บทที่ 1

วันสะบาโตที่แท้จริง

            พระเจ้าเสด็จไปด้วยกันกับอาดัมและเอวาในขณะที่เขาทั้งสองกำลังชมบ้านใหม่อันเพียบพร้อมและสมบูรณ์  คือสวนเอเดนที่สวยสดงดงามเกินที่จะบรรยายได้  ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าในเย็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่หกนับตั้งแต่พระเจ้าทรงเริ่มสร้างโลก  ดวงดาวต่างๆ ปรากฏในท้องฟ้าและ  “พระเจ้าทรงทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์สร้างไว้  ทรงเห็นว่าดีนัก”  (ปฐมกาล 1:31) “ฟ้าและแผ่นดิน  และบริวารทั้งสิ้น  ที่มีอยู่ในนั้น  พระเจ้าทรงสร้างสำเร็จดังนี้แหละ”  (ปฐมกาล 2:1)

            ถึงแม้โลกจะสวยงามสักเพียงไร  แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐที่สุด  เพราะของขวัญอันล้ำค่ากว่านั้นที่พระเจ้าทรงให้กับมนุษย์คู่แรกคือ  สิทธิพิเศษที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัว  ดังนั้นพระเจ้าจึงประทานวันสะบาโตให้เขา  ซึ่งเป็นวันที่จะได้รับพรเป็นพิเศษ  เป็นวันที่จะเข้าร่วมสามัคคีธรรมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้สร้าง

ข้อความต่างๆ ในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงวันสะบาโต

            วันสะบาโตเป็นศูนย์กลางของการนมัสการพระเจ้า  เป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างที่บ่งชี้ว่าเหตุใดจึงต้องนมัสการพระองค์  คำตอบนั้นคือเพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและเราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้างอย่างที่  เจ  เอ็น  แอนดริวส์ เคยกล่าวไว้ว่า  “ดังนี้แหละวันสะบาโตจึงเป็นพื้นฐานของการนมัสการพระเจ้า เพราะวันสะบาโตสอนถึงการนมัสการพระองค์ไว้อย่างน่าประทับใจ  ซึ่งในที่อื่นไม่อาจสอนอย่างนี้ได้  เหตุผลที่แท้จริงในการนมัสการพระเจ้า  (ไม่เฉพาะแต่การนมัสการในวันที่เจ็ด  แต่ในการนมัสการทุกครั้ง)  คือ  พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์  เราไม่ควรจะละเลยหรือลืมข้อเท็จจริงนี้เสีย” ด้วยเหตุนี้เองพระเจ้าจึงสถาปนาวันสะบาโตเพื่อมนุษยชาติจะได้ระลึกถึงพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง

            1.1  วันสะบาโตเมื่อทรงสร้างโลก

            พระเจ้าทรงประทานวันสะบาโตให้แก่มนุษย์นับตั้งแต่โลกยังปราศจากความบาป  วันสะบาโตเป็นของขวัญชิ้นพิเศษจากพระเจ้า  เพื่อมนุษย์ผู้อาศัยอยู่บนโลกนี้จะได้ซาบซึ้งถึงความจริงสามประการที่พระเจ้าทรงกระทำในการสถาปนาวันสะบาโต

            ก.  พระเจ้าทรงพักในวันสะบาโต

            คำที่ประว่า  “ทรงพัก”  ในปฐมกาล 2:2 มาจากคำว่า  “ชาบัธ”  ในภาษาฮีบรูที่แปลว่า  “การหยุดจากการทำงานหรือจากกิจธุระต่างๆ” พระเจ้าไม่ได้พักเพราะการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด  (อิสยาห์ 40:28) แต่พระองค์ทรงหยุดจากการงานที่ได้ทรงปฏิบัติมาก่อนหน้านั้น  พระเจ้าทรงพักเพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์พักด้วย  พระองค์จึงวางแบบอย่างให้มนุษย์ปฏิบัติตาม  (อพยพ 20:11, 31:17)

            ถ้าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งสำเร็จภายในหกวัน (ปฐมกาล 1:2) แล้วข้อความในพระคัมภีร์ที่เขียนว่าพระเจ้าทรง  “เสร็จงาน”  ในวันที่เจ็ดนั้นหมายความว่าอย่างไร  (ปฐมกาล 2:2)  เพราะว่าภายในหกวันพระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน  ฯลฯ สำเร็จ  แต่ยังไม่ได้สถาปนาวันสะบาโต  พระองค์ทรงสถาปนาวันสะบาโตโดยการพักในวันนั้น  วันสะบาโตจึงเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในการทรงสร้าง

            ข.  พระเจ้าทรงอวยพรวันสะบาโต

            พระเจ้าไม่เพียงแต่งตั้งวันสะบาโตขึ้นเท่านั้น  แต่ยังทรงอวยพระพรให้กับวันนี้ด้วย  และการที่พระองค์ทรงอวยพรวันสะบาโตนั้นหมายความว่า  ตั้งแต่นั้นมาวันสะบาโตเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงโปรดปรานซึ่งจะอำนวยพระพรแก่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง

            ค.  พระเจ้าทรงตั้งวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์

            พระเจ้าทรงตั้งวันที่เจ็ดให้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์  หมายความว่า  พระองค์ทรงแยกวันที่เจ็ดนั้นออกให้เป็นวันพิเศษ  เพราะทรงมีแผนการอันสูงส่งที่จะใช้วันนั้นเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับมนุษย์

            พระเจ้าทรงอวยพรวันที่เจ็ดและตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อมนุษยชาติไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง  เพราะพระองค์ทรงพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ในวันนั้น  การทรงพักและทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้านี้แหละที่ทำให้วันสะบาโตได้รับพระพรและความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า

            1.2  วันสะบาโต  ณ  ภูเขาซีนาย

            เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลักจากชนชาติอิสราเอลได้อพยพออกจากประเทศอียิปต์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาส่วนมากได้หลงลืมวันสะบาโต การที่เป็นทาสต้องทำงานตรากตรำคงทำให้ยากต่อการรักษาวันสะบาโต  หลังจากที่พวกเขาได้รับอิสระไปไม่นานพระเจ้าทรงเตือนชนชาติอิสราเอลถึงหน้าที่ในการรักษาวันสะบาโต  ด้วยการประทานมานาให้พวกเขาอย่างอัศจรรย์และโดยการประกาศพระบัญญัติสิบประการ

            ก.  วันสะบาโตกับการประทานมานา

            หนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าได้ประกาศพระบัญญัติจากภูเขาซีนาย พระองค์ทรงสัญญากับคนอิสราเอลว่าจะป้องกันพวกเขาจากโรคต่างๆ ถ้าเขาได้ “เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการ”  (อพยพ 15:26; ปฐมกาล 26:5)  หลังจากทรงสัญญาไม่นาน  พระองค์ทรงเตือนชาวอิสราเอลถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวันสะบาโต  โดยประทานมานาให้พวกเขาอย่างอัศจรรย์  ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่าพระเจ้าถือว่าการพักในวันที่เจ็ดของคนอิสราเอลสำคัญมากสำหรับพระองค์

            ตลอดสี่สิบปีที่คนอิสราเอลอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  (ซึ่งรวมวันสะบาโตแล้วทั้งหมดมากกว่าสองพันวันสะบาโต)  การอัศจรรย์ในการเลี้ยงประชาชนด้วยมานานี้ได้เตือนพวกเขาถึงแบบแผนของพระเจ้า  คือมีหกวันสำหรับทำงานและวันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อน

            ข.  วันสะบาโตกับพระบัญญัติ

            พระเจ้าทรงจัดวางพระบัญญัติข้อบังคับเรื่องวันสะบาโตไว้เป็นศูนย์กลางของพระบัญญัติสิบประการซึ่งมีเขียนไว้ดังนี้ว่า

            “จงระลึกถึงวันสะบาโต  ถือเป็นวันบริสุทธิ์  จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน  แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นวันสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า  ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเองหรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า  หรือทาสทาสีของเจ้า  หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า  หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า  เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและดิน  ทะเล  และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น  แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก  เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต  และทรงจัดวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์”  (อพยพ 20:8-11)

            ทุกข้อในพระบัญญัติสิบประการสำคัญอย่างยิ่งและไม่ควรละเลยเสียแม้แต่ข้อเดียว  (ยากอบ 2:10)  ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงให้พระบัญญัติเรื่องวันสะบาโตพิเศษกว่าข้ออื่นๆ โดยกล่าวว่า  ”จงระลึก”  ซึ่งเตือนมนุษยชาติว่าเป็นเรื่องอันตรายที่จะลืมความสำคัญของวันสะบาโต

            คำขึ้นต้นของพระบัญญัติข้อนี้ที่กล่าวว่า  “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์”  นั้นแสดงให้รู้ว่าวันสะบาโตไม่ได้เริ่มต้นที่ภูเขาซีนาย  คำเหล่านี้แสดงว่าวันสะบาโตเริ่มต้นก่อนหน้านั้น  และแท้จริงก็เริ่มต้นตอนที่พระเจ้าสร้างโลกอย่างที่พระบัญญัติได้ระบุไว้  พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้เรารักษาวันสะบาโตไว้เป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้าง  พระบัญญัติข้อนี้กำหนดเวลาที่จะพักและนมัสการ  โดยนำเราให้คิดไตร่ตรองถึงพระเจ้าพร้อมด้วยพระหัตถกิจของพระองค์

            การรักษาวันสะบาโตไว้เป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างนั้นเป็นเสมือนยาที่จะแก้  “โรคแห่งการไหว้รูปเคารพ”  โดยเตือนเราว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างฟ้าและดิน  ซึ่งข้อนี้แหละที่เป็นข้อแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับพระเทียมเท็จ ดังนั้นการรักษาวันสะบาโตจึงเป็นหมายสำคัญแห่งความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเที่ยงแท้และเป็นการยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด  ทรงเป็นพระผู้สร้างและทรงเป็นพระมหากษัตริย์

            วันสะบาโตทำหน้าที่เป็นตราประทับแห่งพระบัญญัติของพระเจ้า  โดยทั่วไปแล้วตราประทับต่างๆ จะประกอบด้วยคุณสมบัติสามประการ คือ

1)      ชื่อของเจ้าของตราประทับ

2)      ตำแหน่ง

3)      ขอบเขตของอำนาจการปกครอง

การประทับตราหมายความว่าเจ้าของตราเห็นด้วยกับข้อความในเอกสารนั้น ซึ่งเอกสารต่างๆ จะเป็นทางการหรือมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับตราประทับบนเอกสารนั้นๆ ว่าเป็นของผู้ใด  มีตำแหน่งหน้าที่อย่างไร

ในจำนวนพระบัญญัติสิบประการ  ข้อที่กล่าวถึงวันสะบาโตเป็นข้อเดียวที่มีคุณสมบัติครบถ้วนของตราประทับ  และเป็นข้อเดียวที่บ่งบอกถึงพระเจ้าเที่ยงแท้โดย

1)      บอกพระนามของพระองค์ว่าเป็น  “พระเจ้า”

2)      ตำแหน่งของพระองค์คือพระผู้สร้างและ

3)      ขอบเขตการปกครองคือ  “ฟ้าและแผ่นดิน” (อพยพ 20:10-11)

ดังนั้นพระบัญญัติข้อที่สี่นี้จึงเป็น  “ตราประทับของพระเจ้า”  เพราะเป็นข้อเดียวในบรรดาสิบข้อที่แสดงให้รู้ว่ากฎบัญญัติเหล่านี้มีผลบังคับใช้โดยอำนาจของผู้ใด  พระเจ้าทรงกำหนดกฎบัญญัติเรื่องวันสะบาโตเป็นหนึ่งในพระบัญญัติสิบประการ  เพื่อเป็นเครื่องยันถึงอำนาจของพระบัญญัติเหล่านั้น

แท้จริงแล้วพระเจ้าให้วันสะบาโตเป็นเครื่องหมายเตือนให้ระลึกถึงอำนาจของพระองค์ในโลกที่เคยปราศจากร่องรอยแห่งความบาปหรือการกบฏ  การรักษาวันสะบาโตเป็นหน้าที่อันถาวรของทุกๆ คน  ซึ่งจะเห็นจากคำตักเตือนที่ว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์”  (อพยพ 20:8)

พระบัญญัติข้อนี้ได้แบ่งสัปดาห์ออกเป็นสองส่วน  พระเจ้าให้เวลามนุษย์ “ทำการงานทั้งสิ้น”  ของเขาหกวันในหนึ่งสัปดาห์  แต่วันที่เจ็ดนั้น  “อย่ากระทำการงานใดๆ”  (อพยพ 20:9-10)  พระบัญญัติกำหนดหกวันในหนึ่งสัปดาห์เป็นวัน  “ทำงาน”  แต่  “วันที่เจ็ด”  เป็น  “วันพัก”  การที่พระเจ้าทรงให้พักผ่อนในวันที่เจ็ดเป็นการจำเพาะเจาะจงนั้นจะเห็นได้ชัดจากคำขึ้นต้นในต้นฉบับภาษาฮีบรู ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า  “Remember the Sabbath day to keep it holy” คำว่า  “the”  เป็นคำเจาะจงให้รู้แน่ชัดว่าไม่มีวันสะบาโตหลายวันในสัปดาห์

ถึงแม้ร่างกายของมนุษย์ต้องการพักผ่อนเป็นระยะๆ แต่นั่นมิใช่เหตุผลหลักที่พระเจ้าทรงให้เรารักษาวันสะบาโต  แต่เพื่อให้เราทำตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงวางไว้  เนื่องจากว่าพระองค์ทรงพักจากการงานของพระองค์ในสัปดาห์แรกของโลกซึ่งเราควรปฏิบัติตาม

ค.  วันสะบาโตกับพันธสัญญา

พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของพันธสัญญา  วันสะบาโตซึ่งอยู่ในกลางของพระบัญญัติก็ปรากฏเด่นชัดในพันธสัญญาเช่นกัน  พระเจ้าตรัสถึงวันสะบาโตว่า  “เป็นหมายสำคัญระหว่างเราและเขาทั้งหลาย  เพื่อเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า  เป็นผู้กระทำให้เขาบริสุทธิ์”  (เอเสเคียล 20:12, 20; อพยพ 31:17)

ดังนั้นพระเจ้าตรัสถึงการรักษาวันสะบาโตว่า  “เป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์” (อพยพ 31:16) ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่วางไว้บนพื้นฐานความรักของพระเจ้าที่มีต่อพลไพร่ของพระองค์  ดังนั้นวันสะบาโตจึงเป็นสัญลักษณ์ถึงความรักของพระเจ้า

ง.  สะบาโตประจำปี

นอกจากวันสะบาโตประจำสัปดาห์แล้ว  (เลวีนิติ 23:3)  พระคัมภีร์ยังพูดถึงวันสะบาโตตามพิธีต่างๆ ประจำปีรวมอยู่อีกเจ็ดวัน  วันสะบาโตประจำปีเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวันสะบาโตประจำสัปดาห์  และวันสะบาโตเหล่านี้อยู่  “นอกเหนือวันสะบาโตแห่งพระเจ้า”  (เลวีนิติ 23:38)  มีดังนี้

1-2)  วันแรกและวันสุดท้ายของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ

    3)  เทศกาลวันเพ็นเทคอสต์  (คือเทศกาลสัปดาห์เฉลยธรรมบัญญัติ16:10)

    4)  เทศกาลเป่าแตร

    5)  วันลบบาป  (เลวีนิติ 16)

6-7)  วันแรกและวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิง (เลวีนิติ 23:7, 8, 21, 24, 25, 28, 35, 36)

            เนื่องจากวันสะบาโตประจำปีเหล่านี้ขึ้นกับปฏิทินที่คนอิสราเอลใช้ในการคำนวณวันกำหนดพิธีต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้างขึ้นข้างแรมอีกที  ดังนั้นวันสะบาโตประจำปีอาจจะตรงกับวันไหนก็ได้  ถ้าวันสะบาโตประจำปีอาจจะตรงกับวันสะบาโตประจำสัปดาห์จะเรียกกันว่า  ‘วันสะบาโตใหญ่’ (ยอห์น 19:31)

            วันสะบาโตประจำสัปดาห์ได้รับการสถาปนาไว้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลกและเป็นของมนุษยชาติ  แต่วันสะบาโตประจำปีเริ่มต้นพร้อมๆ กับพิธีกรรมต่างๆ ของชาวยิวที่ภูเขาซีนาย  ซึ่งพิธีเหล่านี้เล็งถึงพระผู้ช่วยให้รอด  และเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  การรักษาพิธีกรรมเหล่านั้นรวมถึงการรักษาวันสะบาโตประจำปีจึงสิ้นสุดลง

            1.3  วันสะบาโตกับพระคริสต์

            พระคัมภีร์สอนให้เรารู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้สร้างเช่นเดียวกับพระบิดา  (1 โครินธ์ 8:6; ฮีบรู 1:1-2; ยอห์น 1:3)  ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นผู้ที่ทรงแยกวันที่เจ็ดออกให้เป็นวันพักพิเศษสำหรับมนุษย์

            พระเยซูทรงสอนว่าวันสะบาโตไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการทรงสร้างของพระองค์เท่านั้น  แต่ก็ยังเกี่ยวข้องกับการที่ทรงไถ่บาปของมนุษย์ด้วย พระองค์ทรงพระชนม์นิรันดร์ (ยอห์น 8:56; อพยพ 3:14)  พระองค์ทรงใส่วันสะบาโตไว้ในพระบัญญัติเพื่อเป็นการกำชับถึงการนัดหมายระหว่างพระผู้สร้างกับมนุษย์  พระเยซูยังสอนอีกว่า  นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่จะต้องรักษาวันสะบาโตคือ  พระองค์ทรงไถ่พลไพร่ของพระองค์  (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14-15)  ดังนั้นวันสะบาโตจึงเป็นตราประทับสำหรับผู้ที่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่

            เราจึงเข้าใจได้ง่ายว่าทำไมพระเยซูทรงอ้างว่าพระองค์  “เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มาระโก 2:28)  ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่โดยตำแหน่งและอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้  ถ้าพระเยซูเพียงแต่ประสงค์จะยกเลิกวันสะบาโตพระองค์ย่อมทำได้  แต่พระองค์ไม่ได้ยกเลิก  ตรงกันข้าม  พระองค์ทรงผูกพันวันสะบาโต้ไว้กับมนุษยชาติโดยกล่าวว่า  “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์”  (มาระโก 2:27)

            ตลอดระยะเวลาที่พระเยซูประกอบพระราชกิจบนโลกนี้พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการรักษาวันสะบาโตอย่างถูกต้อง  ดังที่พระธรรมลูกา 4:16เขียนไว้ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงนมัสการในธรรมศาลาเป็นประจำแสดงว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการนมัสการในวันที่เจ็ด

            พระเยซูทรงหวงแหนความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของวันสะบาโตจึงทรงเตือนเหล่าสาวกถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ว่า  “จงอธิษฐานขอ  เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้น  จะไม่ตกในฤดูหนาวหรือในวันสะบาโต”  (มัทธิว 24:20)  หมายความว่าภายหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์จนถึงบัดนี้ยังต้องรักษาวันสะบาโตอยู่

            เมื่อพระเยซูทรงสร้างโลกนี้เสร็จแล้ว  พระองค์ทรงพักผ่อนในวันที่เจ็ด  ซึ่งการพักนั้นหมายถึงการเสร็จสิ้นภารกิจการทรงสร้าง  เมื่อครั้งพระเยซูสำเร็จพระราชกิจของพระองค์ในโลกนี้ที่บนไม้กางเขน  พระองค์ตรัสว่า  “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30)  พระคัมภีร์ได้ย้ำว่าวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์นั้นเป็น “วันจัดเตรียมและวันสะบาโตก็เกือบจะถึงแล้ว”  (ลูกา 23:54)  หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว  พระองค์ทรงพักในอุโมงค์ฝังศพซึ่งเป็นสัญลักษณะหมายถึงความสำเร็จในการไถ่มวลมนุษย์ (วันนั้นก็ตรงกับ “วันสะบาโตใหญ่” เพราะเป็นทั้งวันที่เจ็ดของสัปดาห์และเป็นวันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ)

            1.4  วันสะบาโตกับอัครสาวก

            อัครสาวกของพระเยซูได้ให้ความสำคัญกับวันสะบาโตเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งจะเห็นจากการปฏิบัติของพวกเขาตอนที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์  เมื่อย่างเข้าสู่วันสะบาโตพวกเขาได้หยุดการเตรียมฝังพระศพของพระองค์และได้ “หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ”  โดยวางแผนไว้ว่าจะดำเนินการต่อ  “ในวันต้นสัปดาห์”  (ลูกา 23:56, 24:1)

            อัครสาวกนมัสการพระเจ้าในวันที่เจ็ดของสัปดาห์เช่นเดียวกับพระเยซู  เมื่ออาจารย์เปาโลออกไปประกาศ  ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตและได้เทศนาเรื่องพระคริสต์  (กิจการ 13:14, 17:12, 18:4)  แม้แต่คนต่างชาติยังเชิญให้เปาโลเทศนาพระคำของพระเจ้าในวันสะบาโต  (กิจการ13:42, 44)  ในเมืองที่ไม่มีธรรมศาลาอาจารย์เปาโลก็ได้ค้นหาสถานที่ที่ผู้คนใช้นมัสการกันในวันสะบาโต  (กิจการ 16:13)  การที่พระเยซูและอาจารย์เปาโลร่วมนมัสการในวันสะบาโตเป็นประจำนั้น  แสดงว่าทั้งสองยอมรับวันที่เจ็ดเป็นวันพิเศษสำหรับการนมัสการพระเจ้า

            อัครสาวกท่านนี้ได้รักษาวันสะบาโตประจำสัปดาห์อย่างซื่อสัตย์  ซึ่งตรงกันข้ามกับทัศนคติของเขาที่มีต่อวันสะบาโตประจำปี  ท่านสอไว้อย่างชัดเจนว่าคริสเตียนไม่จำเป็นต้องรักษาวันพักประจำปีเหล่านั้นเพราะวันและกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับพิธีกรรมได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว  ท่านบอกว่า “เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน  การดื่ม  ในเรื่องเทศกาล  วันต้นเดือน  หรือวันสะบาโต  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง  แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์”  (โคโลสี  2:16-17)  ตัวอย่างในข้อนี้แสดงถึงข้อบังคับเกี่ยวกับพิธีต่างๆ จึงสรุปได้ว่า  “วันสะบาโต”  ที่พูดถึงในข้อนี้เป็นวันสะบาโตประจำปีสำหรับฉลองเทศกาลต่างๆ ไม่ใช่วันสะบาโตประจำสัปดาห์  ซึ่งเทศกาลต่างๆ และบรรดาวันสะบาโตประจำปีของคนยิวนั้นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ได้รับความสำเร็จในพระเยซูคริสต์

            ในทำนองเดียวกัน  เปาโลได้คัดค้านการถือรักษาพิธีกรรมต่างๆ ของคนในคริสตจักรที่เมืองกาลาเทียโดยกล่าวว่า  “ท่านถือวัน  เดือน  ฤดู และปี  ข้าพเจ้าเกรงว่าการที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อท่านนั้นจะไร้ประโยชน์”  (กาลาเทีย 4:10-11)

            ส่วนคำพูดของยอห์นที่ว่า  “พระวิญญาณได้ทรงดลใจข้าพเจ้าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า”  (วิวรณ์ 1:10)  มีหลายคนเข้าใจผิดว่าท่านหมายถึงวันอาทิตย์  แต่ในพระคัมภีร์มีเพียงวันเดียวที่ระบุว่าเป็นวันพิเศษของพระเจ้า  นั่นคือวันสะบาโต  พระเยซูตรัสว่า  “วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า” (อพยพ 20:10)  และต่อมาพระองค์ก็ทรงเรียกวันสะบาโตว่า  “วันบริสุทธิ์ของเรา”  (อิสยาห์ 58:13)  และพระเยซูยังเรียกพระองค์เองว่า  “เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต”  (มาระโก 2:28)  เนื่องจากว่าในพระคัมภีร์มีแต่วันที่เจ็ดเท่านั้นซึ่งเป็นวันสะบาโต  เป็นเพียงวันเดียวที่พระเจ้าทรงเรียกว่าเป็นวันของพระองค์  ดังนั้นจึงสมควรที่จะสรุปว่าในวิวรณ์  1:10 ยอห์นหมายถึงวันสะบาโตเพราะไม่มีข้อไหนในพระคัมภีร์ที่จะสนับสนุนให้เข้าใจว่ายอห์นหมายถึงวันต้นสัปดาห์หรือวันอาทิตย์

            ในพระคัมภีร์ไม่มีข้อความใดที่กำหนดให้เราถือรักษาวันอื่นในสัปดาห์นอกจากวันสะบาโตซึ่งเป็นวันที่เจ็ด  พระคัมภีร์ไม่ได้เรียกวันอื่นว่าเป็นวันบริสุทธิ์หรือเป็นวันที่จะได้รับพร  และในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ก็ไม่มี่ข้อใดที่จะทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าได้เปลี่ยนวันสะบาโตมาเป็นวันอื่น  แต่ตรงกันข้ามพระคัมภีร์สอนให้เรารู้ว่าคนของพระเจ้าจะรักษาวันสะบาโตไปตลอดนิรันดร์ “เพราะสวรรค์ใหม่  และแผ่นดินโลกใหม่ซึ่งเราจะสร้างจะยังอยู่ต่อหน้าเราฉันใด พระเจ้าตรัสดังนี้  เชื้อสายของเจ้าและชื่อของเจ้าจะยังอยู่ฉันนั้น  พระเจ้าตรัสว่าทุกวันขึ้นค่ำ  และทุกวันสะบาโต  มนุษย์ทั้งสิ้นจะมานมัสการต่อเรา”  (อิสยาห์66:22-23)