Chapter 12 (บทที่ 12)
What to Do with Doubt
จะทำอย่างไรกับความสงสัย

Thai audio version. Please connect to internet to listen

Many, especially those who are young in the Christian life, are at times troubled with the suggestions of skepticism. There are in the Bible many things which they cannot explain, or even understand, and Satan employs these to shake their faith in the Scriptures as a revelation from God.

มีคนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนใหม่ที่บางครั้งจะรู้สึกเป็นทุกข์กับความคิดที่ชวนให้สงสัย มีหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่พวกเขาอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้ และซาตานใช้สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า

They ask, “How shall I know the right way? If the Bible is indeed the word of God, how can I be freed from these doubts and perplexities?” {SC 105.1}

พวกเขาถามว่า “เราจะทราบได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้หลุดพ้นจากความสงสัยและความกังวลใจเหล่านี้ได้” {SC 105.1}

God never asks us to believe, without giving sufficient evidence upon which to base our faith. His existence, His character, the truthfulness of His word, are all established by testimony that appeals to our reason; and this testimony is abundant. Yet God has never removed the possibility of doubt.

พระเจ้าไม่เคยขอให้เราเชื่อโดยไม่ได้ประทานหลักฐานอย่างเพียงพอให้แก่เราเพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ เรายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า พระลักษณะของพระองค์ ความสัตย์จริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ก็มีข้อพิสูจน์มากมายยืนยันต่อสามัญสำนึกของเรา แต่กระนั้นพระเจ้าไม่เคยขวางกั้นความคิดของผู้ที่อยากสงสัย

Our faith must rest upon evidence, not demonstration. Those who wish to doubt will have opportunity; while those who really desire to know the truth will find plenty of evidence on which to rest their faith. {SC 105.2}

ความเชื่อของเราจะต้องวางอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่วางอยู่บนความรู้สึก ผู้ที่อยากสงสัยจะมีเรื่องให้เขาสงสัยได้ ส่วนผู้ที่ต้องการรู้ความจริงอย่างจริงใจก็จะพบหลักฐานมากมายที่เขาจะใช้ยึดความเชื่อได้ {SC 105.2}

It is impossible for finite minds fully to comprehend the character or the works of the Infinite One. To the keenest intellect, the most highly educated mind, that holy Being must ever remain clothed in mystery. “Canst thou by searching find out God? canst thou find out the Almighty unto perfection? It is as high as heaven; what canst thou do? deeper than hell; what canst thou know?” Job 11:7, 8. {SC 105.3}

ความคิดอันจํากัดของมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจพระลักษณะหรือ พระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่ สําหรับผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลมที่สุด ผู้ที่ มีสมองที่ได้ผ่านการศึกษาสูงสุด พระเจ้า ผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเป็นเรื่อง ลึกลับสําหรับพวกเขา “ทั้งหยั่งรู้องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดหรือ นั่นสูง กว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทําอะไรได้ ลึกกว่าแดนคนตาย ท่านจะทราบอะไร ได้” (โยบ 11:7,8) {SC 105.3}

The apostle Paul exclaims, “O the depth of the riches both of the wisdom and knowledge of God! how unsearchable are His judgments, and His ways past finding out!” Romans 11:33. But though “clouds and darkness are round about Him,” “righteousness and judgment are the foundation of His throne.” Psalm 97:2, R.V.

อัครทูตเปาโลอุทานว่า “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์เหลือที่จะหยั่งรู้ได้และทางของพระองค์เหลือที่จะสืบเสาะได้” (โรม 1:33) แต่แม้ “เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์” (สดุดี 97:2)

We can so far comprehend His dealings with us, and the motives by which He is actuated, that we may discern boundless love and mercy united to infinite power. We can understand as much of His purposes as it is for our good to know; and beyond this we must still trust the hand that is omnipotent, the heart that is full of love. {SC 106.1}

เราพอจะเข้าใจวิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราและพระประสงค์ที่หนุนอยู่เพื่อเราจะมองเห็นความรักและพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตซึ่งเข้าร่วมกับอำนาจที่ไม่จำกัดของพระเจ้า เราพอจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้เท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เราได้รับรู้ และนอกเหนือจากนี้ไป เรายังต้องวางใจในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพและพระหทัยที่เปี่ยมด้วยรักของพระองค์ {SC 106.1}

The word of God, like the character of its divine Author, presents mysteries that can never be fully comprehended by finite beings. The entrance of sin into the world, the incarnation of Christ, regeneration, the resurrection, and many other subjects presented in the Bible, are mysteries too deep for the human mind to explain, or even fully to comprehend.

พระวจนะของพระเจ้ามีลักษณะเหมือนพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดพระวจนะนั้นเสนอความล้ำลึกที่มนุษย์ผู้ต้องตายไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ความบาปที่เข้ามาในโลก การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ การบังเกิดใหม่ การฟื้นคืนพระชนม์ และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่ล้ำลึกเกินคำอธิบายของสมองมนุษย์หรือแม้ที่จะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง

But we have no reason to doubt God’s word because we cannot understand the mysteries of His providence. In the natural world we are constantly surrounded with mysteries that we cannot fathom. The very humblest forms of life present a problem that the wisest of philosophers is powerless to explain.

แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเราไม่เข้าใจความลึกล้ำในการทรงนำของพระองค์ ในโลกธรรมชาติ มีเรื่องลึกลับมากมายล้อมอยู่รอบตัวเราที่เราเข้าใจไม่ได้ สิ่งมีชีวิตต่ำที่สุดก็ยังมีปัญหาที่นักปรัชญาฉลาดที่สุดหาคำอธิบายไม่ได้ Everywhere are wonders beyond our ken. Should we then be surprised to find that in the spiritual world also there are mysteries that we cannot fathom? The difficulty lies solely in the weakness and narrowness of the human mind. God has given us in the Scriptures sufficient evidence of their divine character, and we are not to doubt His word because we cannot understand all the mysteries of His providence. {SC 106.2}

ทุกแห่งทุกหนมีความลึกลับอัศจรรย์ที่เกินความเข้าใจของเรา แล้วเราจะต้องแปลกใจด้วยหรือว่า จะมีเรื่องลึกลับที่เราไม่อาจเข้าใจได้โลกของฝ่ายวิญญาณ สาเหตุทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจเกิดจากความอ่อนแอและความคับแคบของสติปัญญามนุษย์ พระเจ้าทรงประทานหลักฐานไว้มากพอในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของพระองค์ และเราจะต้องไม่สงสัยพระวจนะของพระองค์เพียงเพราะเราทำความเข้าใจความลึกลับทั้งหมดที่พระองค์ทรงโปรดประทานไว้ไม่ได้ {SC 106.2}

The apostle Peter says that there are in Scripture “things hard to be understood, which they that are unlearned and unstable wrest . . . unto their own destruction.” 2 Peter 3:16. The difficulties of Scripture have been urged by skeptics as an argument against the Bible; but so far from this, they constitute a strong evidence of its divine inspiration.

อัครทูตเปโตรกล่าวในพระคัมภีร์ว่า “มีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือน…..อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ” (2 เปโตร 3:16) คนช่างสงสัยมักจะยกข้อพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้พระคัมภีร์ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า

If it contained no account of God but that which we could easily comprehend; if His greatness and majesty could be grasped by finite minds, then the Bible would not bear the unmistakable credentials of divine authority. The very grandeur and mystery of the themes presented should inspire faith in it as the word of God. {SC 107.1}

หากพระคัมภีร์ไม่ได้ประกอบด้วยเรื่องของพระเจ้า แต่ประกอบด้วยเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย หากสมองอันจำกัดเข้าใจความยิ่งใหญ่และพระอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไม่ผิดพลาดเรื่องยิ่งใหญ่และลึกลับที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีไว้เพื่อหนุนใจให้เกิดความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า {SC 107.1}

The Bible unfolds truth with a simplicity and a perfect adaptation to the needs and longings of the human heart, that has astonished and charmed the most highly cultivated minds, while it enables the humblest and uncultured to discern the way of salvation. And yet these simply stated truths lay hold upon subjects so elevated, so far-reaching, so infinitely beyond the power of human comprehension, that we can accept them only because God has declared them.

พระคัมภีร์เปิดเผยความจริงอย่างเรียบง่ายและปรับให้เข้ากับความต้องการและความปรารถนาของจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเลิศ สมองของผู้ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วยังต้องตะลึงและชื่นชมในความจริงเหล่านี้ ในขณะที่คนต่ำต้อยและไร้การศึกษาก็ยังมองเห็นทางแห่งความรอดได้ และนอกเหนือจากนี้ ความจริงที่บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่สูงส่ง มีแนวคิดที่กว้างไกลเกินความสามารถของมนุษย์จะเข้าใจได้ และเรารับความจริงเหล่านั้นได้เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เท่านั้น

Thus the plan of redemption is laid open to us, so that every soul may see the steps he is to take in repentance toward God and faith toward our Lord Jesus Christ, in order to be saved in God’s appointed way; yet beneath these truths, so easily understood, lie mysteries that are the hiding of His glory–mysteries that overpower the mind in its research, yet inspire the sincere seeker for truth with reverence and faith.

ด้วยเหตุนี้ แผนการแห่งความรอดจึงได้เปิดไว้ให้แก่เราเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะได้มองเห็นทุกย่างก้าวในการดำเนินที่นำไปสู่การกลับใจไปหาพระเจ้าและในความเชื่อที่จะนำไปหาองค์พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับความรอดในวิถีทางที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ แต่ถึงกระนั้น ภายใต้ความจริงที่เข้าใจได้ง่ายเหล่านี้ ก็ยังมีความลึกลับที่ปิดซ่อนพระสิริของพระองค์อยู่ เป็นความลึกลับที่มีอำนาจเหนือความคิดในการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์ แต่จะหนุนใจผู้แสวงหาความจริงด้วยความเคารพยำเกรงและความเชื่อ

The more he searches the Bible, the deeper is his conviction that it is the word of the living God, and human reason bows before the majesty of divine revelation. {SC 107.2}

เมื่อเขายิ่งค้นคว้าพระคัมภีร์มากขึ้นเท่าไร เขาก็จะยิ่งมั่นใจว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเหตุผลของมนุษย์ก็จะกราบลงเบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ในการเปิดเผยของพระเจ้า {SC 107.2}

To acknowledge that we cannot fully comprehend the great truths of the Bible is only to admit that the finite mind is inadequate to grasp the infinite; that man, with his limited, human knowledge, cannot understand the purposes of Omniscience. {SC 108.1}

การยอมรับว่าเราเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ได้นั้นก็เพียงแต่ยอมรับว่าสมองที่มีข้อจำกัดนั้นไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องอันไม่มีขอบเขตได้ด้วยมนุษย์ที่มีความรู้อันจำกัด ไม่อาจเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูได้ {SC 108.1}

Because they cannot fathom all its mysteries, the skeptic and the infidel reject God’s word; and not all who profess to believe the Bible are free from danger on this point. The apostle says, “Take heed, brethren, lest there be in any of you an evil heart of unbelief, in departing from the living God.” Hebrews 3:12.

กลุ่มคนช่างสงสัยและผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาหยั่งรู้ความล้ำลึกทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้ และไม่ใช่ทุกคนที่ประกาศว่าตนเชื่อในพระคัมภีร์จะรอดพ้นจากภัยอันตรายในเรื่องนี้ อัครทูตกล่าวว่า “ดูก่อน ท่านพี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (ฮีบรู 3:12)

It is right to study closely the teachings of the Bible and to search into “the deep things of God” so far as they are revealed in Scripture. 1 Corinthians 2:10. While “the secret things belong unto the Lord our God,” “those things which are revealed belong unto us.” Deuteronomy 29:29.

การใส่ใจศึกษาคำสอนของพระคัมภีร์และค้นหา “ความล้ำลึกของพระเจ้า” เท่าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำ (1 โครินธ์ 2:10) ในขณะที่ “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งทรงสำแดงนั้น…..เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)

But it is Satan’s work to pervert the investigative powers of the mind. A certain pride is mingled with the consideration of Bible truth, so that men feel impatient and defeated if they cannot explain every portion of Scripture to their satisfaction. It is too humiliating to them to acknowledge that they do not understand the inspired words.

แต่งานของซาตานคือบิดเบือนความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ ความหยิ่งเล็กน้อยระคนอยู่ในการพินิจพิจารณาความจริงของพระคัมภีร์ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดและพ่ายแพ้เมื่ออธิบายพระคัมภีร์ทุกตอนจนเป็นที่พึงพอใจไม่ได้ เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่าเขาเข้าใจพระวจนะที่ได้รับการดลใจไม่ได้

They are unwilling to wait patiently until God shall see fit to reveal the truth to them. They feel that their unaided human wisdom is sufficient to enable them to comprehend the Scripture, and failing to do this, they virtually deny its authority. It is true that many theories and doctrines popularly supposed to be derived from the Bible have no foundation in its teaching, and indeed are contrary to the whole tenor of inspiration. These things have been a cause of doubt and perplexity to many minds. They are not, however, chargeable to God’s word, but to man’s perversion of it. {SC 108.2}

พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรอด้วยความอดทนจนพระเจ้าเห็นชอบที่จะเปิดเผยความจริงให้แก่เขา พวกเขารู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดีพอที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือและเมื่อเขาพลาดที่จะเข้าใจ เขาก็แทบจะปฏิเสธแหล่งอำนาจของพระคัมภีร์จริงอยู่มีทฤษฎีและคำสอนมากมายที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยอนุมานว่ามาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นคำสอนที่ไม่มีรากฐานในพระคัมภีร์และยังขัดแย้งกับสิ่งที่ทรงดลใจทั้งหมดอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของคนมากมายเกิดความสงสัยและไม่มั่นใจ แต่อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่จะโทษพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ แต่เกิดจากการบิดเบือนของมนุษย์ต่างหาก {SC 108.2}

If it were possible for created beings to attain to a full understanding of God and His works, then, having reached this point, there would be for them no further discovery of truth, no growth in knowledge, no further development of mind or heart.

หากจะให้มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้นเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์ได้ทั้งหมดแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาความจริงอีกต่อไป จะไม่ต้องเพิ่มพูนความรอบรู้ ไม่ต้องพัฒนาสติปัญญาหรือจิตใจ

God would no longer be supreme; and man, having reached the limit of knowledge and attainment, would cease to advance. Let us thank God that it is not so. God is infinite; in Him are “all the treasures of wisdom and knowledge.” Colossians 2:3. And to all eternity men may be ever searching, ever learning, and yet never exhaust the treasures of His wisdom, His goodness, and His power. {SC 109.1}

พระเจ้าไม่ทรงความเป็นใหญ่อีกต่อไป และเมื่อมนุษย์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความรู้และความสำเร็จ มนุษย์ก็จะหยุดที่จะก้าวต่อไป ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ พระเจ้าทรงไม่มีขอบเขตจำกัด “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์” (โคโลสี 2:3) และตลอดชั่วนิรรันดร์กาล มนุษย์จะค้นคว้าต่อไป เรียนรู้ไปตลอดและจะไม่มีวันที่จะใช้ขุมทรัพย์แห่งพระปัญญา คุณความดีและอำนาจของพระองค์ได้หมด {SC 109.1}

God intends that even in this life the truths of His word shall be ever unfolding to His people. There is only one way in which this knowledge can be obtained. We can attain to an understanding of God’s word only through the illumination of that Spirit by which the word was given.

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ให้แก่ประชากรของพระองค์ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้รับความรู้นี้ เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางการทำให้กระจ่างขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนี้

“The things of God knoweth no man, but the Spirit of God;” “for the Spirit searcheth all things, yea, the deep things of God.” 1 Corinthians 2:11, 10. And the Saviour’s promise to His followers was, “When He, the Spirit of truth, is come, He will guide you into all truth. . . . For He shall receive of Mine, and shall show it unto you.” John 16:13, 14. {SC 109.2}

“พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น” “เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 2:11, 10) และพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล…..เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16:13, 14) {SC 109.2}

God desires man to exercise his reasoning powers; and the study of the Bible will strengthen and elevate the mind as no other study can. Yet we are to beware of deifying reason, which is subject to the weakness and infirmity of humanity. If we would not have the Scriptures clouded to our understanding, so that the plainest truths shall not be comprehended, we must have the simplicity and faith of a little child, ready to learn, and beseeching the aid of the Holy Spirit.

พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ฝึกฝนการใช้เหตุผล และการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงส่งขึ้นอย่างที่ไม่มีการศึกษาอื่นใดสามารถทำได้ แต่เราจะต้องระมัดระวังการบูชาเหตุผลซึ่งเป็นจุดอ่อนและจุดบกพร่องของมนุษยชาติ หากเราไม่ต้องการให้ความเข้าใจของเราบดบังพระคัมภีร์จนเราเข้าใจความจริงเรียบง่ายที่สุดไม่ได้ เราจะต้องมีความเรียบง่ายและความเชื่อเหมือนกับเด็กเล็กๆ พร้อมที่จะเรียนรู้และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

A sense of the power and wisdom of God, and of our inability to comprehend His greatness, should inspire us with humility, and we should open His word, as we would enter His presence, with holy awe. When we come to the Bible, reason must acknowledge an authority superior to itself, and heart and intellect must bow to the great I AM. {SC 109.3}

เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าและความไม่สามารถของเราในการที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว เรื่องนี้จะต้องดลบันดาลเราให้ถ่อมใจลง และเราจะต้องเปิดพระวจนะของพระองค์ด้วยความยำเกรงเช่นเดียวกับเวลาที่เราเข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ เมื่อเราเข้ามาหาพระคัมภีร์ ความมีเหตุผลของเราจะต้องยอมรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล และจิตใจรวมทั้งสติปัญญาจะต้องน้อมคำนับลงต่อพระเจ้าผู้ทรง “เป็นซึ่งเราเป็น” {SC 109.3}

There are many things apparently difficult or obscure, which God will make plain and simple to those who thus seek an understanding of them. But without the guidance of the Holy Spirit we shall be continually liable to wrest the Scriptures or to misinterpret them. There is much reading of the Bible that is without profit and in many cases a positive injury. When the word of God is opened without reverence and without prayer; when the thoughts and affections are not fixed upon God, or in harmony with His will, the mind is clouded with doubts; and in the very study of the Bible, skepticism strengthens.

มีหลายสิ่งที่ดูว่ายากและคลุมเครือ แต่พระเจ้าจะทรงประทานความกระจ่างและความเข้าใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาความเข้าใจ ถ้าหากเราไม่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะเลี่ยงต่อการที่จะต้องปล้ำสู่กับพระคัมภีร์หรือแปลความหมายผิดได้ตลอดเวลา มีการอ่านพระคัมภีร์มากมายที่ไม่เกิดประโยชน์และในหลายๆ กรณีกลับส่งผลเสีย เมื่อเราเปิดพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกยำเกรงและปราศจากการอธิษฐาน เมื่อความนึกคิดและความรู้สึกของเราไม่ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า หรือประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อนั้นความนึกคิดของเราจะถูกครอบงำด้วยความสงสัยและการศึกษาพระคัมภีร์ในสภาพเช่นนี้จะทำให้ความสงสัยมีอำนาจมากขึ้น

The enemy takes control of the thoughts, and he suggests interpretations that are not correct. Whenever men are not in word and deed seeking to be in harmony with God, then, however learned they may be, they are liable to err in their understanding of Scripture, and it is not safe to trust to their explanations. Those who look to the Scriptures to find discrepancies, have not spiritual insight. With distorted vision they will see many causes for doubt and unbelief in things that are really plain and simple. {SC 110.1}

ศัตรูจะเข้าควบคุมความคิด และมันจะเสนอคำแปลที่มีความหมายไม่ถูกต้อง เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้แสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าทั้งในพระธรรมและการกระทำแล้ว ไม่ว่าเขาจะเรียนมามากเพียงไร เขาก็อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดได้ และการวางใจในคำอธิบายของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย ผู้ที่มองเห็นความขัดแย้งในพระคัมภีร์ ก็เป็นผู้ที่ไม่มีสายตาทางฝ่ายวิญญาณ เนื่องจากสายตาของพวกเขาผิดเพี้ยน พวกเขาจึงมองสิ่งที่เรียบง่ายและชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสงสัยและความไม่เชื่อให้แก่เขา {SC 110.1}

Disguise it as they may, the real cause of doubt and skepticism, in most cases, is the love of sin. The teachings and restrictions of God’s word are not welcome to the proud, sin-loving heart, and those who are unwilling to obey its requirements are ready to doubt its authority. In order to arrive at truth, we must have a sincere desire to know the truth and a willingness of heart to obey it. And all who come in this spirit to the study of the Bible will find abundant evidence that it is God’s word, and they may gain an understanding of its truths that will make them wise unto salvation. {SC 111.1}

ในแทบทุกกรณีไม่ว่าจะมีการอำพรางกันอย่างไรก็ตาม ความรักในบาปคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดความสงสัยและความแคลงใจ จิตใจที่หยิ่งยโสและรักบาปจะไม่ยินดีรับฟังคำสอนและข้อห้ามต่างๆ ที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสงสัยอำนาจของพระวจนะ การที่จะเข้าถึงความจริงได้นั้น เราจะต้องมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริงและมีความเต็มใจที่จะปฏิบัติตามและทุกคนที่เข้ามาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิญญาณจิตเช่นนี้ จะพบหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า และเขาก็จะเข้าใจความจริงที่ให้เขา “ได้ปัญญาถึงความรอด” (2 ทิโมธี 3:15 TKJV) {SC 111.1}

Christ has said, “If any man willeth to do His will, he shall know of the teaching.” John 7:17, R.V. Instead of questioning and caviling concerning that which you do not understand, give heed to the light that already shines upon you, and you will receive greater light. By the grace of Christ, perform every duty that has been made plain to your understanding, and you will be enabled to understand and perform those of which you are now in doubt. {SC 111.2}

พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า” (ยอห์น 7:17) แทนที่จะคอยตั้งข้อสงสัยและคอยจับผิดสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ ขอให้ท่านใส่ใจกับแสงสว่างที่ส่องมาถึงตัวของท่าน แล้วท่านจะได้รับแสงที่สว่างมากยิ่งขึ้น โดยพระคุณของพระคริสต์ จงประกอบหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ที่เปิดให้กับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านแล้วท่านก็จะเข้าใจและทำในส่วนที่ท่านยังสงสัยอยู่ในเวลานี้ {SC 111.2}

There is an evidence that is open to all,–the most highly educated, and the most illiterate,–the evidence of experience. God invites us to prove for ourselves the reality of His word, the truth of His promises. He bids us “taste and see that the Lord is good.” Psalm 34:8.

มีอยู่หลักฐานหนึ่งที่เปิดให้กับทุกคน ทั้งแก่ผู้ที่มีการศึกษาสูงที่สุดและผู้ที่ไม่มีการศึกษาเลย นั่นคือ หลักฐานของประสบการณ์ พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้พิสูจน์ความจริงในพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวของเราเอง พิสูจน์ความจริงในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงเชิญชวนเราให้ “ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ” (สดุดี 34:8)

Instead of depending upon the word of another, we are to taste for ourselves. He declares, “Ask, and ye shall receive.” John 16:24. His promises will be fulfilled. They have never failed; they never can fail. And as we draw near to Jesus, and rejoice in the fullness of His love, our doubt and darkness will disappear in the light of His presence. {SC 111.3}

แทนที่จะวางใจในคำพูดของผู้อื่นเราจะต้องทดสอบด้วยตัวเราเอง พระองค์ทรงประกาศว่า “จงขอแล้วจะได้” (ยอห์น 16:24) ก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ พระสัญญาของพระเจ้าไม่เคยล้มเหลวและไม่มีทางที่จะล้มเหลวและเมื่อเราเข้ามาใกล้พระเยซูและชื่นชมกับความรักอันไพบูลย์ของพระองค์แล้ว ความสงสัยและความมืดมนจะหายสาบสูญไปในความสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ของพระองค์ {SC 111.2}

The apostle Paul says that God “hath delivered us from the power of darkness, and hath translated us into the kingdom of His dear Son.” Colossians 1:13. And everyone who has passed from death unto life is able to “set to his seal that God is true.” John 3:33.

อัครทูตเปาโลกล่าวว่า พระเจ้า “ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์” (โคโลสี 1:13) และทุกคนที่ก้าวออกจากความตายไปสู่ชีวิตจะ “ประทับตราลงว่าพระเจ้าสัตย์จริง” (ยอห์น 3:33)

He can testify, “I needed help, and I found it in Jesus. Every want was supplied, the hunger of my soul was satisfied; and now the Bible is to me the revelation of Jesus Christ. Do you ask why I believe in Jesus? Because He is to me a divine Saviour. Why do I believe the Bible? Because I have found it to be the voice of God to my soul.” We may have the witness in ourselves that the Bible is true, that Christ is the Son of God. We know that we are not following cunningly devised fables. {SC 112.1}

เขาก็จะเป็นพยานว่า ”ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือและข้าพเจ้าก็พบการช่วยเหลือนั้นในองค์พระเยซู ความต้องการในทุกสิ่งก็ได้รับการเติมเต็ม จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ได้รับความเต็มอิ่มและบัดนี้ พระคัมภีร์ก็เป็นหนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้แก่ข้าพเจ้า ท่านอาจถามว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาให้แก่ข้าพเจ้า แล้วทำไมข้าพเจ้าจงเชื่อในพระคัมภีร์ ก็เพราะข้าพเจ้าได้พบว่า พระคัมภีร์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับจิตวิญญาณของข้าพเจ้า” เราจะเป็นพยานให้กับตัวของเราเองว่า สิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เรามั่นใจได้ว่า เราไม่ได้ติดตามนวนิยายที่ถูกแต่งขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์ {SC 112.1}

Peter exhorts his brethren to “grow in grace, and in the knowledge of our Lord and Saviour Jesus Christ.” 2 Peter 3:18. When the people of God are growing in grace, they will be constantly obtaining a clearer understanding of His word. They will discern new light and beauty in its sacred truths. This has been true in the history of the church in all ages, and thus it will continue to the end. “The path of the righteous is as the light of dawn, that shineth more and more unto the perfect day.” Proverbs 4:18, R.V., margin. {SC 112.2}

เปโตร สนับสนุนพี่น้องของท่านให้ “เจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ซึ่งมากจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (2 เปโตร 3:18) เมื่อประชากรของพระเจ้าเติบโตขึ้นในพระคุณ พวกเขาก็จะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเขาจะมองเห็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ด้วยแสงสว่างและความงดงามใหม่ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คริสตจักรตลอดทุกยุคสมัย และจะเป็นเช่นนี้จนถึงสินยุค “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน” (สุภาษิต 4:18) {SC 112.2}

By faith we may look to the hereafter and grasp the pledge of God for a growth of intellect, the human faculties uniting with the divine, and every power of the soul being brought into direct contact with the Source of light.

โดยความเชื่อเราจะมองไปยังภาคหน้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งจะทำให้เราเติบใหญ่ขึ้นทางปัญญา เมื่อความสามารถของมนุษย์ประสานเข้ากับพระเจ้า และพลังอำนาจทั้งหมดของจิตวิญญาณถูกนำให้เข้ามาสัมผัสโดยตรงกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งของความสว่าง

We may rejoice that all which has perplexed us in the providences of God will then be made plain, things hard to be understood will then find an explanation; and where our finite minds discovered only confusion and broken purposes, we shall see the most perfect and beautiful harmony. “Now we see through a glass, darkly; but then face to face: now I know in part; but then shall I know even as also I am known.” 1 Corinthians 13:12. {SC 112.3}

หลังจากนั้นเราได้รับการทำให้กระจ่างแจ้ง สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจยากก็จะมีคำอธิบาย และสิ่งที่สมองอันมีขอบเขตจำกัดของเรามองเห็นแต่เพียงความมุ่งหมายที่สับสนและแตกแยกนั้น เราก็จะมองเห็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุด “เพราะบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจกเงา แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” (1 โครินธ์ 13:12) {SC 112.3}