ทรงดำเนินชีวิตในสภาพมนุษย์ภายใต้กฎบัญญัติ เราจึงยึดพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระกำลังมาเป็นความแข็งแกร่งของเราได้ แต่เราต้องไม่เอาหน้าที่ในความรับผิดชอบของเราไปวางไว้ให้กับผู้อื่นและรอให้พวกเขามาคอยบอกเราถึงสิ่งที่จะทำ เราพึ่งมนุษย์เพื่อคำปรึกษาไม่ได้ พระเจ้าจะทรงสอนหน้าที่ของเราด้วยความเต็มพระทัยเช่นเดียวกับที่พระองค์จะทรงสอนคนอื่นใด หากเราเข้ามาเฝ้าพระองค์ด้วยความเชื่อ พระองค์จะตรัสบอกความล้ำลึกของพระองค์ให้แก่เราเป็นการส่วนตัว หัวใจของเราก็มักจะเร่าร้อนอยู่ภายในขณะพระเจ้าทรงเข้ามาใกล้เพื่อสื่อสัมพันธ์กับเราเหมือนที่พระองค์ทรงสื่อสัมพันธ์กับเอโนค ผู้ที่ตัดสินใจไม่ทำสิ่งใดในทุกสายงานที่จะทำให้พระเจ้าไม่พึงพอพระทัยแล้ว หลังจากนำเสนอปัญหาต่อเบื้องพระองค์แล้ว จะรู้ได้ว่าจะดำเนินไปทางไหน พวกเขาไม่เพียงแต่ได้รับสติปัญญา แต่จะได้พละกำลังด้วย พลังอำนาจเพื่อการเชื่อฟัง เพื่อการรับใช้จะทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขา ตามที่พระคริสต์ทรงสัญญาไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ประทานให้พระคริสต์แล้ว – “สิงทั้งปวง” เพื่อเติมเต็มความต้องการของมนุษย์ที่ล้มลงในบาป – ได้ทรงโปรดประทานให้กับพระองค์ในฐานะหัวหน้าและตัวแทนของมนุษยชาติ “และเมื่อเราขอสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์” 1 ยอห์น 3:22 {DA 668.4}

Before offering Himself as the sacrificial victim, Christ sought for the most essential and complete gift to bestow upon His followers, a gift that would bring within their reach the boundless resources of grace. “I will pray the Father,” He said, “and He shall give you another Comforter, that He may abide with you forever; even the Spirit of truth; whom the world cannot receive, because it seeth Him not, neither knoweth Him: but ye know Him; for He dwelleth with you, and shall be in you. I will not leave you orphans: I will come to you.” John 14:16-18, margin. {DA 668.5}

ก่อนที่พระองค์จะถวายตัวเองเพื่อเป็นเหยื่อเครื่องถวายบูชานั้น พระคริสต์ทรงแสวงหาของขวัญที่จำเป็นและสมบูรณ์ที่สุดเพื่อประทานให้แก่ผู้ติดตามของพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญที่จะนำพวกเขาให้เข้าถึงทรัพยากรแห่งพระคุณอันไร้ขอบเขต “เราจะทูลขอพระบิดา ” พระองค์ตรัส “และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน” ยอห์น 14:16-18 {DA 668.5} Before this the Spirit had been in the world; from the very beginning of the work of redemption He had been moving upon men’s hearts. But while Christ was on earth, the disciples had desired no other helper. Not until they were deprived of His presence would they feel their need of the Spirit, and then He would come. {DA 669.1}

ก่อนหน้านี้พระวิญญาณทรงร่วมสถิตอยู่ในโลกแล้ว นับตั้งแต่แรกเริ่มพระราชกิจแห่งการไถ่บาปพระองค์ทรงขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของมนุษย์แล้ว แต่ในขณะที่พระคริสต์ดำรงชีวิตบนโลก สาวกไม่มีความปรารถนาความช่วยเหลือจากผู้อื่นใด ไม่มีความต้องการจวบจนพระองค์ไม่ทรงอยู่ร่วมด้วยแล้ว ที่พวกเขาจะรู้สึกว่าต้องการพระวิญญาณ และจากนั้นพระองค์จึงเสด็จมา {DA 669.1}

The Holy Spirit is Christ’s representative, but divested of the personality of humanity, and independent thereof. Cumbered with humanity, Christ could not be in every place personally. Therefore it was for their interest that He should go to the Father, and send the Spirit to be His successor on earth. No one could then have any advantage because of his location or his personal contact with Christ. By the Spirit the Saviour would be accessible to all. In this sense He would be nearer to them than if He had not ascended on high. {DA 669.2}

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นตัวแทนของพระคริสต์ แต่ปราศจาคบุคลิกลักษณะของความเป็นมนุษย์ และเนื่องด้วยสาเหตุนี้จึงทรงสภาพอิสระ ด้วยสภาพของความเป็นมนุษย์ที่กีดขวางอยู่ พระคริสต์ทรงปรากฎไปอยู่ในทุกแห่งด้วยพระองค์เองไม่ได้ ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของพวกเขาที่พระองค์จะต้องเสด็จไปหาพระบิดา และประทานพระวิญญาณมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อไปในโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่มีใครคนใดจะได้เปรียบเพราะตำแหน่งของเขาหรือความใกล้ชิดกับพระคริสต์ โดยทางพระวิญญาณ ทุกคนจะเข้าถึงพระผู้ช่วยให้รอดได้ โดยนัยนี้พระองค์ทรงอยู่ใกล้พวกเขามากกว่าเมื่อครั้นที่พระองค์ยังไม่ได้เสด็จขึ้นสู่เบื้องบน {DA 669.2}

“He that loveth Me shall be loved of My Father, and I will love him, and will manifest Myself to him.” Jesus read the future of His disciples. He saw one brought to the scaffold, one to the cross, one to exile among the lonely rocks of the sea, others to persecution and death. He encouraged them with the promise that in every trial He would be with them. That promise has lost none of its force. The Lord knows all about His faithful servants who for His sake are lying in prison or who are banished to lonely islands. He comforts them with His own presence. When for the truth’s sake the believer stands at the bar of unrighteous tribunals, Christ stands by his side. All the reproaches that fall upon him, fall upon Christ. Christ is condemned over again in the person of His disciple. When one is incarcerated in prison walls, Christ ravishes the heart with His love. When one suffers death for His sake, Christ says, “I am He that liveth, and was dead; and, behold, I am alive forevermore, . . . and have the keys of hell and of death.” Revelation 1:18. The life that is sacrificed for Me is preserved unto eternal glory. {DA 669.3}

“คนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” พระเยซูทรงอ่านอนาคตของสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงเห็นคนหนึ่งถูกนำไปแขวนบนตะแลงแกง คนหนึ่งถูกแขวนบนกางเขน คนหนึ่งถูกเนรเทศอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางโขดหินกลางทะเล คนอื่นถูกกดขี่ข่มเหงและตาย พระองค์ทรงหนุนใจพวกเขาด้วยพระสัญญาว่าในทุกความทุกข์ทรมาน พระองค์สถิตอยู่ร่วมด้วย พลังแห่งพระสัญญายังไม่เคยจืดจางไป องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักผู้รับใช้ทุกคนของพระองค์เป็นอย่างดีที่เพื่อเห็นแก่พระองค์นอนอยู่ในเรือนจำหรือถูกเนรเทศไปอยู่เกาะโดดเดี่ยว พระองค์ทรงปลอบประโลมพวกเขาด้วยการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยพระองค์เอง เพื่อเห็นแก่ความจริง เมื่อผู้เชื่อต้องไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ศาลที่ไม่ชอบธรรม พระคริสต์ประทับอยู่เคียงข้างเขา คำตำหนิทั้งหมดที่กระหน่ำลงใส่เขานั้น ตกไปอยู่กับพระคริสต์ พระคริสต์ถูกตัดสินกำหนดโทษอีกครั้งในตัวของสาวกของพระองค์ เมื่อคนหนึ่งถูกจองจำภายในกำแพงของเรือนจำ พระคริสต์จะทรงโหมกระหน่ำความรักของพระองค์ใส่หัวใจของเขา เมื่อคนหนึ่งต้องทนทุกข์จนตายเพราะเห็นแก่พระองค์ พระคริสต์ตรัสว่า เรา “เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่นี่แน่ะ เรายังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และเราถือลูกกุญแจทั้งหลายแห่งความตายและแห่งแดนคนตาย ” วิวรณ์ 1:18 ชีวิตที่เสียสละเพื่อเราจะถูกเก็บถนอมรักษาไว้เพื่อพระสิรินิรันดร์กาล {DA 669.3}

At all times and in all places, in all sorrows and in all afflictions, when the outlook seems dark and the future perplexing, and we feel helpless and alone, the Comforter will be sent in answer to the prayer of faith. Circumstances may separate us from every earthly friend; but no circumstance, no distance, can separate us from the heavenly Comforter. Wherever we are, wherever we may go, He is always at our right hand to support, sustain, uphold, and cheer. {DA 669.4}

ในทุกเวลาและทุกสถานที่ ในความเศร้าโศกและความระทมทุกข์ทั้งหมด เมื่อดูหมือนว่ากาลภาคหน้ามืดมน และอนาคตสับสน และเรารู้สึกหมดหนทางและโดดเดี่ยว พระเจ้าพระผู้ทรงปลอบประโลมใจจะได้รับการบัญชามาเพื่อตอบคำอธิษฐานแห่งความเชื่อ สถานการณ์อาจแยกเราจากเพื่อนร่วมโลกทุกคน แต่ไม่มีสถานการณ์ใด ไม่มีระยะทางใดแยกเราไปจากพระเจ้าพระผู้ทรงปลอบประโลมแห่งฟ้าสวรรค์ได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าเราจะไปที่ใด พระองค์ประทับเคียงข้างมือขวาของเราเสมอเพื่อหนุน ยกชูและทรงเป็นกำลังใจของเรา {DA 669.4}

The disciples still failed to understand Christ’s words in their spiritual sense, and again He explained His meaning. By the Spirit, He said, He would manifest Himself to them. “The Comforter, which is the Holy Ghost, whom the Father will send in My name, He shall teach you all things.” No more will you say, I cannot comprehend. No longer will you see through a glass, darkly. You shall “be able to comprehend with all saints what is the breadth, and length, and depth, and height; and to know the love of Christ, which passeth knowledge.” Ephesians 3:18, 19. {DA 670.1}

พวกสาวกยังคงไม่เข้าใจพระดำรัสของพระคริสต์ในทางฝ่ายจิตวิญญาณ และอีกครั้งพระองค์ทรงอธิบายความหมายของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า โดยพระวิญญาณ พระองค์จะทรงสำแดงพระองค์เองแก่พวกเขา “แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง” เจ้าจะไม่พูดอีกต่อไปว่าเราไม่เข้าใจ เจ้าจะต้องไม่ดูผ่านกระจกด้วยความมืดมิดอีกต่อไป เจ้าจะ “เข้าใจร่วมกับธรรมิกชนทั้งหมดถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้” เอเฟซัส 3:18, 19 {DA 670.1}

The disciples were to bear witness to the life and work of Christ. Through their word He was to speak to all the people on the face of the earth. But in the humiliation and death of Christ they were to suffer great trial and disappointment. That after this experience their word might be accurate, Jesus promised that the Comforter should “bring all things to your remembrance, whatsoever I have said unto you.” {DA 670.2}

พวกสาวกต้องเป็นพยานถึงชีวิตและพระราชกิจของพระคริสต์ โดยผ่านคำพูดของพวกเขา พระองค์ตรัสกับคนทั้งหมดบนพื้นโลก แต่ในการทนทุกข์และความมรณาของพระคริสต์พวกเขาจะต้องประสบกับการทดลองและความผิดหวังครั้งใหญ่ เพื่อว่าหลังจากประสบการณ์นี้แล้ว คำพูดของพวกเขาจะแม่นยำถูกต้อง พระเยซูทรงสัญญาว่าองค์ผู้ช่วย “จะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” {DA 670.2}

“I have yet many things to say unto you,” He continued, “but ye cannot bear them now. Howbeit when He, the Spirit of truth, is come, He will guide you into all truth: for He shall not speak of Himself; but whatsoever He shall hear, that shall He speak: and He will show you things to come. He shall glorify Me: for He shall receive of Mine, and shall show it unto you.” Jesus had opened before His disciples a vast tract of truth. But it was most difficult for them to keep His lessons distinct from the traditions and maxims of the scribes and Pharisees. They had been educated to accept the teaching of the rabbis as the voice of God, and it still held a power over their minds, and molded their sentiments. Earthly ideas, temporal things, still had a large place in their thoughts. They did not understand the spiritual nature of Christ’s kingdom, though He had so often explained it to them. Their minds had become confused. They did not comprehend the value of the scriptures Christ presented. Many of His lessons seemed almost lost upon them. Jesus saw that they did not lay hold of the real meaning of His words. He compassionately promised that the Holy Spirit should recall these sayings to their minds. And He had left unsaid many things that could not be comprehended by the disciples. These also would be opened to them by the Spirit. The Spirit was to quicken their understanding, that they might have an appreciation of heavenly things. “When He, the Spirit of truth, is come,” said Jesus, “He will guide you into all truth.” {DA 670.3}

“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน” พระเยซูทรงเปิดหลักฐานความจริงยิ่งใหญ่ไพศาลไว้ต่อหน้าสาวก แต่เป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะเก็บรักษาบทเรียนนี้ให้แยกออกอย่างชัดเขนจากประเพณีและคำสอนของพวกธรรมาจาย์และพวกฟาริสี พวกเขาผ่านการฝึกฝนให้ยอมรับคำสอนของพวกรับบีว่าเป็นพระสุรเสียงที่มาจากพระเจ้าและคำสอนนี้ยังคงมีอำนาจอยู่เหนือความนึกคิดของพวกเขาและปั้นแต่งคุณค่าทัศนคติชีวิตของพวกเขา แนวคิดทางโลก สิ่งของทางฝ่ายโลก ยังคงครอบครองความคิดส่วนใหญ่ของพวกเขาไว้ พวกเขาไม่ได้เข้าใจธรรมชาติฝ่ายจิตวิญญาณของอาณาจักรพระคริสต์ แม้ว่าพระองค์ทรงอธิบายให้พวกเขาฟังอยู่บ่อยครั้ง ความคิดของพวกเขาสับสน พวกเขาไม่ได้เข้าใจคุณค่าของพระคัมภีร์ที่พระคริสต์นำเสนอ ดูเหมือนว่าบทเรียนมากมายสูญหายไป พระเยซูทรงตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้ยึดความหมายที่แท้จริงของพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาอย่างเห็นอกเห็นใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้พวกเขารำลึกถึงพระดำรัสตรัสเหล่านี้ และพระองค์ไม่ได้ตรัสอีกมากมายที่พวกสาวกเข้าใจไม่ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้พระวิญญาณจะทรงเปิดเผยให้พวกสาวกทราบด้วย พระวิญญาณจะทรงปลุกความเข้าใจของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะซาบซึ้งในสิ่งของที่เป็นของสวรรค์ “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว” พระเยซูตรัส “พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” {DA 670.3}

The Comforter is called “the Spirit of truth.” His work is to define and maintain the truth. He first dwells in the heart as the Spirit of truth, and thus He becomes the Comforter. There is comfort and peace in the truth, but no real peace or comfort can be found in falsehood. It is through false theories and traditions that Satan gains his power over the mind. By directing men to false standards, he misshapes the character. Through the Scriptures the Holy Spirit speaks to the mind, and impresses truth upon the heart. Thus He exposes error, and expels it from the soul. It is by the Spirit of truth, working through the word of God, that Christ subdues His chosen people to Himself. {DA 671.1}

องค์ผู้ช่วยทรงมีพระนาม “พระวิญญาณแห่งความจริง” พระราชกิจของพระองค์คืออธิบายและรักษาความจริง พระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจในฐานะพระวิญญาณแห่งความจริงก่อน แล้วจึงทรงเป็นองค์ผู้ช่วย ความจริงมีการปลอบประโลมใจและสันติสุข แต่ในความเท็จจะไม่มีการประโลมใจและสันติสุขที่แท้จริง ด้วยทฤษฎีและประเพณีจอมปลอมที่ซาตานได้อำนาจเหนือจิตใจ ด้วยการหันเหมนุษย์ให้เข้าหามาตรฐานเทียมเท็จ มันปั้นแต่งคุณลักษณะที่เสียโฉม โดยทางพระคัมภีร์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับจิตใจและประทับความจริงลงไปยังหัวใจ ด้วยประการฉะนี้ พระองค์จึงทรงเปิดโปงความผิดและขับไล่มันออกไปจากวิญญาณจิต โดยทางพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงประกอบกิจผ่านพระวจนะของพระเจ้า ที่พระคริสต์ทรงนำประชากรที่ทรงเลือกสรรแล้วให้เข้ามาหาพระองค์เอง {DA 671.1}

In describing to His disciples the office work of the Holy Spirit, Jesus sought to inspire them with the joy and hope that inspired His own heart. He rejoiced because of the abundant help He had provided for His church. The Holy Spirit was the highest of all gifts that He could solicit from His Father for the exaltation of His people. The Spirit was to be given as a regenerating agent, and without this the sacrifice of Christ would have been of no avail. The power of evil had been strengthening for centuries, and the submission of men to this satanic captivity was amazing. Sin could be resisted and overcome only through the mighty agency of the Third Person of the Godhead, who would come with no modified energy, but in the fullness of divine power. It is the Spirit that makes effectual what has been wrought out by the world’s Redeemer. It is by the Spirit that the heart is made pure. Through the Spirit the believer becomes a partaker of the divine nature. Christ has given His Spirit as a divine power to overcome all hereditary and cultivated tendencies to evil, and to impress His own character upon His church. {DA 671.2}

ในการพรรณนาถึงพระราชกิจในหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่สาวกของพระองค์นั้น พระเยซูทรงแสวงหาทางที่จะประทานแรงบันดาลใจแห่งความสุขและความหวังที่ดลบันดาลพระหทัยของพระองค์เองมาแล้ว พระองค์ทรงชื่นชมยินดีเพราะการทรงช่วยเหลืออย่างเหลือล้นที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้แล้วให้แก่คริสตจักรของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นของประทานสูงที่สุดที่พระองค์ทรงทูลขอจากพระบิดาเพื่อยกระดับประชากรของพระองค์ พระวิญญาณทรงโปรดประทานไว้ให้แก่พวกเขาเพื่อเป็นสื่อกลางของการบังเกิดใหม่ และหากปราศจากพระวิญญาณ การทรงสละพระองค์เองก็จะไม่บังเกิดผล อำนาจของความชั่วแข็งแกร่งขึ้นเป็นเวลาหลายศตวรรษและการยอมจำนนของมนุษย์ให้ไปเป็นเชลยของซาตานนั้นน่าประหลาด บาปจะถูกต้านและเอาชนะได้ก็โดยทางสื่อยิ่งใหญ่ของพระภาคองค์ที่สามของพระเจ้า พระองค์เสด็จมาด้วยพลังที่ไม่ดัดแปลง แต่ด้วยพลังอำนาจของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประกอบกิจให้สำเร็จในสิ่งที่พระผู้ไถ่ของโลกประกอบกิจให้สำเร็จแล้ว โดยพระวิญญาณที่หัวใจจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ โดยทางพระวิญญาณผู้เชื่อได้มีส่วนร่วมรับธรรมชาติของพระเจ้า พระคริสต์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้มีอำนาจของพระเจ้าเพื่อเอาชนะแนวโน้มที่จะทำบาปทั้งหมดของทั้งที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือดและที่พัฒนาขึ้นมาเอง และเพื่อเอาลักษณะนิสัยของพระองค์เองประทับลงยังคริสตจักรของพระองค์ {DA 671.2}

Of the Spirit Jesus said, “He shall glorify Me.” The Saviour came to glorify the Father by the demonstration of His love; so the Spirit was to glorify Christ by revealing His grace to the world. The very image of God is to be reproduced in humanity. The honor of God, the honor of Christ, is involved in the perfection of the character of His people. {DA 671.3}

พระเยซูตรัสถึงพระวิญญาณไว้ว่า “พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ” พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาเพื่อถวายพระสิริแด่พระบิดาโดยการสาธิตความรักของพระองค์ ดังนั้นพระวิญญาณจึงถวายพระสิริแด่พระคริสต์โดยการเปิดเผยพระคุณของพระองค์ต่อโลก พระฉายาของพระเจ้าเองจะต้องได้รับการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในมนุษยชาติ พระเกียรติของพระเจ้า พระเกียรติของพระคริสต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้พระลักษณะอุปนิสัยของประชากรของพระองค์ดีพร้อม {DA 671.3}

“When He [the Spirit of truth] is come, He will reprove the world of sin, and of righteousness, and of judgment.” The preaching of the word will be of no avail without the continual presence and aid of the Holy Spirit. This is the only effectual teacher of divine truth. Only when the truth is accompanied to the heart by the Spirit will it quicken the conscience or transform the life. One might be able to present the letter of the word of God, he might be familiar with all its commands and promises; but unless the Holy Spirit sets home the truth, no souls will fall on the Rock and be broken. No amount of education, no advantages, however great, can make one a channel of light without the co-operation of the Spirit of God. The sowing of the gospel seed will not be a success unless the seed is quickened into life by the dew of heaven. Before one book of the New Testament was written, before one gospel sermon had been preached after Christ’s ascension, the Holy Spirit came upon the praying apostles. Then the testimony of their enemies was, “Ye have filled Jerusalem with your doctrine.” Acts 5:28. {DA 671.4}

“เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา ” การเทศนาพระวจนะจะไม่เกิดผลอันใดหากปราศจาคการสถิตอยู่ด้วยอย่างต่อเนื่องและการทรงช่วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือผู้สอนความจริงของพระเจ้าที่มีประสิทธิผลเพียงพระองค์เดียว ความจริงที่มาพร้อมกับพระวิญญาณเสด็จเข้ามาอยู่ในหัวใจเท่านั้น ความจริงนี้จึงจะเร่งเร้าจิตสำนึกหรือเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ คนหนึ่งอาจนำเสนอพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดตามตัวอักษร เขาอาจคุ้นเคยกับพระบัญชาสั่งและพระสัญญาทั้งหมด เว้นเสียแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะจัดให้ความจริงเข้าไปอยู่ในใจเท่านั้น จะไม่มีจิตวิญญาณดวงใดที่จะล้มลงบนพระศิลาและแตกหักไปได้ ไม่มีการศึกษามากมายขนาดเพียงใด ไม่มีข้อได้เปรียบใด ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดที่จะทำให้คนนั้นเป็นท่อแสงสว่างโดยปราศจากการร่วมมือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า การหว่านเมล็ดพระกิตติคุณจะไม่ประสบความสำเร็จเว้นแต่เมล็ดพืชจะได้รับการปลุกให้มีชีวิตด้วยน้ำค้างจากสวรรค์ หลังจากพระคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ ก่อนที่หนังสือเล่มหนึ่งในพันธสัญญาใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นมา ก่อนที่กิตติคุณข่าวประเสริฐจะเริ่มเทศน์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนืออัครสาวกที่ร่วมอธิษฐานกันอยู่ และแล้วพวกศัตรูได้เป็นพยานว่า “พวกเจ้าทำให้คำสอนของพวกเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม” กิจการ 5:28 {DA 671.4}

Christ has promised the gift of the Holy Spirit to His church, and the promise belongs to us as much as to the first disciples. But like every other promise, it is given on conditions. There are many who believe and profess to claim the Lord’s promise; they talk about Christ and about the Holy Spirit, yet receive no benefit. They do not surrender the soul to be guided and controlled by the divine agencies. We cannot use the Holy Spirit. The Spirit is to use us. Through the Spirit God works in His people “to will and to do of His good pleasure.” Philippians 2:13. But many will not submit to this. They want to manage themselves. This is why they do not receive the heavenly gift. Only to those who wait humbly upon God, who watch for His guidance and grace, is the Spirit given. The power of God awaits their demand and reception. This promised blessing, claimed by faith, brings all other blessings in its train. It is given according to the riches of the grace of Christ, and He is ready to supply every soul according to the capacity to receive. {DA 672.1}

พระคริสต์ทรงสัญญาที่จะประทานของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คริสตจักรของพระองค์ และพระสัญญานี้เป็นของเรามากพอๆ กับที่ประทานให้แก่พวกสาวกกลุ่มแรก แต่เหมือนเช่นพระสัญญาอื่นๆ ทรงโปรดประทานให้โดยมีเงื่อนไข มีหลายคนที่เชื่อและยอมรับว่าอ้างพระสัญญาของพระเจ้า พวกเขาพูดถึงพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กระนั้นไม่ได้รับประโยชน์ใด พวกเขาไม่ยอมจำนนให้จิตวิญญาณให้ไปอยู่ใต้การชี้แนะและควบคุมของตัวแทนของพระเจ้า เราใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ พระวิญญาณทรงเป็นผู้ใช้เรา โดยทางพระวิญญาณ พระเจ้าทรงประกอบกิจในประชากรของพระองค์ให้ “มีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” ฟิลิปปี 2:13 แต่หลายคนไม่ยอมจำนนกับพระองค์ พวกเขาต้องการจัดการตนเอง จึงเป็นเหตุที่พวกเขาไม่ได้รับของประทานจากสวรรค์ เฉพาะ ผู้ที่รอคอยพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ผู้เฝ้ารอการนำทางและพระคุณของพระองค์เท่านั้นที่จะทรงโปรดประทานพระวิญญาณให้แก่พวกเขา อำนาจของพระเจ้ารอคอยให้พวกเขาขอและรับ พระพรที่ทรงสัญญาให้นี้ เมื่อรับด้วยความเชื่อ จะนำพระพรมาให้เป็นชุด จะทรงโปรดประทานให้ตามความไพบูลย์ของพระคุณของพระคริสต์ พระองค์ทรงพร้อมที่จะจัดหาให้กับจิตวิญญาณทุกดวงตามขนาดที่จะรับได้ {DA 672.1}

In His discourse to the disciples, Jesus made no mournful allusion to His own sufferings and death. His last legacy to them was a legacy of peace. He said, “Peace I leave with you, My peace I give unto you: not as the world giveth, give I unto you. Let not your heart be troubled, neither let it be afraid.” {DA 672.2}

ในการสนทนอย่างเคร่งเครียดกับสาวกทั้งหลาย พระเยซูไม่ได้พาดพิงถึงความทุกข์ทรมานและความตายของพระองค์เอง มรดกชิ้นสุดท้ายของพระองค์เป็นมรดกแห่งสันติภาพ พระองค์ตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” {DA 672.2}

Before leaving the upper chamber, the Saviour led His disciples in a song of praise. His voice was heard, not in the strains of some mournful lament, but in the joyful notes of the Passover hallel: “O praise the Lord, all ye nations: Praise Him, all ye people. For His merciful kindness is great toward us: And the truth of the Lord endureth forever. Praise ye the Lord.” Psalm 117. {DA 672.3}

ก่อนออกจากห้องชั้นบนพระผู้ช่วยให้รอดทรงนำสาวกของพระองค์ร้องบทเพลงสรรเสริญ พระสุรเสียงของพระองค์ที่ดังขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเสียงคร่ำครวญโศกเศร้า แต่เป็นเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดีในเทศกาลปัสกา “ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์” สดุดี 117 {DA 672.3}

After the hymn, they went out. Through the crowded streets they made their way, passing out of the city gate toward the Mount of Olives. Slowly they proceeded, each busy with his own thoughts. As they began to descend toward the mount, Jesus said, in a tone of deepest sadness, “All ye shall be offended because of Me this night: for it is written, I will smite the shepherd, and the sheep of the flock shall be scattered abroad.” Matthew 26:31. The disciples listened in sorrow and amazement. They remembered how in the synagogue at Capernaum, when Christ spoke of Himself as the bread of life, many had been offended, and had turned away from Him. But the twelve had not shown themselves unfaithful. Peter, speaking for his brethren, had then declared his loyalty to Christ. Then the Saviour had said, “Have not I chosen you twelve, and one of you is a devil?” John 6:70. In the upper chamber Jesus said that one of the twelve would betray Him, and that Peter would deny Him. But now His words include them all. {DA 673.1}

หลังจากร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็ออกไป พวกเขาเดินผ่านถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ผ่านประตูเมืองไปยังเขามะกออกเทศ เดินไปอย่างช้าๆ แต่ละคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองขณะที่พวกเขาเดินลงมุ่งหน้าไปยังเขา พระเยซูตรัสด้วยน้ำเสียงที่แสนสุดเศร้าว่า “ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราจะประหารผู้เลี้ยงแกะและแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’” มัทธิว 26:31 สาวกฟังด้วยความเศร้าและความแปลกประหลาดใจ พวกเขาจำเหตุการณ์ในธรรมศาลาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อพระคริสต์ตรัสถึงตัวเองว่าเป็นอาหารแห่งชีวิต คนมากมายขุ่นเคืองและได้หันออกไปจากพระองค์ แต่สาวกทั้งสิบสองคนไม่ได้แสดงตัวว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เปโตรพูดแทนพี่น้องของตน ประกาศถึงความภักดีของเขาที่มีต่อพระคริสต์ และแล้วพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” ยอห์น 6:70 ในห้องชั้นบนพระเยซูตรัสว่าหนึ่งในสิบสองคนจะทรยศพระองค์ และเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ แต่ในเวลานี้พระดำรัชตรัสของพระองค์รวมพวกเขาทั้งหมด {DA 673.1}

Now Peter’s voice is heard vehemently protesting, “Although all shall be offended, yet will not I.” In the upper chamber he had declared, “I will lay down my life for Thy sake.” Jesus had warned him that he would that very night deny his Saviour. Now Christ repeats the warning: “Verily I say unto thee, That this day, even in this night, before the cock crow twice, thou shalt deny Me thrice.” But Peter only “spake the more vehemently, If I should die with Thee, I will not deny Thee in anywise. Likewise also said they all.” Mark 14:29, 30, 31. In their self-confidence they denied the repeated statement of Him who knew. They were unprepared for the test; when temptation should overtake them, they would understand their own weakness. {DA 673.2}

ในเวลานี้ น้ำเสียงของเปโตรนั้นประท้วงขึ้นอย่างดุเดือดรุนแรง “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย” ในห้องชั้นบนเขาได้เปิดเผยว่า “ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูทรงเตือนเขาว่า ในคืนนั้นเองเขาจะปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดของเขา บัดนี้พระคริสต์ตรัสย้ำคำเตือนอีกครั้ง “’เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันนี้ คือคืนนี้เอง ก่อนไก่จะขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง’ แต่เปโตรทูลแข็งแรงทีเดียวว่า ‘ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย’ เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน” มาระโก 14:29, 30, 31 TKJV ด้วยความมั่นใจในตนเองพวกเขาปฏิเสธพระดำรัสของผู้ทรงหยั่งรู้ที่ตรัสกับพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาไม่พร้อมรับมือกับการทดสอบ เมื่อการทดลองจะโหมมากระหน่ำใส่พวกเขา พวกเขาจะเข้าใจถึงความอ่อนแอของตนเอง {DA 673.2}

When Peter said he would follow his Lord to prison and to death, he meant it, every word of it; but he did not know himself. Hidden in his heart were elements of evil that circumstances would fan into life. Unless he was made conscious of his danger, these would prove his eternal ruin. The Saviour saw in him a self-love and assurance that would overbear even his love for Christ. Much of infirmity, of unmortified sin, carelessness of spirit, unsanctified temper, heedlessness in entering into temptation, had been revealed in his experience. Christ’s solemn warning was a call to heart searching. Peter needed to distrust himself, and to have a deeper faith in Christ. Had he in humility received the warning, he would have appealed to the Shepherd of the flock to keep His sheep. When on the Sea of Galilee he was about to sink, he cried, “Lord, save me.” Matthew 14:30. Then the hand of Christ was outstretched to grasp his hand. So now if he had cried to Jesus, Save me from myself, he would have been kept. But Peter felt that he was distrusted, and he thought it cruel. He was already offended, and he became more persistent in his self-confidence. {DA 673.3}

เมื่อเปโตรทูลว่าเขาจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาไปเรือนจำและความตายนั้น เขาเชื่อมั่นกับทุกคำพูด แต่เขาไม่รู้จักตัวเอง ในใจของเขามีองค์ประกอบของความชั่วซ่อนอยู่เมื่อสถานการณ์จะประดังเข้ามาพัดให้ฟื้นคืนชีพ นอกจากเขาจะมีจิตสำนึกได้ถึงภัยอันตราย สิ่งเหล่านี้จะนำให้เขาไปสู่หายนะนิรันดร์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงมองเห็นว่าความรักตนเองและความมั่นใจจะเอาชนะแม้ความรักของเขาที่มีต่อพระคริสต์ ความบกพร่อง บาปที่ไม่ถูกปราบ วิญญาณจิตที่สะเพร่า อารมณ์ที่ยังไม่ชำระให้บริสุทธิ์ ความเลินเล่อที่พุ่งชนเข้าหาการทดลอง ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เปิดเผยให้เห็นในประสบการณ์ชีวิตของเขา พระคริสต์ทรงเตือนด้วยความเคร่งขรึมให้ตรวจสอบหัวใจ เปโตรจะต้องไม่วางใจในตนเอง และต้องมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในพระคริสต์ หากเขายอมรับคำเตือนด้วยความถ่อมตน เขาคงจะได้อ้อนวอนพระเมษบาลของฝูงแกะให้ปกป้องลูกแกะของพระองค์ เมื่ออยู่บนทะเลสาบกาลิลี เขาเกือบจมน้ำ เขาร้องขึ้นมาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย” มัทธิว 14:30 จากนั้นพระหัตถ์ของพระองค์ก็ทรงยื่นออกไปเพื่อคว้าเอามือของเขาไว้ เช่นเดียวกัน หากในเวลานี้เขาได้ร้องหาพระเยซู ให้ทรงโปรดช่วยข้าจากตัวของข้าเองแล้ว เขาก็น่าจะรอด แต่เปโตรรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความไว้วางใจ และเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่โหดร้าย เขาโกรธอยู่แล้ว และเขาก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะไว้ใจตนเองมากยิ่งขึ้น {DA 673.3}

Jesus looks with compassion on His disciples. He cannot save them from the trial, but He does not leave them comfortless. He assures them that He is to break the fetters of the tomb, and that His love for them will not fail. “After I am risen again,” He says, “I will go before you into Galilee.” Matthew 26:32. Before the denial, they have the assurance of forgiveness. After His death and resurrection, they knew that they were forgiven, and were dear to the heart of Christ. {DA 674.1}

พระเยซูทอดพระเนตรสาวกทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานไม่ได้ แต่พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาไม่ได้รับความปลอบประโลม พระองค์ประทานความมั่นใจให้แก่พวกเขาว่าจะทรงหักโซ่ตรวนของหลุมฝังศพ และพระองค์จะไม่ล้มเลิกประทานความรักให้แก่พวกเขา “แต่หลังจากพระเจ้าทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาแล้ว” พระองค์ตรัส “เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน” มัทธิว 26:32 ก่อนที่พวกเขาจะปฏิเสธพระองค์ พวกเขาได้รับความมั่นใจของการอภัย หลังจากการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พวกเขามั่นใจว่าได้รับการอภัยแล้ว และเป็นสุดที่รักของพระคริสต์ {DA 674.1}

Jesus and the disciples were on the way to Gethsemane, at the foot of Mount Olivet, a retired spot which He had often visited for meditation and prayer. The Saviour had been explaining to His disciples His mission to the world, and the spiritual relation to Him which they were to sustain. Now He illustrates the lesson. The moon is shining bright, and reveals to Him a flourishing grapevine. Drawing the attention of the disciples to it, He employs it as a symbol. {DA 674.2}

พระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังสวนเกทเสมนีที่เชิงตีนเขามะกอกเทศ อันเป็นที่พักสงบที่พวกเขามักไปเสมอเพื่อการใคร่ครวญและอธิษฐาน ตลอดเวลาพระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิบายให้สาวกฟังเรื่องพันธกิจของพระองค์เพื่อโลก และความสัมพันธ์ทางด้านจิตวิญญาณต่อพระองค์ที่จะต้องดำรงต่อไป ในเวลานี้พระองค์ทรงสอนแสดงบทเรียนให้แก่พวกเขา ดวงจันทร์สว่างสดใส และเผยให้เห็นเถาองุ่นที่งอกขึ้นมาอย่างสวยงาน พระองค์ทรงหันความสนใจของพวกสาวกมายังเถาองุ่นนี้ และยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ {DA 674.2}

“I am the true Vine,” He says. Instead of choosing the graceful palm, the lofty cedar, or the strong oak, Jesus takes the vine with its clinging tendrils to represent Himself. The palm tree, the cedar, and the oak stand alone. They require no support. But the vine entwines about the trellis, and thus climbs heavenward. So Christ in His humanity was dependent upon divine power. “I can of Mine own self do nothing,” He declared. John 5:30. {DA 674.3}

“เราเป็นเถาองุ่นแท้” พระองค์ตรัส แทนที่จะเลือกตนปาล์มที่งานสง่า ต้นสนสีดาที่สูงตระหง่าน หรือต้นโอ๊คที่แข็งแกร่ง พระองค์ทรงเอาเถาองุ่นที่มีกิ่งก้านเกาะติดไว้มากมายเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์เอง ต้นปาล์ม ต้นสนสีดาและต้นโอ๊คขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ต้นไม้เหล่านี้ไม่ต้องการสิ่งใดเพื่อพยุงพวกมันไว้ แต่เถาองุ่นต้องพันรอบโครงไม้ระแนง และจึงไถ่ขึ้นสูงเทียมฟ้า ดังนั้น พระคริสต์ในขณะที่ทรงดำรงอยู่เป็นมนุษย์ ทรงต้องพึ่งอำนาจของพระเจ้า “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” พระองค์ทรงเปิดเผยไว้แล้ว ยอห์น 5:30 {DA 674.3}

“I am the true Vine.” The Jews had always regarded the vine as the most noble of plants, and a type of all that was powerful, excellent, and fruitful. Israel had been represented as a vine which God had planted in the Promised Land. The Jews based their hope of salvation on the fact of their connection with Israel. But Jesus says, I am the real Vine. Think not that through a connection with Israel you may become partakers of the life of God, and inheritors of His promise. Through Me alone is spiritual life received. {DA 675.1}

“เราเป็นเถาองุ่นแท้” ชาวยิวถือว่าเถาองุ่นเป็นต้นพืชงามสง่าที่สุด และเป็นแบบของบรรดาอำนาจอันทรงคุณ อันล้ำเลิศและการผลิตผลอย่างอุดมทั้งปวง ชนชาติอิสราเอลถูกนำมาเปรียบเป็นเถาองุ่นที่พระเจ้าทรงปลูกไว้ในดินแดนแห่งคำสัญญา ชาวยิวตั้งความหวังที่จะได้รับความรอดโดยอาศัยการเชื่อมโยงกับชนชาติอิสราเอล แต่พระเยซูตรัสว่า เราเป็นเถาองุ่นแท้ อย่าคิดว่าโดยการเชื่อมโยงกับชนชาติอิสราเอลพวกเจ้าจะได้เข้ามามีส่วนร่วมรับชีวิตของพระเจ้า และร่วมรับมรดกพระสัญญาของพระองค์ โดยทางเราผู้ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ {DA 675.1}

“I am the true Vine, and My Father is the husbandman.” On the hills of Palestine our heavenly Father had planted this goodly Vine, and He Himself was the husbandman. Many were attracted by the beauty of this Vine, and declared its heavenly origin. But to the leaders in Israel it appeared as a root out of a dry ground. They took the plant, and bruised it, and trampled it under their unholy feet. Their thought was to destroy it forever. But the heavenly Husbandman never lost sight of His plant. After men thought they had killed it, He took it, and replanted it on the other side of the wall. The vine stock was to be no longer visible. It was hidden from the rude assaults of men. But the branches of the Vine hung over the wall. They were to represent the Vine. Through them grafts might still be united to the Vine. From them fruit has been obtained. There has been a harvest which the passers-by have plucked. {DA 675.2}

“เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา” บนเนินเขาของแผ่นดินปาเลสไตน์ พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงปลูกเถาองุ่นอันสวยงามนี้ไว้และพระองค์เองทรงเป็นผู้ทำสวน มีคนมากมายถูกดึงดูดเข้าไปอันเนื่องด้วยความงดงามของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเถาองุ่นนี้ และเปิดเผยถึงแหล่งกำเนิดที่มาจากสวรรค์ แต่สำหรับผู้นำของชนชาติอิสราเอล เถานี้มีลักษณะเป็นรากที่ออกมาจากพื้นดินแห้ง พวกเขาเอาต้นนี้มาและทำให้ฟกช้ำ และเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าที่ไม่บริสุทธิ์ของพวกเขา พวกเขาคิดที่จะทำลายต้นนี้ไปตลอดกาล แต่ผู้ดูแลสวนจากสวรรค์ไม่เคยละต้นพืชนี้ไปจากสายตา หลังจากที่มนุษย์คิดว่าได้ฆ่าพระองค์แล้ว พระองค์รับมาและนำไปปลูกไว้ในอีกฟากหนึ่งของกำแพง โคนต้นเถาองุ่นไม่มีเหลือไว้ให้เห็น มันถูกซ่อนไว้จากการทำร้ายที่หยาบคายของมนุษย์ แต่กิ่งก้านของเถาองุ่นแขวนออกมาจากอีกฟากของกำแพง กิ่งก้านเหล่านี้เป็นตัวแทนของเถาองุ่น โดยทางกิ่งเหล่านี้ การต่อกิ่งก็ยังอาจเชื่อมต่อติดกับเถาองุ่นได้ ยังมีผลจากกิ่งก้านเหล่านี้ให้ผู้ที่สัญจรไปมาเก็บเกี่ยว {DA 675.2}

“I am the Vine, ye are the branches,” Christ said to His disciples. Though He was about to be removed from them, their spiritual union with Him was to be unchanged. The connection of the branch with the vine, He said, represents the relation you are to sustain to Me. The scion is engrafted into the living vine, and fiber by fiber, vein by vein, it grows into the vine stock. The life of the vine becomes the life of the branch. So the soul dead in trespasses and sins receives life through connection with Christ. By faith in Him as a personal Saviour the union is formed. The sinner unites his weakness to Christ’s strength, his emptiness to Christ’s fullness, his frailty to Christ’s enduring might. Then he has the mind of Christ. The humanity of Christ has touched our humanity, and our humanity has touched divinity. Thus through the agency of the Holy Spirit man becomes a partaker of the divine nature. He is accepted in the Beloved. {DA 675.3}

“เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง” พระคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์ แม้ว่าพระองค์กำลังจะถูกเอาออกไปจากพวกเขา แต่ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณของพวกเขากับพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน พระองค์ตรัสว่ากิ่งที่ติดกับเถาเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ที่พวกเขาจะได้รับการค้ำจุนโดยทางพระองค์ กิ่งตอนถูกทาบเข้าไปยังเถามีชีวิตและเส้นใยเชื่อมติดเข้ากับเส้นใย ยองใยต่อกับยองใย กิ่งนั้นเติบใหญ่เป็นก้านของเถา ชีวิตของเถาเป็นชีวิตของกิ่ง ดังนั้นจิตวิญญาณที่ตายโดยการละเมิดและการบาปจึงได้รับชีวิตผ่านการเชื่อมต่อกับพระคริสต์ โดยความเชื่อในพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่วนบุคคลความสัมพันธ์จึงเกิดขึ้น คนบาปเอาความอ่อนแอของเขาไปรวมเข้ากับพละกำลังของพระคริสต์ ความว่างเปล่าเข้ากับความไพบูลย์ของพระคริสต์ ความอ่อนแอเข้ากับพละกำลังที่มั่นคงของพระคริสต์ แล้วเขาก็มีพระทัยของพระคริสต์ ความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์สัมผัสความเป็นมนุษย์ของเรา และความเป็นมนุษย์ของเราสัมผัสกับความเป็นพระเจ้า ดังนั้นโดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์มนุษย์ได้เข้าร่วมกับพระลักษณ์ความเป็นพระเจ้า เขาเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงรัก {DA 675.3}

This union with Christ, once formed, must be maintained. Christ said, “Abide in Me, and I in you. As the branch cannot bear fruit of itself, except it abide in the vine; no more can ye, except ye abide in Me.” This is no casual touch, no off-and-on connection. The branch becomes a part of the living vine. The communication of life, strength, and fruitfulness from the root to the branches is unobstructed and constant. Separated from the vine, the branch cannot live. No more, said Jesus, can you live apart from Me. The life you have received from Me can be preserved only by continual communion. Without Me you cannot overcome one sin, or resist one temptation. {DA 676.1}

การเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะต้องเก็บถนอมรักษาไว้ พระคริสต์ตรัสว่า “จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา” นี่ไม่ใช่การสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ใช่เชื่อมต่อแล้วถอนออกไป กิ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเถาที่มีชีวิต การสื่อสารแห่งชีวิต กำลังและการเกิดผลจากรากไปจนถึงกิ่งจะไม่ถูกขัดขวางและดำเนินต่อเนื่องไปอย่างสม่ำเสมอ เมื่อกิ่งนี้แยกออกไปจากเถา กิ่งก็จะอยู่ไม่ได้ พระเยซูตรัสว่าพวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้เมื่อเจ้าแยกตัวออกไปจากพระองค์ ชีวิตที่พวกเจ้ารับจากพระองค์จะรักษาไว้ได้เท่านั้นเมื่อเชื่อมติดกับพระองค์อย่างต่อเนื่อง หากแยกออกไปจากพระองค์ เจ้าจะเอาชนะบาปเดียวก็ไม่ได้ หรือต้านการทดลองเดียวก็ไม่ได้ {DA 676.1}

“Abide in Me, and I in you.” Abiding in Christ means a constant receiving of His Spirit, a life of unreserved surrender to His service. The channel of communication must be open continually between man and his God. As the vine branch constantly draws the sap from the living vine, so are we to cling to Jesus, and receive from Him by faith the strength and perfection of His own character. {DA 676.2}

“จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน” การติดสนิทกับพระคริสต์หมายถึงการได้รับพระวิญญาณของพระองค์อย่างต่อเนื่อง เป็นชีวิตของการยอมจำนนต่อการรับใช้ของพระองค์อย่างไม่สงวนตัว ช่องทางการสื่อสารต้องเปิดออกอย่างต่อเนื่องระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าของเขา ดั่งกิ่งองุ่นดึงดูดน้ำหล่อเลี้ยงจากเถาองุ่นที่มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องยึดติดอยู่กับพระเยซูและโดยความเชื่อรับกำลังและความสมบูรณ์แบบของพระลักษณะนิสัยของพระองค์เอง {DA 676.2}

The root sends its nourishment through the branch to the outermost twig. So Christ communicates the current of spiritual strength to every believer. So long as the soul is united to Christ, there is no danger that it will wither or decay. {DA 676.3}

รากส่งอาหารหล่อเลี้ยงผ่านทางกิ่งไปยังกิ่งก้านตรงปลาย ด้วยประการฉะนี้ พระคริสต์ทรงสื่อกระแสพลังแห่งจิตวิญญาณไปยังผู้เชื่อทุกคน ตราบใดที่จิตวิญญาณดวงนั้นติดสนิทกับพระคริสต์ จะไม่ตกสู่ภัยอันตรายของการเหี่ยวแห้งหรือเปื่อยเน่า {DA 676.3}

The life of the vine will be manifest in fragrant fruit on the branches. “He that abideth in Me,” said Jesus, “and I in him, the same bringeth forth much fruit: for without Me ye can do nothing.” When we live by faith on the Son of God, the fruits of the Spirit will be seen in our lives; not one will be missing. {DA 676.4}

ชีวิตของเถาจะปรากฏให้เห็นในผลไม้ที่ส่งกลิ่นหอมบนกิ่งก้าน “คนที่ติดสนิทอยู่กับเรา” พระเยซูตรัส “และเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย ” เมื่อเราดำเนินชีวิตโดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผลของพระวิญญาณจะปรากฏให้เห็นในชีวิตของเรา จะไม่มีผลใดหายไป {DA 676.4}

“My Father is the husbandman. Every branch in Me that beareth not fruit He taketh away.” While the graft is outwardly united with the vine, there may be no vital connection. Then there will be no growth or fruitfulness. So there may be an apparent connection with Christ without a real union with Him by faith. A profession of religion places men in the church, but the character and conduct show whether they are in connection with Christ. If they bear no fruit, they are false branches. Their separation from Christ involves a ruin as complete as that represented by the dead branch. “If a man abide not in Me,” said Christ, “he is cast forth as a branch, and is withered; and men gather them, and cast them into the fire, and they are burned.” {DA 676.5}

“พระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย” ในขณะที่กิ่งตอนติดกับเถาตามที่เห็นจากภายนอก กิ่งตอนนั้น อาจไม่ต่อเชื่อมอย่างมีชีวิตชีวาก็ได้ และแล้วก็จะไม่มีการเจริญเติบโตหรือการเกิดผล ดังนั้นจะไม่มีการเชื่อมโยงกับพระคริสต์ที่ไม่ได้ติดสนิอย่างแท้จริงกับพระองค์โดยความเชื่อตามที่ตามองเห็น การมีศาสนาอาจจะนำคนหนึ่งไปอยู่ในคริสตจักร แต่ลักษณะอุปนิสัยและการกระทำแสดงออกให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์กับพระคริสต์หรือไม่ หากพวกเขาไม่เกิดผล พวกเขาก็เป็นกิ่งเทียม การแยกตัวของพวกเขาไปจากพระคริสต์นำไปสู่หายนะอย่างสมบูรณ์เหมือนกิ่งที่ตายไปแล้ว “ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา” พระคริสต์ตรัส ” คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ” {DA 676.5}

“And every branch that beareth fruit, He purgeth [pruneth] it, that it may bring forth more fruit.” From the chosen twelve who had followed Jesus, one as a withered branch was about to be taken away; the rest were to pass under the pruning knife of bitter trial. Jesus with solemn tenderness explained the purpose of the husbandman. The pruning will cause pain, but it is the Father who applies the knife. He works with no wanton hand or indifferent heart. There are branches trailing upon the ground; these must be cut loose from the earthly supports to which their tendrils are fastening. They are to reach heavenward, and find their support in God. The excessive foliage that draws away the life current from the fruit must be pruned off. The overgrowth must be cut out, to give room for the healing beams of the Sun of Righteousness. The husbandman prunes away the harmful growth, that the fruit may be richer and more abundant. {DA 676.6}

“แขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิด เพื่อให้ออกผลมากขึ้น” จากสาวกสิบสองคนที่ทรงลือกไว้ให้ติดตามพระเยซูคนหนึ่งเหมือนกิ่งไม้เหี่ยวเฉากำลังจะถูกตัดทิ้งไป ส่วนสาวกที่เหลือต้องผ่านใบมีดริดแขนงของการทดลองอันขมขื่น ด้วยความอ่อนโยนอย่างเคร่งขรึม พระเยซูทรงอธิบายจุดประสงค์ของผู้ดูแลรักษาสวน การริดแขนงจะทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่พระบิดาทรงเป็นผู้ลงมีด พระองค์ไม่ทรงประกอบกิจด้วยพระหัตถ์ที่มุ่งร้ายหรือพระหทัยที่ไม่ทรงใส่พระทัย ยังมีกิ่งที่ลากไปกับพื้น จะต้องตัดยอดกิ่งก้านไม้เลื้อยเหล่านี้ที่ยึดอยู่ไปกับพื้นดินให้หลุดออกมา กิ่งเหล่านี้ต้องชูกิ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าและแสวงหาที่ยึดในพระเจ้า ใบหนาแน่นที่คอยแย่งดูดกระแสแห่งชีวิตไปจากผลจะต้องถูกริดทิ้ง กิ่งส่วนเกินจะต้องตัดออกเพื่อเว้นช่องให้แสงแห่งการรักษาจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมส่องเข้าไปได้ ผู้ดูแลรักษาสวนตัดแต่งริดกิ่งที่ให้โทษทิ้งไปเพื่อจะได้ผลที่สมบูรณ์และอุดมมากยิ่งขึ้น {DA 676.6}

“Herein is My Father glorified,” said Jesus, “that ye bear much fruit.” God desires to manifest through you the holiness, the benevolence, the compassion, of His own character. Yet the Saviour does not bid the disciples labor to bear fruit. He tells them to abide in Him. “If ye abide in Me,” He says, “and My words abide in you, ye shall ask what ye will, and it shall be done unto you.” It is through the word that Christ abides in His followers. This is the same vital union that is represented by eating His flesh and drinking His blood. The words of Christ are spirit and life. Receiving them, you receive the life of the Vine. You live “by every word that proceedeth out of the mouth of God.” Matthew 4:4. The life of Christ in you produces the same fruits as in Him. Living in Christ, adhering to Christ, supported by Christ, drawing nourishment from Christ, you bear fruit after the similitude of Christ. {DA 677.1}

“พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้” พระเยซูตรัส “คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมาก” พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสำแดงพระลักษณะนิสัยแห่งความบริสุทธิ์ ความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจของพระองค์ผ่านตัวคุณ แต่กระนั้นพระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ทรงบัญชาให้สาวกลงแรงทำงานเพื่อให้เกิดผล พระองค์ตรัสบัญชาพวกเขาให้ติดสนิทกับพระองค์ “ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเรา” พระองค์ตรัส “และถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น” โดยผ่านทางพระวจนะที่พระคริสต์ทรงเข้าสนิทอยู่กับผู้ติดตามของพระองค์ นี่เป็นการเข้าร่วมเป็นหนึ่งอย่างมีชีวิตอันเดียวกันที่อธิบายด้วยการกินเนื้อและดื่มพระโลหิตของพระองค์ พระวจนะของพระคริสต์เป็นพระวิญญาณและชีวิต เมื่อรับไว้ คุณจะรับชีวิตของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเถาองุ่น คุณจะมีชีวิต “ด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” มัทธิว 4:4 ชีวิตของพระคริสต์ในตัวคุณก่อให้เกิดผลเช่นเดียวกับในพระองค์ เมื่อดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ยึดมั่นในพระคริสต์ ได้รับการสนับสนุนจากพระคริสต์ รับการบำรุงเลี้ยงจากพระคริสต์ คุณก็เกิดผลตามอย่างพระลักษณะของพระคริสต์ {DA 677.1}

In this last meeting with His disciples, the great desire which Christ expressed for them was that they might love one another as He had loved them. Again and again He spoke of this. “These things I command you,” He said repeatedly, “that ye love one another.” His very first injunction when alone with them in the upper chamber was, “A new commandment I give unto you, That ye love one another; as I have loved you, that ye also love one another.” To the disciples this commandment was new; for they had not loved one another as Christ had loved them. He saw that new ideas and impulses must control them; that new principles must be practiced by them; through His life and death they were to receive a new conception of love. The command to love one another had a new meaning in the light of His self-sacrifice. The whole work of grace is one continual service of love, of self-denying, self-sacrificing effort. During every hour of Christ’s sojourn upon the earth, the love of God was flowing from Him in irrepressible streams. All who are imbued with His Spirit will love as He loved. The very principle that actuated Christ will actuate them in all their dealing one with another. {DA 677.2}

ในการพบกับสาวกของพระองค์ครั้งสุดท้ายนี้ ความปรารถนายิ่งใหญ่ที่พระคริสต์ทรงแสดงต่อพวกเขาคือให้พวกเขารักซึ่งกันและกัน เหมือนที่พระองค์ทรงรักพวกเขามาแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ตรัสถึงเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ” พระองค์ตรัสซ้ำหลายครั้ง “จงรักกันและกัน” พระบัญชาแรกของพรองค์ในขณะที่อยู่ตามลำพังกับพวกเขาในห้องชั้นบนคือ “เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” สำหรับสาวกแล้ว เป็นบัญญัติใหม่ เพราะพวกเขาไม่ได้รักกันและกันเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักพวกเขา พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าแนวความคิดและแรงกระตุ้นใหม่จะต้องควบคุมพวกเขา พวกเขาจะต้องถือปฏิบัติหลักการใหม่ โดยชีวิตและความมรณาของพระองค์ พวกเขาจะต้องได้รับแนวคิดใหม่แห่งรัก พระบัญชาให้รักกันและกันมีความหมายใหม่ของแสงสว่างของการเสียสละตนของพระองค์ พระราชกิจแห่งพระคุณอันสมบูรณ์เป็นการรับใช้แห่งรัก การละทิ้งตน การเสียสละตน ที่ทำอย่างเป็นหนึ่งที่ต่อเนื่อง ตลอดช่วงเวลาทุกชั่วโมงของการดำเนินชีวิตของพระคริสต์ในโลกนี้ ความรักของพระเจ้าไหลออกจากพระเจ้าดั่งสายธารที่ระงับไม่ได้ ทุกคนที่ชุ่มโชกด้วยพระวิญญาณของพระองค์จะรักเหมือนที่พระองค์ทรงรัก หลักธรรมที่กระตุ้นพระคริสต์นี้เองจะกระตุ้นพวกเขาในการปฏิบัติต่อกันและกัน {DA 677.2}

This love is the evidence of their discipleship. “By this shall all men know that ye are My disciples,” said Jesus, “if ye have love one to another.” When men are bound together, not by force or self-interest, but by love, they show the working of an influence that is above every human influence. Where this oneness exists, it is evidence that the image of God is being restored in humanity, that a new principle of life has been implanted. It shows that there is power in the divine nature to withstand the supernatural agencies of evil, and that the grace of God subdues the selfishness inherent in the natural heart. {DA 678.1}

ความรักนี้เป็นหลักฐานของการเป็นสาวกของพวกเขา “ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา” พระเยซูตรัส “ถ้าท่านรักกันและกัน” เมื่อมนุษย์ผูกพันกันไม่ใช่ด้วยการบังคับหรือผลประโยชน์ส่วนตน แต่โดยความรัก พวกเขาแสดงออกให้เห็นถึงการทำงานของอิทธิพลที่อยู่เหนืออิทธิพลทั้งปวงของมนุษย์ ที่ใดที่มีความเป็นหนึ่งนี้ปรากฏ จะเป็นหลักฐานว่าพระฉายาของพระเจ้าได้กลับฟื้นฟูขึ้นใหม่ในมนุษยชาติแล้ว มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าหลักการแห่งชีวิตใหม่ได้ถูกปลูกฝังไว้แล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพระเจ้ามีอำนาจต้านทานหน่วยงานเหนือธรรมชาติของความชั่ว และพระคุณของพระเจ้าทรงปราบความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในหัวใจธรรมชาติ {DA 678.1}

This love, manifested in the church, will surely stir the wrath of Satan. Christ did not mark out for His disciples an easy path. “If the world hate you,” He said, “ye know that it hated Me before it hated you. If ye were of the world, the world would love his own: but because ye are not of the world, but I have chosen you out of the world, therefore the world hateth you. Remember the word that I said unto you, The servant is not greater than his lord. If they have persecuted Me, they will also persecute you; if they have kept My saying, they will keep yours also. But all these things will they do unto you for My name’s sake, because they know not Him that sent Me.” The gospel is to be carried forward by aggressive warfare, in the midst of opposition, peril, loss, and suffering. But those who do this work are only following in their Master’s steps. {DA 678.2}

ความรักนี้ที่ปรากฏในคริสตจักรจะกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของซาตานอย่างแน่นอน พระคริสต์ไม่ได้ทรงจัดเตรียมเส้นทางที่เรียบง่ายไว้ให้กับสาวกของพระองค์ “ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน” พระองค์ตรัส “ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า ‘บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงใช้เรามา” ข่าวประเสริฐจะต้องรุดไปข้างหน้าด้วยยุทธการเชิงรุกท่ามกลางการต่อต้าน ภัยอันตราย การสูญเสีย และความทุกข์ทรมาน แต่ผู้ที่ทำงานนี้อยู่ปฏิบัติตามย่างก้าวของพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระอาจารย์ของพวกเขาเท่านั้น {DA 678.2}

As the world’s Redeemer, Christ was constantly confronted with apparent failure. He, the messenger of mercy to our world, seemed to do little of the work He longed to do in uplifting and saving. Satanic influences were constantly working to oppose His way. But He would not be discouraged. Through the prophecy of Isaiah He declares, “I have labored in vain, I have spent My strength for nought, and in vain: yet surely My judgment is with the Lord, and My work with My God. . . . Though Israel be not gathered, yet shall I be glorious in the eyes of the Lord, and My God shall be My strength.” It is to Christ that the promise is given, “Thus saith the Lord, the Redeemer of Israel, and His Holy One, to Him whom man despiseth, to Him whom the nation abhorreth; . . . thus saith the Lord: . . . I will preserve Thee, and give Thee for a covenant of the people, to establish the earth, to cause to inherit the desolate heritages; that Thou mayest say to the prisoners, Go forth; to them that are in darkness, Show yourselves. . . . They shall not hunger nor thirst; neither shall the heat nor sun smite them: for He that hath mercy on them shall lead them, even by the springs of water shall He guide them.” Isaiah 49:4, 5, 7-10. {DA 678.3}

ในฐานะที่พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ดูเหมือนว่าพระองค์ พระผู้ทรงเป็นผู้สื่อข่าวแห่งความเมตตาให้แก่โลกทรงประกอบกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำเพื่อยกระดับและการทรงช่วยให้รอด อิทธิพลของซาตานทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อต้านแนวทางของพระองค์ แต่พระองค์จะไม่ทรงท้อถอย โดยคำพยากรณ์ของอิสยาห์พระองค์ทรงประกาศว่า “ข้าพเจ้าได้ทำงานเปล่าดาย ข้าพเจ้าเปลืองแรงของข้าพเจ้าเปล่าๆ อนิจจัง แต่แน่ละ ความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าพเจ้าอยู่กับพระเยโฮวาห์ และงานของข้าพเจ้าอยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า. . . . .ถึงแม้อิสราเอลจะไม่ถูกรวบรวมเข้ามา ข้าพเจ้าก็ยังได้รับเกียรติในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า” พระสัญญาทรงโปรดประทานให้แก่พระคริสต์ว่า “พระยาห์เวห์ พระผู้ไถ่และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล ตรัสกับผู้ถูกดูหมิ่นและถูกประชาชาติรังเกียจ . . . .พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า. . . . เราได้ดูแลเจ้า และมอบเจ้าไว้ให้เป็นพันธสัญญาของชนชาติ เพื่อฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อแบ่งที่ร้างเปล่าให้เป็นมรดก และเพื่อกล่าวกับพวกถูกจำจองว่า ‘จงออกมา’ กล่าวกับพวกที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงเผยตัว’. . . ..เขาทั้งหลายจะไม่หิวหรือกระหาย ความร้อนแผดเผาหรือดวงอาทิตย์จะไม่ทำลายเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสารพวกเขาจะทรงนำพวกเขาและจะนำพาเขาไปยังน้ำพุ” อิสยาห์ 49:4, 5, TKV 7-10 {DA 678.3}

Upon this word Jesus rested, and He gave Satan no advantage. When the last steps of Christ’s humiliation were to be taken, when the deepest sorrow was closing about His soul, He said to His disciples, “The prince of this world cometh, and hath nothing in Me.” “The prince of this world is judged.” Now shall he be cast out. John 14:30; 16:11; 12:31. With prophetic eye Christ traced the scenes to take place in His last great conflict. He knew that when He should exclaim, “It is finished,” all heaven would triumph. His ear caught the distant music and the shouts of victory in the heavenly courts. He knew that the knell of Satan’s empire would then be sounded, and the name of Christ would be heralded from world to world throughout the universe. {DA 679.1}

พระเยซูทรงยึดพระวจนะเหล่านี้ไว้และไม่ทรงเปิดโอกาสให้ซาตานได้เปรียบ เมื่อพระคริสต์ก้าวมาถึงขั้นสุดท้ายของการทรมานอย่างอัปยศอดสู เมื่อความเศร้าโศกที่ล้ำลึกที่สุดกำลังประชิดอยู่รอบจิตวิญญาณของพระองค์ พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “ผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา” “เพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป ยอห์น 14:30; 16:11; 12:31 ด้วยสายพระเนตรแห่งการพยากรณ์ พระคริสต์ทรงติดตามฉากที่กำลังจะเกิดขึ้นในความขัดแย้งครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ทรงอุทานว่า “สำเร็จแล้ว” ทั่วทั้งสวรรค์โห่ร้องขึ้นด้วยความมีชัย พระกรรณของพระองค์ทรงสดับเสียงดนตรีและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่อยู่ไกลโพ้นในพระบัลลังก์ของสวรรค์ พระองค์ทรงตระหนังว่าเสียระฆังมรณะของซาตานจะดังขึ้น และพระนามของพระคริสต์จะประกาศดังก้องจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่งตลอดทั่วทั้งจักรวาล {DA 679.1}

Christ rejoiced that He could do more for His followers than they could ask or think. He spoke with assurance, knowing that an almighty decree had been given before the world was made. He knew that truth, armed with the omnipotence of the Holy Spirit, would conquer in the contest with evil; and that the bloodstained banner would wave triumphantly over His followers. He knew that the life of His trusting disciples would be like His, a series of uninterrupted victories, not seen to be such here, but recognized as such in the great hereafter. {DA 679.2}

พระคริสต์ทรงปลื้มปีติเมื่อพระองค์ทรงประกอบกิจให้แก่ผู้ติดตามของพระองค์ได้มากยิ่งกว่าที่พวกเขาจะทูลขอหรือคิดเสียอีก พระองค์ตรัสด้วยความเชื่อมั่น โดยทรงทราบว่าพระบัญชายิ่งใหญ่ทรงโปรดประทานไว้ก่อนที่โลกนี้จะถูกสร้างขึ้น พระองค์ทรงทราบว่าความจริงที่มาพร้อมพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยอำนาจไม่สิ้นสุดจะทรงครองชัยชนะในการแข่งขันกับความชั่ว และธงเปื้อนพระโลหิตจะโบกสะบัดอย่างมีชัยอยู่เหนือผู้ติดตามของพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าชีวิตของสาวกที่วางใจในพระองค์จะเป็นเหมือนพระองค์ คือได้ชัยชนะมาอย่างต่อเนื่องที่จะมองไม่เห็นเป็นเช่นนั้นในโลก แต่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นอย่างยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า {DA 679.2}

“These things I have spoken unto you,” He said, “that in Me ye might have peace. In the world ye shall have tribulation: but be of good cheer; I have overcome the world.” Christ did not fail, neither was He discouraged, and His followers are to manifest a faith of the same enduring nature. They are to live as He lived, and work as He worked, because they depend on Him as the great Master Worker. Courage, energy, and perseverance they must possess. Though apparent impossibilities obstruct their way, by His grace they are to go forward. Instead of deploring difficulties, they are called upon to surmount them. They are to despair of nothing, and to hope for everything. With the golden chain of His matchless love Christ has bound them to the throne of God. It is His purpose that the highest influence in the universe, emanating from the source of all power, shall be theirs. They are to have power to resist evil, power that neither earth, nor death, nor hell can master, power that will enable them to overcome as Christ overcame. {DA 679.3}

“เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน” พระองค์ตรัส “เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” พระคริสต์ไม่ทรงประสบกับความล้มเหลวและพระองค์ก็ไม่ทรงท้อถอยด้วย และผู้ติดตามของพระองค์ต้องแสดงออกถึงความเชื่อที่มีลักษณะความอดกลั่นแบบเดียวกัน พวกเขาจะต้องดำเนินชีวิตเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงดำเนินมาแล้ว และทำงานเหมือนที่พระองค์ทรงทำมาแล้วเพราะพวกเขาพึ่งหวังในพระองค์ในฐานะพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นคนงานผู้ยิ่งใหญ่ ความกล้าหาญ พละกำลังและความพากเพียรนั้นพวกเขาจะต้องมีไว้ในการครอบครอง ถึงแม้ความเป็นไปไม่ได้ขวางทางของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่โดยพระคุณพวกเขาจะก้าวไปข้างหน้า แทนที่จะคร่ำครวญถึงความยากลำบาก พวกเขาได้รับการบัญชาให้เอาชนะความยากลำบากเหล่านั้นให้ได้ พวกเขาต้องไม่สิ้นหวังต่อสิ้นใด และให้หวังในทุกสิ่ง ด้วยสายโซ่ทองคำแห่งความรักที่ไม่มีรักอื่นใดเทียบได้ พระคริสต์ทรงผูกพวกเขาไว้กับพระบัลลังก์ของพระเจ้า พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะให้อิทธิพลสูงสุดในจักรววาลที่กระจายออกมาจากแหล่งกำเนิดของพลังอำนาจทั้งปวงให้มาเป็นของพวกเขา พวกเขาจะต้องได้พลังอำนาจต้านความชั่ว อำนาจที่แม้โลก หรือความตาย หรือนรกจะมาครอบครอง อำนาจที่จะเสริมให้พวกเขาเอาชนะเหมือนที่พระคริสต์ทรงชนะมาแล้ว {DA 679.3}

Christ designs that heaven’s order, heaven’s plan of government, heaven’s divine harmony, shall be represented in His church on earth. Thus in His people He is glorified. Through them the Sun of Righteousness will shine in undimmed luster to the world. Christ has given to His church ample facilities, that He may receive a large revenue of glory from His redeemed, purchased possession. He has bestowed upon His people capabilities and blessings that they may represent His own sufficiency. The church, endowed with the righteousness of Christ, is His depositary, in which the riches of His mercy, His grace, and His love, are to appear in full and final display. Christ looks upon His people in their purity and perfection, as the reward of His humiliation, and the supplement of His glory,–Christ, the great Center, from whom radiates all glory. {DA 680.1}

พระคริสต์ทรงออกแบบเพื่อให้คริสตจักรของพระองค์ในแผ่นดินโลกเป็นตัวแทนระเบียบของสวรรค์ แผนการแห่งปกครองของสวรรค์ ความสามัคคีกลมกลืนของสวรรค์ ด้วยประการฉะนี้ พระองค์จะได้รับเกียรติในประชากรของพระองค์ โดยผ่านทางพวกเขาดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะส่องด้วยรัศมีอันสว่างสุกใสอย่างไม่สลัวไปยังโลก พระคริสต์ประทานสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างมากมายให้คริสตจักรของพระองค์เพื่อพระองค์จะทรงรวบรวมผลประโยชน์มหาศาลจากผู้ที่พระองค์ทรงครอบครองที่ทรงไถ่และซื้อคืนมาแล้ว พระองค์ประทานความสามารถและพระพรให้แก่ประชากรของพระองค์เพื่อให้พวกเขาเป็นตัวแทนความไพบูลย์ของพระองค์เอง คริสตจักรที่ได้รับมอบความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นที่รับฝากขุมทรัพย์แห่งพระเมตตาคุณ พระคุณและความรักของพระองค์ พวกเขาจะปรากฏอย่างเต็มที่ในฉากสุดท้าย พระคริสต์ทรงมองหาความบริสุทธิ์และความดีรอบคอบในประชากรของพระองค์เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนการทนทุกข์อันอัปยศอดสูของพระองค์ และเสริมพระสิริของพระองค์ – พระคริสต์ พระผู้ทรงเป็นศูนย์กลางยิ่งใหญ่ที่พระสิริทั้งหมดเปล่งประกายออกมา {DA 680.1}

With strong, hopeful words the Saviour ended His instruction. Then He poured out the burden of His soul in prayer for His disciples. Lifting His eyes to heaven, He said, “Father, the hour is come; glorify Thy Son, that Thy Son also may glorify Thee: as Thou hast given Him power over all flesh, that He should give eternal life to as many as Thou hast given Him. And this is life eternal, that they might know Thee the only true God, and Jesus Christ, whom Thou hast sent.” {DA 680.2}

ด้วยพระดำรัสอันเข้มแข็งและเต็มไปด้วยความหวังพระผู้ช่วยให้รอดทรงยุติคำสั่งสอนของพระองค์ จากนั้นพระองค์ทรงหลั่งภาระของจิตวิญญาณของพระองค์ด้วยคำอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นไปยังท้องฟ้า ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ดังที่พระองค์โปรดให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” {DA 680.2}

Christ had finished the work that was given Him to do. He had glorified God on the earth. He had manifested the Father’s name. He had gathered out those who were to continue His work among men. And He said, “I am glorified in them. And now I am no more in the world, but these are in the world, and I come to Thee. Holy Father, keep through Thine own name those whom Thou hast given Me, that they may be one, as We are.” “Neither pray I for these alone, but for them also which shall believe on Me through their word; that they all may be one; . . . I in them, and Thou in Me, that they may be made perfect in one; and that the world may know that Thou hast sent Me, and hast loved them, as Thou hast loved Me.” {DA 680.3}

พระคริสตทรงประกอบกิจที่ได้รับมอบหมายให้ทำเสร็จแล้ว พระองค์ทรงถวายเกียรติแด่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระนามของพระบิดาเป็นที่ประจักษ์ พระองค์ทรงรวบรวมผู้ที่จะสานต่อพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ได้รับเกียรติในตัวพวกเขา บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์” “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. . . . ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” {DA 680.3}

Thus in the language of one who has divine authority, Christ gives His elect church into the Father’s arms. As a consecrated high priest He intercedes for His people. As a faithful shepherd He gathers His flock under the shadow of the Almighty, in the strong and sure refuge. For Him there waits the last battle with Satan, and He goes forth to meet it. {DA 680.4}

ด้วยภาษาของผู้ที่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าดังนี้ พระคริสต์จึงทรงมอบคริสตจักรที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้อยู่ในอ้อมพระกรของพระบิดา ในฐานะมหาปุโรหิตผู้อุทิศตน พระองค์ทรงอ้อนวอนเผื่อประชากรของพระองค์ ในฐานะพระผู้เลี้ยงแกะซื่อสัตย์พระองค์ทรงรวบรวมฝูงแกะของพระองค์ให้มาอยู่ภายใต้ร่มเงาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในป้อมปราการอันแข็งแรงและมั่นคง พระองค์เองกำลังรอสู้กับซาตานในสงครามครั้งสุดท้าย และพระองค์ทรงก้าวออกไปเพื่อประจานหน้ากับมัน {DA 680.4}