บทที่ 3
ความพยายามต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงวันนมัสการ
เนื่องจากวันสะบาโตมีบทบาทสำคัญในการนมัสการพระเจ้าในฐานะทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ซาตานได้ทำสงครามต่อสู้วันสะบาโต
ไม่มีข้อใดในพระคัมภีร์ที่อนุญาตให้เปลี่ยนวันที่ พระเจ้าทรงกำหนดให้นมัสการพระองค์ ซึ่งทรงตั้งไว้ในสวนเอเดนและทรงประกาศย้ำที่ภูเขาซีนาย หลายคนที่รักษาวันอาทิตย์แทนวันสะบาโตยอมรับเรื่องนี้ คาร์ดินัล (พระราชาคณะ) ท่านหนึ่งของคาทอลิก ซึ่ง คาร์ดินัล เจมส์ กิบบอนส์ (Cardinal James Gibbons) เคยเขียนไว้ว่า “คุณสามารถอ่านพระคัมภีร์จากปฐมกาลถึงวิวรณ์และจะไม่พบแม้แต่บรรทัดเดียวที่สนับสนุนการรักษาวันอาทิตย์ให้บริสุทธิ์ แต่พระคัมภีร์ได้สั่งให้รักษาวันเสาร์เป็นวันพัก”
คริสเตียนนิกายโปรเตสแตนท์คนหนึ่งชื่อ เอ.ที ลินคอล์น(A.T. Lincoln) ยอมรับว่า “การที่บางคนบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่เองสนับสนุนความเชื่อที่ว่า ตั้งแต่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์แล้วพระเจ้าได้ตั้งวันอาทิตย์เป็นวันสะบาโตนั้นฟังไม่ขึ้นเลย ตามเหตุผลแล้วเหลือแนวทางปฏิบัติสิบประการไว้เป็นหลักศีลธรรม คือการรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ด”
ในเมื่อไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์ว่าพระเยซูหรืออัครสาวกของพระองค์ได้เปลี่ยนวันนมัสการจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์ แล้วทำไมคริสเตียนส่วนมากจึงยึดถือวันอาทิตย์แทนวันเสาร์
3.1 ประวัติการเริ่มต้นรักษาวันอาทิตย์
การเปลี่ยนวันนมัสการจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละน้อย หลังสมัยพระเยซูจนถึงก่อนศตวรรษที่ 2 ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรักษาวันอาทิตย์ของคริสเตียน แต่มีหลักฐานว่ากลางศตวรรษที่ 2 มีคริสต์เตียนบางคนนมัสการในวันอาทิตย์ด้วยใจสมัครแต่ยังไม่ได้เป็นวันหยุดพัก
คริสตจักรที่กรุงโรมซึ่งประกอบด้วยสมาชิกต่างชาติเป็นส่วนมาก (โรม 11:13) ได้นำกระแสความนิยมไปสู่การนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์
ในกรุงโรมซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรม คนส่วนมากมีอคติต่อคนยิวอย่างรุนแรง และนับวันยิ่งเพิ่มทวีขึ้น คริสเตียนในกรุงโรมในสมัยนั้นจึงพยายามหาวิธีที่จะไม่ถูกนับรวมกับคนยิวโดยเปลี่ยนข้อปฏิบัติบางประการที่ถือเหมือนกับคนยิวเสีย โดยเฉพาะการที่พวกเขาได้เริ่มโน้มเอียงจากการนับถือวันที่เจ็ด จนมารักษาเฉพาะวันอาทิตย์แทนในที่สุด
ตลอดศตวรรษที่ 2-5 ถึงแม้ว่าการนับถือวันอาทิตย์มีอิทธิพลทมากยิ่งขึ้นแต่คริสเตียนเกือบทั่วอาณาจักรยังคงรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ด นักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งซึ่งมีชีวิตในสมัยศตวรรษที่ 5 ชื่อ โสกราตีส (Socrates)ได้เขียนไว้ว่า “คริสตจักรเกือบทั่วทุกแห่งหนในโลกฉลองข้อลึกลับของพระเจ้าในวันที่เจ็ดของทุกสัปดาห์ แต่คริสเตียนในเมืองอาเล็กซานเดรีย (Alexandria) และในกรุงโรมได้หยุดทำเช่นนี้เนื่องจากประเพณีเก่าแก่บางอย่างของเขา”
ในศตวรรษที่ 4 และ 5 มีคริสเตียนจำนวนมาก นมัสการในสองวันคือทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งในสมัยนั้นเชื่อว่าโซโซแมน (Sozomen) เขียนว่า “พลเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) และคนในเกือบทุกที่ไปชุมนุมกันทั้งในวันสะบาโตและในวันที่หนึ่งของสัปดาห์ ซึ่งคนในกรุงโรมและเมืองอาเล็กซานเดรียไม่ถือตามธรรมเนียมนี้เลย” ข้อความอ้างอิงข้างต้นทั้งสองข้อแสดงให้เห็นว่าโรมเป็นตัวตั้งตัวตีในการมองข้ามการรักษาวันสะบาโต แต่เหตุใดผู้ที่หันจากการนมัสการในวันที่เจ็ดจึงมาเลือกวันอาทิตย์และไม่ใช่วันอื่นของสัปดาห์ เหตุผลหลักก็คือพระเยซูทรงฟื้นพระชนม์ในวันอาทิตย์ และในสมัยศตวรรษที่ 4-5 ได้มีคนที่แอบอ้างว่า พระเยซูเห็นด้วยกับการพักและการนมัสการในวันนั้น ซึ่งถือว่าแปลกมากที่ไม่มีนักเขียนในศตวรรษที่ 2 หรือ 3 อ้างข้อพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวเพื่อเป็นหลักฐานในการถือวันอาทิตย์แทนวันสะบาโต การที่ลัทธิไหว้ดวงอาทิตย์ของชาวโรมันเป็นที่นิยมมากทั้งมีอิทธิพลสูงมีส่วนในการผลักดันให้คนรับวันอาทิตย์เป็นวันนมัสการ ซึ่งในสมัยโบราณนั้นลัทธิการไหว้ดวงอาทิตย์ยังเป็นส่วนประกอบที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนาโรมัน ลัทธินี้ได้มีอิทธิพลต่อคริสตจักรด้วยจนกระทั่งวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 321 จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ออกกฎหมายวันอาทิตย์เป็นครั้งแรก ซึ่งในกฎหมายฉบับนั้นได้สั่งให้ปิดร้านค้าและโรงงานในเมือง แต่อนุญาตให้ชาวชนบททำการเกษตรได้ ต่อมาก็มีกฎหมายวันอาทิตย์หลายฉบับที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งปี ค.ศ. 538 (ซึ่งเป็นปีแรกของจำนวน 1260 ปี ตามคำพยากรณ์ในหนังสือดาเนียลและวิวรณ์ที่ทำนายว่าจะมีอำนาจขึ้นมาต่อสู้ความจริงของพระเจ้า) ผู้นำของโรมันคาทอลิกได้ออกกฎหมายห้ามทำการเกษตรในวันอาทิตย์ด้วย
3.2 คำพยากรณ์เรื่องการเปลี่ยนวันสำคัญของพระเจ้า
พระคัมภีร์เปิดเผยให้รู้ว่าวันอาทิตย์เริ่มเข้ามาในคริสตจักรคือ “อำนาจลึกลับนอกกฎหมาย” ได้เริ่มทำงานในสมัยของอาจารย์เปาโล (2 เธสะโลนิกา 2:7) พระเจ้าได้สำแดงไว้ล่วงหน้าในดาเนียลบทที่ 7 ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงวันนมัสการ
ดาเนียลเห็นในนิมิตว่าจะมีการเข้าโจมตีพลไพร่และพระบัญญัติของพระเจ้า โดยในนิมิตนั้นท่านเห็นมีเขาอันหนึ่งบนหัวของสัตว์ร้ายตัวที่สี่ ได้ต่อสู้กับกฎเกณฑ์และคนของพระองค์ ซึ่งเป็นการทำนายถึงการหลงจากความจริงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา สัตว์ตัวที่สี่นั้นหมายถึงอาณาจักรโรม และเขาเล็กที่งอกขึ้นทีหลังนั้นหมายถึงอำนาจที่จะเกิดขึ้นจากโรท ในดาเนียล 7:25 ได้ทำนายไว้ว่าเขาเล็กนั้น “จะคิดเปลี่ยนแปลงบรรดาวาระและธรรมบัญญัติ” เขาเล็กนี้ได้หลอกลวงมนุษย์ทั้งโลกให้หลงไป แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าในที่สุดมันจะถูกพิพากษาลงโทษ (ดาเนียล 7:11, 22, 26) และในเวลาแห่งความยากลำบากครั้งสุดท้ายพระเจ้าจะทรงช่วยกู้คนของพระองค์ (ดาเนียล 12:1-2)
ตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์มีเพียงอำนาจเดียวเท่านั้นที่มีลักษณะตรงตามคำพยากรณ์นี้ทุกประการนั้นคือศาสนาโรมันคาทอลิก ซึ่งจะสังเกตได้จากข้อความเล็กน้อยดังนี้
ในช่วงเวลาประมาณ ค.ศ. 1400 แพ็ททรัส เด แอนซาราโน(Petrus de Ancharano) ยืนยันว่า “สันตะปาปาสามารถเปลี่ยนกฎของพระเจ้าได้ เพราะสิทธิอำนาจของท่านไม่ใช่ของมนุษย์ แต่เป็นของพระเจ้าและท่านทำหน้าที่แทนพระเจ้าบนโลกนี้ โดยมีอำนาจสูงสุดในการผูกมัดและปลดปล่อยลูกแกะของพระเจ้า” ซึ่งในสมัยปฏิรูปศาสนาครั้งยิ่งใหญ่นั้นลูเธอร์ (Luther) ได้สัมผัสกับความเชื่อของคาทอลิกในเรื่องนี้เมื่อท่านได้โต้วาทีกับ จอห์น เอ็ค (John Eck)
ลูเธอร์อ้างว่า ไม่ใช่ประเพณีของคริสตจักรแต่เป็นพระคำอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เขาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตโดยยึดถือ “พระคัมภีร์และพระคัมภีร์เท่านั้น” (Sola scriptura) ไว้เป็นคติพจน์ จอห์น เอ็ค ซึ่งอยู่ระดับแนวหน้าในการปกป้องหลักคำสอนของโรมันคาทอลิกนั้นได้โต้แย้งกับลูเธอร์ในจุดนี้โดยอ้างว่าอำนาจของคริสตจักรนั้นอยู่เหนือพระคัมภีร์ เขาได้ท้าทายลูเธอร์ในเรื่องการรักษาวันอาทิตย์แทนวันสะบาโตในพระคัมภีร์ โดยพูดว่า ข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์” เป็นโมฆะเพราะคริสตจักรได้เปลี่ยนวันสะบาโตโดยอำนาจของคริสตจักรเอง ซึ่งท่านลูเธอร์ไม่อาจยกข้อพระคัมภีร์มาตอบได้เลย
ในการประชุมที่เมืองเทรนต์ (Trent ค.ศ. 1545-1563) เกสเพร์ เด ฟอสโซ (Gaspare de Fosso) ซึ่งเป็นบาทหลวงชั้นหัวหน้าคาทอลิกได้กล่าวว่า “อำนาจของคริสตจักรอยู่เหนือคำสั่งสอนในพระคัมภีร์ เพราะวันสะบาโตไม่ได้ถูกยกเลิกเนื่องจากคำสั่งของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่าพระองค์มาเพื่อจะทำให้พระบัญญัติสำเร็จไม่ใช่มาเพื่อจะทำลายเสีย แต่วันสะบาโตและกฎข้ออื่นๆ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยสิทธิอำนาจของคริสตจักรเอง”
มีบางคนถามว่า “แล้วคริสตจักรคาทอลิกยังยึดถือข้อคิดนี้อยู่หรือไม่?” คำตอบมีอยู่ในคู่มือสอนหลักความเชื่อของคาทอลิก ฉบับปี ค.ศ. 1977 ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นลักษณะถามตอบ
ถาม วันสะบาโตตรงกับวันไหน?
ตอบ วันสะบาโตตรงกับวันที่เจ็ด
ถาม แล้วทำไมเราจึงรักษาวันอาทิตย์แทนวันเสาร์
ตอบ เรารักษาวันอาทิตย์แทนวันเสาร์เพราะคริสตจักรคาทอลิกได้โอนความศักดิ์สิทธิ์จากวันเสาร์ให้กับวันอาทิตย์”
นักวิชาการท่านหนึ่งของคริสตจักรโรมันคาทอลิกชื่อ จอห์น เอ โอไบรอัน (John A O’Brien) ได้เขียนหนังสือยอดนิยมเล่มหนึ่งชื่อ “ความเชื่อของคนนับล้าน” (The faith of millions) ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นท่านสรุปว่า “คริสตจักรคณะต่างๆ ที่ยึดถือพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของความเชื่อไม่มีเหตุผลที่จะรักษาวันอาทิตย์เพราะไม่มีข้อพระคัมภีร์สนับสนุน เนื่องจากว่าประเพณีการรักษาวันอาทิตย์นี้มาจากอำนาจของคริสตจักรคาทอลิกโดยตรง”
3.3 การฟื้นฟูวันสะบาโต
ในอิสยาห์ บทที่ 56 และ 58 พระเจ้าได้ทรงเรียกให้คนอิสราเอลปฏิรูปการรักษาวันสะบาโตโดยสำแดงว่าการประกาศข่าวประเสริฐจะได้ผลก็ต่อเมื่อคนของพระองค์รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ (อิสยาห์ 56:1-2, 6-8)
พระเจ้าทรงระบุพันธกิจให้กับคริสตจักร คือให้เตือนผู้ที่นับถือพระเจ้าเพียงแต่ปาก (อิสยาห์ 58:1-2) พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งปรักหักพังโบราณของเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ เจ้าจะได้ซ่อมเสริมรากฐานของคนหลายชั่วอายุมากขึ้น เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำแพงที่พัง ผู้ซ่อมแซมถนนให้คืนคงเพื่อจะได้อาศัยอยู่ ถ้าเจ้าหยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต คือจากการทำตามใจของเจ้าในวันบริสุทธิ์ของเรา และเรียกสะบาโตว่าวันปีติยินดีและเรียกวันบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่า วันมีเกียรติ ถ้าเจ้าให้เกียรติมันไม่ไปตามทางของเจ้าเอง หรือทำตามใจของเจ้าหรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ แล้วเจ้าจะได้ความปีติยินดีในพระเจ้า และเราจะให้เจ้าขึ้นขี่อยู่บนที่สูงของแผ่นดินโลก และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบ บิดาของเจ้า เพราะโอษฐ์ของพระเจ้าได้ตรัสแล้ว” (อิสยาห์ 58:12-14)
พันธกิจของอิสราเอลฝ่ายจิตวิญญาณ (คือคริสตจักร) ก็เหมือนกับพันธกิจของอิสราเอลโบราณคือฟื้นฟูและซ่อมแซมวันสะบาโตที่ถูกทำลายโดยอำนาจของเขาเล็กนั้น (คริสตจักรคาทอลิก) เราต้องซ่อมแซมกำแพงที่แตกหัก คือ ให้พระบัญญัติของพระเจ้าสมบูรณ์ โดยให้วันสะบาโตคืนสู่สภาพเดิม
นี่แหละเป็นภาระหน้าที่ของเราที่จะต้องเตือนชาวโลกให้เห็นถึงความสำคัญของพระบัญญัติของพระเจ้าและเตรียมตัวสำหรับการพิพากษาของพระองค์ (วิวรณ์ 14:6-12)
คำเตือนครั้งสุดท้ายนั้นคือ เตือนชาวโลกให้ยังคงรักษาวันสะบาโตก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาโดยกล่าวว่า “จงนมัสการพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” (วิวรณ์ 14:7)
เมื่อประกาศข่าวนี้ไปแล้วชาวโลกจะตื่นตัวและลุกขึ้นมาขัดขวางคำประกาศนี้ ถึงคราวนั้นทุกคนจะต้องตัดสินใจว่าจะซื่อสัตว์ต่อพระเจ้าโดยเชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญญัติและรักษาวันสะบาโต หรือว่าจะทำตามสังคมส่วนใหญ่และถือตามประเพณีของมนุษย์ทั่วไปโดยรักษาวันอาทิตย์ ทุกคนจะต้องเลือกว่าจะรักษากฎของพระเจ้าหรือกฎของมนุษย์ คนในโลกจะถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและดำเนินตามความเชื่อของพระเยซูอีกกลุ่มหนึ่งจะรับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายในที่สุด (วิวรณ์ 14:12,9)
คนของพระเจ้าควรรักษาวันสะบาโตอย่างสม่ำเสมอ และเป็นแบบอย่างถึงความรักของพระเจ้าเพื่อจะเทิดทูนพระบัญญัติของพระองค์ ทั้งเป็นการให้เกียรติวันสะบาโตที่คนทั่วไปได้ละทิ้งเสีย