Chapter 2 (บทที่ 2)
The Beatitudes
ผู้เป็นสุข
“He opened His mouth, and taught them, saying, Blessed are the poor in spirit: for theirs is the kingdom of heaven.” Matthew 5:2, 3. As something strange and new, these words fall upon the ears of the wondering multitude. Such teaching is contrary to all they have ever heard from priest or rabbi. They see in it nothing to flatter their pride or to feed their ambitious hopes. But there is about this new Teacher a power that holds them spellbound. The sweetness of divine love flows from His very presence as the fragrance from a flower. His words fall like “rain upon the mown grass: as showers that water the earth.” Psalm 72:6. All feel instinctively that here is One who reads the secrets of the soul, yet who comes near to them with tender compassion. Their hearts open to Him, and, as they listen, the Holy Spirit unfolds to them something of the meaning of that lesson which humanity in all ages so needs to learn. {MB 6.1}
พระองค์ตรัสสอนสาวกว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:2-3 ฉบับปี 1971) ถ้อยคำเหล่านี้แปลกใหม่สำหรับฝูงชนที่รอฟัง เป็นคำสอนซึ่งขัดแย้งกับทุกสิ่งที่พวกเขาเคยได้ยินจากปุโรหิตหรือธรรมาจารย์คนใดมาก่อน คำสอนของพระองค์ไม่ยกย่องความหลงทะนงตน หรือสนับสนุนความมักใหญ่ใฝ่สูง พวกเขารู้สึกว่าอาจารย์คนใหม่สอนด้วยพลัง จึงฟังต่อเหมือนต้องมนตร์สะกด ความรักอันหวานชื่นหลั่งไหลมาจากพระโอษฐ์ของพระเยซูประหนึ่งกลิ่นหอมของดอกไม้ ถ้อยคำของพระองค์เหมือน “ฝนที่ตกบนหญ้าซึ่งตัดแล้ว เหมือนห่าฝนที่รดแผ่นดินโลก” (สดุดี 72:6) ทุกคนรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าพระองค์ทรงล่วงรู้ถึงความลับในใจตน กระนั้นพระองค์ยังเข้าใกล้พวกเขาด้วยความเมตตาเอ็นดู ในขณะที่พวกเขาเปิดใจรับฟังพระองค์อยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยให้เห็นถึงบทเรียนที่มนุษย์ทุกยุคสมัยควรจะได้รู้ {MB 6.1}
In the days of Christ the religious leaders of the people felt that they were rich in spiritual treasure. The prayer of the Pharisee, “God, I thank Thee, that I am not as the rest of men” (Luke 18:11, R.V.), expressed the feeling of his class and, to a great degree, of the whole nation. But in the throng that surrounded Jesus there were some who had a sense of their spiritual poverty. When in the miraculous draft of fishes the divine power of Christ was revealed, Peter fell at the Saviour’s feet, exclaiming, “Depart from me; for I am a sinful man, O Lord” (Luke 5:8); so in the multitude gathered upon the mount there were souls who, in the presence of His purity, felt that they were “wretched, and miserable, and poor, and blind, and naked” (Revelation 3:17); and they longed for “the grace of God that bringeth salvation” (Titus 2:11). In these souls, Christ’s words of greeting awakened hope; they saw that their lives were under the benediction of God. {MB 6.2}
ในสมัยพระเยซูผู้นำศาสนาต่างรู้สึกว่าตนมีดีที่จะอวดในด้านจิตวิญญาณ ชนชั้นนำและคนส่วนใหญ่ในชาติมีความรู้สึกร่วมในคำอธิษฐานของฟาริสีคนนั้นที่อธิษฐานว่า “ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น” (ลูกา 18:11) แต่ในฝูงชนที่ห้อมล้อมพระเยซูอยู่นั้น มีบางคนที่สำนึกในความบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ เหมือนกับเปโตรเมื่อพระเยซูสำแดงฤทธิ์อำนาจในการบันดาลให้สาวกจับปลาได้มากมาย เปโตรทรุดตัวลงที่เข่าของพระผู้ช่วยให้รอดและร้องขึ้นว่า “นายเจ้าข้า ขอท่านไปให้ห่างจากข้าพเจ้าเถิด เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป” (ลูกา 5:8) เช่นเดียวกัน ท่ามกลางมหาชนที่รวมตัวกันนั้นมีบางคนซึ่งเห็นความบริสุทธิ์ของพระองค์สำนึกตนขึ้นได้ว่า “เป็นคนแร้นแค้นเข็ญใจ เป็นคนขัดสน เป็นคนตาบอด และเปลือยกายอยู่” (วิวรณ์ 3:17 ฉบับปี 1971) พวกเขาปรารถนาพระคุณของพระเจ้าที่จะช่วยเขาทั้งหลายให้รอด (ดู ทิตัส 2:11) คำขึ้นต้นปราศรัยของพระคริสต์ปลุกคนเหล่านั้นให้มีความหวังและทำให้พวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนได้รับพระพรจากพระเจ้า {MB 6.2}
Jesus had presented the cup of blessing to those who felt that they were “rich, and increased with goods” (Revelation 3:17), and had need of nothing, and they had turned with scorn from the gracious gift. He who feels whole, who thinks that he is reasonably good, and is contented with his condition, does not seek to become a partaker of the grace and righteousness of Christ. Pride feels no need, and so it closes the heart against Christ and the infinite blessings He came to give. There is no room for Jesus in the heart of such a person. Those who are rich and honorable in their own eyes do not ask in faith, and receive the blessing of God. They feel that they are full, therefore they go away empty. Those who know that they cannot possibly save themselves, or of themselves do any righteous action, are the ones who appreciate the help that Christ can bestow. They are the poor in spirit, whom He declares to be blessed. {MB 7.1}
พระเยซูทรงหยิบยื่นถ้วยแห่งพระพรให้แก่บุคคลที่รู้สึกว่าตน “ร่ำรวย ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย” (วิวรณ์ 3:17 TNCV) แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับ และเมินหน้าเสียจากของประทานที่ทรงกรุณาให้นั้น บุคคลผู้ใดที่รู้สึกว่าตนมีความสมบูรณ์ดีพร้อม และมีความพอใจในสภาพของตัวเอง ผู้นั้นจะไม่แสวงหาพระคุณและความชอบธรรมของพระคริสต์ คนเย่อหยิ่งจะไม่ยอมรับว่าตนต้องการความช่วยเหลือ จึงปิดใจไม่ยอมรับเอาพระคริสต์กับพระพรอันเหลือคณานับที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประทานให้นั้น จิตใจของคนเช่นนี้ไม่มีพื้นที่ที่จะรองรับพระเยซู ผู้ที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีในสายตาของตนเองจะไม่ทูลขอด้วยความเชื่อ ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า พวกเขารู้สึกว่าตัวเองสมบูรณ์ดีพร้อมแล้ว จึงกลับบ้านทั้งที่ยังว่างเปล่าอยู่ ส่วนผู้ที่ตระหนักว่าตนไม่ใช่ที่พึ่งของตน คือรู้ว่าไม่มีทางที่จะช่วยตนให้รอด และไม่มีทางที่จะประพฤติชอบด้วยลำพังตัวเองได้ ผู้นั้นจะซาบซึ้งในความช่วยเหลือของพระคริสต์ และจะรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ พระองค์ตรัสว่า ผู้นั้นก็เป็นสุข {MB 7.1}
Whom Christ pardons, He first makes penitent, and it is the office of the Holy Spirit to convince of sin. Those whose hearts have been moved by the convicting Spirit of God see that there is nothing good in themselves. They see that all they have ever done is mingled with self and sin. Like the poor publican, they stand afar off, not daring to lift up so much as their eyes to heaven, and cry, “God, be merciful to me the sinner.” Luke 18:13, R.V., margin. And they are blessed. There is forgiveness for the penitent; for Christ is “the Lamb of God, which taketh away the sin of the world.” John 1:29. God’s promise is: “Though your sins be as scarlet, they shall be as white as snow; though they be red like crimson, they shall be as wool.” ” A new heart also will I give you. . . . And I will put My Spirit within you.” Isaiah 1:18; Ezekiel 36:26, 27. {MB 7.2}
เมื่อพระคริสต์ทรงยกโทษให้ผู้ใด พระองค์ทรงให้เขาถ่อมใจลงก่อน นี่คืองานของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือช่วยให้คนสำนึกในความบาป ผู้ที่มีใจตอบสนองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเห็นว่าในตัวเขาไม่มีความดีใดๆ เลย เขาจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เคยกระทำล้วนแล้วแต่มีความเห็นแก่ตัวและความบาปผสมอยู่ด้วย เหมือนคนเก็บภาษีที่ยืนอยู่แต่ไกลไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นฟ้า พวกเขาร้องออกมาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13) แล้วพวกเขาก็ได้รับพระพร มีการอภัยบาปสำหรับบุคคลที่ถ่อมใจ เพราะพระคริสต์ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า “ผู้ทรงรับบาปของโลกไป” (ยอห์น 1:29) พระเจ้าทรงสัญญาว่า “ถึงบาปของเจ้าเป็นเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงเหมือนผ้าแดง ก็จะเป็นอย่างขนแกะ” “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า… และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า” (อิสยาห์ 1:18; เอเสเคียล 36:26, 27 ฉบับปี 1971) {MB 7.2}
Of the poor in spirit Jesus says, “Theirs is the kingdom of heaven.” This kingdom is not, as Christ’s hearers had hoped, a temporal and earthly dominion. Christ was opening to men the spiritual kingdom of His love, His grace, His righteousness. The ensign of the Messiah’s reign is distinguished by the likeness of the Son of man. His subjects are the poor in spirit, the meek, the persecuted for righteousness’ sake. The kingdom of heaven is theirs. Though not yet fully accomplished, the work is begun in them which will make them “meet to be partakers of the inheritance of the saints in light.” Colossians 1:12. {MB 8.1}
พระเยซูกล่าวถึงผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณว่า “แผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” แผ่นดินสวรรค์ที่พระเยซูกล่าวถึงไม่ได้เป็นอาณาจักรฝ่ายโลกอย่างที่ผู้ฟังใฝ่ฝัน พระองค์ทรงเปิดเผยให้ปวงชนได้สัมผัสอาณาจักรด้านจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระคุณ ความรัก และความชอบธรรมของพระองค์ สัญลักษณ์แห่งการครอบครองของพระเมสสิยาห์เห็นได้จากพระลักษณะนิสัยของบุตรมนุษย์ ประชากรของพระองค์คือคนอ่อนสุภาพ คนที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม แผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นนี้ ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ แต่พระองค์ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของพวกเขา เพื่อให้ “เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้าในอาณาจักรแห่งความสว่าง” (โคโลสี 1:12 NTCV) {MB 8.1}
All who have a sense of their deep soul poverty, who feel that they have nothing good in themselves, may find righteousness and strength by looking unto Jesus. He says, “Come unto Me, all ye that labor and are heavy-laden.” Matthew 11:28. He bids you exchange your poverty for the riches of His grace. We are not worthy of God’s love, but Christ, our surety, is worthy, and is abundantly able to save all who shall come unto Him. Whatever may have been your past experience, however discouraging your present circumstances, if you will come to Jesus just as you are, weak, helpless, and despairing, our compassionate Saviour will meet you a great way off, and will throw about you His arms of love and His robe of righteousness. He presents us to the Father clothed in the white raiment of His own character. He pleads before God in our behalf, saying: I have taken the sinner’s place. Look not upon this wayward child, but look on Me. Does Satan plead loudly against our souls, accusing of sin, and claiming us as his prey, the blood of Christ pleads with greater power. {MB 8.2}
ทุกคนที่รู้สึกว่า มีความบกพร่องในจิตใจ และไม่มีสิ่งดีใดๆ ในตัวเองจะพบความชอบธรรม และแรงกำลังใจด้วยการมองไปที่พระเยซู พระองค์ตรัสว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา” (มัทธิว 11:28) พระองค์ขอให้เราเอาความขัดสนของเราไปแลกกับพระคุณอันอุดมของพระองค์ เราไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากพระเจ้า แต่พระเยซูผู้เป็นนายประกันของเราทรงสมควร พระองค์ทรงมีพระปรีชาเหลือล้นที่จะช่วยทุกคนที่มาหาพระองค์ให้รอดได้ ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็นเช่นไร หรือสถานการณ์ปัจจุบันจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ถ้าเรามาหาพระเยซูในสภาพที่เป็นอยู่ ขณะที่ยังอ่อนแอ และสิ้นหวังเพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระผู้ช่วยให้รอดของเราผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระคุณจะทรงต้อนรับเราขณะที่เรายังอยู่ไกล พระองค์จะโอบกอดเราด้วยความรัก และเอาเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมของพระองค์มาสวมใส่ให้ ฉะนั้นเมื่อพระองค์ทูลเรื่องของเราต่อหน้าพระบิดา ภาพที่ปรากฏคือเราได้สวมใส่เสื้อคลุมสีขาว คือพระอุปนิสัยของพระองค์เอง พระองค์ทูลขอพระบิดาแทนเรา ตรัสว่า ข้าพระองค์ได้แทนที่คนบาปแล้ว ขออย่าทรงมองไปที่ลูกคนนี้ที่หลงผิด แต่ให้มองที่ข้าพระองค์ ซาตานฟ้องว่าเราเป็นคนบาป และอ้างว่าเราเป็นเหยื่อของมัน แต่พระโลหิตของพระเยซูเป็นคำตอบที่หนักแน่นกว่า {MB 8.2}
“Surely, shall one say, in the Lord have I righteousness and strength. . . . In the Lord shall all the seed of Israel be justified, and shall glory.” Isaiah 45:24, 25. {MB 9.1}
แล้ว “เขาจะพูดถึงเราได้ว่า ในพระเจ้าเท่านั้นมีความชอบธรรมและอานุภาพ…. เผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลจะมีชัยและสดุดีภูมิใจในพระเจ้า” (อิสยาห์ 45:24, 25 ฉบับปี 1971) {MB 9.1}
“Blessed are they that mourn: for they shall be comforted.” Matthew 5:4. The mourning here brought to view is true heart sorrow for sin. Jesus says, “I, if I be lifted up from the earth, will draw all men unto Me.” John 12:32. And as one is drawn to behold Jesus uplifted on the cross, he discerns the sinfulness of humanity. He sees that it is sin which scourged and crucified the Lord of glory. He sees that, while he has been loved with unspeakable tenderness, his life has been a continual scene of ingratitude and rebellion. He has forsaken his best Friend and abused heaven’s most precious gift. He has crucified to himself the Son of God afresh and pierced anew that bleeding and stricken heart. He is separated from God by a gulf of sin that is broad and black and deep, and he mourns in brokenness of heart. {MB 9.2}
“บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม”—(มัทธิว 5:4 ฉบับปี 1971) ความโศกเศร้าในที่นี้หมายถึงความเศร้าเสียใจเพราะความผิดบาป พระเยซูตรัสว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา” (ยอห์น 12:32 ฉบับปี 1971) เมื่อมีใครพิจารณาพระเยซูขณะถูกตรึงบนไม้กางเขน เขาจะตระหนักถึงความผิดบาปของมนุษยชาติ และจะเห็นว่า ที่พระเจ้าแห่งพระสิริต้องถูกโบยตีและถูกตรึงที่ไม้กางเขนก็เป็นเพราะความผิดบาปของมนุษย์ เขาจะสำนึกว่า ถึงแม้เขาได้รับความรักและการเอาใจใส่อย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็ยังเป็นคนเนรคุณ ที่ทรยศอย่างต่อเนื่องกับพระองค์ผู้ทรงเป็นมิตรสหายที่ดีที่สุด เขาได้ดูหมิ่นของประทานอันล้ำค่าที่สุดของสวรรค์ การที่พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์นั้น เป็นเพราะความบาปผิดของเขาเอง และที่พระองค์ทรงฟกช้ำก็เพราะเขาและเพื่อเขา ความผิดบาปเป็นเหวลึกที่มืดดำ กั้นกลางระหว่างเขากับพระเจ้า เมื่อพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจเขาจะสลายไปด้วยความโศกเศร้า {MB 9.2}
Such mourning “shall be comforted.” God reveals to us our guilt that we may flee to Christ, and through Him be set free from the bondage of sin, and rejoice in the liberty of the sons of God. In true contrition we may come to the foot of the cross, and there leave our burdens. {MB 10.1}
ความโศกเศร้าลักษณะนี้จะได้รับการทรงปลอบประโลม พระเจ้าทรงนำให้เราต้องเผชิญหน้ากับความผิดบาปของตนเอง เพื่อเราจะได้เข้าไปลี้ภัยในพระคริสต์ และรับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความบาป เราจึงชื่นชมยินดีในอิสรภาพแห่งบุตรของพระเจ้า เราจึงสามารถถ่อมใจลงที่เชิงไม้กางเขน และวางบรรดาภาระใจลงที่นั่น {MB 10.1}
The Saviour’s words have a message of comfort to those also who are suffering affliction or bereavement. Our sorrows do not spring out of the ground. God “doth not afflict willingly nor grieve the children of men.” Lamentations 3:33. When He permits trials and afflictions, it is “for our profit, that we might be partakers of His holiness.” Hebrews 12:10. If received in faith, the trial that seems so bitter and hard to bear will prove a blessing. The cruel blow that blights the joys of earth will be the means of turning our eyes to heaven. How many there are who would never have known Jesus had not sorrow led them to seek comfort in Him! {MB 10.2}
ถ้อยคำของพระผู้ช่วยให้รอดยังปลอบใจผู้ที่กำลังทนทุกข์หรือสูญเสียคนที่เขารัก ความทุกข์ของเราไม่ได้เกิดขึ้นเอง “พระองค์มิได้ตั้งพระทัยทำให้ผู้ใดทุกข์ใจ หรือทำให้มนุษย์โศกเศร้า” (เพลงคร่ำครวญ 3:33) พระองค์ทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากเข้ามาในชีวิตของเรา “เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะมีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์” (ฮีบรู 12:10) ถ้าเราตอบสนองด้วยความเชื่อ ภายหลังเราจะพบว่าความยากเข็ญและความทุกข์ที่ขมขื่นนั้น แท้จริงแล้วเป็นพระพร ความทุกข์ที่ประดังเข้ามาดับความสุขสันต์จะเป็นเหตุให้เราแหงนหน้าขึ้นหาสวรรค์ คงมีคนมากมายที่ไม่ได้รู้จักพระเยซู ถ้าไม่ใช่เพราะความทุกข์โศกในชีวิตนำพาให้พวกเขาแสวงหาการปลอบประโลมจากพระองค์ {MB 10.2}
The trials of life are God’s workmen, to remove the impurities and roughness from our character. Their hewing, squaring, and chiseling, their burnishing and polishing, is a painful process; it is hard to be pressed down to the grinding wheel. But the stone is brought forth prepared to fill its place in the heavenly temple. Upon no useless material does the Master bestow such careful, thorough work. Only His precious stones are polished after the similitude of a palace. {MB 10.3}
ความทุกข์ในชีวิตเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่ขัดเกลาอุปนิสัยของเราให้ปราศจากตำหนิ กระบวนการทุบตีและการสกัดขัดถู เป็นกระบวนการที่เจ็บปวด เป็นการยากที่จะทนต่อกระบวนการเจียระไน แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราจะเป็นดั่งเพชรเม็ดงาม พร้อมที่จะเข้าไปในพระวิหารแห่งสวรรค์ พระเจ้าจะไม่ทรงเสียเวลาเพื่อเจียระไนของปลอมราคาถูก มีแต่อัญมณีเท่านั้นที่จะได้รับการขัดเกลาจนมันวาวเหมือนสมบัติในราชวัง {MB 10.3}
The Lord will work for all who put their trust in Him. Precious victories will be gained by the faithful. Precious lessons will be learned. Precious experiences will be realized. {MB 11.1}
พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์ ผู้ที่ซื่อสัตย์จะได้รับชัยชนะ บทเรียน และประสบการณ์อันล้ำค่า {MB 11.1}
Our heavenly Father is never unmindful of those whom sorrow has touched. When David went up the Mount Olivet, “and wept as he went up, and had his head covered, and he went barefoot” (2 Samuel 15:30), the Lord was looking pityingly upon him. David was clothed in sackcloth, and his conscience was scourging him. The outward signs of humiliation testified of his contrition. In tearful, heartbroken utterances he presented his case to God, and the Lord did not forsake His servant. Never was David dearer to the heart of Infinite Love than when, conscience-smitten, he fled for his life from his enemies, who had been stirred to rebellion by his own son. The Lord says, “As many as I love, I rebuke and chasten: be zealous therefore, and repent.” Revelation 3:19. Christ lifts up the contrite heart and refines the mourning soul until it becomes His abode. {MB 11.2}
พระบิดาของเราไม่เคยเมินพระพักตร์หนีจากผู้ที่ประสบความโศกเศร้า พระองค์ทอดพระเนตรด้วยความเอ็นดูสงสาร ขณะที่ “ดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางทรงกันแสงพลาง มีผ้าคลุมพระเศียร เสด็จโดยพระบาทเปล่า” (2 ซามูเอล 15:30) ภายนอกดาวิดสวมใส่ผ้ากระสอบแสดงถึงการถ่อมใจ ส่วนภายในนั้น จิตใจที่สำนึกผิดฟ้องร้องอยู่ตลอดเวลา ดาวิดทูลเรื่องราวของตนต่อพระเจ้าด้วยน้ำตาและถ้อยคำที่ออกมาจากจิตใจอันฟกช้ำ พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่มีครั้งไหนที่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงโปรดปรานดาวิดเท่ากับครั้งที่ลูกชายยุแหย่ศัตรูให้กบฏ จนท่านต้องหนีเอาชีวิตรอดพร้อมกับใจที่สำนึกผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เรารักผู้ใด เราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจเสียใหม่” (วิวรณ์ 3:19 ฉบับปี 1971) พระคริสต์ทรงยกชูจิตใจที่ถ่อมลง และทรงชำระใจที่โศกเศร้า จนได้เป็นที่ประทับของพระองค์ {MB 11.2}
But when tribulation comes upon us, how many of us are like Jacob! We think it the hand of an enemy; and in the darkness we wrestle blindly until our strength is spent, and we find no comfort or deliverance. To Jacob the divine touch at break of day revealed the One with whom he had been contending–the Angel of the covenant; and, weeping and helpless, he fell upon the breast of Infinite Love, to receive the blessing for which his soul longed. We also need to learn that trials mean benefit, and not to despise the chastening of the Lord nor faint when we are rebuked of Him. {MB 11.3}
แต่เมื่อความทุกข์ยากลำบากโหมกระหน่ำเข้ามา คนเรามักจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างกับยาโคบ ที่ปล้ำสู้กับมือที่มาจับไหล่ในความมืดจนเมื่อยล้า ทั้งไม่ได้รับการปลอบประโลมหรือการช่วยกู้ เพราะคิดว่ามือนั้นเป็นมือของศัตรู ยาโคบปล้ำสู้จนเช้าตรู่ แต่เมื่อบุรุษผู้นั้นเพียงแค่แตะที่ข้อต่อสะโพก สะโพกก็เคล็ด ยาโคบจึงรู้ว่าผู้ที่เขาปล้ำสู้อยู่นั้น ที่แท้คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นทูตแห่งพันธสัญญา ยาโคบสิ้นท่า ร้องไห้หมอบลงที่พระทรวงของพระองค์ เพื่อรับพระพรที่ตนต้องการ (ดู ปฐมกาล บทที่ 32) เช่นเดียวกัน เราต้องการเรียนรู้ว่าความทุกข์ต่างๆ ในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของเรา เราไม่ควรดูหมิ่นการตีสอนของพระองค์ หรือย่อท้อเมื่อพระองค์ทรงตักเตือน {MB 11.3}
“Happy is the man whom God correcteth: . . . He maketh sore, and bindeth up: He woundeth, and His hands make whole. He shall deliver thee in six troubles: yea, in seven there shall no evil touch thee.” Job 5:17-19. To every stricken one, Jesus comes with the ministry of healing. The life of bereavement, pain, and suffering may be brightened by precious revealings of His presence. {MB 12.1}
“มนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงตักเตือนก็เป็นสุข…พระองค์ทรงให้บาดเจ็บ แต่พระองค์ทรงพันแผลให้ พระองค์ทรงโบยตี แต่พระหัตถ์ของพระองค์ก็รักษา พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านจากความทุกข์ยากหกประการ เออ เจ็ดประการ จะไม่มีเหตุร้ายมาแตะต้องท่าน” (โยบ 5:17-19) พระเยซูจะประทานพรแห่งการเยียวยาให้ทุกคนที่มีความบอบช้ำ ชีวิตที่ทนต่อการสูญเสีย ความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมาน จะได้รับการยกชูขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้เห็น {MB 12.1}
God would not have us remain pressed down by dumb sorrow, with sore and breaking hearts. He would have us look up and behold His dear face of love. The blessed Saviour stands by many whose eyes are so blinded by tears that they do not discern Him. He longs to clasp our hands, to have us look to Him in simple faith, permitting Him to guide us. His heart is open to our griefs, our sorrows, and our trials. He has loved us with an everlasting love and with loving-kindness compassed us about. We may keep the heart stayed upon Him and meditate upon His loving-kindness all the day. He will lift the soul above the daily sorrow and perplexity, into a realm of peace. {MB 12.2}
พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตภายใต้ความรันทดหรือความเจ็บปวดรวดร้าวใจ แต่พระองค์ให้เราแหงนหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความรัก พระผู้ช่วยให้รอดผู้แสนประเสริฐทรงยืนอยู่เคียงข้างคนมากมายที่ตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตาจนมองไม่เห็นพระองค์ พระองค์ปรารถนาที่จะจับมือของเราไว้ เพื่อให้เรามองไปยังพระองค์ด้วยความเชื่อแบบว่าง่าย และยอมให้พระองค์ทรงนำในชีวิต พระทัยของพระองค์เปิดรับฟังถึงความโศกเศร้าและความทุกข์ยากลำบากของเรา พระองค์ทรงรักเราด้วยความรักนิรันดร์และทรงโอบล้อมเราไว้ด้วยความรักมั่นคง เราสามารถคิดใคร่ครวญถึงความรักมั่นคงของพระองค์ตลอดทั้งวัน พระองค์จะทรงยกชูจิตใจให้พ้นจากความสับสนวุ่นวายในชีวิตประจำวันจนจิตใจเต็มด้วยสันติสุข {MB 12.2}
Think of this, children of suffering and sorrow, and rejoice in hope. “This is the victory that overcometh the world, even our faith.” 1 John 5:4. {MB 12.3}
บรรดาผู้ที่ตรากตรำเพราะความทุกข์โศก จงพิจารณาข้อนี้และชื่นชมยินดีด้วยความหวัง “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าย่อมชนะโลก และความเชื่อของเรานี่แหละคือชัยชนะที่พิชิตโลก” (1 ยอห์น 5:4 TNCV) {MB 12.3}
Blessed are they also who weep with Jesus in sympathy with the world’s sorrow and in sorrow for its sin. In such mourning there is intermingled no thought of self. Jesus was the Man of Sorrows, enduring heart anguish such as no language can portray. His spirit was torn and bruised by the transgressions of men. He toiled with self-consuming zeal to relieve the wants and woes of humanity, and His heart was heavy with sorrow as He saw multitudes refuse to come to Him that they might have life. All who are followers of Christ will share in this experience. As they partake of His love they will enter into His travail for the saving of the lost. They share in the sufferings of Christ, and they will share also in the glory that shall be revealed. One with Him in His work, drinking with Him the cup of sorrow, they are partakers also of His joy. {MB 12.4}
นอกจากนั้น ความสุขก็ยังเป็นของคนที่ร่วมร่ำไห้กับพระเยซู เพราะเห็นใจในความทุกข์ของชาวโลก และโศกเศร้าเนื่องจากความบาปของมนุษย์ ไม่มีความเห็นแก่ตัวระคนอยู่ในความโศกเศร้าประเภทนี้ พระเยซูทรงคุ้นเคยกับความโศกเศร้าดี และทรงปวดร้าวในพระทัยสุดที่จะพรรณนา พระองค์เจ็บช้ำในพระทัยเพราะความผิดบาปของมนุษย์ พระเยซูทรงงานหนักโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของพระองค์เอง เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ให้มวลมนุษย์ แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนมากมายที่ไม่ยอมมาหาพระองค์เพื่อจะได้ชีวิต พระองค์ก็ทรงเศร้าพระทัยอย่างหนัก ทุกคนที่ติดตามพระเยซูจะมีประสบการณ์เช่นนี้ เมื่อได้สัมผัสความรักของพระองค์ เขาจะเข้าส่วนในพระราชกิจของพระองค์เพื่อนำคนที่หลงผิดมาสู่ความรอด พวกเขามีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ และจะได้รับส่วนในสง่าราศีที่จะเปิดเผยภายหลังด้วย พวกเขารวมเป็นใจเดียวกับพระองค์ในการทำงาน จนได้ดื่มจากถ้วยแห่งความทุกข์นั้นด้วยกันกับพระองค์ แล้วจะได้รับส่วนในความสุขของพระองค์อย่างแน่นอน {MB 12.4}
It was through suffering that Jesus obtained the ministry of consolation. In all the affliction of humanity He is afflicted; and “in that He Himself hath suffered being tempted, He is able to succor them that are tempted.” Isaiah 63:9; Hebrews 2:18. In this ministry every soul that has entered into the fellowship of His sufferings is privileged to share. “As the sufferings of Christ abound in us, so our consolation also aboundeth by Christ.” 2 Corinthians 1:5. The Lord has special grace for the mourner, and its power is to melt hearts, to win souls. His love opens a channel into the wounded and bruised soul, and becomes a healing balsam to those who sorrow. “The Father of mercies, and the God of all comfort . . . comforteth us in all our tribulation, that we may be able to comfort them which are in any trouble, by the comfort wherewith we ourselves are comforted of God.” 2 Corinthians 1:3,4. {MB 13.1}
พระเยซูได้รับพันธกิจแห่งการปลอบโยน ด้วยการต้องทนต่อความทุกข์ทรมาน พระองค์ทุกข์พระทัยในความทุกข์ทั้งหมดของมนุษย์ “เพราะพระองค์เองได้ทรงทนทุกข์และถูกทดลอง พระองค์จึงทรงสามารถช่วยผู้ที่ถูกทดลองได้” (ดู อิสยาห์ 63:9; ฮีบรู 2:18) ทุกคนที่ร่วมทุกข์กับพระองค์ได้รับเกียรติในการมีส่วนร่วมในพันธกิจนี้ “เพราะเรามีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์มากมายเพียงไร การหนุนใจของเราโดยพระคริสต์ก็มากมายเพียงนั้น” (2 โครินธ์ 1:5 ตามเชิงอรรถของฉบับ TSV) พระองค์ทรงมีพระคุณพิเศษสำหรับผู้ที่โศกเศร้า ซึ่งพระคุณนั้นมีฤทธิ์ทำให้ใจของคนอ่อนลงและพิชิตจิตวิญญาณ ความรักของพระองค์เปิดทางเข้าสู่จิตใจที่ฟกช้ำ และเป็นยารักษาผู้ที่เศร้าใจ “พระบิดาผู้ทรงพระเมตตากรุณา พระเจ้าแห่งการหนุนใจทุกอย่าง พระองค์ผู้ทรงหนุนใจเราในความยากลำบากทั้งหมดของเรา เพื่อเราจะสามารถหนุนใจคนทั้งหลายที่มีความยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยการหนุนใจ ซึ่งเราเองได้รับจากพระเจ้า” (2 โครินธ์ 1:3, 4) {MB 13.1}
“Blessed are the meek.” Matthew 5:5. Throughout the Beatitudes there is an advancing line of Christian experience. Those who have felt their need of Christ, those who have mourned because of sin and have sat with Christ in the school of affliction, will learn meekness from the divine Teacher. {MB 13.2}
“คนที่สุภาพอ่อนโยนก็เป็นสุข”—(มัทธิว 5:5) ในคำเทศนาของพระเยซูเรื่อง ‘ผู้เป็นสุข’ พระองค์ได้วางการพัฒนาการของชีวิตคริสเตียนที่ก้าวขึ้นตามลำดับเป็นขั้นบันได บุคคลที่ต้องการพระคริสต์ มีความเศร้าเสียใจเพราะความผิดบาป และได้นั่งกับพระองค์ในโรงเรียนแห่งความทุกข์ จะได้เรียนรู้ความอ่อนสุภาพจากพระองค์ผู้ทรงเป็นพระอาจารย์ {MB 13.2}
Patience and gentleness under wrong were not characteristics prized by the heathen or by the Jews. The statement made by Moses under the inspiration of the Holy Spirit, that he was the meekest man upon the earth, would not have been regarded by the people of his time as a commendation; it would rather have excited pity or contempt. But Jesus places meekness among the first qualifications for His kingdom. In His own life and character the divine beauty of this precious grace is revealed. {MB 14.1}
ความอดทนและความอ่อนโยนเป็นคุณสมบัติที่ทั้งคนยิวและคนต่างชาติไม่นิยม โดยเฉพาะในกรณีที่ตนเป็นฝ่ายได้รับความเสียหาย ฉะนั้นเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้โมเสสเขียนถึงตัวท่านเองว่า ท่านเป็น “คนถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน” (กันดารวิถี 12:3) คนในสมัยนั้นจะไม่ถือว่าเป็นคำชม แต่ตรงกันข้าม เป็นที่น่ารังเกียจและน่าสมเพชเวทนามากกว่า แต่พระเยซูทรงสอนเรื่องความอ่อนสุภาพว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานสำหรับอาณาจักรของพระองค์ คุณลักษณะนี้ได้ปรากฏในชีวิตและพระอุปนิสัยอันงดงามของพระองค์เอง {MB 14.1}
Jesus, the brightness of the Father’s glory, thought “it not a thing to be grasped to be on an equality with God, but emptied Himself, taking the form of a servant.” Philippians 2:6, 7, R.V., margin. Through all the lowly experiences of life He consented to pass, walking among the children of men, not as a king, to demand homage, but as one whose mission it was to serve others. There was in His manner no taint of bigotry, no cold austerity. The world’s Redeemer had a greater than angelic nature, yet united with His divine majesty were meekness and humility that attracted all to Himself. {MB 14.2}
พระเยซูผู้ทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระบิดา “ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เอง และทรงรับสภาพทาส” (ฟีลิบปี 2:6, 7) พระองค์ทรงยอมผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ลำบาก ทรงดำเนินท่ามกลางมนุษย์ ไม่เหมือนกษัตริย์ที่ประสงค์ให้คนเทิดทูน แต่ในฐานะผู้มีภารกิจรับใช้คนอื่น พระองค์ไม่เคยยกตนข่มท่านหรือมีท่าทางอวดดื้อถือดีแต่อย่างใด พระผู้ไถ่ของโลกทรงมีธรรมชาติที่สูงกว่าทูตสวรรค์ กระนั้นสง่าราศีของพระเจ้าได้ปรากฏร่วมกับความอ่อนสุภาพและความนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งชักนำคนทั้งหลายมาหาพระองค์ {MB 14.2}
Jesus emptied Himself, and in all that He did, self did not appear. He subordinated all things to the will of His Father. When His mission on earth was about to close, He could say, “I have glorified Thee on the earth: I have finished the work which Thou gavest Me to do.” John 17:4. And He bids us, “Learn of Me; for I am meek and lowly in heart.” “If any man will come after Me, let him deny himself” (Matthew 11:29; 16:24); let self be dethroned and no longer hold the supremacy of the soul. {MB 14.3}
พระเยซูทรงสละพระองค์เอง ในบรรดาพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ไม่มีความเห็นแก่ตัว ทุกอย่างทรงมอบไว้ใต้น้ำพระทัยของพระบิดา เมื่อใกล้เสร็จสิ้นภารกิจของพระองค์ในโลกนี้แล้ว พระองค์สามารถตรัสได้ว่า “ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ในโลก โดยกระทำกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้แก่ข้าพระองค์จนสำเร็จครบถ้วน” (ยอหน์ 17:4 TNCV) พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราว่า “จง…เรียนรู้จากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม” “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง” (มัทธิว 11:29; 16:24) จงปลดความเห็นแก่ตัวออกไปจากบัลลังก์หัวใจ อย่าให้มันครอบครองจิตใจอีกต่อไป {MB 14.3}
He who beholds Christ in His self-denial, His lowliness of heart, will be constrained to say, as did Daniel, when he beheld One like the sons of men, “My comeliness was turned in me into corruption.” Daniel 10:8. The independence and self-supremacy in which we glory are seen in their true vileness as tokens of servitude to Satan. Human nature is ever struggling for expression, ready for contest; but he who learns of Christ is emptied of self, of pride, of love of supremacy, and there is silence in the soul. Self is yielded to the disposal of the Holy Spirit. Then we are not anxious to have the highest place. We have no ambition to crowd and elbow ourselves into notice; but we feel that our highest place is at the feet of our Saviour. We look to Jesus, waiting for His hand to lead, listening for His voice to guide. The apostle Paul had this experience, and he said, “I am crucified with Christ: nevertheless I live; yet not I, but Christ liveth in me: and the life which I now live in the flesh I live by the faith of the Son of God, who loved me, and gave Himself for me.” Galatians 2:20. {MB 15.1}
คนที่พิจารณาพระคริสต์ผู้ทรงสละพระองค์เองและทรงมีพระทัยที่อ่อนโยน จะเป็นเหมือนดาเนียลเมื่อท่านเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ และจะมีจิตใจเร่งเร้าให้อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด” (ดาเนียล 10:8 ฉบับปี 1971) เขาจะเห็นว่าอิสรภาพและการตามใจตัวเองที่มนุษย์เรานิยมกันนัก ที่แท้เป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะเป็นสัญลักษณ์ของการรับใช้ซาตาน โดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์แล้ว คนเราต้องการที่จะแสดงออก พร้อมที่จะแข่งขัน แต่ผู้ที่เรียนรู้จากพระคริสต์จะมีจิตใจที่สงบนิ่งเพราะเขาได้สละความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งและการยกตนข่มท่านออกไปแล้ว ถ้าทั้งชีวิตกายใจได้มอบให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้แล้ว เราจะไม่ทะเยอทะยานเพื่อคว้าตำแหน่งสูงๆ จะไม่รู้สึกว่าต้องตะเกียกตะกายเพื่อเป็นที่ยอมรับของคนอื่น แต่จะถือว่าตำแหน่งสูงสุดคือที่พระบาทของพระผู้ช่วยให้รอด เราจะมองไปที่พระเยซู รอให้พระหัตถ์ของพระองค์นำทาง และคอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์ชี้แนะ อัครสาวกเปาโลมีประสบการณ์เช่นนี้ ท่านจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20 TNCV) {MB 15.1}
When we receive Christ as an abiding guest in the soul, the peace of God, which passeth all understanding, will keep our hearts and minds through Christ Jesus. The Saviour’s life on earth, though lived in the midst of conflict, was a life of peace. While angry enemies were constantly pursuing Him, He said, “He that sent Me is with Me: the Father hath not left Me alone; for I do always those things that please Him.” John 8:29. No storm of human or satanic wrath could disturb the calm of that perfect communion with God. And He says to us, “Peace I leave with you, My peace I give unto you.” “Take My yoke upon you, and learn of Me; for I am meek and lowly in heart: and ye shall find rest.” John 14:27; Matthew 11:29. Bear with Me the yoke of service for the glory of God and the uplifting of humanity, and you will find the yoke easy and the burden light. {MB 15.2}
เมื่อเรารับพระคริสต์ให้มาประจำอยู่ในใจ สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของเราไว้ในพระเยซูคริสต์ (ฟีลิบปี 4:7) ถึงแม้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะดำเนินชีวิตท่ามกลางความขัดแย้งและการทะเลาะวิวาท แต่ชีวิตของพระองค์ก็เป็นชีวิตแห่งสันติสุข ขณะที่ศัตรูผู้โกรธเคืองตามไล่ล่าพระองค์ไม่หยุดยั้ง พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” (ยอห์น 8:29) มรสุมจากมนุษย์หรือความเกรี้ยวกราดของซาตานไม่สามารถกระทบต่อความสงบสุขของพระเยซูที่ติดสนิทกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และพระองค์ตรัสกับเราว่า “เรามอบสันติสุขไว้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเรา เราให้แก่ท่าน” “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก” (ยอห์น 14:27 ฉบับปี 1954/TKJV; มัทธิว 11:29 ฉบับปี 1971) จงรับเอาแอกแห่งการรับใช้ร่วมกับเรา เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และพัฒนาส่งเสริมมนุษย์ แล้วท่านจะพบว่าแอกนั้นพอเหมาะ และภาระนั้นก็เบา {MB 15.2}
It is the love of self that destroys our peace. While self is all alive, we stand ready continually to guard it from mortification and insult; but when we are dead, and our life is hid with Christ in God, we shall not take neglects or slights to heart. We shall be deaf to reproach and blind to scorn and insult. “Love suffereth long, and is kind; love envieth not; love vaunteth not itself, is not puffed up, doth not behave itself unseemly, seeketh not its own, is not provoked, taketh not account of evil; rejoiceth not in unrighteousness, but rejoiceth with the truth; beareth all things, believeth all things, hopeth all things, endureth all things. Love never faileth.” 1 Corinthians 13:4-8, R.V. {MB 16.1}
ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุทำลายสันติสุขของเรา ตราบใดที่อัตตายังคงอยู่ เราก็จะคอยปกป้องตัวเองไม่ยอมให้ใครดูถูกเหยียดหยาม แต่เมื่อเราตายแล้ว และชีวิตของเราซ่อนไว้ในพระเจ้ากับพระคริสต์ เราจะไม่ใส่ใจเมื่อมีคนดูถูกหรือทอดทิ้งเรา เราจะเป็นเหมือนคนหูหนวกตาบอดที่ไม่รับรู้ถึงการถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม “ความรักนั้นก็อดทนนาน และมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ” (1 โครินธ์ 13:4-8) {MB 16.1}
Happiness drawn from earthly sources is as changeable as varying circumstances can make it; but the peace of Christ is a constant and abiding peace. It does not depend upon any circumstances in life, on the amount of worldly goods or the number of earthly friends. Christ is the fountain of living water, and happiness drawn from Him can never fail. {MB 16.2}
ความสุขที่ได้จากฝ่ายโลกแปรเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ส่วนสันติสุขในพระคริสติ์เป็นสันติสุขที่มั่นคงถาวร ไม่ขึ้นกับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต ทรัพย์สมบัติหรือจำนวนญาติมิตร แต่มาจากพระคริสต์ผู้ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต ความสุขที่มาจากพระองค์จะไม่มีวันเหือดแห้งไป {MB 16.2}
The meekness of Christ, manifested in the home, will make the inmates happy; it provokes no quarrel, gives back no angry answer, but soothes the irritated temper and diffuses a gentleness that is felt by all within its charmed circle. Wherever cherished, it makes the families of earth a part of the one great family above. {MB 16.3}
สมาชิกครอบครัวจะมีความสุขเมื่อความสุภาพอ่อนโยนของพระคริสต์ได้ปรากฏอยู่ในบ้าน จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง หรือการตอบโต้กันด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อน แต่อารมณ์ร้อนนั้นจะสงบลงเมื่อสัมผัสกับความอ่อนโยนของพระองค์ ทำให้ทุกคนในบ้านรู้สึกอบอุ่น ครอบครัวไหนเอาใจใส่ต่อความอ่อนสุภาพของพระคริสต์จะมีส่วนในครอบครัวใหญ่แห่งสวรรค์ด้วย {MB 16.3}
Far better would it be for us to suffer under false accusation than to inflict upon ourselves the torture of retaliation upon our enemies. The spirit of hatred and revenge originated with Satan, and can bring only evil to him who cherishes it. Lowliness of heart, that meekness which is the fruit of abiding in Christ, is the true secret of blessing. “He will beautify the meek with salvation.” Psalm 149:4. {MB 17.1}
ที่จะทนทุกข์เพราะถูกใส่ร้ายป้ายสีก็ยังดีกว่าการทรมานตนเองด้วยการแก้แค้นศัตรู ความจงเกลียดจงชังและการแก้แค้นล้วนแต่เริ่มต้นมาจากซาตาน และใครก็ตามที่ยึดมันไว้จะพบกับความเลวร้าย แต่เคล็ดลับแห่งความสุขคือ จิตใจที่อ่อนสุภาพ ซึ่งเป็นผลของการเข้าสนิทในพระคริสต์ “พระองค์จะตกแต่งผู้ถ่อมใจด้วยความรอด” (สดุดี 149:4 ฉบับปี 1954) {MB 17.1}
The meek “shall inherit the earth.” It was through the desire for self-exaltation that sin entered into the world, and our first parents lost the dominion over this fair earth, their kingdom. It is through self-abnegation that Christ redeems what was lost. And He says we are to overcome as He did. Revelation 3:21. Through humility and self-surrender we may become heirs with Him when “the meek shall inherit the earth.” Psalm 37:11. {MB 17.2}
คนที่สุภาพอ่อนโยน “จะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก” ความต้องการที่จะยกตัวเองขึ้นเป็นเหตุให้ความบาปเข้ามาในโลก ทำให้บรรพบุรุษคู่แรกของเราต้องสูญเสียสิทธิในการครอบครองโลกอันงดงามใบนี้ซึ่งเป็นอาณาจักรของเขา แต่พระคริสต์ทรงไถ่สิ่งที่สูญเสียเหล่านั้นกลับคืนมาด้วยการปฏิเสธความเห็นแก่ตัว พระองค์ตรัสว่า ให้เรามีชัยชนะเหมือนที่พระองค์ทรงมี (ดู วิวรณ์ 3:21) เราอาจเป็นทายาทด้วยกันกับพระองค์เมื่อคนที่ถ่อมใจได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก โดยการถ่อมใจลงและการสละความปรารถนาส่วนตน (ดู สดุดี 37:11) {MB 17.2}
The earth promised to the meek will not be like this, darkened with the shadow of death and the curse. “We, according to His promise, look for new heavens and a new earth, wherein dwelleth righteousness.” “There shall be no more curse: but the throne of God and of the Lamb shall be in it; and His servants shall serve Him.” 2 Peter 3:13; Revelation 22:3. {MB 17.3}
แผ่นดินโลกที่ทรงสัญญาไว้ให้คนใจถ่อมนั้น จะไม่เหมือนโลกปัจจุบันที่มืดดำด้วยเงาแห่งความตายและการถูกสาปแช่ง “แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ความชอบธรรมจะดำรงอยู่” “จะไม่มีสิ่งใดถูกสาปแช่งอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ในเมืองนั้น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์” (2 เปโตร 3:13 ฉบับปี 1971; วิวรณ์ 22:3 TKJV) {MB 17.3}
There is no disappointment, no sorrow, no sin, no one who shall say, I am sick; there are no burial trains, no mourning, no death, no partings, no broken hearts; but Jesus is there, peace is there. There “they shall not hunger nor thirst; neither shall the heat nor sun smite them: for He that hath mercy on them shall lead them, even by the springs of water shall He guide them.” Isaiah 49:10. {MB 17.4}
ในสวรรค์ไม่มีการผิดหวัง ไม่มีความเศร้าหรือความบาป ไม่มีใครพูดว่า ‘ฉันไม่สบาย’ ไม่มีการแห่ศพ การไว้ทุกข์หรือความตาย ไม่มีการพลัดพรากจากกัน หรือความช้ำใจ แต่พระเยซูทรงอยู่ที่นั่น และจะมีสันติสุขอยู่ที่นั่น “เขาจะไม่หิวหรือกระหาย แสงอาทิตย์แรงกล้าและลมทะเลทรายอันร้อนระอุจะไม่แผดเผาเขาอีกต่อไป พระองค์ผู้ทรงเอ็นดูสงสารเขาจะนำเขา และพาเขามายังริมธารน้ำพุ” (อิสยาห์ 49:10 TNCV) {MB 17.4}
“Blessed are they which do hunger and thirst after righteousness: for they shall be filled.” Matthew 5:6. Righteousness is holiness, likeness to God, and “God is love.” 1 John 4:16. It is conformity to the law of God, for “all Thy commandments are righteousness” (Psalm 119:172), and “love is the fulfilling of the law” (Romans 13:10). Righteousness is love, and love is the light and the life of God. The righteousness of God is embodied in Christ. We receive righteousness by receiving Him. {MB 18.1}
“บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์—(มัทธิว 5:6 ฉบับปี 1971) ความชอบธรรมคือความบริสุทธิ์ คือชีวิตที่สะท้อนถึงพระลักษณะของพระเจ้า และ “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยอหน์ 4:16) ความชอบธรรมคือการทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะ “พระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ก็ชอบธรรม” (สดุดี 119:172) และ “ความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน” (โรม 13:10) ความชอบธรรมคือความรัก และความรักคือแสงสว่างและชีวิตของพระเจ้า ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ธำรงอยู่ในพระคริสต์ เราจึงรับความชอบธรรมได้ด้วยการรับเอาพระองค์ {MB 18.1}
Not by painful struggles or wearisome toil, not by gift or sacrifice, is righteousness obtained; but it is freely given to every soul who hungers and thirsts to receive it. “Ho, every one that thirsteth, come ye to the waters, and he that hath no money; come ye, buy, and eat, . . . without money and without price.” “Their righteousness is of Me, saith the Lord,” and, “This is His name whereby He shall be called, The Lord Our Righteousness.” Isaiah 55:1; 54:17; Jeremiah 23:6. {MB 18.2}
ความชอบธรรมไม่ได้มาด้วยการเพียรพยายาม การดิ้นรน การให้ทาน หรือการเสียสละ แต่สำหรับทุกคนที่หิวกระหายความชอบธรรม พระองค์จะประทานให้โดยไม่คิดมูลค่า “โอ้ ทุกคนที่กระหาย จงมายังน้ำ และผู้ไม่มีเงิน จงมาหาซื้อและรับประทาน…โดยไม่ต้องเสียเงินและค่าใช้จ่าย” “ความชอบธรรมของเขามาจากเรา” “และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ พระเยโฮวาห์เป็นความชอบธรรมของเรา” (อิสยาห์ 55:1; 54:17 TKJV; เยเรมีย์ 23:6 TKJV) {MB 18.2}
No human agent can supply that which will satisfy the hunger and thirst of the soul. But Jesus says, “Behold, I stand at the door, and knock: if any man hear My voice, and open the door, I will come in to him, and will sup with him, and he with Me.” “I am the bread of life: he that cometh to Me shall never hunger; and he that believeth on Me shall never thirst.” Revelation 3:20; John 6:35. {MB 18.3}
ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเติมจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าให้เต็มอิ่มได้ แต่พระเยซูตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย” (วิวรณ์ 3:20; ยอหน์ 6:35) {MB 18.3}
As we need food to sustain our physical strength, so do we need Christ, the Bread from heaven, to sustain spiritual life and impart strength to work the works of God. As the body is continually receiving the nourishment that sustains life and vigor, so the soul must be constantly communing with Christ, submitting to Him and depending wholly upon Him. {MB 19.1}
เราต้องการอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรงฉันใด เราก็ต้องการพระคริสต์ผู้ทรงเป็นอาหารจากสวรรค์เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเสริมกำลังในการทำพระราชกิจของพระเจ้าฉันนั้น ร่างกายมีชีวิตชีวาด้วยสารอาหารที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกัน จิตวิญญาณจะต้องติดสนิทกับพระคริสต์ตลอดเวลา ยอมเชื่อฟังพระองค์ และพึ่งพาพระองค์อย่างสิ้นเชิง {MB 19.1}
As the weary traveler seeks the spring in the desert and, finding it, quenches his burning thirst, so will the Christian thirst for and obtain the pure water of life, of which Christ is the fountain. {MB 19.2}
นักเดินทางที่เหนื่อยล้าและคอแห้งผากแสวงหาแหล่งน้ำในทะเลทราย เมื่อพบก็ดื่มเพื่อดับกระหายฉันใด ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะกระหายน้ำบริสุทธิ์แห่งชีวิต และจะหาจนพบฉันนั้น ซึ่งพระคริสต์ทรงเป็นบ่อน้ำพุนั้น {MB 19.2}
As we discern the perfection of our Saviour’s character we shall desire to become wholly transformed and renewed in the image of His purity. The more we know of God, the higher will be our ideal of character and the more earnest our longing to reflect His likeness. A divine element combines with the human when the soul reaches out after God and the longing heart can say, “My soul, wait thou only upon God; for my expectation is from Him.” Psalm 62:5. {MB 19.3}
ในขณะที่เราสังเกตพระอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบของพระเยซู เราจะมีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองทั้งหมด และอยากถูกสร้างขึ้นใหม่ตามพระลักษณะอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ยิ่งเรารู้จักพระเจ้า เราจะมีอุดมคติเรื่องอุปนิสัยที่สูงขึ้น และจะยิ่งมีใจปรารถนาที่จะให้ชีวิตของเราสะท้อนถึงพระลักษณะของพระองค์ เมื่อเราแสวงหาพระองค์ด้วยใจ พระองค์จะทรงเสริมกำลัง และเราจะพูดด้วยใจที่ปรารถนาพระองค์ได้ว่า “จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์” (สดุดี 62:5) {MB 19.3}
If you have a sense of need in your soul, if you hunger and thirst after righteousness, this is an evidence that Christ has wrought upon your heart, in order that He may be sought unto to do for you, through the endowment of the Holy Spirit, those things which it is impossible for you to do for yourself. We need not seek to quench our thirst at shallow streams; for the great fountain is just above us, of whose abundant waters we may freely drink, if we will rise a little higher in the pathway of faith. {MB 19.4}
ถ้าท่านรู้สึกถึงความขาดแคลนในจิตใจ และมีความหิวกระหายความชอบธรรม ก็แสดงว่าพระคริสต์ทรงทำงานในใจของท่าน เพื่อให้ท่านแสวงหาพระองค์และรับเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยทำในสิ่งที่ท่านไม่มีทางทำเองได้ เราไม่จำเป็นต้องหาแหล่งน้ำตื้นๆ เพื่อดับกระหาย เนื่องจากว่าเหนือขึ้นไปไม่ไกลมีน้ำพุที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเราสามารถดื่มโดยได้ไม่เสียเงิน เพียงแต่ให้เราเดินขึ้นไปตามหนทางแห่งความเชื่ออีกเล็กน้อย {MB 19.4}
The words of God are the wellsprings of life. As you seek unto those living springs you will, through the Holy Spirit, be brought into communion with Christ. Familiar truths will present themselves to your mind in a new aspect, texts of Scripture will burst upon you with a new meaning as a flash of light, you will see the relation of other truths to the work of redemption, and you will know that Christ is leading you, a divine Teacher is at your side. {MB 20.1}
พระคำของพระเจ้าเป็นตาน้ำแห่งชีวิต เมื่อเราแสวงหาตาน้ำแห่งชีวิตนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำให้เราสามัคคีธรรมกับพระคริสต์ เราจะเข้าใจหลักความจริงที่เราคุ้นเคยในมุมมองใหม่ และความหมายใหม่ของข้อพระคัมภีร์ต่างๆ จะสว่างวาบเข้ามาในใจราวกับเปิดไฟขึ้นอย่างฉับพลัน เราจะเห็นว่าหลักความจริงต่างๆ เชื่อมโยงกับกระบวนการทรงไถ่ จะรู้ว่าพระคริสต์ทรงนำ และทรงเป็นพระอาจารย์ผู้สถิตเคียงข้างเรา {MB 20.1}
Jesus said, “The water that I shall give him shall be in him a well of water springing up into everlasting life.” John 4:14. As the Holy Spirit opens to you the truth you will treasure up the most precious experiences and will long to speak to others of the comforting things that have been revealed to you. When brought into association with them you will communicate some fresh thought in regard to the character or the work of Christ. You will have some fresh revelation of His pitying love to impart to those who love Him and to those who love Him not. {MB 20.2}
พระเยซูตรัสว่า “น้ำที่เราจะให้เขานั้น จะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอหน์ 4:14) ขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยให้เข้าใจหลักความจริง เราจะมีประสบการณ์อันล้ำค่า ปรารถนาที่จะเล่าให้คนอื่นฟังถึงสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหนุนใจเรา และจะให้ข้อคิดใหม่เกี่ยวกับพระอุปนิสัยหรือพระราชกิจของพระคริสต์แก่คนที่เราคบหาด้วย เราจะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความรักของพระองค์ที่ทรงเมตตาทั้งคนที่รักและคนที่ไม่รักพระองค์ {MB 20.2}
“Give, and it shall be given unto you” (Luke 6:38); for the word of God is “a fountain of gardens, a well of living waters, and streams of Lebanon” (Song of Solomon 4:15). The heart that has once tasted the love of Christ, cries out continually for a deeper draft, and as you impart you will receive in richer and more abundant measure. Every revelation of God to the soul increases the capacity to know and to love. The continual cry of the heart is, “More of Thee,” and ever the Spirit’s answer is, “Much more.” Romans 5:9, 10. For our God delights to do “exceeding abundantly above all that we ask or think.” Ephesians 3:20. To Jesus, who emptied Himself for the salvation of lost humanity, the Holy Spirit was given without measure. So it will be given to every follower of Christ when the whole heart is surrendered for His indwelling. Our Lord Himself has given the command, “Be filled with the Spirit” (Ephesians 5:18), and this command is also a promise of its fulfillment. It was the good pleasure of the Father that in Christ should “all the fullness dwell,” and “in Him ye are made full.” Colossians 1:19, R.V.; 2:10, R.V. {MB 20.3}
“จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับ” (ลูกา 6:38) เพราะพระวจนะของพระเจ้าเป็น “น้ำพุแห่งอุทยาน เป็นธารน้ำอันไหลริน หลั่งไหลลงมาจากเลบานอน” (เพลงซาโลมอน 4:15 TNCV) หัวใจที่เคยลิ้มรสความรักของพระคริสต์ จะร้องหาต่อไปเพื่อจะได้รับมากขึ้น และเมื่อเราแบ่งปันให้คนอื่น เราจะได้รับเพิ่มเติม ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์ให้กับคนใด เขาก็จะสามารถรับรู้และรู้จักรักมากยิ่งขึ้น หัวใจจะร้องเรียกตลอดเวลาว่า “ขอให้ได้รับพระองค์มากขึ้น” และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงตอบว่า “มากยิ่งกว่านั้นอีก” (ดู โรม 5:9, 10) พระเจ้าของเราทรงพอพระทัยที่จะ “กระทำเกินกว่าที่เราจะทูลขอหรือคาดคิดได้” (เอเฟซัส 3:20 TNCV) สำหรับพระเยซูผู้ทรงสละพระองค์เองเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ที่หลงผิด พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยไม่จำกัด ทุกคนที่ติดตามพระคริสต์และมอบหัวใจทั้งหมดเพื่อให้เป็นที่ประทับของพระองค์ก็จะได้รับเช่นกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ตรัสสั่งด้วยพระองค์เองว่า “จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ” (เอเฟซัส 5:18) คำสั่งนี้ยังเป็นพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จตามที่ทรงสัญญาไว้ พระบิดา “ทรงพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งหมดดำรงอยู่ใน” พระคริสต์ “และพวกท่านได้รับความครบบริบูรณ์ในพระองค์” (โคโลสี 1:19; 2:10) {MB 20.3}
God has poured out His love unstintedly, as the showers that refresh the earth. He says, “Let the skies pour down righteousness: let the earth open, and let them bring forth salvation, and let righteousness spring up together.” “When the poor and needy seek water, and there is none, and their tongue faileth for thirst, I the Lord will hear them, I the God of Israel will not forsake them. I will open rivers in high places, and fountains in the midst of the valleys: I will make the wilderness a pool of water, and the dry land springs of water.” Isaiah 45:8; 41:17, 18. {MB 21.1}
พระเจ้าประทานความรักของพระองค์โดยไม่จำกัด เหมือนดังห่าฝนที่รดแผ่นดินให้ชุ่มฉ่ำ ตรัสว่า “ให้ท้องฟ้าหลั่งความชอบธรรมลงมา ให้แผ่นดินโลกเปิดออก และความรอดงอกเงยขึ้น” “เมื่อคนจนและคนขัดสนแสวงหาน้ำและไม่มี และลิ้นของเขาก็แห้งผากเพราะความกระหาย เราคือพระเยโฮวาห์จะได้ยินเขาเอง เรา พระเจ้าของอิสราเอล จะไม่ละทิ้งเขา เราจะเปิดแม่น้ำบนที่สูงทั้งหลาย และน้ำพุที่ท่ามกลางหุบเขา เราจะทำถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ และที่ดินแห้งเป็นน้ำพุ” (อิสยาห์ 45:8; 41:17, 18 TKJV) {MB 21.1}
“Of His fullness have all we received, and grace for grace.” John 1:16. {MB 21.2}
“เพราะเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณจากความบริบูรณ์ของพระองค์” (ยอหน์ 1:16) {MB 21.2}
“Blessed are the merciful: for they shall obtain mercy.” Matthew 5:7. The heart of man is by nature cold and dark and unloving; whenever one manifests a spirit of mercy and forgiveness, he does it not of himself, but through the influence of the divine Spirit moving upon his heart. “We love, because He first loved us.” 1 John 4:19, R.V. {MB 21.3}
“คนที่มีใจเมตตาก็เป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับพระเมตตาตอบ”—(มัทธิว 5:7) ตามธรรมชาติแล้ว ใจมนุษย์มีความเย็นชา มัวหมองและไม่มีความรัก ทุกครั้งที่มีคนแสดงถึงใจเมตตาและการให้อภัย คนๆ นั้นไม่ได้ทำเอง แต่ทำเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลบันดาลใจเขา “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอหน์ 4:19) {MB 21.3}
God is Himself the source of all mercy. His name is “merciful and gracious.” Exodus 34:6. He does not treat us according to our desert. He does not ask if we are worthy of His love, but He pours upon us the riches of His love, to make us worthy. He is not vindictive. He seeks not to punish, but to redeem. Even the severity which He manifests through His providences is manifested for the salvation of the wayward. He yearns with intense desire to relieve the woes of men and to apply His balsam to their wounds. It is true that God “will by no means clear the guilty” (Exodus 34:7), but He would take away the guilt. {MB 22.1}
พระเจ้าเองทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความเมตตากรุณาทั้งปวง พระนามของพระองค์คือ “พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาและพระคุณ” (อพยพ 34:6 TNCV) พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อเราตามที่เราสมควรได้รับ พระองค์ไม่ได้ถามว่าเราคู่ควรกับความรักของพระองค์หรือไม่ แต่พระองค์ทรงเทความรักของพระองค์อย่างเหลือล้นเพื่อทำให้เราคู่ควร พระองค์ไม่ทรงแก้แค้น พระองค์ไม่ทรงหาทางลงโทษ แต่ทรงหาทางไถ่มนุษย์ให้รอด แม้แต่ในการทรงนำที่ใช้เหตุการณ์รุนแรง พระองค์ทรงทำเพื่อความรอดของคนที่หลงทาง พระองค์ทรงปรารถนาอย่างสุดซึ้งที่จะบรรเทาความทุกข์ของมนุษย์และรักษาบาดแผลของเขา จริงอยู่ว่า พระองค์ “จะไม่ทรงละเว้นการลงโทษอย่างแน่นอน” (อพยพ 34:7) แต่พระองค์จะทรงลบล้างความผิดที่จะต้องลงโทษนั้น {MB 22.1}
The merciful are “partakers of the divine nature,” and in them the compassionate love of God finds expression. All whose hearts are in sympathy with the heart of Infinite Love will seek to reclaim and not to condemn. Christ dwelling in the soul is a spring that never runs dry. Where He abides, there will be an overflowing of beneficence. {MB 22.2}
คนที่มีใจเมตตา “มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” (2 เปโตร 1:4) เขาแสดงออกถึงความรักของพระองค์ด้วยใจที่กรุณา ทุกคนที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก จะพยายามฟื้นฟูคนผิด ไม่ใช่ประณามซ้ำเติม พระคริสต์อยู่ในใจเป็นน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้ง เพราะพระองค์อยู่ที่ใด ที่นั่นจะมีพระกรุณาเอ่อล้นอย่างท่วมท้น {MB 22.2}
To the appeal of the erring, the tempted, the wretched victims of want and sin, the Christian does not ask, Are they worthy? but, How can I benefit them? In the most wretched, the most debased, he sees souls whom Christ died to save and for whom God has given to His children the ministry of reconciliation. {MB 22.3}
สำหรับคนที่หลงผิดและตกเป็นเหยื่อแห่งความบาป ผู้ที่เป็นคริสเตียนไม่ควรถามว่า ‘เขาคู่ควรแล้วหรือ’ แต่จะถามว่า ‘ฉันจะช่วยเขาอย่างไรดี’ เมื่อมองเหยื่อเคราะห์ร้ายและคนที่อัตคัดขัดสน เขาจะถือว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อช่วยให้รอด คือพระเจ้าทรงมอบพันธกิจแห่งการคืนดีกันให้คนของพระองค์เพื่อช่วยเหลือคนเช่นนี้ {MB 22.3}
The merciful are those who manifest compassion to the poor, the suffering, and the oppressed. Job declares, “I delivered the poor that cried, and the fatherless, and him that had none to help him. The blessing of him that was ready to perish came upon me: and I caused the widow’s heart to sing for joy. I put on righteousness, and it clothed me: my judgment was as a robe and a diadem. I was eyes to the blind, and feet was I to the lame. I was a father to the poor: and the cause which I knew not I searched out.” Job 29:12-16. {MB 22.4}
บุคคลที่มีใจกรุณาคือผู้ที่เมตตาสงสารคนทุกข์ยากและผู้ที่ถูกบีบบังคับ ท่านโยบกล่าวว่า “ข้าช่วยคนยากจนที่่ร้องให้ช่วย และเด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดอุปถัมภ์ พรของคนที่กำลังจะตายก็มาถึงข้า และข้าทำให้จิตใจของหญิงม่ายร้องเพลงด้วยความชื่นบาน ข้าสวมความชอบธรรม มันก็ห่อหุ้มข้าไว้ ความยุติธรรมของข้าเหมือนเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะ ข้าเป็นดวงตาให้คนตาบอด และเป็นเท้าให้คนง่อย ข้าเป็นบิดาให้คนขัดสน และข้าเป็นธุระคดีความให้ผู้ที่ข้าไม่รู้จัก” (โยบ 29:12-16) {MB 22.4}
There are many to whom life is a painful struggle; they feel their deficiencies and are miserable and unbelieving; they think they have nothing for which to be grateful. Kind words, looks of sympathy, expressions of appreciation, would be to many a struggling and lonely one as the cup of cold water to a thirsty soul. A word of sympathy, an act of kindness, would lift burdens that rest heavily upon weary shoulders. And every word or deed of unselfish kindness is an expression of the love of Christ for lost humanity. {MB 23.1}
มีหลายคนที่ต้องดิ้นรนอย่างระทมทุกข์ในชีวิต พวกเขารู้ซึ้งในความทุกข์และความบกพร่องของตน ไม่กล้าเชื่อและไม่กล้ารู้สึกว่าจะมีเรื่องที่น่ายินดีในโลกนี้ ถ้อยคำที่เกื้อกูล สายตาที่ปรานีและเห็นความสำคัญของเขา คงช่วยคนที่เหงาหงอย บากบั่นสู้ทน ประหนึ่งน้ำเย็นสักแก้วที่ช่วยดับกระหาย ถ้อยคำที่ประกอบด้วยความเมตตาและการกระทำที่แสดงออกถึงความกรุณาจะช่วยเสริมกำลังให้กับหลังที่ค้อมลงเพราะภาระที่หนักอึ้ง ทุกถ้อยคำและทุกการกระทำที่ทำด้วยใจกรุณาไม่เห็นแก่ตัว คือการแสดงออกถึงความรักของพระคริสต์ที่มีต่อมวลมนุษย์ที่หลงผิด {MB 23.1}
The merciful “shall obtain mercy.” “The soul of blessing shall be made fat: and he that watereth shall be watered also himself.” Proverbs 11:25, margin. There is sweet peace for the compassionate spirit, a blessed satisfaction in the life of self-forgetful service for the good of others. The Holy Spirit that abides in the soul and is manifest in the life will soften hard hearts and awaken sympathy and tenderness. You will reap that which you sow. “Blessed is he that considereth the poor. . . . The Lord will preserve him, and keep him alive; and he shall be blessed upon the earth: and Thou wilt not deliver him unto the will of his enemies. The Lord will strengthen him upon the bed of languishing: Thou wilt make all his bed in his sickness.” Psalm 41:1-3. {MB 23.2}
คนที่มีใจกรุณา “จะได้รับพระกรุณาตอบ” “คนใจกว้างย่อมเจริญรุ่งเรือง คนที่ให้น้ำคนอื่นย่อมได้น้ำตอบแทน” (สุภาษิต 11:25) คนที่มีใจเมตตาเอ็นดูมีสันติสุขแท้ ผู้ที่รับใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่นจนลืมตนเองจะได้รับความพึงพอใจในชีวิต เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในใจและแสดงออกด้วยการกระทำ คนที่มีใจที่แข็งกระด้างจะอ่อนลงและเขาเองจะได้รับความกรุณาตอบ เพราะคนเราหว่านสิ่งใดก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น “ความสุขมีแก่ผู้ที่ใส่ใจคนอ่อนแอ… องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกปักรักษาและสงวนชีวิตของเขา พระองค์จะทรงอวยพรเขาในแผ่นดิน และจะไม่ทรงปล่อยให้ศัตรูทำกับเขาตามใจชอบ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประคับประคองเขาในยามเจ็บป่วย และจะทรงช่วยให้เขาหายเป็นปกติ” (สดุดี 41:1-3 TNCV) {MB 23.2}
He who has given his life to God in ministry to His children is linked with Him who has all the resources of the universe at His command. His life is bound up by the golden chain of the immutable promises with the life of God. The Lord will not fail him in the hour of suffering and need. “My God shall supply all your need according to His riches in glory by Christ Jesus.” Philippians 4:19. And in the hour of final need the merciful shall find refuge in the mercy of the compassionate Saviour and shall be received into everlasting habitations. {MB 24.1}
คนที่ถวายชีวิตให้พระเจ้าเพื่อรับใช้คนของพระองค์จะเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์ผู้ทรงครอบครองทรัพยากรจักรวาลอย่างครบบริบูรณ์ พระสัญญาที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นดังสายทองสัมพันธ์ที่ผูกชีวิตเขาไว้กับพระเจ้า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเขาในเวลาที่ทนทุกข์หรือขัดสน “พระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (ฟีลิบปี 4:19) ในยามวิกฤตครั้งสุดท้าย ผู้ที่มีใจกรุณาจะพบที่ลี้ภัยอยู่ในพระเมตตากรุณาของพระผู้ช่วยให้รอด และจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่ที่พำนักนิรันดร์ {MB 24.1}
“Blessed are the pure in heart: for they shall see God.” Matthew 5:8. The Jews were so exacting in regard to ceremonial purity that their regulations were extremely burdensome. Their minds were occupied with rules and restrictions and the fear of outward defilement, and they did not perceive the stain that selfishness and malice impart to the soul. {MB 24.2}
“คนที่มีใจบริสุทธิ์ก็เป็นสุข เพราะเขาทั้งหลายจะได้เห็นพระเจ้า”—(มัทธิว 5:8) ชาวยิวเคร่งครัดและพิถีพิถัน เพื่อไม่ให้ตนเป็นมลทินในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จนเป็นเหตุให้พวกเขากำหนดข้อบังคับหยุมหยิมมากมาย กลายเป็นภาระที่หนักหน่วง พวกเขามัวแต่คิดถึงระเบียบข้อบังคับ และระวังความสะอาดภายนอก แต่ไม่รู้ว่าความเห็นแก่ตัวและความมุ่งร้ายได้สร้างรอยเปรอะเปื้อนในใจ {MB 24.2}
Jesus does not mention this ceremonial purity as one of the conditions of entering into His kingdom, but points out the need of purity of heart. The wisdom that is from above “is first pure.” James 3:17. Into the city of God there will enter nothing that defiles. All who are to be dwellers there will here have become pure in heart. In one who is learning of Jesus, there will be manifest a growing distaste for careless manners, unseemly language, and coarse thought. When Christ abides in the heart, there will be purity and refinement of thought and manner. {MB 24.3}
พระเยซูไม่ได้เอ่ยถึงความถูกต้องทางพิธีกรรมว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่จะเข้าแผ่นดินของพระองค์ แต่ทรงชี้ไปยังความจำเป็นที่จะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะ “ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก” (ยากอบ 3:17) สิ่งใดที่เป็นมลทินจะไม่เข้าไปในเมืองสวรรค์ของพระเจ้า ทุกคนที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น ล้วนแต่ได้รับใจที่บริสุทธิ์เมื่อเขายังอยู่ในโลก คนที่กำลังเรียนรู้จากพระเยซู ยิ่งนับวันยิ่งจะไม่ชอบกิริยาที่ประมาทเลินเล่อ ภาษาที่ไม่เหมาะสมและความคิดที่หยาบคาย เมื่อพระคริสต์ประทับในใจ ความคิดจะบริสุทธิ์และกิริยาท่าทางจะสุภาพเรียบร้อย {MB 24.3}
But the words of Jesus, “Blessed are the pure in heart,” have a deeper meaning–not merely pure in the sense in which the world understands purity, free from that which is sensual, pure from lust, but true in the hidden purposes and motives of the soul, free from pride and self-seeking, humble, unselfish, childlike. {MB 25.1}
แต่ถ้อยคำที่พระเยซูตรัสว่า “คนที่มีใจบริสุทธิ์ก็เป็นสุข” มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการรักษาใจให้บริสุทธิ์จากโลกีย์และราคะตัณหาเพียงอย่างเดียว แต่แรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังการกระทำต้องปราศจากความหยิ่งและความเห็นแก่ตัว มีความจริงใจและอ่อนน้อมถ่อมตน {MB 25.1}
Only like can appreciate like. Unless you accept in your own life the principle of self-sacrificing love, which is the principle of His character, you cannot know God. The heart that is deceived by Satan, looks upon God as a tyrannical, relentless being; the selfish characteristics of humanity, even of Satan himself, are attributed to the loving Creator. “Thou thoughtest,” He says, “that I was altogether such an one as thyself.” Psalm 50:21. His providences are interpreted as the expression of an arbitrary, vindictive nature. So with the Bible, the treasure house of the riches of His grace. The glory of its truths, that are as high as heaven and compass eternity, is undiscerned. To the great mass of mankind, Christ Himself is “as a root out of a dry ground,” and they see in Him “no beauty that” they “should desire Him.” Isaiah 53:2. When Jesus was among men, the revelation of God in humanity, the scribes and Pharisees declared to Him, “Thou art a Samaritan, and hast a devil.” John 8:48. Even His disciples were so blinded by the selfishness of their hearts that they were slow to understand Him who had come to manifest to them the Father’s love. This was why Jesus walked in solitude in the midst of men. He was understood fully in heaven alone. {MB 25.2}
มีแต่คนที่มีคุณลักษณะเหมือนกันที่จะเข้าใจกันได้ ความรักที่เสียสละเป็นคำสรุปพระลักษณะอุปนิสัยของพระเจ้า ถ้าขาดสิ่งนี้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิต เราก็ไม่มีทางรู้จักพระองค์ คนที่ถูกซาตานหลอกลวงจะมองพระเจ้าว่าเป็นเผด็จการที่ไม่รู้จักปรานี เขาจะโยนลักษณะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์และแม้กระทั่งของซาตานเองให้พระผู้สร้างผู้เปี่ยมด้วยความรักและความเอ็นดู ตรงกับคำสรุปของพระเจ้าว่า “เจ้าคิดว่าเราเป็นเหมือนเจ้า” (สดุดี 50:21) พวกเขาสรุปว่าพระเจ้าไม่มีเหตุผลและทรงเจตนาร้ายในการทรงนำของพระองค์ ส่วนพระคัมภีร์ก็เช่นกัน เป็นหีบสมบัติแห่งพระคุณ แต่คนส่วนมากกลับไม่รับรู้ถึงหลักความจริงอันรุ่งโรจน์ที่สูงเท่าฟ้าสวรรค์และยาวไกลถึงนิรันดร์กาล มหาชนถือว่าพระคริสต์เอง “เหมือนรากที่แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้งแล้ง…ไม่มีความงามหรือความสง่าที่จะให้พวกเรามองดู และไม่มีรูปลักษณ์ซึ่งจะให้เราพึงปรารถนา” (อิสยาห์ 53:2) เมื่อพระเยซูประทับอยู่ท่ามกลางมนุษย์พระองค์เปิดเผยพระเจ้าในสภาพมนุษย์ แต่พวกฟาริสีกับธรรมาจารย์กล่าวถึงพระองค์ว่า “ท่่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิง” (ยอห์น 8:48) แม้แต่ใจสาวกของพระองค์เองก็บอดเพราะความเห็นแก่ตัว จนทำให้พวกเขาชักช้าในการเข้าใจพระเยซูผู้เสด็จมาเพื่อเปิดเผยความรักของพระบิดา เพราะเหตุนี้เองที่พระเยซูมีความโดดเดี่ยวขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ มีแต่ที่สวรรค์เท่านั้นที่เข้าใจพระองค์อย่างแท้จริง {MB 25.2}
When Christ shall come in His glory, the wicked cannot endure to behold Him. The light of His presence, which is life to those who love Him, is death to the ungodly. The expectation of His coming is to them a “fearful looking for of judgment and fiery indignation.” Hebrews 10:27. When He shall appear, they will pray to be hidden from the face of Him who died to redeem them. {MB 26.1}
เมื่อพระคริสต์เสด็จมาด้วยพระสิริของพระองค์ คนอธรรมจะทนดูพระองค์ไม่ได้ แสงรัศมีของพระองค์ซึ่งให้ชีวิตแก่คนที่รักพระองค์ เป็นเหตุให้คนชั่วต้องตาย พวกเขา “รอคอยด้วยความหวาดกลัวถึงการพิพากษาและไฟร้อนแรง” (ฮีบรู 10:27 TNCV) เมื่อพระองค์จะปรากฏ คนอธรรมจะอ้อนวอนขอซ่อนตัวเพื่อให้พ้นจากพระพักตร์พระองค์ผู้สิ้นพระชนม์ไถ่บาปของพวกเขา {MB 26.1}
But to hearts that have become purified through the indwelling of the Holy Spirit, all is changed. These can know God. Moses was hid in the cleft of the rock when the glory of the Lord was revealed to him; and it is when we are hid in Christ that we behold the love of God. {MB 26.2}
แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับคนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในใจ คนเหล่านี้รู้จักพระเจ้าได้ เช่นเดียวกับโมเสสที่ถูกซ่อนไว้ในซอกหินขณะที่พระสิริของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ท่าน และเมื่อเราถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์เราจะได้เห็นความรักของพระองค์ {MB 26.2}
“He that loveth pureness of heart, for the grace of his lips the King shall be his friend.” Proverbs 22:11. By faith we behold Him here and now. In our daily experience we discern His goodness and compassion in the manifestation of His providence. We recognize Him in the character of His Son. The Holy Spirit takes the truth concerning God and Him whom He hath sent, and opens it to the understanding and to the heart. The pure in heart see God in a new and endearing relation, as their Redeemer; and while they discern the purity and loveliness of His character, they long to reflect His image. They see Him as a Father longing to embrace a repenting son, and their hearts are filled with joy unspeakable and full of glory. {MB 26.3}
“ผู้ที่รักจิตใจอันบริสุทธิ์และมีวาจาอ่อนโยนจะได้เป็นมิตรกับกษัตริย์” (สุภาษิต 22:11 TNCV) ด้วยความเชื่อเราจึงมองเห็นพระองค์ในชีวิตนี้ เราจะเห็นพระคุณความดีของพระองค์ปรากฏผ่านประสบการณ์การทรงนำของพระองค์ในชีวิตประจำวัน เรารู้จักพระบิดาผ่านพระลักษณะนิสัยของพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยและช่วยให้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าและพระบุตรที่พระองค์ทรงใช้มา คนที่มีใจบริสุทธิ์จะตระหนักถึงสายสัมพันธ์แห่งความรักที่ผูกพันเขาไว้กับพระผู้ไถ่ เมื่อเขาเห็นพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์งดงามของพระคริสต์ เขาก็จะปรารถนาที่จะสะท้อนถึงพระลักษณะของพระองค์ พวกเขานับถือพระเจ้าในฐานะพระบิดาผู้เฝ้ารอที่จะโอบกอดบุตรที่กลับใจ จึงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีสุดที่จะพรรณนา (ดู 1 เปโตร 1:8 TNCV) {MB 26.3}
The pure in heart discern the Creator in the works of His mighty hand, in the things of beauty that comprise the universe. In His written word they read in clearer lines the revelation of His mercy, His goodness, and His grace. The truths that are hidden from the wise and prudent are revealed to babes. The beauty and preciousness of truth, which are undiscerned by the worldly-wise, are constantly unfolding to those who have a trusting, childlike desire to know and to do the will of God. We discern the truth by becoming, ourselves, partakers of the divine nature. {MB 26.4}
คนที่มีใจบริสุทธิ์จะสังเกตถึงฝีพระหัตถ์อันวิจิตบรรจงของพระผู้สร้างที่ปรากฏอยู่ในความงดงามของธรรมชาติ พวกเขาอ่านถึงพระเมตตาและพระคุณความดีของพระองค์ในพระคัมภีร์ที่สำแดงพระลักษณะของพระองค์ให้เห็นชัดกว่าที่ปรากฏในธรรมชาติเสียอีก หลักความจริงที่ปิดซ่อนไว้จากปัญญาชนและผู้รอบรู้ก็ทรงสำแดงแก่ผู้รู้น้อย ความงดงามแห่งสัจธรรมอันประเสริฐล้ำค่า ซึ่งถูกละเลยโดยผู้ที่มีความฉลาดฝ่ายโลกนั้น ได้ถูกเปิดเผยให้กับผู้ที่มีความไว้วางใจ ผู้ปรารถนาที่จะรู้จักและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราเข้าใจความจริงนี้ก็โดยการมีส่วนในพระลักษณะของพระองค์ {MB 26.4}
The pure in heart live as in the visible presence of God during the time He apportions them in this world. And they will also see Him face to face in the future, immortal state, as did Adam when he walked and talked with God in Eden. “Now we see through a glass, darkly; but then face to face.” 1 Corinthians 13:12. {MB 27.1}
ตลอดเวลาที่ทรงกำหนดให้พวกเขา คนใจบริสุทธิ์ดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์ประหนึ่งได้เห็นพระเจ้าด้วยตา และเมื่อเขารับสภาพอมตะจะเห็นพระพักตร์พระองค์เหมือนอาดัมผู้ดำเนินและสนทนากับพระองค์ในสวนเอเดน “เวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า” (1 โครินธ์ 13:12) {MB 27.1}
“Blessed are the peacemakers: for they shall be called the children of God.” Matthew 5:9. Christ is “the Prince of Peace” (Isaiah 9:6), and it is His mission to restore to earth and heaven the peace that sin has broken. “Being justified by faith, we have peace with God through our Lord Jesus Christ.” Romans 5:1. Whoever consents to renounce sin and open his heart to the love of Christ, becomes a partaker of this heavenly peace. {MB 27.2}
“บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร”—(มัทธิว 5:9 ฉบับปี 1971) ความบาปได้ทำลายสันติสุข แต่พระคริสต์ทรงเป็น “องค์สันติราช” (อิสยาห์ 9:6) พระองค์ทรงมีพันธกิจเพื่อนำสันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่โลกและสวรรค์ “เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” (โรม 5:1 TNCV) ใครก็ตามที่ยอมละทิ้งความบาปและเปิดใจรับความรักของพระคริสต์จะมีส่วนในความสุขแห่งสวรรค์ดังกล่าว {MB 27.2}
There is no other ground of peace than this. The grace of Christ received into the heart, subdues enmity; it allays strife and fills the soul with love. He who is at peace with God and his fellow men cannot be made miserable. Envy will not be in his heart; evil surmisings will find no room there; hatred cannot exist. The heart that is in harmony with God is a partaker of the peace of heaven and will diffuse its blessed influence on all around. The spirit of peace will rest like dew upon hearts weary and troubled with worldly strife. {MB 27.3}
ไม่มีทางอื่นที่จะมีสันติสุขนอกจากทางนี้ พระคุณของพระคริสต์ที่รับเข้ามาในใจจะสยบความเคียดแค้น ระงับการทะเลาะวิวาท และเติมหัวใจให้เต็มเปี่ยมด้วยความรัก คนที่มีสันติสุขกับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจะไม่มีอะไรทำให้เขาเป็นทุกข์ร้อนใจได้ จะไม่อิจฉาริษยา หรือมีความระแวงแคลงใจ ความเกลียดชังจะไม่ผุดในใจผู้นั้น เพราะจิตใจที่ประสานกลมเกลียวกับพระเจ้ามีส่วนในสันติสุขแห่งสวรรค์และจะแผ่ความสงบสุขนั้นเป็นพรให้กับคนรอบข้าง ฉะนั้นผู้เหน็ดเหนื่อยเพราะแบกปัญหาชีวิตจะได้รับสันติสุขเหมือนน้ำค้างที่รดแผ่นดิน {MB 27.3}
Christ’s followers are sent to the world with the message of peace. Whoever, by the quiet, unconscious influence of a holy life, shall reveal the love of Christ; whoever, by word or deed, shall lead another to renounce sin and yield his heart to God, is a peacemaker. {MB 28.1}
พระคริสต์ทรงใช้สาวกออกไปเพื่อประกาศข่าวแห่งสันติสุข ผู้ใดก็ตามที่สำแดงความรักของพระคริสต์ผ่านอิทธิพลเงียบของชีวิตบริสุทธิ์ หรือนำผู้อื่นให้ละทิ้งความบาปและยอมมอบใจให้พระเจ้าด้วยคำพูดหรือการกระทำก็เป็นผู้สร้างสันติทั้งสิ้น {MB 28.1}
And “blessed are the peacemakers: for they shall be called the children of God.” The spirit of peace is evidence of their connection with heaven. The sweet savor of Christ surrounds them. The fragrance of the life, the loveliness of the character, reveal to the world the fact that they are children of God. Men take knowledge of them that they have been with Jesus. “Everyone that loveth is born of God.” “If any man have not the Spirit of Christ, he is none of His;” but “as many as are led by the Spirit of God, they are the sons of God.” 1 John 4:7; Romans 8:9, 14. {MB 28.2}
“คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาทั้งหลายว่าเป็นลูก” (มัทธิว 5:9) ใจสันติเป็นหลักฐานของสายสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อเขาไว้กับสวรรค์ พวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศที่น่าชื่นชมยินดีที่อยู่รอบองค์พระคริสต์ เขามีชีวิตชีวา และอุปนิสัยงดงาม พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า คนทั่วไปจึงระลึกขึ้นได้ว่า คนเหล่านั้นเคยอยู่กับพระเยซู (ดู กิจการ 4:13) “ทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้า” “ใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์” แต่ “พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า” (1 ยอหน์ 4:7; โรม 8:9, 14) {MB 28.2}
“And the remnant of Jacob shall be in the midst of many people as a dew from the Lord, as the showers upon the grass, that tarrieth not for man, nor waiteth for the sons of men.” Micah 5:7. {MB 28.3}
“คนหยิบมือที่เหลือของยาโคบ จะอยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เหมือนน้ำค้างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนสายฝนโปรยปรายลงบนหญ้า ซึ่งไม่ต้องรอคอย หรือพึ่งพามนุษย์” (มีคาห์ 5:7 TNCV) {MB 28.3}
“Blessed are they which are persecuted for righteousness’ sake: for theirs is the kingdom of heaven.” Matthew 5:10. Jesus does not present to His followers the hope of attaining earthly glory and riches, and of having a life free from trial, but He presents to them the privilege of walking with their Master in the paths of self-denial and reproach, because the world knows them not. {MB 29.1}
“คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย”—(มัทธิว 5:10) เมื่อพระเยซูทรงสอนสาวก พระองค์ไม่ได้ให้ความหวังว่าจะร่ำรวยในโลกนี้หรือมีชีวิตที่ปราศจากความยากลำบาก แต่พระองค์ทรงชี้ไปยังสิทธิพิเศษที่พวกเขาจะได้ร่วมดำเนินกับพระอาจารย์ตามหนทางแห่งการเสียสละ ทั้งจะถูกประณามเพราะชาวโลกไม่รู้จัก {MB 29.1}
He who came to redeem the lost world was opposed by the united forces of the adversaries of God and man. In an unpitying confederacy, evil men and evil angels arrayed themselves against the Prince of Peace. Though His every word and act breathed of divine compassion, His unlikeness to the world provoked the bitterest hostility. Because He would give no license for the exercise of the evil passions of our nature, He aroused the fiercest opposition and enmity. So it is with all who will live godly in Christ Jesus. Between righteousness and sin, love and hatred, truth and falsehood, there is an irrepressible conflict. When one presents the love of Christ and the beauty of holiness, he is drawing away the subjects of Satan’s kingdom, and the prince of evil is aroused to resist it. Persecution and reproach await all who are imbued with the Spirit of Christ. The character of the persecution changes with the times, but the principle–the spirit that underlies it–is the same that has slain the chosen of the Lord ever since the days of Abel. {MB 29.2}
พระองค์ผู้เสด็จมาเพื่อไถ่โลกมนุษย์ที่หลงผิด ถูกบรรดาศัตรูของพระเจ้าและมนุษย์ขัดขวาง ทั้งคนชั่วและทูตของมารร่วมกันเป็นสหพันธ์อธรรมต่อสู้องค์สันติราชอย่างไม่ปรานี ถึงแม้ทุกคำและทุกการกระทำของพระองค์ได้สำแดงให้เห็นถึงพระเมตตากรุณาของพระเจ้าก็ตาม แต่เพราะพระองค์ไม่เหมือนชาวโลก ชาวโลกจึงเกลียดชังและมุ่งร้ายต่อพระองค์ มีคนต่อสู้พระองค์อย่างร้ายกาจเพราะพระองค์ไม่ยอมให้ทางแก่พวกเขาเพื่อสนองกิเลสในรูปแบบต่างๆ แท้จริงทุกคนที่ปรารถนาดำรงชีวิตตามแบบของพระคริสต์ก็จะเป็นอย่างนั้น ระหว่างความชอบธรรมกับความบาป ความรักกับความชัง ความจริงกับความเท็จ มีความขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีคนสำแดงความรักของพระคริสต์และความงดงามแห่งชีวิตบริสุทธิ์ เขากำลังชักนำพลเมืองของซาตานให้ออกจากอาณาจักรของมัน แล้วเจ้าแห่งความชั่วก็จะลุกขึ้นต่อต้าน มีการกดขี่ข่มเหงและการตำหนิติเตียนรออยู่ข้างหน้าผู้ที่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ลักษณะและวิธีการกดขี่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่หลักการและวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นอันเดียวกันกับที่ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรตั้งแต่สมัยอาเบลเรื่อยมา {MB 29.2}
As men seek to come into harmony with God, they will find that the offense of the cross has not ceased. Principalities and powers and wicked spirits in high places are arrayed against all who yield obedience to the law of heaven. Therefore, so far from causing grief, persecution should bring joy to the disciples of Christ, for it is an evidence that they are following in the steps of their Master. {MB 29.3}
คนที่พยายามนำชีวิตให้สอดคล้องประสานกลมเกลียวกับพระเจ้าจะพบว่าไม้กางเขนยังถูกต่อต้านอยู่ มีทั้งเทพเจ้า ศักดิเทพและวิญญาณชั่วที่ครอบครองในโมหะความมืดแห่งโลกนี้รวมกันต่อสู้ทุกคนที่มอบชีวิตเพื่อปฏิบัติตามกฏแห่งสวรรค์ ฉะนั้นแทนที่จะรู้สึกโศกเศร้าเมื่อถูกกดขี่ข่มเหง สาวกของพระคริสต์ควรชื่นชมยินดี เพราะการกดขี่นั้นเป็นหลักฐานยืนยันว่า เขากำลังดำเนินตามรอยพระบาทของพระอาจารย์อยู่ {MB 29.3}
While the Lord has not promised His people exemption from trials, He has promised that which is far better. He has said, “As thy days, so shall thy strength be.” “My grace is sufficient for thee: for My strength is made perfect in weakness.” Deuteronomy 33:25; 2 Corinthians 12:9. If you are called to go through the fiery furnace for His sake, Jesus will be by your side even as He was with the faithful three in Babylon. Those who love their Redeemer will rejoice at every opportunity of sharing with Him humiliation and reproach. The love they bear their Lord makes suffering for His sake sweet. {MB 30.1}
ถึงพระองค์ไม่เคยสัญญาว่าคนของพระองค์จะไม่ประสบความทุกข์ยากลำบาก แต่พระองค์สัญญาสิ่งที่ดียิ่งกว่านั้น คือ “พลังวังชาของท่านจะอยู่คู่คืนวันของท่าน” “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:25 TNCV; 2 โครินธ์ 12:9) ถ้าเราถูกเรียกให้ผ่านเตาหลอมที่มีไฟลุกโพลงเพื่อเห็นแก่พระองค์ พระเยซูจะอยู่เคียงข้างเราเหมือนที่พระองค์ทรงอยู่กับชาวฮีบรูที่ซื่อสัตย์สามคนนั้นในกรุงบาบิโลน (ดู ดาเนียล บทที่ 3) คนที่รักพระผู้ไถ่จะชื่นชมยินดีทุกครั้งที่มีโอกาสทนต่อการถูกดูหมิ่นดูแคลนร่วมกับพระองค์ เนื่องจากความรักที่พวกเขามีต่อพระองค์ ความทุกข์นั้นจึงกลายเป็นเรื่องที่หวานชื่นเพื่อเห็นแก่พระองค์ {MB 30.1}
In all ages Satan has persecuted the people of God. He has tortured them and put them to death, but in dying they became conquerors. They revealed in their steadfast faith a mightier One than Satan. Satan could torture and kill the body, but he could not touch the life that was hid with Christ in God. He could incarcerate in prison walls, but he could not bind the spirit. They could look beyond the gloom to the glory, saying, “I reckon that the sufferings of this present time are not worthy to be compared with the glory which shall be revealed in us.” “Our light affliction, which is but for a moment, worketh for us a far more exceeding and eternal weight of glory.” Romans 8:18; 2 Corinthians 4:17. {MB 30.2}
ซาตานได้ข่มเหงคนของพระเจ้าในทุกยุคทุกสมัย ด้วยการทรมานบ้าง ฆ่าทิ้งบ้าง แต่การตายของพวกเขาคือชัยชนะ เพราะด้วยความเชื่อมั่น พวกเขาได้สำแดงให้เห็นพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่กว่าซาตาน ซาตานอาจทรมานคนของพระเจ้าและฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ชีวิตที่ซ่อนไว้ในพระคริสตไม่อาจแตะต้องได้เลย มันอาจจับคนของพระเจ้าคุมขังในเรือนจำ แต่มันไม่อาจคุมขังจิตวิญญาณได้ เพราะพวกเขาสามารถจินตนาการทะลุความมืดครึ้มที่อยู่รอบตัวไปยังสง่าราศีที่จะได้รับ พร้อมกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่ควรจะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรีซึ่งจะเผยให้แก่เราในอนาคต” “เพราะว่า ความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ” (โรม 8:18; 2 โครินธ์ 4:17) {MB 30.2}
Through trials and persecution, the glory–character–of God is revealed in His chosen ones. The church of God, hated and persecuted by the world, are educated and disciplined in the school of Christ. They walk in narrow paths on earth; they are purified in the furnace of affliction. They follow Christ through sore conflicts; they endure self-denial and experience bitter disappointments; but their painful experience teaches them the guilt and woe of sin, and they look upon it with abhorrence. Being partakers of Christ’s sufferings, they are destined to be partakers of His glory. In holy vision the prophet saw the triumph of the people of God. He says, “I saw as it were a sea of glass mingled with fire: and them that had gotten the victory, . . . stand on the sea of glass, having the harps of God. And they sing the song of Moses the servant of God, and the song of the Lamb, saying, Great and marvelous are Thy works, Lord God Almighty; just and true are Thy ways, Thou King of saints.” “These are they which came out of great tribulation, and have washed their robes, and made them white in the blood of the Lamb. Therefore are they before the throne of God, and serve Him day and night in His temple: and He that sitteth on the throne shall dwell among them.” Revelation 15:2, 3; 7:14, 15. {MB 31.1}
พระสิริของพระเจ้า คือพระอุปนิสัยของพระองค์ และพระสิรินั้นจะได้รับการเปิดเผยในชีวิตของผู้ที่ถูกเลือกสรรผ่านความทุกข์ยากลำบากและการกดขี่ข่มเหง คริสตจักรของพระเจ้าเป็นที่เกลียดชังแก่ชาวโลกที่คอยแต่จะรังควาน แต่คริสตจักรนั้นได้รับการศึกษาและฝึกวินัยในโรงเรียนของพระคริสต์ ในโลกนี้คนของพระองค์ต้องเดินตามหนทางที่คับแคบ แต่พวกเขาถูกชำระให้บริสุทธิ์ในเตาหลอมแห่งความทุกข์ระทม (ดู อิสยาห์ 48:10) พวกเขาติดตามพระคริสต์ท่ามกลางบรรยากาศที่ขัดแย้งอย่างรุนแรง และปฏิเสธความต้องการส่วนตัว ทั้งประสบกับความผิดหวังอย่างขมขื่น แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นสอนให้พวกเขาตระหนักว่าความบาปเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง พวกเขามีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์และจะได้รับส่วนในพระสิริของพระองค์แน่นอน พระเจ้าทรงให้นิมิตแก่อัครสาวกยอห์นได้เห็นถึงชัยชนะของประชากรของพระเจ้า ท่านจึงเผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่เป็นเหมือนอย่างทะเลแก้วปนไฟ และเห็นบรรดาคนที่มีชัยชนะ…ยืนอยู่ริมทะเลแก้วและถือพิณของพระเจ้า เขาร้องเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า และร้องเพลงของพระเมษโปดกว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่ และอัศจรรย์ ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ บรรดามรรคาของพระองค์ยุติธรรมและสัตย์จริง’” “คนเหล่านี้เป็นคนที่มาจากความยากลำบากครั้งยิ่งใหญ่ พวกเขาชำระล้างเสื้อผ้าของเขาด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดกจนขาวสะอาด เพราะเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงคุ้มครองพวกเขา” (วิวรณ์ 15:2, 3; 7:14, 15) {MB 31.1}
“Blessed are ye, when men shall revile you.” Matthew 5:11. Ever since his fall, Satan has worked by means of deception. As he has misrepresented God, so, through his agents, he misrepresents the children of God. The Saviour says, “The reproaches of them that reproached Thee are fallen upon Me.” Psalm 69:9. In like manner they fall upon His disciples. {MB 31.2}
“เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข”—(มัทธิว 5:11 ฉบับปี 1971) นับตั้งแต่การอัปยศอดสูของซาตาน มันทำงานเคลื่อนไหวโดยอาศัยการล่อลวง มันใส่ร้ายพระเจ้า และใช้คนของมันใส่ร้ายคนของพระองค์ แต่พระเยซูตรัสว่า “คำเยาะเย้ยของผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ ตกแก่ข้าพระองค์” (สดุดี 69:9) แล้วสาวกของพระคริสต์ก็ถูกเยาะเย้ยเช่นเดียวกัน {MB 31.2}
There was never one who walked among men more cruelly slandered than the Son of man. He was derided and mocked because of His unswerving obedience to the principles of God’s holy law. They hated Him without a cause. Yet He stood calmly before His enemies, declaring that reproach is a part of the Christian’s legacy, counseling His followers how to meet the arrows of malice, bidding them not to faint under persecution. {MB 32.1}
ตั้งแต่มีมนุษย์อยู่บนโลกนี้ ไม่เคยมีคนถูกใส่ร้ายป้ายสีรุนแรงเท่ากับพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ถูกเยาะเย้ยและเหยียดหยามเพราะพระองค์ทรงยึดถือหลักการแห่งพระบัญญัติอย่างไม่เบนเบี่ยง มีคนเกลียดพระองค์โดยใช่เหตุ แต่พระองค์ทรงยืนหยัดต่อหน้าศัตรูอย่างสงบสุขุม ตรัสว่าการที่จะถูกคนอื่นประณามเป็นส่วนหนึ่งของมรดกคริสเตียน ทรงสอนให้สาวกต้านการมุ่งร้ายของคนอื่นเอาไว้ อย่าย่อท้อเมื่อถูกข่มเหง {MB 32.1}
While slander may blacken the reputation, it cannot stain the character. That is in God’s keeping. So long as we do not consent to sin, there is no power, whether human or satanic, that can bring a stain upon the soul. A man whose heart is stayed upon God is just the same in the hour of his most afflicting trials and most discouraging surroundings as when he was in prosperity, when the light and favor of God seemed to be upon him. His words, his motives, his actions, may be misrepresented and falsified, but he does not mind it, because he has greater interests at stake. Like Moses, he endures as “seeing Him who is invisible” (Hebrews 11:27); looking “not at the things which are seen, but at the things which are not seen” (2 Corinthians 4:18). {MB 32.2}
การใส่ร้ายป้ายสีอาจทำลายชื่อเสียง แต่มันไม่อาจทำลายอุปนิสัยได้ เพราะพระเจ้าทรงรักษาอุปนิสัยเอาไว้ ตราบใดที่เราไม่ยินยอมต่อความบาป ไม่มีอำนาจใดจากมนุษย์หรือผีมารซาตานจะสร้างจุดด่างพร้อยในใจเราได้ คนที่ปักใจเชื่อในพระเจ้าจะมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งในยามทุกข์ยากเหลือเข็ญ เมื่อแวดล้อมด้วยสถานการณ์ที่น่าผิดหวัง เท่าๆ กับช่วงที่เจริญรุ่งเรืองราวกับมีแสงรัศมีจากพระเจ้าส่องมายังเขา ถึงแม้อาจมีคนบิดเบือนคำพูด การกระทำหรือเหตุผลของเขา แต่เขาไม่ใส่ใจ เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นมากที่ควรเอาใจใส่ เหมือนกับโมเสส เขา “สู้ทนประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา” (ฮีบรู 11:27) เพราะ “เราไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งที่มองเห็น แต่เอาใจใส่ในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์” (2 โครินธิ์ 4:18) {MB 32.2}
Christ is acquainted with all that is misunderstood and misrepresented by men. His children can afford to wait in calm patience and trust, no matter how much maligned and despised; for nothing is secret that shall not be made manifest, and those who honor God shall be honored by Him in the presence of men and angels. {MB 32.3}
พระเยซูทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่มนุษย์บิดเบือนและเข้าใจผิด การที่ลูกๆ ของพระองค์จะเพียรรอคอยพระองค์ด้วยความไว้วางใจเป็นเรื่องที่คุ้มค่า ถึงแม้คนรอบข้างมีแต่รังเกียจและประสงค์ร้ายก็ตาม เพราะไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นที่จะไม่ได้รับการเปิดเผย และผู้ที่ให้เกียรติพระเจ้าต่อหน้ามนุษย์ พระองค์จะทรงให้เกียรติผู้นั้นต่อหน้ามนุษย์และทูตสวรรค์ {MB 32.3}
“When men shall revile you, and persecute you,” said Jesus, “rejoice, and be exceeding glad.” And He pointed His hearers to the prophets who had spoken in the name of the Lord, as “an example of suffering affliction, and of patience.” James 5:10. Abel, the very first Christian of Adam’s children, died a martyr. Enoch walked with God, and the world knew him not. Noah was mocked as a fanatic and an alarmist. “Others had trial of cruel mockings and scourgings, yea, moreover of bonds and imprisonment.” “Others were tortured, not accepting deliverance; that they might obtain a better resurrection.” Hebrews 11:36, 35. {MB 33.1}
พระเยซูตรัสว่า “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านท่านทั้งหลาย” “จงชื่นชมยินดี” (มัทธิว 5:11-12 ฉบับปี 1971) พระองค์ทรงให้ผู้ฟังพิจารณาบรรดาผู้เผยพระวจนะที่กล่าวในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เป็นตัวอย่างของการ “ทนทุกข์และการอดทน” (ยากอบ 5:10) อาเบลเป็นลูกคนแรกของอาดัมที่เป็นคริสเตียน และท่านก็ถูกฆ่าเพราะเหตุความเชื่อของท่าน ส่วนเอโนคดำเนินกับพระเจ้าและชาวโลกไม่รู้จักท่านเลย ต่อมาโนอาห์ถูกเย้ยหยันว่าบ้าคลั่ง และเป็นคนประเภทกระต่ายตื่นตูม “บางคนพบกับการเยาะเย้ยและการโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย” “บางคนถูกทรมาน แต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อจะได้เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตที่ดีกว่า” (ฮีบรู 11:36, 35) {MB 33.1}
In every age God’s chosen messengers have been reviled and persecuted, yet through their affliction the knowledge of God has been spread abroad. Every disciple of Christ is to step into the ranks and carry forward the same work, knowing that its foes can do nothing against the truth, but for the truth. God means that truth shall be brought to the front and become the subject of examination and discussion, even through the contempt placed upon it. The minds of the people must be agitated; every controversy, every reproach, every effort to restrict liberty of conscience, is God’s means of awakening minds that otherwise might slumber. {MB 33.2}
ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้ประกาศข่าวสารของพระองค์ในทุกยุคสมัยเป็นที่รังเกียจของคนอื่นและถูกกดขี่ข่มเหง แต่ในการทนทุกข์ของพวกเขานั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้แพร่กระจายออกไป ให้สาวกของพระคริสต์ทุกคนเข้าประจำที่ แล้วมุ่งหน้าทำงานต่อไป เพราะฝ่ายศัตรูนั้นไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับความจริงของพระเจ้าได้ มีแต่จะส่งเสริมความจริงให้ชัดเจนขึ้น พระเจ้าทรงปรารถนาให้หลักความจริงถูกนำออกมาปรากฏให้คนทั้งหลายได้พินิจพิจารณา เพื่อความจริงจะเป็นประเด็นของการสนทนา แม้ว่าจะเป็นด้วยการดูหมิ่นก็ตาม ต้องมีการปลุกคนให้ตื่น ฉะนั้นทุกครั้งที่มีการขัดแย้งเรื่องความจริง ทุกครั้งที่คนของพระเจ้าถูกประณาม และทุกครั้งที่มีการพยายามจำกัดเสรีภาพของการเชื่อถือ ล้วนเป็นวิธีการของพระเจ้าที่จะปลุกคนให้ตื่น ซึ่งถ้าหากไม่ใช้วิธีเหล่านี้แล้วเขาคงหลับใหลต่อไปอีก {MB 33.2}
How often this result has been seen in the history of God’s messengers! When the noble and eloquent Stephen was stoned to death at the instigation of the Sanhedrin council, there was no loss to the cause of the gospel. The light of heaven that glorified his face, the divine compassion breathed in his dying prayer, were as a sharp arrow of conviction to the bigoted Sanhedrist who stood by, and Saul, the persecuting Pharisee, became a chosen vessel to bear the name of Christ before Gentiles and kings and the children of Israel. And long afterward Paul the aged wrote from his prison house at Rome: “Some indeed preach Christ even of envy and strife: . . . not sincerely, supposing to add affliction to my bonds. . . . Notwithstanding, every way, whether in pretense, or in truth, Christ is preached.” Philippians 1:15-18. Through Paul’s imprisonment the gospel was spread abroad, and souls were won for Christ in the very palace of the Caesars. By the efforts of Satan to destroy it, the “incorruptible” seed of the word of God, “which liveth and abideth forever” (1 Peter 1:23), is sown in the hearts of men; through the reproach and persecution of His children the name of Christ is magnified and souls are saved. {MB 33.3}
ที่ความทุกข์ของผู้ประกาศของพระเจ้านำมาซึ่งผลลัพธ์นี้ก็เห็นอยู่บ่อยครั้งในประวัติศาสตร์ของผู้รับใช้เหล่านั้น สเทเฟนมีความสง่าผ่าเผยและมีวาทศิลป์ เมื่อท่านถูกสภาแซนเฮดรินปลุกปั่นประชาชนให้ขว้างท่านด้วยก้อนหินให้ตายนั้น ข่าวประเสริฐไม่ได้เสียประโยชน์ ใบหน้าของสเทเฟนเปล่งรัศมีจากสวรรค์ และคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจเต็มด้วยพระเมตตากรุณาของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เสมือนลูกศรอันแหลมคมที่แทงทะลุหัวใจของเซาโล ฟาริสีผู้ดื้อรั้นและเป็นนักข่มเหงคริสเตียน พระเจ้าทรงเลือกเซาโลให้เป็นพยานเพื่อพระนามของพระคริสต์ต่อหน้าคนต่างชาติ กษัตริย์หลายองค์ และชาวอิสราเอล เซาโลเปลี่ยนชื่อมาเป็นเปาโล แล้วต่อมาหลายปีท่านเขียนจากที่ถูกคุมขังในกรุงโรมว่า “จริงอยู่ที่มีบางคนประกาศพระคริสต์ด้วยความอิจฉาและการวิวาท…จงใจจะเพิ่มความยากลำบากแก่ข้าพเจ้าในระหว่างถูกคุมขัง…ไม่ว่าจะประกาศด้วยการเสแสร้งหรือด้วยความจริงใจ พระคริสต์ก็ถูกประกาศไป” (ฟีลิบปี 1:15-18) ข่าวประเสริฐได้ประกาศให้แพร่กระจายเนื่องจากการถูกคุมขังของเปาโล จนกระทั่งมีคนในพระราชวังของจักรพรรดิกลับใจเชื่อในพระคริสต์ พระวจนะของพระเจ้าเป็น “เมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย” (1 เปโตร 1:23) เพราะการที่ซาตานพยายามทำลายเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ความจริงจึงได้ถูกหว่านลงไปในใจมนุษย์ และด้วยการประณามและข่มเหงคนของพระคริสต์ พระนามของพระองค์จึงได้รับการเชิดชู และมีคนได้รับความรอด {MB 33.3}
Great is the reward in heaven of those who are witnesses for Christ through persecution and reproach. While the people are looking for earthly good, Jesus points them to a heavenly reward. But He does not place it all in the future life; it begins here. The Lord appeared of old time to Abraham and said, “I am thy shield, and thy exceeding great reward.” Genesis 15:1. This is the reward of all who follow Christ. Jehovah Immanuel–He “in whom are hid all the treasures of wisdom and knowledge,” in whom dwells “all the fullness of the Godhead bodily” (Colossians 2:3, 9)–to be brought into sympathy with Him, to know Him, to possess Him, as the heart opens more and more to receive His attributes; to know His love and power, to possess the unsearchable riches of Christ, to comprehend more and more “what is the breadth, and length, and depth, and height; and to know the love of Christ, which passeth knowledge, that ye might be filled with all the fullness of God” (Ephesians 3:18, 19)–“this is the heritage of the servants of the Lord, and their righteousness is of Me, saith the Lord.” Isaiah 54:17. {MB 34.1}
คนที่เป็นพยานเพื่อพระคริสต์ท่ามกลางการถูกข่มเหงและการประณามจะได้รับบำเหน็จยิ่งใหญ่ในสวรรค์ ขณะที่คนทั้งหลายกำลังหาประโยชน์และสิ่งที่ดีในโลก พระเยซูทรงชี้ไปยังบำเหน็จในสวรรค์ ไม่ใช่ว่าจะต้องรอให้ไปถึงสวรรค์ก่อนที่จะได้รับ เพราะบำเหน็จนั้นเร่ิมได้รับในชีวิตนี้ พระเจ้าปรากฏแก่อับราฮัมในสมัยโบราณและตรัสกับท่านว่า “เราเป็นโล่ของเจ้าและเป็นบำเหน็จยิ่งใหญ่ของเจ้า” (ปฐมกาล 15:1 TKJV) นี่เป็นบำเหน็จของทุกคนที่ติดตามพระคริสต์ คือ พระเยโฮวาห์ อิมมานูเอล เพราะพระองค์ทรงเป็นมรดกของผู้รับใช้ของพระองค์ “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่างซ่อนอยู่ในพระองค์” “ความเป็นพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์” (โคโลสี 2:3, 9) ที่จะรับรู้ถึงความทุกข์สุขของพระองค์ ที่จะรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง รับพระองค์มาเป็นของเรา เปิดใจรับพระลักษณะของพระองค์มากขึ้นๆ และรู้ซึ้งในความรักและฤทธานุภาพของพระองค์ ที่จะได้รับ “ความไพบูลย์อันสุดจะหยั่งได้ของพระคริสต์” และ “สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด และซาบซึ้งในความรักนี้ซึ่งเหนือกว่าความรู้” (เอเฟซัส 3:8, 18, 19 TNCV) “นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้า และการให้ความยุติธรรมต่อเขาจากเรา พระเจ้าตรัสดังนี้” (อิสยาห์ 54:17 ฉบับปี 1971) {MB 34.1}
It was this joy that filled the hearts of Paul and Silas when they prayed and sang praises to God at midnight in the Philippian dungeon. Christ was beside them there, and the light of His presence irradiated the gloom with the glory of the courts above. From Rome, Paul wrote, unmindful of his fetters as he saw the spread of the gospel, “I therein do rejoice, yea, and will rejoice.” Philippians 1:18. And the very words of Christ upon the mount are re-echoed in Paul’s message to the Philippian church, in the midst of their persecutions, “Rejoice in the Lord alway: and again I say, Rejoice.” Philippians 4:4. {MB 35.1}
ความสุขนี่แหละที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจของเปาโลกับสิลาสในเที่ยงคืนวันนั้นขณะที่อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่คุกแห่งเมืองฟีลิปปี พระคริสต์สถิตอยู่เคียงข้างเขา ความมัวหมองในใจจึงถูกกำจัดออกไปด้วยรัศมีภาพแห่งสวรรค์ เช่นเดียวกัน เปาโลเห็นว่าการที่ท่านถูกล่ามโซ่อยู่ในกรุงโรมนั้นเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐได้แพร่กระจาย ท่านจึงกล่าวว่า “สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี และข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีต่อไป” (ฟีลิบปี 1:18 TNCV) ถ้อยคำของเปาโลที่ส่งไปยังคริสตจักรในเมืองฟีลิปปีที่ว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” สะท้อนถึงพระดำรัสของพระคริสต์ในคำเทศนาบนภูเขา (ฟีลิบปี 4:4) {MB 35.1}
“Ye are the salt of the earth.” Matthew 5:13. Salt is valued for its preservative properties; and when God calls His children salt, He would teach them that His purpose in making them the subjects of His grace is that they may become agents in saving others. The object of God in choosing a people before all the world was not only that He might adopt them as His sons and daughters, but that through them the world might receive the grace that bringeth salvation. Titus 2:11. When the Lord chose Abraham, it was not simply to be the special friend of God, but to be a medium of the peculiar privileges the Lord desired to bestow upon the nations. Jesus, in that last prayer with His disciples before His crucifixion, said, “For their sakes I sanctify Myself, that they also might be sanctified through the truth.” John 17:19. In like manner Christians who are purified through the truth will possess saving qualities that preserve the world from utter moral corruption. {MB 35.2}
“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก”—(มัทธิว 5:13) คุณค่าของเกลืออยู่ที่คุณสมบัติในการถนอมอาหารไม่ให้บูด พระเจ้าทรงเรียกคนของพระองค์เป็นเกลือเพื่อสอนให้เขารู้ว่า พวกเขาได้รับพระคุณเพื่อช่วยคนอื่นให้ได้รับความรอด พระเจ้าทรงเรียกชนชาติอิสราเอลไม่ใช่เพียงเพื่อจะรับพวกเขามาเป็นลูกของพระองค์อย่างเดียว แต่เพื่อชาวโลกจะได้รับพระคุณที่นำมาซึ่งความรอดผ่านพวกเขาด้วย (ดู ทิตัส 2:11) พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกอับราฮัมเพื่อมาเป็นมิตรสหายของพระองค์เท่านั้น แต่เพื่อให้อับราฮัมเป็นคนกลางในการนำสิทธิพิเศษบางประการให้แก่บรรดาประชาชาติ ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขนพระองค์ทรงอธิษฐานกับสาวกเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง” (ยอหน์ 17:19) เช่นเดียวกัน คริสเตียนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงเป็นเสมือน ‘สารกันบูด’ ที่ช่วยรักษาโลกไว้ไม่ให้เสื่อมคุณธรรมอย่างสิ้นเชิง {MB 35.2}
Salt must be mingled with the substance to which it is added; it must penetrate and infuse in order to preserve. So it is through personal contact and association that men are reached by the saving power of the gospel. They are not saved in masses, but as individuals. Personal influence is a power. We must come close to those whom we desire to benefit. {MB 36.1}
เกลือต้องถูกผสมคลุกเคล้ากับอาหารถึงจะถนอมอาหารนั้นได้ เช่นเดียวกัน ชาวโลกมารู้จักฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐที่จะช่วยให้รอดโดยผ่านการติดต่อสัมพันธ์กับคริสเตียน มนุษย์ไม่ได้รับความรอดเป็นหมู่คณะ แต่รอดเป็นรายบุคคล อิทธิพลของชีวิตคนๆ หนึ่งมีพลังในการโน้มน้าว ฉะนั้นเราจะต้องขยับเข้าใกล้คนที่เราอยากช่วยเหลือ {MB 36.1}
The savor of the salt represents the vital power of the Christian–the love of Jesus in the heart, the righteousness of Christ pervading the life. The love of Christ is diffusive and aggressive. If it is dwelling in us, it will flow out to others. We shall come close to them till their hearts are warmed by our unselfish interest and love. The sincere believers diffuse vital energy, which is penetrating and imparts new moral power to the souls for whom they labor. It is not the power of the man himself, but the power of the Holy Spirit that does the transforming work. {MB 36.2}
รสเค็มของเกลือเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังชีวิตคริสเตียน คือมีความรักของพระเยซูอยู่ในใจ และมีความชอบธรรมของพระองค์ซึมซับอยู่ในทุกอณูของชีวิต ความรักของพระคริสต์แพร่กระจายในเชิงรุก เมื่อความรักของพระองค์อยู่ในใจของเรา มันจะหลั่งไหลออกไปสู่ผู้อื่น แล้วเราจะเข้าใกล้ชิดคนอื่นจนกระทั่งจิตใจพวกเขาอบอุ่นด้วยความรักและการเอาใจใส่อย่างไม่เห็นแก่ตัว คนที่เชื่อพระเจ้าอย่างจริงใจจะกระจายพลังชีวิตที่ซึมซาบไปถึงคนที่เขาช่วยเหลือให้มีพลังคุณธรรม พลังนั้นไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต {MB 36.2}
Jesus added the solemn warning: “If the salt have lost his savor, wherewith shall it be salted? It is thenceforth good for nothing, but to be cast out, and to be trodden under foot of men.” {MB 36.3}
พระเยซูทรงฝากคำเตือนที่หนักแน่นว่า “ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร ตั้งแต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะถูกทิ้งเสียให้คนเหยียบย่ำ” (มัทธิว 5:13) {MB 36.3}
As they listened to the words of Christ, the people could see the white salt glistening in the pathways where it had been cast out because it had lost its savor and was therefore useless. It well represented the condition of the Pharisees and the effect of their religion upon society. It represents the life of every soul from whom the power of the grace of God has departed and who has become cold and Christless. Whatever may be his profession, such a one is looked upon by men and angels as insipid and disagreeable. It is to such that Christ says: “I would thou wert cold or hot. So then because thou art lukewarm, and neither cold nor hot, I will spue thee out of My mouth.” Revelation 3:15, 16. {MB 36.4}
ขณะที่พระองค์ตรัสอยู่นั้น ผู้ฟังเหลือบไปดูเศษเกลือต้องแสงตะวันระยิบระยับ เป็นเศษเกลือที่คนทิ้งไปเพราะหมดรสเค็ม จึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ [**footnote: เกลือในสมัยนั้นไม่สะอาด วิธีการทำอาหารอย่างหนึ่งคือเอาเกลือใส่ผ้าจุ่มลงไปในแกง พอทำหลายครั้งเข้าสุดท้ายเกลือก็หมดไปเหลือแต่เศษแร่ธาตุที่ไม่เค็ม ซึ่งจะถูกนำไปทิ้งตามทาง] นี่เป็นการบรรยายสภาพของพวกฟาริสีและผลลัพธ์ของคำสอนของพวกเขาต่อสังคมแบบตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุด เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตทุกคนที่สูญเสียพลังแห่งพระคุณของพระเจ้า และมีชีวิตที่เย็นชาปราศจากพระคริสต์ ไม่ว่าคนนั้นจะแอบอ้างอย่างไร แต่ทั้งคนและทูตสวรรค์มองเห็นว่า เขาเป็นคนเฉยชา ไม่มีความเป็นมิตร พระเยซูกล่าวถึงคนเช่นนี้ว่า “เราอยากให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” (วิวรณ์ 3:15, 16) {MB 36.4}
Without a living faith in Christ as a personal Saviour it is impossible to make our influence felt in a skeptical world. We cannot give to others that which we do not ourselves possess. It is in proportion to our own devotion and consecration to Christ that we exert an influence for the blessing and uplifting of mankind. If there is no actual service, no genuine love, no reality of experience, there is no power to help, no connection with heaven, no savor of Christ in the life. Unless the Holy Spirit can use us as agents through whom to communicate to the world the truth as it is in Jesus, we are as salt that has lost its savor and is entirely worthless. By our lack of the grace of Christ we testify to the world that the truth which we claim to believe has no sanctifying power; and thus, so far as our influence goes, we make of no effect the word of God. “If I speak with the tongues of men and of angels, but have not love, I am become sounding brass, or a clanging cymbal. And if I have the gift of prophecy, and know all mysteries and all knowledge; and if I have all faith, so as to remove mountains, but have not love, I am nothing. And if I bestow all my goods to feed the poor, and if I give my body to be burned, but have not love, it profiteth me nothing.” 1 Corinthians 13:1-3, A.R.V. {MB 37.1}
ถ้าปราศจากความเชื่ออันมีชีวิตในพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะโน้มน้าวชาวโลกให้มาเชื่อ ในเมื่อเขามีความสงสัยเป็นทุนอยู่แล้ว เราก็จะให้คนอื่นในสิ่งที่เราเองไม่มีก็ไม่ได้ เรามีการอุทิศถวายชีวิตให้พระคริสต์มากน้อยเพียงไร เราก็จะมีอิทธิพลเอื้อประโยชน์และพัฒนาเพื่อนมนุษย์มากน้อยเพียงนั้น ถ้าไม่มีการรับใช้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีความรักแท้ และขาดประสบการณ์จริง ก็จะไม่มีพลังที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่มีกลิ่นอายแห่งความรักของพระคริสต์ในชีวิต ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้เราเพื่อสื่อสารความจริงของพระเยซูให้ชาวโลกไม่ได้แล้ว เราก็เป็นดังเกลือที่หมดรสเค็มที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อความสง่างามของพระคริสต์ไม่ปรากฏในชีวิต ก็เท่ากับเป็นการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าสิ่งที่เราอวดอ้างว่าเชื่อนั้น ไม่มีประสิทธิภาพที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ เราจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะกับคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย (ดู มาระโก 7:13 TNCV) “แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่กำลังส่งเสียง หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวงและความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็เปล่าประโยชน์” (1 โครินธ์ 13:1-3 TNCV) {MB 37.1}
When love fills the heart, it will flow out to others, not because of favors received from them, but because love is the principle of action. Love modifies the character, governs the impulses, subdues enmity, and ennobles the affections. This love is as broad as the universe, and is in harmony with that of the angel workers. Cherished in the heart, it sweetens the entire life and sheds its blessing upon all around. It is this, and this only, that can make us the salt of the earth. {MB 38.1}
เมื่อมีความรักเต็มหัวใจ ความรักนั้นจะไหลล้นออกไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่เพราะเราเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นหรือเคยได้ประโยชน์จากเขา แต่เพราะความรักเป็นพลังธรรมะที่ขับเคลื่อนการทำดี ความรักช่วยแก้ไขดัดแปลงอุปนิสัย คอยควบคุมอารมณ์ สยบความเกลียดชังและเสริมสร้างชีวิตให้มีความสง่างาม ความรักนั้นกว้างใหญ่ดังจักรวาล และสอดคล้องกับการทำงานของเหล่าทูตสวรรค์ เมื่อเรายึดความรักไว้ในใจ ทั้งชีวิตจะมีความหวานชื่น และถ่ายเทพระพรให้คนรอบข้าง มีแต่สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราเป็นเกลือแห่งโลกได้ {MB 38.1}
“Ye are the light of the world.” Matthew 5:14. As Jesus taught the people, He made His lessons interesting and held the attention of His hearers by frequent illustrations from the scenes of nature about them. The people had come together while it was yet morning. The glorious sun, climbing higher and higher in the blue sky, was chasing away the shadows that lurked in the valleys and among the narrow defiles of the mountains. The glory of the eastern heavens had not yet faded out. The sunlight flooded the land with its splendor; the placid surface of the lake reflected the golden light and mirrored the rosy clouds of morning. Every bud and flower and leafy spray glistened with dewdrops. Nature smiled under the benediction of a new day, and the birds sang sweetly among the trees. The Saviour looked upon the company before Him, and then to the rising sun, and said to His disciples, “Ye are the light of the world.” As the sun goes forth on its errand of love, dispelling the shades of night and awakening the world to life, so the followers of Christ are to go forth on their mission, diffusing the light of heaven upon those who are in the darkness of error and sin. {MB 38.2}
“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”—(มัทธิว 5:14) การสอนของพระเยซูน่าสนใจ พระองค์ยกตัวอย่างจากธรรมชาติที่อยู่รอบๆ เพื่อให้บทเรียนเป็นที่จับใจผู้ฟัง ฝูงชนมารวมกันแต่เช้า ดวงอาทิตย์เจิดจ้าป่ายปีนขึ้นไปในท้องฟ้าสีคราม ขับไล่เงามืดที่ซุกซ่อนตามหุบเขาและซอกหิน สีสันยามรุ่งอรุณยังไม่จางหายไปจากฟากฟ้าตะวันออก ดวงสุรีย์สาดแสงไปทั่วแผ่นดิน ทะเลสาบสงบนิ่งสะท้อนแสงสีทองและเมฆสีแดงยามอรุณเบิกฟ้า ดอกไม้ใบหญ้าพรมด้วยน้ำค้างระยิบระยับ ธรรมชาติยิ้มรับวันใหม่ นกผิวปากร้องเพลงไพเราะอยู่ตามหมู่ไม้ ขณะนั้นพระผู้ช่วยให้รอดทอดพระเนตรฝูงชน ทรงเหลียวมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอยู่นั้น ก่อนตรัสกับสาวกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” ดวงอาทิตย์โคจรตาม ‘หน้าที่แห่งรัก’ เพื่อขจัดปัดเป่าความมืดยามค่ำคืนออกไปและปลุกชีวิตในโลกให้ตื่นขึ้นใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น สาวกของพระคริสต์มีหน้าที่ออกไปประกอบพันธกิจ และส่องแสงแห่งสวรรค์แก่ทุกคนที่อยู่ใต้ความมืดทึบแห่งความผิดบาป {MB 38.2}
In the brilliant light of the morning, the towns and villages upon the surrounding hills stood forth clearly, making an attractive feature of the scene. Pointing to them, Jesus said, “A city set on a hill cannot be hid.” And he added, “Neither do men light a lamp, and put it under the bushel, but on the stand; and it shineth unto all that are in the house.” R.V. Most of those who listened to the words of Jesus were peasants and fishermen whose lowly dwellings contained but one room, in which the single lamp on its stand shone to all in the house. Even so, said Jesus, “Let your light so shine before men, that they may see your good works, and glorify your Father which is in heaven.” {MB 39.1}
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องไปยังหมู่บ้านน้อยใหญ่ตามเนินเขาโดยรอบ ช่วยสร้างบรรยากาศให้น่าดู พระเยซูทรงชี้ไปยังหมู่บ้านเหล่านั้น ตรัสว่า “เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน” (มัทธิว 5:14-15 TNCV) ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาและชาวประมง อาศัยอยู่ในกระท่อมห้องเดียว มีตะเกียงไว้กลางห้องเพื่อส่องแสงให้บ้านสว่าง พระเยซูจึงตรัสว่า “ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:16) {MB 39.1}
No other light ever has shone or ever will shine upon fallen man save that which emanates from Christ. Jesus, the Saviour, is the only light that can illuminate the darkness of a world lying in sin. Of Christ it is written, “In Him was life; and the life was the light of men.” John 1:4. It was by receiving of His life that His disciples could become light bearers. The life of Christ in the soul, His love revealed in the character, would make them the light of the world. {MB 39.2}
ไม่เคยมีแสงสว่างอันใดที่ส่องมายังมนุษย์หรือที่จะส่องมาในภายหน้านอกจากแสงสว่างที่มาจากพระคริสต์ พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นความสว่างเดียวที่สามารถฉายเข้าไปในความมืดของโลกที่กำลังจมอยู่ในความบาป ตามข้อพระคัมภีร์ที่เขียนถึงพระคริสต์ว่า “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์” (ยอห์น 1:4) สาวกจึงกลายเป็นผู้ถือไฟส่องทาง ด้วยการรับชีวิตของพระองค์ และเขาจะเป็นความสว่างของโลก เมื่อมีพระคริสต์ประทับอยู่ในใจ และมีความรักของพระองค์สำแดงออกในอุปนิสัย {MB 39.2}
Humanity has in itself no light. Apart from Christ we are like an unkindled taper, like the moon when her face is turned away from the sun; we have not a single ray of brightness to shed into the darkness of the world. But when we turn toward the Sun of Righteousness, when we come in touch with Christ, the whole soul is aglow with the brightness of the divine presence. {MB 40.1}
มนุษย์ไม่มีความสว่างในตัวเอง ถ้าแยกจากพระคริสต์แล้ว เราก็เหมือนดุ้นฟืนที่ยังไม่จุดไฟ เหมือนดวงจันทร์ที่หันหลังให้ดวงอาทิตย์ เราไม่มีลำแสงในตัวเองที่จะส่องเข้ามาในความมืดแห่งโลก แต่เมื่อเราหันหน้าไปยังพระคริสต์ผู้ทรงเป็น “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม” คือเมื่อเราสัมผัสกับพระองค์แล้ว ทั้งชีวิตจะสว่างไสวเพราะพระองค์สถิตอยู่ด้วย {MB 40.1}
Christ’s followers are to be more than a light in the midst of men. They are the light of the world. Jesus says to all who have named His name, You have given yourselves to Me, and I have given you to the world as My representatives. As the Father had sent Him into the world, so, He declares, “have I also sent them into the world.” John 17:18. As Christ is the channel for the revelation of the Father, so we are to be the channel for the revelation of Christ. While our Saviour is the great source of illumination, forget not, O Christian, that He is revealed through humanity. God’s blessings are bestowed through human instrumentality. Christ Himself came to the world as the Son of man. Humanity, united to the divine nature, must touch humanity. The church of Christ, every individual disciple of the Master, is heaven’s appointed channel for the revelation of God to men. Angels of glory wait to communicate through you heaven’s light and power to souls that are ready to perish. Shall the human agent fail of accomplishing his appointed work? Oh, then to that degree is the world robbed of the promised influence of the Holy Spirit! {MB 40.2}
สาวกของพระคริสต์ไม่ใช่แสงสว่างอันหน่ึงของโลกท่ามกลางแสงอื่น แต่เป็นแสงสว่างเดียวของโลก พระเยซูตรัสกับทุกคนที่รับพระนามของพระองค์ว่า ‘เจ้าได้มอบชีวิตให้เราแล้ว เราจึงใช้เจ้าไปเป็นตัวแทนของเราในโลก พระบิดาทรงใช้เรามาในโลกอย่างไร เราใช้พวกเจ้าออกไปในโลกอย่างนั้น’ (ยอห์น 17:18) พระคริสต์ทรงเป็นสื่อกลางที่เปิดเผยให้เห็นพระบิดาอย่างไร เราก็ต้องเป็นสื่อกลางที่เปิดเผยพระคริสต์อย่างนั้น ถึงแม้พระคริสต์ทรงเป็นดวงประทีป แต่อย่าลืมว่าพระองค์ทรงสำแดงพระองค์ผ่านมนุษย์ พระพรของพระเจ้าประทานลงมาผ่านมนุษย์ พระคริสต์เองเสด็จมาเป็น “บุตรมนุษย์” และคนที่ติดสนิทกับพระเจ้าต้องช่วยเหลือคนอื่น คริสตจักรของพระคริสต์ประกอบด้วยสาวกของพระองค์ทุกคน แต่ละคนได้รับการแต่งตั้งจากสวรรค์เพื่อเป็นสื่อกลางให้มนุษย์รู้จักพระเจ้า ทูตสวรรค์รอคอยที่จะใช้เราเป็นสื่อเพื่อส่องแสงสว่างและฤทธิ์อำนาจของสวรรค์ไปยังผู้คนที่จวนจะพินาศ แล้วเราผู้รับใช้จะล้มเหลวไม่ทำงานที่ทรงมอบหมายนี้หรือ คงเป็นการเสียหายยิ่งนัก เพราะโลกจะขาดอิทธิพลโน้มน้าวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ ตามสัดส่วนที่เราบกพร่องต่อหน้าที่นี้ {MB 40.2}
But Jesus did not bid the disciples, “Strive to make your light shine;” He said, “Let it shine.” If Christ is dwelling in the heart, it is impossible to conceal the light of His presence. If those who profess to be followers of Christ are not the light of the world, it is because the vital power has left them; if they have no light to give, it is because they have no connection with the Source of light. {MB 41.1}
พระเยซูไม่ได้ขอสาวกว่า ‘จงเพียรพยายามส่องสว่าง’ แต่ตรัสว่า “จงให้ความสว่างของท่านส่องไป” (TKJV) ถ้าพระคริสต์ประทับในใจแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังแสงสว่างของพระองค์ ถ้าคนที่อ้างตนว่าเป็นสาวกของพระคริสต์ไม่ได้เป็นแสงสว่างของโลก ก็เป็นเพราะว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ให้ชีวิตได้พรากไปจากเขาแล้ว ถ้าเขาไม่มีแสงสว่างก็เป็นเพราะเขาไม่มีการเชื่อมต่อกับพระองค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความสว่างทั้งปวง {MB 41.1}
In all ages the “Spirit of Christ which was in them” (1 Peter 1:11) has made God’s true children the light of the people of their generation. Joseph was a light bearer in Egypt. In his purity and benevolence and filial love he represented Christ in the midst of a nation of idolaters. While the Israelites were on their way from Egypt to the Promised Land, the true-hearted among them were a light to the surrounding nations. Through them God was revealed to the world. From Daniel and his companions in Babylon, and from Mordecai in Persia, bright beams of light shone out amid the darkness of the kingly courts. In like manner the disciples of Christ are set as light bearers on the way to heaven; through them the Father’s mercy and goodness are made manifest to a world enshrouded in the darkness of misapprehension of God. By seeing their good works, others are led to glorify the Father who is above; for it is made manifest that there is a God on the throne of the universe whose character is worthy of praise and imitation. The divine love glowing in the heart, the Christlike harmony manifested in the life, are as a glimpse of heaven granted to men of the world, that they may appreciate its excellence. {MB 41.2}
ในทุกยุคสมัย พระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ในคนของพระองค์ (ดู 1 เปโตร 1:11) กระทำให้คนที่เป็นลูกของพระเจ้าอย่างแท้จริงเป็นแสงสว่างให้กับคนร่วมสมัย โยเซฟส่องสว่างอยู่ในประเทศอียิปต์ โดยการมีความเมตตากรุณา ความบริสุทธิ์ และด้วยความรักที่มีต่อบิดา สิ่งเหล่านี้สำแดงพระคริสต์ท่ามกลางชนชาติที่ไหว้รูปเคารพ ต่อมาเมื่อคนอิสราเอลออกจากอียิปต์มุ่งหน้าไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาคนที่ซื่อสัตย์ได้เป็นแสงสว่างให้กับชนชาติที่อยู่รอบข้าง ชาวโลกจึงรู้จักพระเจ้าผ่านพวกเขา ดาเนียลกับเพื่อนๆ ในบาบิโลน และโมรเดคัยในเปอร์เซียได้ส่องแสงอันเจิดจ้าท่ามกลางความมืดมัวแห่งราชสำนักของกษัตริย์ เช่นเดียวกัน สาวกของพระคริสต์ได้รับมอบหมายให้ส่องทางไปสวรรค์ พวกเขาสำแดงพระเมตตาและพระคุณความดีของพระบิดาให้ชาวโลกที่อยู่ในความมืดเพราะไม่เข้าใจพระองค์ เมื่อคนเห็นความดีที่พวกเขากระทำ จึงสรรเสริญพระบิดาในสวรรค์ เพราะเรื่องนี้พิสูจน์ว่ามีพระเจ้าประทับอยู่บนพระที่นั่งผู้ทรงครอบครองจักรวาล ที่สมควรได้รับการสรรเสริญและเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ความรักของพระเจ้าที่เปล่งประกายอยู่ในหัวใจ และชีวิตที่สำแดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวกับพระคริสต์ เป็นสิ่งสะท้อนภาพสวรรค์ให้มนุษย์ชื่นชม {MB 41.2}
It is thus that men are led to believe “the love that God hath to us.” 1 John 4:16. Thus hearts once sinful and corrupt are purified and transformed, to be presented “faultless before the presence of His glory with exceeding joy.” Jude 24. {MB 42.1}
ฉะนั้นคนจึงเรียนรู้ที่จะวางใจใน “ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา” (1 ยอหน์ 4:16) และใจที่เคยเปรอะเปื้อนมลทินบาปได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อจะถูกนำมาอยู่ “เบื้องหน้าพระสิริของพระองค์ โดยปราศจากตำหนิและมีความร่าเริงยินดี” (ยูดา 24) {MB 42.1}
The Saviour’s words, “Ye are the light of the world,” point to the fact that He has committed to His followers a world-wide mission. In the days of Christ, selfishness and pride and prejudice had built strong and high the wall of partition between the appointed guardians of the sacred oracles and every other nation on the globe. But the Saviour had come to change all this. The words which the people were hearing from His lips were unlike anything to which they had ever listened from priest or rabbi. Christ tears away the wall of partition, the self-love, the dividing prejudice of nationality, and teaches a love for all the human family. He lifts men from the narrow circle that their selfishness prescribes; He abolishes all territorial lines and artificial distinctions of society. He makes no difference between neighbors and strangers, friends and enemies. He teaches us to look upon every needy soul as our neighbor and the world as our field. {MB 42.2}
ถ้อยคำของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” แสดงว่าพระองค์ทรงมอบพันธกิจที่ครอบคลุมโลกทั้งโลกให้แก่สาวกของพระองค์ ในสมัยพระคริสต์ ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งและการดูถูกชาติอื่นได้เป็นกำแพงสูงที่กั้นอยู่ระหว่างผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพระวจนะของพระเจ้า และชนชาติอื่นๆ ทั่วโลก แต่พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพนี้ ถ้อยคำของพระเยซูแตกต่างไปจากที่เคยได้ยินจากปุโรหิตหรือธรรมาจารย์คนใดมาก่อน พระเยซูทรงรื้อกำแพงที่ขวางกั้นลง คือความเห็นแก่ตัวและความเป็นชาตินิยม ทรงสอนให้เรารักมวลมนุษย์ชาติ พระองค์ทรงยกมนุษย์ขึ้นจากวงแคบที่มีตัวเขาเองเป็นศูนย์กลาง ทรงเลิกล้มการแบ่งอาณาเขตและชนชั้นสังคม พระองค์ไม่แบ่งแยกระหว่างเพื่อนบ้านกับคนแปลกหน้า เพื่อนหรือศัตรู แต่ทรงสอนให้เราถือว่ามนุษย์ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือคือเพื่อนบ้านของเรา และอาณาเขตการทำงานของเราก็คือโลกทั้งใบ {MB 42.2}
As the rays of the sun penetrate to the remotest corners of the globe, so God designs that the light of the gospel shall extend to every soul upon the earth. If the church of Christ were fulfilling the purpose of our Lord, light would be shed upon all that sit in darkness and in the region and shadow of death. Instead of congregating together and shunning responsibility and cross bearing, the members of the church would scatter into all lands, letting the light of Christ shine out from them, working as He did for the salvation of souls, and this “gospel of the kingdom” would speedily be carried to all the world. {MB 42.3}
แสงอาทิตย์ส่องลงมาทั่วถึงทุกพื้นที่ในโลกแม้กระทั่งที่ห่างไกลความเจริญด้วยอย่างไร พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรานำแสงแห่งข่าวประเสริฐไปยังมนุษย์ทุกคนในโลกอย่างนั้น ถ้าคริสตจักรได้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์แล้ว ทุกคนที่นั่งในความมืดทึบ และถูกเงาแห่งความตายครอบงำอยู่จะได้รับแสงสว่าง แทนที่คริสเตียนจะย้ายมารวมอยู่ในที่เดียวกันหมด ปฏิเสธหน้าที่และไม่ยอมแบกไม้กางเขน สมาชิกคริสตจักรควรจะกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ เพื่อส่องแสงแห่งพระคริสต์ และทำงานตามแบบอย่างของพระองค์ในการนำคนมารับความรอด แล้ว “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” จะได้ประกาศไปทั่วโลกในไม่ช้า {MB 42.3}
It is thus that God’s purpose in calling His people, from Abraham on the plains of Mesopotamia to us in this age, is to reach its fulfillment. He says, “I will bless thee, . . . and thou shalt be a blessing.” Genesis 12:2. The words of Christ through the gospel prophet, which are but re-echoed in the Sermon on the Mount, are for us in this last generation: “Arise, shine; for thy light is come, and the glory of the Lord is risen upon thee.” Isaiah 60:1. If upon your spirit the glory of the Lord is risen, if you have beheld His beauty who is “the chiefest among ten thousand” and the One “altogether lovely,” if your souls has become radiant in the presence of His glory, to you is this word from the Master sent. Have you stood with Christ on the mount of transfiguration? Down in the plain there are souls enslaved by Satan; they are waiting for the word of faith and prayer to set them free. {MB 43.1}
พระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงเรียกประชากรของพระองค์นับตั้งแต่อับราฮัม ณ ที่ราบเมโสโปเตเมียจนถึงสมัยพวกเราจะสำเร็จอย่างนี้แหละ พระองค์ตรัสว่า “เราจะอวยพรเจ้า…แล้วเจ้าจะเป็นพร” (ปฐมกาล 12:2) ข่าวประเสริฐที่พระคริสต์ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ และต่อมาตรัสอีกในคำเทศนาบนภูเขา มีความหมายพิเศษสำหรับเราในยุคสุดท้าย “จงลุกขึ้นส่องสว่าง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” (อิสยาห์ 60:1 TNCV) ถ้าพระสิริของพระเจ้าฉายขึ้นเหนือท่าน ถ้าท่านได้พิจารณาความงดงามของผู้ที่ “โดดเด่นท่ามกลางคนนับหมื่น” ถ้าหัวใจสว่างไสวด้วยพระสิริของพระองค์ผู้ประทับอยู่ข้างในแล้ว ก็แสดงว่าพระเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้แก่ท่าน ท่านเคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับพระคริสต์เสมือนยืนอยู่กับพระองค์บนภูเขาจำแลงพระกายหรือไม่? อย่าลืมว่าในที่ราบข้างล่างมีคนมากมายที่ตกเป็นทาสของซาตาน พวกเขารอฟังถ้อยคำที่ประกอบด้วยความเชื่อ และคอยให้ท่านอธิษฐานขอให้พวกเขาได้รับอิสรภาพอยู่ {MB 43.1}
We are not only to contemplate the glory of Christ, but also to speak of His excellences. Isaiah not only beheld the glory of Christ, but he also spoke of Him. While David mused, the fire burned; then spoke he with his tongue. While he mused upon the wondrous love of God he could not but speak of that which he saw and felt. Who can by faith behold the wonderful plan of redemption, the glory of the only-begotten Son of God, and not speak of it? Who can contemplate the unfathomable love that was manifested upon the cross of Calvary in the death of Christ, that we might not perish, but have everlasting life–who can behold this and have no words with which to extol the Saviour’s glory? {MB 43.2}
เราควรพิจารณาและคิดคำนึงถึงพระสิริของพระคริสต์เอาไว้ แต่นั่นไม่พอ เราควรพูดถึงความประเสริฐของพระองค์ด้วย อิสยาห์ไม่เพียงแต่มองเห็นพระสิริของพระคริสต์ แต่ท่านได้กล่าวถึงพระองค์เช่นกัน ดาวิดคิดรำพึงถึงพระองค์ ดังไฟที่เผาผลาญในหัวใจ ท่านจึงพูดด้วยปาก ขณะที่คิดคำนึงถึงความรักของพระเจ้าที่แสนประเสริฐ ท่านรู้สึกว่าไม่พูดไม่ได้ แต่ต้องกล่าวถึงสิ่งที่ท่านได้พบเห็น ใครเล่าสามารถมองด้วยตาแห่งความเชื่อและเห็นแผนการทรงไถ่ และพระสิริของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าแล้วกลับไม่พูดถึงเลย? พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงความรักอันสุดจะหยั่งได้ด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเราจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ แล้วใครเล่าเมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้วจะไม่มีคำพูดที่จะสรรเสริญพระองค์? {MB 43.2}
“In His temple doth everyone speak of His glory.” Psalm 29:9. The sweet singer of Israel praised Him upon the harp, saying, “I will speak of the glorious honor of Thy majesty, and of Thy wondrous works. And men shall speak of the might of Thy terrible acts: and I will declare Thy greatness.” Psalm 145:5, 6. {MB 44.1}
“ในพระวิหารของพระองค์ทุกคนกล่าวถึงสง่าราศีของพระองค์” (สดุดี 29:9 TKJV) ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีได้ดีดพิณขับร้องเพลงสรรเสริญว่า “ข้าพเจ้าจะตรึกตรองถึงพระบารมีอันโอ่อ่าตระการของพระองค์ และถึงพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ พวกเขาจะเล่าขานถึงฤทธานุภาพแห่งพระราชกิจอันน่าเกรงขามของพระองค์ และข้าพระองค์จะประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” (สดุดี 145:5, 6 TNCV เชิงอรรถ) {MB 44.1}
The cross of Calvary is to be lifted high above the people, absorbing their minds and concentrating their thoughts. Then all the spiritual faculties will be charged with divine power direct from God. Then there will be a concentration of the energies in genuine work for the Master. The workers will send forth to the world beams of light, as living agencies to enlighten the earth. {MB 44.2}
ให้เราเทิดทูนไม้กางเขนของพระคริสต์ให้สูงเด่น เพื่อให้คนทั้งหลายพิจารณาอยู่ตลอดเวลา แล้วสติปัญญาและความสามารถด้านจิตวิญญาณจะได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยอำนาจที่มาจากพระเจ้า และผู้รับใช้ของพระองค์จะทุ่มเทกำลังมุ่งหน้าในการทำงานเพื่อพระอาจารย์ของพวกเขา คนงานจะตื่นตัวในการส่องแสงให้โลกสว่าง {MB 44.2}
Christ accepts, oh, so gladly, every human agency that is surrendered to Him. He brings the human into union with the divine, that He may communicate to the world the mysteries of incarnate love. Talk it, pray it, sing it; proclaim abroad the message of His glory, and keep pressing onward to the regions beyond. {MB 44.3}
พระคริสต์ทรงมีความยินดีที่จะยอมรับทุกคนที่มอบชีวิตให้พระองค์ พระองค์ทรงนำคนให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เพื่อพระองค์จะประกาศความลี้ลับแห่งความรักที่ประทานให้โลกเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ จงพูด อธิษฐานและร้องเพลงถึงสิ่งเหล่านี้ จงป่าวประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระสิริของพระเจ้า และบากบั่นไปข้างหน้าจนที่ห่างไกลได้ยิน {MB 44.3}
Trials patiently borne, blessings gratefully received, temptations manfully resisted, meekness, kindness, mercy, and love habitually revealed, are the lights that shine forth in the character in contrast with the darkness of the selfish heart, into which the light of life has never shone. {MB 44.4}
การอดทนรับความลำบาก การแสดงความขอบคุณต่อพระพรที่ได้รับ การต้านการทดลอง การแสดงถึงความเมตตากรุณาและความรักเป็นประจำ ทั้งหมดนี้คือแสงสว่างที่ฉายออกจากอุปนิสัย ซึ่งตรงกันข้ามกับจิตใจที่มัวหมองเห็นแก่ตัวที่ความสว่างแห่งชีวิตไม่เคยส่องเข้าไปถึง {MB 44.4}