Chapter 6 (บทที่ 6)
Faith and Acceptance
ความเชื่อและการยอมรับ

Thai audio version. Please connect to internet to listen

As your conscience has been quickened by the Holy Spirit, you have seen something of the evil of sin, of its power, its guilt, its woe; and you look upon it with abhorrence. You feel that sin has separated you from God, that you are in bondage to the power of evil. The more you struggle to escape, the more you realize your helplessness. Your motives are impure; your heart is unclean. You see that your life has been filled with selfishness and sin. You long to be forgiven, to be cleansed, to be set free. Harmony with God, likeness to Him–what can you do to obtain it? {SC 49.1}

เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกสามัญสำนึกของท่านให้ตื่นขึ้น ท่านจึงเริ่มมองเห็นความเลวร้ายของบาป มองเห็นอำนาจของมัน ความผิดของมัน ความทุกข์ยากของมัน และท่านจะมองความบาปด้วยความรังเกียจ ท่านรู้สึกว่า บาปได้แยกตัวท่านออกไปจากพระเจ้า ท่านถูกจองจำด้วยอำนาจของความชั่ว เมื่อท่านดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นมากขึ้นเท่าใด ท่านก็จะยิ่งพบว่า ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ เป้าหมายของท่านไม่บริสุทธิ์ จิตใจของท่านไม่สะอาด ท่านมองเห็นว่าชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป ท่านปรารถนาที่จะได้รับการอภัย ได้รับการชำระ ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ท่านจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ปรองดองกับพระเจ้าและมีลักษณะเหมือนพระองค์ {SC 49.1}

It is peace that you need–Heaven’s forgiveness and peace and love in the soul. Money cannot buy it, intellect cannot procure it, wisdom cannot attain to it; you can never hope, by your own efforts, to secure it. But God offers it to you as a gift, “without money and without price.” Isaiah 55:1. It is yours if you will but reach out your hand and grasp it. The Lord says, “Though your sins be as scarlet, they shall be as white as snow; though they be red like crimson, they shall be as wool.” Isaiah 1:18. “A new heart also will I give you, and a new spirit will I put within you.” Ezekiel 36:26. {SC 49.2}

สันติสุขเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ คือการอภัยและความสงบสุขและความรักจากสวรรค์เบื้องบนที่อยู่ภายในวิญญาณจิตของท่าน เงินทองจัดซื้อเอามาไว้ไม่ได้ ปัญญาจัดหามาให้ไม่ได้ ความรอบรู้นำไปให้ถึงไม่ได้ ท่านหวังที่จะได้สันติสุขนี้มาครอบครองด้วยความพยายามของท่านเองไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงยื่นมาเป็นของประทานให้แก่ท่าน “โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่า” (อิสยาห์ 55:1) สันติสุขนี้จะเป็นของท่าน เพียงแต่ท่านจะยื่นมือของท่านและรับเอามาไว้ พระเจ้าตรัสว่า “ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ” (อิสยาห์ 1:18) “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า” (เอเสเคียล 36:26) {SC 49.2}

You have confessed your sins, and in heart put them away. You have resolved to give yourself to God. Now go to Him, and ask that He will wash away your sins and give you a new heart. Then believe that He does this because He has promised. This is the lesson which Jesus taught while He was on earth, that the gift which God promises us, we must believe we do receive, and it is ours.

ท่านสารภาพบาปของท่านแล้ว และทิ้งไปด้วยความเต็มใจ ท่านตัดสินใจที่จะมอบถวายตัวของท่านเองให้พระเจ้า ขอให้ท่านไปหาพระองค์เดี๋ยวนี้ และทูลขอพระองค์ให้ชำระบาปของท่านและประทานจิตใจใหม่ให้แก่ท่าน แล้วเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานให้แก่ท่าน เพราะว่าพระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว นี่คือบทเรียนที่พระเยซูทรงสอนในขณะที่ทรงดำเนินอยู่ในโลกนี้ว่า ของประทานที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้แก่เรานั้น เราจะต้องเชื่อว่าเราได้รับแล้ว และของประทานนั้นจะเป็นของเรา

Jesus healed the people of their diseases when they had faith in His power; He helped them in the things which they could see, thus inspiring them with confidence in Him concerning things which they could not see–leading them to believe in His power to forgive sins. This He plainly stated in the healing of the man sick with palsy: “That ye may know that the Son of man hath power on earth to forgive sins, (then saith He to the sick of the palsy,) Arise, take up thy bed, and go unto thine house.” Matthew 9:6.

พระเยซูทรงรักษาประชาชนให้หายจากโรคต่างๆเมื่อพวกเขาวางใจในอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงประทานการช่วยเหลือในสิ่งที่ตามองเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่หนุนใจให้เขาวางใจพระองค์ในสิ่งที่ตามองไม่เห็น นั่นคือ นำพวกเขาให้เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะทรงอภัยบาปผิดได้ ในเรื่องนี้ พระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ทรงรักษาชายง่อย “แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” (มัทธิว 9:6)

So also John the evangelist says, speaking of the miracles of Christ, “These are written, that ye might believe that Jesus is the Christ, the Son of God; and that believing ye might have life through His name.” John 20:31. {SC 49.3}

ยอห์นผู้ประกาศก็ได้กล่าวถึงการอัศจรรย์ของพระคริสต์ไว้เช่นกันว่า “แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ยอห์น 20:31) {SC 49.3}

From the simple Bible account of how Jesus healed the sick, we may learn something about how to believe in Him for the forgiveness of sins. Let us turn to the story of the paralytic at Bethesda. The poor sufferer was helpless; he had not used his limbs for thirty-eight years. Yet Jesus bade him, “Rise, take up thy bed, and walk.”

จากเหตุการณ์เรียบง่ายที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงวิธีที่พระเยซูรักษาคนเจ็บป่วย เราเรียนรู้บางเรื่องว่าเราจะต้องเชื่อพระองค์อย่างไรเพื่อจะได้รับการอภัยจากบาป ให้เราไปดูเรื่องของชายง่อยที่ข้างสระน้ำเบธซาธา ผู้ป่วยน่าสงสารคนนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาไม่ได้ใช้ขามานานถึงสามสิบแปดปีแล้ว แต่ถึงกระนั้น พระเยซูทรงบัญชาว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด”

The sick man might have said, “Lord, if Thou wilt make me whole, I will obey Thy word.” But, no, he believed Christ’s word, believed that he was made whole, and he made the effort at once; he willed to walk, and he did walk. He acted on the word of Christ, and God gave the power. He was made whole. {SC 50.1}

คนป่วยผู้นี้อาจจะตอบพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า หากท่านจะรักษาให้ข้าพเจ้าหายดีแล้ว ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังพระคำของพระองค์” แต่เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ เขาเชื่อพระดำรัสของพระคริสต์ เขาเชื่อว่าพระองค์ทรงรักษาเขาให้หายได้และเขาก็ทำตามทันที เขาอยากเดิน และเขาก็เดินได้ เขาทำตามพระดำรัสของพระคริสต์ และพระเจ้าทรงประทานกำลังให้เขา เขาก็หายเป็นปกติ {SC 50.1}

In like manner you are a sinner. You cannot atone for your past sins; you cannot change your heart and make yourself holy. But God promises to do all this for you through Christ. You believe that promise. You confess your sins and give yourself to God. You will to serve Him.

ในทำนองเดียวกัน ท่านเป็นคนบาป ท่านลบความบาปที่ท่านทำมาแล้วในอดีตไม่ได้ ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านและทำให้ตัวของท่านบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาที่จะทำสิ่งทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยผ่านทางพระคริสต์ ท่านเชื่อพระสัญญานั้น ท่านสารภาพความบาปของท่านและถวายตัวของท่านเองให้พระเจ้า ท่านตั้งใจที่จะรับใช้พระองค์

Just as surely as you do this, God will fulfill His word to you. If you believe the promise,–believe that you are forgiven and cleansed,–God supplies the fact; you are made whole, just as Christ gave the paralytic power to walk when the man believed that he was healed. It is so if you believe it. {SC 51.1}

ทันทีที่ท่านทำเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้แก่ท่าน ถ้าท่านเชื่อพระสัญญาของพระเจ้า คือเชื่อว่าท่านได้รับการอภัยและการชำระแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานความจริงให้ท่าน ท่านจะได้รับการรักษาให้หาย เหมือนที่พระคริสต์ทรงประทานกำลังให้คนง่อยเดินได้ เมื่อเขาเชื่อว่าเขาหายจากโรคแล้ว หากท่านเชื่อท่านก็จะหายได้เช่นกัน {SC 51.1}

Do not wait to feel that you are made whole, but say, “I believe it; it is so, not because I feel it, but because God has promised.” {SC 51.2}

อย่ารีรอจนท่านรู้สึกตัวว่า ท่านหายดีแล้ว แต่จงพูดว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ แล้วก็จะเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้ารู้สึก แต่เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้ว” {SC 51.2}

Jesus says, “What things soever ye desire, when ye pray, believe that ye receive them, and ye shall have them.” Mark 11:24. There is a condition to this promise–that we pray according to the will of God. But it is the will of God to cleanse us from sin, to make us His children, and to enable us to live a holy life. So we may ask for these blessings, and believe that we receive them, and thank God that we have received them.

พระเยซูตรัสว่า “เมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:24) มีเงื่อนไขผูกติดอยู่กับพระสัญญานี้ คือเราจะต้องอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงชำระเราจากความบาป เพื่อให้เราเป็นบุตรของพระองค์ และช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม ดังนั้น เราจึงทูลขอพระพรเหล่านี้ได้ และเชื่อว่าเราได้รับและขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้รับแล้ว

It is our privilege to go to Jesus and be cleansed, and to stand before the law without shame or remorse. “There is therefore now no condemnation to them which are in Christ Jesus, who walk not after the flesh, but after the Spirit.” Romans 8:1. {SC 51.3}

เป็นสิทธิพิเศษที่เราเข้ามาหาพระเยซูและรับการชำระให้สะอาดได้ และเราจะยืนอยู่หน้าพระบัญญัติเหล่านี้โดยปราศจากความละอายหรือความเสียใจ “เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” (โรม 8:1) {SC 51.3}

Henceforth you are not your own; you are bought with a price. “Ye were not redeemed with corruptible things, as silver and gold;… but with the precious blood of Christ, as of a lamb without blemish and without spot.” 1 Peter 1:18, 19. Through this simple act of believing God, the Holy Spirit has begotten a new life in your heart. You are as a child born into the family of God, and He loves you as He loves His Son. {SC 51.4}

ต่อแต่นี้ไป ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง ท่านถูกซื้อด้วยราคาสูง “พระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลาย……มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง” (1 เปโตร 1:18,19) ด้วยวิธีการเชื่อพระเจ้าที่ง่ายๆ เช่นนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เริ่มชีวิตใหม่ในจิตใจของท่านแล้ว ท่านเป็นเหมือนเด็กเกิดใหม่มาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าและพระองค์ทรงรักท่านเหมือนที่พระองค์ทรงรักพระบุตรของพระองค์ {SC 51.4}

Now that you have given yourself to Jesus, do not draw back, do not take yourself away from Him, but day by day say, “I am Christ’s; I have given myself to Him;” and ask Him to give you His Spirit and keep you by His grace. As it is by giving yourself to God, and believing Him, that you become His child, so you are to live in Him. The apostle says, “As ye have therefore received Christ Jesus the Lord, so walk ye in Him.” Colossians 2:6. {SC 52.1}

บัดนี้ ท่านได้มอบตัวท่านเองให้พระเยซูแล้ว จงอย่าหันหลังกลับ จงอย่านำตัวของท่านออกไปจากพระองค์ แต่ในทุกๆ วัน ให้ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นของพระคริสต์ ข้าพเจ้าได้มอบถวายตัวข้าพเจ้าให้พระองค์แล้ว” และทูลขอพระองค์ให้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และรักษาท่านไว้โดยพระคุณของพระองค์ เมื่อท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้า และเชื่อในพระองค์ เชื่อว่าท่านเป็นบุตรของพระองค์ ดังนั้น ท่านจึงต้องดำรงชีวิตอยู่ในพระองค์ อัครทูตเปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น” (โคโลสี 2:6) {SC 52.1}

Some seem to feel that they must be on probation, and must prove to the Lord that they are reformed, before they can claim His blessing. But they may claim the blessing of God even now. They must have His grace, the Spirit of Christ, to help their infirmities, or they cannot resist evil.

บางคนอาจจะรู้สึกว่า เขาจะต้องถูกทดสอบและพิสูจน์ตนให้พระเจ้าเห็นว่าเขาได้ปฏิรูปแล้วเสียก่อนเขาจึงจะขอรับพระพรของพระองค์ได้ แต่พวกเขาเข้ามารับพระพรในเวลานี้ได้เลย เขาต้องมีพระคุณของพระเจ้า พระวิญญาณของพระคริสต์เพื่อช่วยความอ่อนแอของเขา หากไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะต้านความชั่วไม่ได้

Jesus loves to have us come to Him just as we are, sinful, helpless, dependent. We may come with all our weakness, our folly, our sinfulness, and fall at His feet in penitence. It is His glory to encircle us in the arms of His love and to bind up our wounds, to cleanse us from all impurity. {SC 52.2}

พระเยซูทรงประสงค์ให้เราเข้ามาหาพระองค์ในสภาพที่เราเป็นอยู่ สภาพที่เต็มไปด้วยบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ และต้องการที่พึ่ง เราเข้ามาหาพระองค์พร้อมกับความอ่อนแอในตัวของเรา ความผิดของเรา ความบาปของเรา และกราบลงแทบพระบาทของพระองค์ด้วยความเสียใจต่อบาป พระสิริของพระเจ้าจะโอบล้อมเราในอ้อมแขนแห่งความรักของพระองค์ และจะรักษาบาดแผลของเรา และชำระเราให้พ้นจากความผิดทั้งหมด {SC 52.2}

Here is where thousands fail; they do not believe that Jesus pardons them personally, individually. They do not take God at His word. It is the privilege of all who comply with the conditions to know for themselves that pardon is freely extended for every sin. Put away the suspicion that God’s promises are not meant for you. They are for every repentant transgressor.

คนมากมายล้มลงในเรื่องนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงอภัยให้เขาเป็นการส่วนตัวและเป็นรายบุคคล พวกเขาไม่เชื่อตามพระดำรัสของพระเจ้า เป็นสิทธิพิเศษของทุกคนที่ทำตามเงื่อนไขจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า การบาปผิดทุกรายจะได้รับการอภัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ จงทิ้งความสงสัยที่ว่า พระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่าน พระสัญญานี้มีไว้ให้ผู้ล่วงละเมิดทุกคนที่กลับใจ โดยทางพระคริสต์

Strength and grace have been provided through Christ to be brought by ministering angels to every believing soul. None are so sinful that they cannot find strength, purity, and righteousness in Jesus, who died for them. He is waiting to strip them of their garments stained and polluted with sin, and to put upon them the white robes of righteousness; He bids them live and not die. {SC 52.3}

พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกำลังและพระคุณ เพื่อทูตสวรรค์ผู้รับใช้จะนำไปให้แก่จิตวิญญาณทุกดวงที่มีความเชื่อ ไม่มีผู้ใดมีบาปที่หนาเกินไปที่จะเข้ามาหาพละกำลัง ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมที่มีอยู่ในพระเยซูผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคนไม่ได้ พระองค์ทรงรอคอยที่จะถอดเสื้อที่เปรอะเปื้อนและสกปรกด้วยบาปของพวกเขาออก และสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมให้แก่เขา พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เขามีชีวิตอยู่และไม่ต้องตาย {SC 52.3}

God does not deal with us as finite men deal with one another. His thoughts are thoughts of mercy, love, and tenderest compassion. He says, “Let the wicked forsake his way, and the unrighteous man his thoughts: and let him return unto the Lord, and He will have mercy upon him; and to our God, for He will abundantly pardon.” “I have blotted out, as a thick cloud, thy transgressions, and, as a cloud, thy sins.” Isaiah 55:7; 44:22. {SC 53.1}

พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนเช่นมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนังปฏิบัติต่อกัน ความคิดของพระองค์เป็นความคิดแห่งความเมตตา ความรักและความเอ็นดู พระองค์ตรัสว่า “ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ” “เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” (อิสยาห์ 55:7; 44:22) {SC 53.1}

“I have no pleasure in the death of him that dieth, saith the Lord God: wherefore turn yourselves, and live ye.” Ezekiel 18:32. Satan is ready to steal away the blessed assurances of God. He desires to take every glimmer of hope and every ray of light from the soul; but you must not permit him to do this. Do not give ear to the tempter, but say, “Jesus has died that I might live.

“พระเจ้าตรัสว่า เราไม่มีความพอใจในความตายของผู้หนึ่งผู้ใดเลย จงหันกลับและดำรงชีวิตอยู่” (เอเสเคียล 18:32) ซาตานพร้อมที่จะฉกชิงพระสัญญาอันประเสริฐของพระเจ้าไป มันมุ่งมั่นที่จะเอาแสงแห่งความหวังที่ริบหรี่และลำแสงแห่งความจริงทั้งหมดออกไปจากจิตวิญญาณ แต่ท่านจะต้องไม่ปล่อยให้มันทำเช่นนี้ จงอย่าฟังผู้ล่อลวง แต่ให้ท่านพูดว่า “พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่

He loves me, and wills not that I should perish. I have a compassionate heavenly Father; and although I have abused His love, though the blessings He has given me have been squandered, I will arise, and go to my Father, and say, ‘I have sinned against heaven, and before Thee, and am no more worthy to be called Thy son: make me as one of Thy hired servants.’” The parable tells you how the wanderer will be received: “When he was yet a great way off, his father saw him, and had compassion, and ran, and fell on his neck, and kissed him.” Luke 15:18-20. {SC 53.2}

พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า และไม่ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าพินาศ ข้าพเจ้ามีพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงเมตตาปราณี และถึงแม้ข้าพเจ้าได้ใช้ความรักของพระองค์ไปในทางที่ผิด แม้ข้าพเจ้าได้ใช้พระพรที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ข้าพเจ้าอย่างสุรุ่ยสุร่าย ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” อุปมานี้บอกท่านให้ทราบว่า ผู้ที่หลงหายไปได้รับการต้อนรับอย่างไร “เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจูบเขา” (ลูกา 15:18-20) {SC 53.2}

But even this parable, tender and touching as it is, comes short of expressing the infinite compassion of the heavenly Father. The Lord declares by His prophet, “I have loved thee with an everlasting love: therefore with loving-kindness have I drawn thee.” Jeremiah 31:3.

ถึงแม้อุปมานี้จะอ่อนหวานและจับใจเพียงไรก็ตาม แต่ก็ยังบรรยายถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ไม่หมด พระเจ้าทรงประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” (เยเรมีย์ 31:3)

While the sinner is yet far from the Father’s house, wasting his substance in a strange country, the Father’s heart is yearning over him; and every longing awakened in the soul to return to God is but the tender pleading of His Spirit, wooing, entreating, drawing the wanderer to his Father’s heart of love. {SC 54.1}

ในขณะที่คนบาปยังอยู่ไกลบ้านของพระบิดา เขาผลาญทรัพย์ของตนอยู่ในเมืองไกล พระหทัยของพระบิดายังห่วงหาถึงเขา และจิตวิญญาณทุกดวงที่ตื่นขึ้นและอยากจะกลับไปยังพระเจ้า ก็เกิดจากการร้องขออย่างแผ่วเบาของพระวิญญาณของพระองค์ที่กำลังเรียกร้อง เชิญชวน ชักนำผู้ที่หลงหายไปให้กลับมายังพระหทัยที่เปี่ยมด้วยความรักของพระบิดา {SC 54.1}

With the rich promises of the Bible before you, can you give place to doubt? Can you believe that when the poor sinner longs to return, longs to forsake his sins, the Lord sternly withholds him from coming to His feet in repentance? Away with such thoughts! Nothing can hurt your own soul more than to entertain such a conception of our heavenly Father.

ด้วยพระสัญญามากมายในพระคัมภีร์ที่อยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะเปิดทางให้กับความสงสัยได้อย่างไร ท่านจะเชื่อได้อย่างไรว่าเมื่อคนบาปผู้น่าสงสารอยากจะหันหลังกลับ อยากจะละทิ้งความบาปของเขา พระเจ้าจะทรงเกรี้ยวกราดไม่ยอมให้เขาเข้ามายังแทบพระบาทของพระองค์เพื่อกลับใจหรือ ให้ท่านทิ้งความคิดเช่นนี้ออกไปเสีย ไม่มีสิ่งใดจะทำความเสียหายให้แก่จิตวิญญาณของท่านได้มากกว่าการที่ท่านจะสนุกกับความคิดที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราเป็นเช่นนี้

He hates sin, but He loves the sinner, and He gave Himself in the person of Christ, that all who would might be saved and have eternal blessedness in the kingdom of glory. What stronger or more tender language could have been employed than He has chosen in which to express His love toward us? He declares, “Can a woman forget her sucking child, that she should not have compassion on the son of her womb? yea, they may forget, yet will I not forget thee.” Isaiah 49:15. {SC 54.2}

พระองค์ทรงเกลียดชังบาป แต่พระองค์ทรงรักคนบาป และพระองค์ทรงประทานพระองค์เองในพระคริสต์ เพื่อให้ทุกคนที่ต้องการได้รับความรอด และพระพรชั่วนิรันดร์ในแผ่นดินแห่งพระสิริ พระองค์จะทรงใช้ภาษาใดที่หนักแน่นกว่าและอ่อนโยนกว่านี้เพื่อบรรยายถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อเราได้ พระองค์ทรงประกาศว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า” (อิสยาห์ 49:15) {SC 54.2}

Look up, you that are doubting and trembling; for Jesus lives to make intercession for us. Thank God for the gift of His dear Son and pray that He may not have died for you in vain. The Spirit invites you today. Come with your whole heart to Jesus, and you may claim His blessing. {SC 54.3}

จงแหงนหน้ามองขึ้นไป ท่านทั้งหลายที่สงสัยและตัวสั่นสะท้านอยู่ เพราะพระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อเป็นผู้แก้ต่างของเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของประทาน คือ พระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ และจงอธิษฐานเพื่อการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพื่อท่านนั้นจะไม่เป็นการสูญเปล่า พระวิญญาณทรงเชิญท่านในวันนี้ ขอให้ท่านเข้ามาหาพระเยซูด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน และท่านยื่นมือรับพระพรของพระองค์ได้ {SC 54.3}

As you read the promises, remember they are the expression of unutterable love and pity. The great heart of Infinite Love is drawn toward the sinner with boundless compassion. “We have redemption through His blood, the forgiveness of sins.” Ephesians 1:7.

ในขณะที่ท่านอ่านพระสัญญา จงจดจำไว้เสมอว่าพระสัญญาเหล่านั้นเป็นการแสดงความรักและพระเมตตาที่ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาได้ พระหทัยยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้มีความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะเข้ามาหาคนบาปด้วยความเมตตาอันไร้ขอบเขต “เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” (เอเฟซัส 1:17)

Yes, only believe that God is your helper. He wants to restore His moral image in man. As you draw near to Him with confession and repentance, He will draw near to you with mercy and forgiveness. {SC 55.1}

ถูกแล้ว เพียงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของท่าน พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำพระฉายาด้านศีลธรรมกลับคืนมาให้มนุษย์ ในขณะที่ท่านเข้ามาใกล้พระองค์ด้วยการสารภาพและการกลับใจ พระองค์จะทรงเข้ามาใกล้ท่านด้วยความเมตตาและการอภัย {SC 55.1}