Chapter 1 (บทที่ 1)
Our Example
แบบอย่างของเรา

Our Lord Jesus Christ came to this world as the unwearied servant of man’s necessity. He “took our infirmities, and bare our sicknesses,” that He might minister to every need of humanity. Matthew 8:17. The burden of disease and wretchedness and sin He came to remove.

พระมหาเยซูคริสต์ได้เสด็จกลับมายังโลกนี้ใน ฐานะของผู้รับใช้ที่มิรู้จักเหนื่อยหน่ายต่อการกระทำสิ่งที่จำ เป็นสำหรับมนุษย์ พระองค์ได้ทรง “รับเอาบรรดาความ ทุกข์ภัยไข้เจ็บของเราไว้” เพื่อจะได้ปรนนิบัติรับใช้ใน กๆสิ่งที่มนุษย์ต้องการ พระองค์เสด็จมาเพื่อปลดเปลื้อง ความทุกขเวทนา, ความผิดบาป และโรคภัยไข้เจ็บอันเป็น ภาระหนักให้หลุดพ้นไปจากมนุษย์

It was His mission to bring to men complete restoration; He came to give them health and peace and perfection of character. {MH 17.1}

พระองค์ได้รับมอบ หมายหน้าที่เป็นผู้ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป พระองค์ เสด็จมาเพื่อช่วยให้มนุษย์มีสุขภาพสมบูรณ์ มีความสงบ สุข และมีอุปนิสัยอันดีงามปราศจากที่ติ {MH 17.1}

Varied were the circumstances and needs of those who besought His aid, and none who came to Him went away unhelped. From Him flowed a stream of healing power, and in body and mind and soul men were made whole. {MH 17.2}

บรรดาผู้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระองค์ มีสภาพและความต้องการที่แตกต่างกัน ผู้ที่มาหาพระองค์ ไม่มีสักคนที่จากไปโดยที่ไม่ได้รับพระเมตตา กระแสธารแห่งฤทธิ์อำนาจการรักษาพรั่งพรูมาจากพระองค์ ได้เยียวยาสภาพทางกาย จิตใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ให้หายจนหมดสิ้น {MH 17.2}

The Saviour’s work was not restricted to any time or place. His compassion knew no limit. On so large a scale did He conduct His work of healing and teaching that there was no building in Palestine large enough to receive the multitudes that thronged to Him. On the green hill slopes of Galilee, in the thoroughfares of travel, by the seashore, in the synagogues, and in every other place where the sick could be brought to Him, was to be found His hospital.

พระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอด ไม่จำกัดอยู่กับเวลาหรือสถานที่ พระเมตตาของพระองค์ไม่มีสิ่งใดขีดคั่น พระองค์ทรงประกอบพระราชกิจในการรักษาโรคและการสั่งสอนอย่างมากมายจนไม่มีอาคารสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในแผ่นดินปาเลสไตน์กว้างใหญ่พอจะรองรับฝูงชนที่เบียดเสียดเข้าไปห้อมล้อมพระองค์ บนเนินเขาเขียวขจีแห่งแคว้นกาลิลี ตามเส้นทางสัญจร ริมฝั่งทะเล ในธรรมศาลาและทุกหนแห่งที่นำคนป่วยไปพบพระองค์ได้กลายเป็นสถานพยาบาลสำหรับรักษาคนเจ็บป่วยของพระเยซู

In every city, every town, every village, through which He passed, He laid His hands upon the afflicted ones and healed them. Wherever there were hearts ready to receive His message, He comforted them with the assurance of their heavenly Father’s love. All day He ministered to those who came to Him; in the evening He gave attention to such as through the day must toil to earn a pittance for the support of their families. {MH 17.3}

หัวเมืองใหญ่ เมืองเล็ก หมู่บ้านทุกแห่งที่พระองค์เสด็จผ่านไป ทรงวางพระหัตถ์ลงบนคนที่เจ็บป่วยทรมานและรักษาพวกเขาให้หาย ไม่ว่าแห่งใดที่มีประชาชนเตรียมจิตใจพร้อมรับฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ ทรงปลอบใจของพวกเขาให้มั่นใจในความรักของพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงให้การบำบัดรักษาแก่ผู้ที่มาหาพระองค์ตลอดทั้งวัน ส่วนในตอนเย็น พระองค์ทรงเอาใจใส่ดูแลคนที่ตรากตรำทำงานหนักตลอดทั้งวันเพื่อจะได้ค่าจ้างเพียงน้อยนิดไปเลี้ยงดูครอบครัว {MH 17.3}

Jesus carried the awful weight of responsibility for the salvation of men. He knew that unless there was a decided change in the principles and purposes of the human race, all would be lost. This was the burden of His soul, and none could appreciate the weight that rested upon Him.

พระเยซูทรงแบกความรับผิดชอบอันหนักหน่วงเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงตระหนักดีว่า หากมนุษยชาติไม่เปลี่ยนแปลงหลักการและความมุ่งหมายในชีวิตอย่างจริงจังแล้ว คนทั้งโลกจะสูญสิ้นเป็นแน่ นี่คือความทุกข์ที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดรู้ซึ้งถึงภาระหนักที่ทับถมอยู่นี้

Through childhood, youth, and manhood He walked alone. Yet it was heaven to be in His presence. Day by day He met trials and temptations; day by day He was brought into contact with evil and witnessed its power upon those whom He was seeking to bless and to save. Yet He did not fail or become discouraged. {MH 18.1}

ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ในวัยหนุ่ม จนกระทั่งเติบใหญ่ พระองค์ทรงดำเนินชีวิตตามลำพัง ถึงกระนั้น สวรรค์มาอยู่หน้าพระพักตร์ของพระองค์ วันแล้ววันเล่าที่พระองค์ต้องทรงประสบกับความทุกข์ยากและการถูกทดลอง วันแล้ววันเล่าที่พระองค์ต้องสัมผัสกับความชั่วร้ายและเห็นถึงอำนาจครอบงำของมันที่อยู่เหนือคนทั้งหลายที่พระองค์ทรงแสวงหา เพื่ออำนวยพรและช่วยให้รอดพ้น กระนั้นก็ตาม พระองค์ไม่คิดล้มเลิกหรือท้อถอยแม้แต่น้อย {MH 18.1}

In all things He brought His wishes into strict abeyance to His mission. He glorified His life by making everything in it subordinate to the will of His Father. When in His youth His mother, finding Him in the school of the rabbis, said, “Son, why hast Thou thus dealt with us?” He answered,–and His answer is the keynote of His lifework,–“How is it that ye sought Me? wist ye not that I must be about My Father’s business?” Luke 2:48, 49. {MH 19.1}

ความปรารถนาทุกอย่างของพระองค์ ทรงระงับไว้อยู่ภายใต้พระราชกิจของพระองค์อย่างเคร่งครัด พระเยซูทรงให้เกียรติแก่ชีวิตของพระองค์ด้วยการปฏิบัติทุกสิ่งภายใต้พระประสงค์ของพระบิดาของพระองค์ ครั้งเมื่อทรงเยาว์วัย มารดาของพระองค์ได้ตามหา พบพระองค์อยู่ในโรงเรียนของพวกรับบี (อาจารย์) และนางกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราอย่างนี้” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา” ลูกา 2:48, 49 คำตอบของพระองค์นี้เองได้แสดงถึงหัวใจสำคัญของพระราชกิจในชีวิตของพระองค์ {MH 19.1}

His life was one of constant self-sacrifice. He had no home in this world except as the kindness of friends provided for Him as a wayfarer. He came to live in our behalf the life of the poorest and to walk and work among the needy and the suffering. Unrecognized and unhonored, He walked in and out among the people for whom He had done so much. {MH 19.2}

ชีวิตของพระองค์ เป็นชีวิตแห่งการเสียสละเพื่อผู้อื่น พระองค์ไม่มีบ้านเรือนในโลกนี้ นอกจากได้รับความเอื้อเฟื้อจากมิตรสหายที่เตรียมไว้สำหรับพระองค์ได้พักพิงเหมือนคนพเนจร พระองค์เสด็จมาเพื่อใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนผู้ยากไร้ที่สุด ทรงดำเนินชีวิตคลุกคลีอยู่กับหมู่ชนที่ขัดสนและทุกข์ยากเพื่อเห็นแก่เรา ทรงดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางประชาชนที่พระองค์ได้ทรงกระทำคุณไว้อย่างมากมาย ถึงกระนั้น คนเหล่านั้นกลับไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าหรือถวายพระเกียรติยศแด่พระองค์ {MH 19.2}

He was always patient and cheerful, and the afflicted hailed Him as a messenger of life and peace. He saw the needs of men and women, children and youth, and to all He gave the invitation, “Come unto Me.” {MH 19.3}

พระองค์ทรงอดทนและมีพระทัยชื่นบานอยู่เสมอ และผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากต่างสรรเสริญพระองค์ว่าเป็นผู้นำความหวังแห่งชีวิตและสันติสุขมาให้ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นถึงความต้องการของบรรดาชายหญิง เด็ก และคนหนุ่มสาว พระองค์ประทานคำเชิญแก่ทุกคนว่า “เชิญมาหาเรา” {MH 19.3}

During His ministry, Jesus devoted more time to healing the sick than to preaching. His miracles testified to the truth of His words, that He came not to destroy, but to save. Wherever He went, the tidings of His mercy preceded Him. Where He had passed, the objects of His compassion were rejoicing in health and making trial of their new-found powers.

ตลอดชีวิตแห่งการรับใช้ของพระเยซู พระองค์ได้ทรงอุทิศเวลารักษาคนเจ็บป่วยมากกว่าการเทศนาสั่งสอน การทำอัศจรรย์ของพระองค์เป็นพยานว่าพระดำรัสของพระองค์เป็นความจริง พระองค์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อมาทำลายแต่มาเพื่อช่วยให้รอดพ้น ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปแห่งหนใด ข่าวแห่งพระคุณของพระองค์ถูกป่าวร้องก่อนล่วงหน้า ตามสถานที่พระองค์เสด็จผ่านไป ผู้ที่ได้รับพระเมตตาจากพระองค์ต่างชื่นชมยินดีที่สุขภาพกลับมาสมบูรณ์แข็งแรง ได้ทดสอบกำลังวังชาที่ได้รับมาใหม่

Crowds were collecting around them to hear from their lips the works that the Lord had wrought. His voice was the first sound that many had ever heard, His name the first word they had ever spoken, His face the first they had ever looked upon. Why should they not love Jesus and sound His praise? As He passed through the towns and cities He was like a vital current, diffusing life and joy.

ผู้คนเป็นจำนวนมากต่างเข้าไปห้อมล้อมคนเหล่านั้น เพื่อจะฟังถ้อยคำจากปากของเขาถึงราชกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ หลายคนได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์เป็นครั้งแรก พวกเขากล่าวถึงพระนามของพระองค์เป็นคำแรก พระพักตร์ของพระองค์เป็นสิ่งแรกที่พวกเขาได้เห็น เหตุใดพวกเขาจะไม่รักพระเยซูและสรรเสริญพระองค์เล่า ในขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่นั้น ทรงเปรียบเสมือนธารทิพย์ที่ไหลริน นำชีวิตและความปีติยินดีแพร่กระจายไป

“The land of Zebulun and the land of Naphtali, Toward the sea, beyond the Jordan, Galilee of the nations, The people that sat in darkness Saw a great light, And to them that sat in the region and shadow of death, To them did light spring up.” Matthew 4:15, 16, A.R.V., margin. {MH 19.4}

“แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลี ที่อยู่บนทางไปยังทะเลและฝั่งแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น กาลิลีของพวกต่างชาติ ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย ก็มีความสว่างขึ้นส่องถึงเขาแล้ว” มัทธิว 4:15, 16 {MH 19.4}

The Saviour made each work of healing an occasion for implanting divine principles in the mind and soul. This was the purpose of His work. He imparted earthly blessings, that He might incline the hearts of men to receive the gospel of His grace. {MH 20.1}

พระผู้ช่วยให้รอดทรงใช้ราชกิจของการรักษาโรคทุกครั้งเพื่อเป็นโอกาสปลูกฝังหลักการของพระเจ้าให้ซึมซับเข้าสู่จิตใจและจิตวิญญาณ สิ่งนี้คือจุดมุ่งหมายพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ประทานพระพรทางฝ่ายโลกเพื่อที่จะสามารถโน้มน้าวให้จิตใจของมนุษย์ให้ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระองค์ {MH 20.1}

Christ might have occupied the highest place among the teachers of the Jewish nation, but He preferred rather to take the gospel to the poor. He went from place to place, that those in the highways and byways might hear the words of truth. By the sea, on the mountainside, in the streets of the city, in the synagogue, His voice was heard explaining the Scriptures. Often He taught in the outer court of the temple, that the Gentiles might hear His words. {MH 20.2}

พระคริสต์ทรงน่าจะได้รับตำแหน่งสูงที่สุดในหมู่อาจารย์ของชนชาติยิว แต่พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะนำข่าวประเสริฐไปเผยแพร่แก่คนยากจนมากกว่า พระองค์เสด็จรอนแรมไปตามที่ต่างๆ เพื่อประชาชนที่อยู่ตามหนทางสัญจรน้อยใหญ่จะได้ยินพระวจนะแห่งความจริง ชายฝั่งริมทะเล บนเนินเขา ตามถนนหนทางในเมือง ในธรรมศาลา จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์อธิบายพระคัมภีร์ หลายครั้งที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ในลานวิหารชั้นนอก เพื่อคนต่างชาติจะได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ {MH 20.2}

So unlike the explanations of Scripture given by the scribes and Pharisees was Christ’s teaching, that the attention of the people was arrested. The rabbis dwelt upon tradition, upon human theory and speculation. Often that which men had taught and written about the Scripture was put in place of the Scripture itself. The subject of Christ’s teaching was the word of God.

คำสั่งสอนของพระคริสต์ดึงดูดความสนใจจากประชาชน เป็นคำสอนที่แตกต่างจากการอธิบายพระคัมภีร์ของพวกธรรมจารย์และฟาริสี พวกรับบีต่างจมอยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณี ความเห็นของมนุษย์ บัญญัติและกฎเกณฑ์ต่างๆ บ่อยครั้งที่พวกเขานำเอาคำสอนมนุษย์ซึ่งเขียนถึงเรื่องราวของพระคัมภีร์มาใช้แทนข้อความในพระคัมภีร์ ใจความในคำสอนของพระคริสต์เป็นพระวจนะของพระเจ้า

He met questioners with a plain, “It is written,” “What saith the Scripture?” “How readest thou?” At every opportunity when an interest was awakened by either friend or foe, He presented the word. With clearness and power He proclaimed the gospel message. His words shed a flood of light on the teachings of patriarchs and prophets, and the Scriptures came to men as a new revelation. Never before had His hearers perceived in the word of God such depth of meaning. {MH 21.1}

พระองค์ตรัสแก่คนที่ซักถามด้วยคำตอบชัดเจนว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า” “พระคัมภีร์ว่าอย่างไร” “ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร” ในทุกโอกาสเมื่อมิตรหรือศัตรูปลุกให้เกิดความสนใจ พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระเจ้าอธิบายให้เกิดความเข้าใจข่าวประเสริฐอย่างกระจ่างแจ้งด้วยพลังอำนาจ พระดำรัสของพระองค์ดุจลำแสงเจิดจ้าที่ฉายส่อง ทำให้มนุษย์ได้ประจักษ์คำสั่งสอนของบรรพชนและผู้เผยพระวจนะ เปิดเผยให้เห็นความหมายในพระคัมภีร์แบบใหม่ ที่ผู้ฟังพระวจนะของพระเจ้าต่างเกิดความเข้าใจลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน {MH 21.1}

Never was there such an evangelist as Christ. He was the Majesty of heaven, but He humbled Himself to take our nature, that He might meet men where they were. To all people, rich and poor, free and bond, Christ, the Messenger of the covenant, brought the tidings of salvation. His fame as the Great Healer spread throughout Palestine.

ไม่เคยมีผู้เผยแพร่ศาสนาคนใดที่เป็นเหมือนพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงเดชานุภาพแห่งสวรรค์ แต่ได้ถ่อมพระองค์ลงมารับสภาพมนุษย์ เพื่อจะเข้าถึงสภาพของมนุษย์อย่างที่เขาเป็นอยู่ พระคริสต์ผู้ดำรงเป็นทูตแห่งพันธสัญญา พระองค์นำข่าวแห่งความรอดมาประกาศแก่คนทั้งปวงทั้งคนมั่งมีและคนยากจน ทั้งไทและทาส กิตติศัพท์ของพระองค์ในฐานะแพทย์ผู้ประเสริฐได้เลื่องลือไปทั่วเขตแดนปาเลสไตน์

The sick came to the places through which He would pass, that they might call on Him for help. Hither, too, came many anxious to hear His words and to receive a touch of His hand. Thus He went from city to city, from town to town, preaching the gospel and healing the sick–the King of glory in the lowly garb of humanity. {MH 22.1}

คนเจ็บคนป่วยพากันไปตามสถานที่ตามเส้นทางที่พระองค์จะเสด็จผ่าน เพื่อทูลขอให้พระองค์ช่วยเหลือพวกเขา ขณะเดียวกัน ตามสถานที่เหล่านี้ มีผู้คนจำนวนมากที่กระหายอยากฟังพระดำรัสของพระองค์และเพื่อจะให้พระหัตถ์ของพระองค์สัมผัสพวกเขา ด้วยเหตุนี้ กษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศี ผู้สวมเสื้อผ้าอันต่ำต้อยเหมือนคนทั่วไป เสด็จไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ เพื่อจะเทศนาสั่งสอนข่าวดีอันประเสริฐและรักษาคนเจ็บคนป่วยให้หาย {MH 22.1}

He attended the great yearly festivals of the nation, and to the multitude absorbed in outward ceremony He spoke of heavenly things, bringing eternity within their view. To all He brought treasures from the storehouse of wisdom. He spoke to them in language so simple that they could not fail of understanding. By methods peculiarly His own, He helped all who were in sorrow and affliction. With tender, courteous grace He ministered to the sin-sick soul, bringing healing and strength. {MH 22.2}

พระองค์เสด็จไปงานเลี้ยงฉลองประจำปีของชาติ ในขณะที่ฝูงชนจดจ่ออยู่กับพิธีกรรมภายนอกนั้น พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่อยู่ฝ่ายสวรรค์และชี้ให้พวกเขาเห็นถึงสิ่งที่เป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงนำทรัพย์สมบัติจากคลังแห่งสติปัญญามามอบให้แก่คนทั้งหลาย ตรัสกับพวกเขาด้วยภาษาง่ายๆ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ทรงช่วยเหลือผู้ทุกข์ใจและโศกเศร้าด้วยวิธีเฉพาะของพระองค์ รับใช้จิตวิญญาณที่เจ็บป่วยด้วยโรคแห่งความบาป ทั้งทรงรักษา เสริมความเข้มแข็งด้วยพระกรุณาและเอื้อเฟื้อ {MH 22.2}

The prince of teachers, He sought access to the people by the pathway of their most familiar associations. He presented the truth in such a way that ever after it was to His hearers intertwined with their most hallowed recollections and sympathies.

พระบรมครู ทรงแสวงหาทางเข้าถึงผู้คนโดยการเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งใกล้ตัวที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด พระองค์ทรงอธิบายถึงความจริงด้วยวิธีการที่จะทำให้ผู้ที่ได้ยิน สามารถนำความจริงที่ประสานให้เข้ากับความทรงจำและความเห็นพ้องมาทบทวนใหม่ในภายหลังได้อีก

He taught in a way that made them feel the completeness of His identification with their interests and happiness. His instruction was so direct, His illustrations were so appropriate, His words so sympathetic and cheerful, that His hearers were charmed. The simplicity and earnestness with which He addressed the needy, hallowed every word. {MH 23.1}

พระองค์ทรงสั่งสอนด้วยวิธีที่ทำให้พวกเขาได้สัมผัสถึงพันธะของพระองค์ที่เป็นประโยชน์และความสุขของพวกเขานั้นว่ามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม คำสั่งสอนของพระองค์ตรงจุด อุทาหรณ์ที่พระองค์ทรงยกมาแสดงก็เหมาะสมยิ่งนัก พระดำรัสของพระองค์เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความชื่นบาน ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างประทับใจ ความเรียบง่ายและความจริงใจที่พระองค์ตรัสกับคนยากจน ทำให้ทุกถ้อยคำนั้นทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ {MH 23.1}

What a busy life He led! Day by day He might have been seen entering the humble abodes of want and sorrow, speaking hope to the downcast and peace to the distressed. Gracious, tenderhearted, pitiful, He went about lifting up the bowed-down and comforting the sorrowful. Wherever He went, He carried blessing. {MH 24.1}

พระราชกิจตลอดชีวิตของพระองค์มีอยู่นานัปการ แต่ละวัน จะพบเห็นพระองค์เสด็จไปยังบ้านเรือนที่ต่ำต้อยของคนยากจนและผู้มีความทุกข์ ตรัสถ้อยคำแห่งความหวังให้แก่ผู้ท้อถอยหมดกำลังใจ ประทานสันติสุขแก่คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยพระเมตตา ด้วยพระทัยอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความสงสาร พระองค์เสด็จไปตามที่ต่างๆ เพื่อยกผู้ถูกกดขี่ขึ้นและปลอบใจของคนที่โศกเศร้า ไม่ว่าแห่งใดที่พระองค์เสด็จไป ทรงนำพระพรไปด้วยเสมอ {MH 24.1}

While He ministered to the poor, Jesus studied also to find ways of reaching the rich. He sought the acquaintance of the wealthy and cultured Pharisee, the Jewish nobleman, and the Roman ruler. He accepted their invitations, attended their feasts, made Himself familiar with their interests and occupations, that He might gain access to their hearts, and reveal to them the imperishable riches. {MH 24.2}

ขณะที่พระเยซูทรงรับใช้คนยากจนนั้น พระองค์ทรงศึกษาหาวิธีที่เข้าถึงคนร่ำรวยด้วย พระองค์ทรงแสวงหาทางผูกมิตรกับคนฟาริสีผู้มั่งคั่งและมีความรู้สูง ขุนนางชาวยิวและผู้ปกครองชาวโรมัน พระองค์ทรงตอบรับคำเชิญ และเสด็จไปร่วมงานเลี้ยง ทรงทำความคุ้นเคยด้วยการสนพระทัยในความสนใจและการงานของพวกเขา เพื่อที่จะเข้าถึงจิตใจของคนเหล่านั้น และเผยให้เห็นถึงทรัพย์สมบัติที่จะดำรงอยู่ตลอดนิรันดร์ {MH 24.2}

Christ came to this world to show that by receiving power from on high, man can live an unsullied life. With unwearying patience and sympathetic helpfulness He met men in their necessities. By the gentle touch of grace He banished from the soul unrest and doubt, changing enmity to love, and unbelief to confidence. {MH 25.1}

พระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อแสดงให้เห็นว่า มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ชอบธรรมได้เมื่อรับฤทธิ์อำนาจจากเบื้องบน พระองค์ทรงเพิ่มเติมสิ่งจำเป็นให้แก่คนขัดสน ด้วยพระทัยอดทนโดยไม่ระย่อ และช่วยเหลือด้วยพระทัยเมตตา พระองค์ทรงขจัดความวุ่นวายใจและความเคลือบแคลงสงสัยออกไปจากจิตใจ ด้วยสัมผัสแห่งพระคุณอันอ่อนโยน ทรงเปลี่ยนความเป็นศัตรูให้กลายเป็นความรักและความไม่เชื่อให้กลายเป็นความไว้วางใจ {MH 25.1}

He could say to whom He pleased, “Follow Me,” and the one addressed arose and followed Him. The spell of the world’s enchantment was broken. At the sound of His voice the spirit of greed and ambition fled from the heart, and men arose, emancipated, to follow the Saviour. {MH 25.2}

พระองค์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัยว่า “จงตามเรามา” จากนั้นคนที่พระองค์ทรงกล่าวถึงลุกขึ้นและติดตามพระองค์ไป ความลุ่มหลงในโลกที่เคยครอบงำอยู่มลายสิ้น เมื่อพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ วิญญาณแห่งความโลภและความทะยานผละหนีไปจากจิตใจ และคนเหล่านั้นก็ได้รับการปลดเปลื้องจากพันธนาการ จึงลุกขึ้นและติดตามพระผู้ช่วยให้รอดไป {MH 25.2}

Brotherly Love

ความรักฉันท์พี่น้อง

Christ recognized no distinction of nationality or rank or creed. The scribes and Pharisees desired to make a local and a national benefit of the gifts of heaven and to exclude the rest of God’s family in the world.

พระคริสต์มิได้ทรงแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ ชนชั้น หรือความเชื่อในศาสนา พวกธรรมาจารย์และฟาริสีต่างต้องการใช้ของประทานจากสวรรค์ เพื่อสนองผลประโยชน์ส่วนตัวและสำหรับชาติของตนเท่านั้น และได้กีดกั้นชนชาติอื่นๆ ในโลกซึ่งต่างก็มีสิทธิ์ที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ไม่ให้มีส่วนร่วมในของประทานนั้น

But Christ came to break down every wall of partition. He came to show that His gift of mercy and love is as unconfined as the air, the light, or the showers of rain that refresh the earth. {MH 25.3}

แต่พระคริสต์เสด็จมาเพื่อทลายกำแพงทั้งหลายที่คอยขวางกั้น พระองค์เสด็จมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าของประทานแห่งพระเมตตาคุณและความรักของพระองค์ไม่มีขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับอากาศ แสงสว่างหรือสายฝนที่โปรยปรายลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่แผ่นดินโลก {MH 25.3}

The life of Christ established a religion in which there is no caste, a religion by which Jew and Gentile, free and bond, are linked in a common brotherhood, equal before God. No question of policy influenced His movements. He made no difference between neighbors and strangers, friends and enemies. That which appealed to His heart was a soul thirsting for the waters of life. {MH 25.4}

ชีวิตของพระคริสต์ได้ก่อเกิดศาสนาที่ไม่มีการแบ่งแยกชั้นวรรณะ เป็นศาสนาที่ทำให้ชาวยิวและคนต่างชาติ อิสระชนและทาส มีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง มีความเสมอภาคต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับใดซึ่งจะมีผลต่อราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงทำให้มีความแตกต่างระหว่างเพื่อนบ้านและคนแปลกหน้า มิตรสหายและศัตรู สิ่งที่ดึงดูดพระทัยของพระองค์คือ จิตวิญญาณที่กระหายใคร่ดื่มน้ำแห่งชีวิต {MH 25.4}

He passed by no human being as worthless, but sought to apply the healing remedy to every soul. In whatever company He found Himself He presented a lesson appropriate to the time and the circumstances. Every neglect or insult shown by men to their fellow men only made Him more conscious of their need of His divine-human sympathy. He sought to inspire with hope the roughest and most unpromising, setting before them the assurance that they might become blameless and harmless, attaining such a character as would make them manifest as the children of God. {MH 25.5}

พระองค์มิทรงมองข้ามมนุษย์คนใดว่าไร้ค่า แต่ทรงแสวงหาทางนำการรักษามาให้แก่ทุกคน ไม่ว่าพระองค์ประทับอยู่กับคนกลุ่มใดก็ตาม ทรงสั่งสอนบทเรียนอันเหมาะสมกับเวลาและเหตุการณ์เสมอ ผู้ใดที่ถูกเพื่อนมนุษย์เหยียดหยามและถูกทอดทิ้งโดยไม่มีใครเหลียวแล กลับทำให้พระองค์ตระหนักมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขาต้องการพระเมตตาของพระองค์ที่มีลักษณะของพระเจ้าและมนุษย์ พระองค์ทรงแสวงหาวิธีที่จะบันดาลจิตใจแม้แต่ในผู้ที่ประพฤติตัวเลวทราม ผู้แทบจะไม่มีความหวังใดๆ หลงเหลือ พระองค์ทรงวางความมั่นใจไว้ต่อหน้าเขาเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขาเกิดความหวังใจ ได้เห็นว่าเขาจะเป็นผู้ที่ไม่มีตำหนิและไม่มีพิษภัย การช่วยให้พวกเขามีอุปนิสัยเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว {MH 25.5}

Often He met those who had drifted under Satan’s control, and who had no power to break from his snare. To such a one, discouraged, sick, tempted, fallen, Jesus would speak words of tenderest pity, words that were needed and could be understood. Others He met who were fighting a hand-to-hand battle with the adversary of souls. These He encouraged to persevere, assuring them that they would win; for angels of God were on their side and would give them the victory. {MH 26.1}

บ่อยครั้งที่พระองค์ได้พบกับคนที่ตกเป็นทาสของซาตานและไม่มีแรงดิ้นรนให้หลุดพ้นจากบ่วงแร้วของมัน สำหรับคนเหล่านี้ที่ท้อแท้หมดหวัง เจ็บป่วย ถูกการทดลองและหลงไปในบาป พระเยซูจะตรัสถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพระทัยกรุณา เป็นพระดำรัสที่พวกเขาต่างต้องการ ทำให้เกิดความเข้าใจ พระองค์ได้พบกับบางคนที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับปรปักษ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ พระองค์ทรงหนุนใจคนเหล่านี้ให้พยายามต่อสู้ ให้มีความมั่นใจว่าเขาจะสำเร็จผล เพราะทูตสวรรค์ของพระองค์อยู่เคียงข้างและจะมอบชัยชนะให้แก่พวกเขา {MH 26.1}

At the table of the publicans He sat as an honored guest, by His sympathy and social kindliness showing that He recognized the dignity of humanity; and men longed to become worthy of His confidence. Upon their thirsty hearts His words fell with blessed, life-giving power. New impulses were awakened, and to these outcasts of society there opened the possibility of a new life. {MH 26.2}

พระองค์ประทับเป็นแขกรับเชิญผู้มีเกียรติอยู่ที่โต๊ะอาหารของคนเก็บภาษี ด้วยความเข้าอกเข้าใจและด้วยความเมตตาอย่างฉันท์มิตร เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเฝ้ารอที่จะมีชีวิตที่ทรงคุณค่าสมกับที่พระองค์ทรงไว้วางใจ พระดำรัสของพระองค์จึงเป็นพระพรและเป็นพลังหล่อเลี้ยงจิตใจของผู้หิวกระหาย ด้วยเหตุนี้ กลุ่มคนที่สังคมไม่ยอมรับ จึงได้รับแรงบันดาลใจให้ได้โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ {MH 26.2}

Though He was a Jew, Jesus mingled freely with the Samaritans, setting at nought the Pharisaic customs of His nation. In face of their prejudices He accepted the hospitality of this despised people.

แม้ว่าพระเยซูมีเชื้อสายยิว พระองค์ยังทรงเข้าไปคลุกคลีกับชาวสะมาเรียอย่างเปิดเผย จึงทำให้ธรรมเนียมของพวกฟาริสีของชนชาติของพระองค์หมดสิ้นความสำคัญ พระองค์ทรงมีไมตรีจิตกับคนที่ถูกเหยียดหยามและถูกรังเกียจเชื้อชาติเหล่านั้น

He slept with them under their roofs, ate with them at their tables,–partaking of the food prepared and served by their hands,–taught in their streets, and treated them with the utmost kindness and courtesy. And while He drew their hearts to Him by the tie of human sympathy, His divine grace brought to them the salvation which the Jews rejected. {MH 26.3}

พระองค์ทรงบรรทมภายใต้ชายคาเดียวกันร่วมกับพวกเขา ทรงประทับร่วมโต๊ะและเสวยอาหารที่เขาจัดถวาย เทศนาสั่งสอนตามถนนหนทางในเมืองของเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตาและเอื้อเฟื้ออย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงโน้มน้าวจิตใจของคนเหล่านั้นให้เข้ามาหาพระองค์ด้วยสายใยแห่งความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ พระคุณของพระเจ้าได้นำความรอดที่ชาวยิวปฏิเสธไปมอบให้แก่ชาวสะมาเรีย {MH 26.3}

Personal Ministry

พระราชกิจการสั่งสอนเฉพาะตัว

Christ neglected no opportunity of proclaiming the gospel of salvation. Listen to His wonderful words to that one woman of Samaria. He was sitting by Jacob’s well, as the woman came to draw water. To her surprise He asked a favor of her. “Give Me to drink,” He said. He wanted a cool draft, and He wished also to open the way whereby He might give to her the water of life.

พระคริสต์ไม่เคยละเลยโอกาสประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอด ขอเชิญฟังพระดำรัสอันประเสริฐของพระองค์ที่ได้ตรัสแก่หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่ง ขณะที่ประทับอยู่ริมบ่อน้ำของยาโคบนั้น มีหญิงคนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อ เธอรู้สึกแปลกใจเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” พระองค์ทรงประสงค์จะดื่มน้ำเย็นและปรารถนาจะเปิดทางเพื่อมอบน้ำดำรงชีวิตให้แก่เธอด้วย

“How is it,” said the woman, “that Thou, being a Jew, askest drink of me, which am a woman of Samaria? for the Jews have no dealings with the Samaritans.”

หญิงนั้นจึงทูลว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย”

Jesus answered, “If thou knewest the gift of God, and who it is that saith to thee, Give Me to drink; thou wouldest have asked of Him, and He would have given thee living water…. Whosoever drinketh of this water shall thirst again: but whosoever drinketh of the water that I shall give him shall never thirst; but the water that I shall give him shall be in him a well of water springing up into everlasting life.” John 4:7-14. {MH 27.1}

พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทานและรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้นและผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ……….ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 4:7-14 (THSV) {MH 27.1}

How much interest Christ manifested in this one woman! How earnest and eloquent were His words! When the woman heard them, she left her waterpot, and went into the city, saying to her friends, “Come, see a man, which told me all things that ever I did: is not this the Christ?”

พระคริสต์ทรงแสดงความสนพระทัยในหญิงเพียงคนเดียวอย่างมากมายเพียงไร พระดำรัสของพระองค์เปี่ยมด้วยความจริงใจและโน้มน้าวใจอย่างยิ่ง เมื่อหญิงคนนี้ได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้น เธอละหม้อน้ำไว้และรีบเข้าไปในเมืองบอกเพื่อนๆ ว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม”

We read that “many of the Samaritans of that city believed on Him.” Verses 29, 39. And who can estimate the influence which these words have exerted for the saving of souls in the years that have passed since then? {MH 28.1}

เมื่ออ่านต่อไป เราพบว่า “ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็วางใจในพระองค์” ยอห์น 4:29, 39 (THSV ) ผู้ใดจะประเมินถึงอำนาจจูงใจจากคำพูดเหล่านั้นที่ชักนำคนอื่นๆ ให้รับความรอดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา {MH 28.1}

Wherever hearts are open to receive the truth, Christ is ready to instruct them. He reveals to them the Father, and the service acceptable to Him who reads the heart. For such He uses no parables. To them, as to the woman at the well, He says, “I that speak unto thee am He.” {MH 28.2}

ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่จิตใจเปิดออกรับความจริง พระคริสต์ทรงพร้อมสั่งสอนเขา พระองค์ทรงเผยให้เขาได้เห็นพระบิดา และการรับใช้พระองค์ผู้สามารถอ่านถึงจิตใจ อันเป็นการรับใช้ที่พระองค์พอพระทัย สำหรับคนอย่างนี้ พระองค์ไม่ตรัสเป็นคำอุปมา แต่ตรัสกับเขาเหมือนกับที่ตรัสกับหญิงที่ข้างบ่อน้ำว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอคือผู้นั้น” ยอห์น 4:26 (THSV) {MH 28.2}