Chapter 9 (บทที่ 9)
The Work and the Life
ชีวิตและการรับใช้

Thai audio version. Please connect to internet to listen

God is the source of life and light and joy to the universe. Like rays of light from the sun, like the streams of water bursting from a living spring, blessings flow out from Him to all His creatures. And wherever the life of God is in the hearts of men, it will flow out to others in love and blessing. {SC 77.1}

พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและความสว่างและความสุขของจักรวาล เช่นเดียวกับแสงสว่างที่มาจากดวงอาทิตย์และเช่นเดียวกับสายธารน้ำที่พุ่งออกมาจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิต พระพรของพระเจ้าจะไหลออกจากพระองค์ไปยังสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เมื่อจิตใจของมนุษย์คนใดมีชีวิตของพระเจ้าร่วมสถิตอยู่ด้วย ความรักและพระพรของพระองค์จะไหลผ่านคนนั้นไปยังผู้อื่นด้วย {SC 77.1}

Our Saviour’s joy was in the uplifting and redemption of fallen men. For this He counted not His life dear unto Himself, but endured the cross, despising the shame. So angels are ever engaged in working for the happiness of others. This is their joy. That which selfish hearts would regard as humiliating service, ministering to those who are wretched and in every way inferior in character and rank, is the work of sinless angels.

การไถ่มนุษย์ที่ล้มลงในบาปให้รอดและฉุดเขาขึ้นมาเป็นสิ่งที่นำความสุขมายังพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพื่อทำการนี้ให้สำเร็จ พระองค์ไม่ได้ทะนุถนอมชีวิตของพระองค์เองไว้ แต่ทรงยอมทนต่อกางเขนโดยไม่ใส่ใจต่อความละอาย ทูตสวรรค์ก็มีส่วนที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขอยู่เสมอเช่นเดียวกัน นี่คือความชื่นชมยินดีของพวกเขา สำหรับผู้ที่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้น พวกเขาจะถือว่าการปรนนิบัติผู้ยากไร้ที่มีสภาพและฐานะที่ด้อยกว่าในทุกๆ ด้านเป็นงานที่ตกต่ำแต่การปรนนิบัติเช่นนี้เป็นงานที่ทูตสวรรค์ผู้ไม่มีบาปกระทำอยู่

The spirit of Christ’s self-sacrificing love is the spirit that pervades heaven and is the very essence of its bliss. This is the spirit that Christ’s followers will possess, the work that they will do. {SC 77.2}

วิญญาณแห่งการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระคริสต์จะแทรกซึมไปทั่วทั้งสวรรค์ เป็นหัวใจของความสุขที่แท้จริงของที่นั่น ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องมีวิญญาณเช่นนี้เป็นภารกิจที่พวกเขาจะต้องทำ {SC 77.2}

When the love of Christ is enshrined in the heart, like sweet fragrance it cannot be hidden. Its holy influence will be felt by all with whom we come in contact. The spirit of Christ in the heart is like a spring in the desert, flowing to refresh all and making those who are ready to perish, eager to drink of the water of life. {SC 77.3}

เมื่อมีความรักของพระคริสต์ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา ความรักนั้นจะเป็นเหมือนกลิ่นอันหอมหวานซึ่งเราจะเก็บซ่อนไว้ไม่ได้ ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสกับเราจะรู้สึกได้ถึงอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์นี้ พระวิญญาณของพระคริสต์ที่ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจจะเป็นเหมือนบ่อน้ำพุกลางทะเลทราย ซึ่งมีน้ำไหลรินออกมาสร้างความชุ่มชื่นและดับกระหายให้ผู้ที่กำลังใกล้จะพินาศที่ปรารถนาจะดื่มน้ำแห่งชีวิต {SC 77.3}

Love to Jesus will be manifested in a desire to work as He worked for the blessing and uplifting of humanity. It will lead to love, tenderness, and sympathy toward all the creatures of our heavenly Father’s care. {SC 77.4}

ความรักที่เรามีให้กับพระคริสต์จะแสดงออกให้เห็นเป็นความปรารถนาที่จะทำงานรับใช้เหมือนพระองค์เพื่อเป็นพระพรและยกชูมนุษยชาติให้สูงขึ้น การรับใช้นี้จะทำให้เกิดความรัก ความอ่อนโยน และความเห็นใจต่อสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพระบิดาของเราในสวรรค์ {SC 77.4}

The Saviour’s life on earth was not a life of ease and devotion to Himself, but He toiled with persistent, earnest, untiring effort for the salvation of lost mankind. From the manger to Calvary He followed the path of self-denial and sought not to be released from arduous tasks, painful travels and exhausting care and labor. He said, “The Son of man came not to be ministered unto, but to minister, and to give His life a ransom for many.” Matthew 20:28.

ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดในโลกนี้ไม่ใช่ชีวิตที่สะดวกสบายและไม่ใช่ชีวิตที่อุทิศเวลาเพื่อพระองค์เอง แต่พระองค์ทรงทำงานด้วยความหนักแน่นจริงใจ และด้วยความเพียรที่ไม่เคยย่อท้อเพื่อนำความรอดมาให้แก่มนุษยชาติที่หลงหาย จากรางหญ้าไปจนถึงการเขนคาล์วารี พระองค์ทรงดำเนินไปตามทางที่ไม่มีการตามใจตนเองและไม่เคยหาทางหลีกหนีจากภารกิจที่ยากลำบากจากการเดินทางอันแสนเจ็บปวด และไม่เคยหลีกหนีจากการใส่ใจและงานที่ทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรง พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” (มัทธิว 20:28)

This was the one great object of His life. Everything else was secondary and subservient. It was His meat and drink to do the will of God and to finish His work. Self and self-interest had no part in His labor. {SC 78.1}

นี่คือเป้าหมายเดียวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพระองค์ ทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องรองและไม่มีความสำคัญเท่า อาหารและเครื่องดื่มของพระองค์คือ การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ การทำเพื่อตัวเองและหาผลประโยชน์ให้กับตนเองไม่มีส่วนในพระราชกิจของพระองค์ {SC 78.1}

So those who are the partakers of the grace of Christ will be ready to make any sacrifice, that others for whom He died may share the heavenly gift. They will do all they can to make the world better for their stay in it. This spirit is the sure outgrowth of a soul truly converted.

ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนในพระคุณของพระเจ้าจะมีความพร้อมที่จะเสียสละบางอย่างเพื่อคนอื่นที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเขาจะได้มีส่วนร่วมในของประทานจากสวรรค์ พวกเขาจะทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อทำให้โลกที่เขาอาศัยอยู่นั้นดีขึ้น ความตั้งใจเช่นนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณที่ได้กลับใจอย่างแท้จริง

No sooner does one come to Christ than there is born in his heart a desire to make known to others what a precious friend he has found in Jesus; the saving and sanctifying truth cannot be shut up in his heart. If we are clothed with the righteousness of Christ and are filled with the joy of His indwelling Spirit, we shall not be able to hold our peace. If we have tasted and seen that the Lord is good we shall have something to tell.

ในทันทีที่มีคนหนึ่งได้เข้ามาหาพระคริสต์ ความปรารถนาที่จะบอกให้ผู้อื่นทราบถึงพระสหายล้ำค่าที่เขาพบในองค์พระเยซูก็จะเกิดขึ้นในจิตใจของเขา เขาจะเก็บความจริงที่ช่วยให้รอดและชำระให้พ้นจากบาปไว้ในใจของเขาอย่างเงียบไม่ได้ หากเราสวมใส่ความชอบธรรมของพระคริสต์ไว้และเต็มล้นด้วยความสุขจากการมีพระวิญญาณของพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย เราจะเก็บสันติสุขไว้อยู่กับตัวไม่ได้ หากเราเคยลิ้มรสและรู้ว่าพระเจ้าประเสริฐ เราจะมีเรื่องเล่าให้ผู้อื่นฟัง

Like Philip when he found the Saviour, we shall invite others into His presence. We shall seek to present to them the attractions of Christ and the unseen realities of the world to come. There will be an intensity of desire to follow in the path that Jesus trod. There will be an earnest longing that those around us may “behold the Lamb of God, which taketh away the sin of the world.” John 1:29. {SC 78.2}

เช่นเดียวกับฟิลิปเมื่อพบพระผู้ช่วยให้รอดเราจะเชิญชวนผู้อื่นให้เข้ามายังเบื้องพระพักตร์พระองค์ เราจะคอยบอกให้ทุกคนได้ทราบถึงความน่าประทับใจของพระคริสต์และสภาพที่แท้จริงของโลกที่กำลังจะมาถึงซึ่งตามองไม่เห็น จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะติดตามทางที่พระคริสต์ได้ดำเนินไปแล้ว จะมีความต้องการให้คนรอบข้างของเราได้หันไป “ดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) {SC 78.2}

And the effort to bless others will react in blessings upon ourselves. This was the purpose of God in giving us a part to act in the plan of redemption. He has granted men the privilege of becoming partakers of the divine nature and, in their turn, of diffusing blessings to their fellow men. This is the highest honor, the greatest joy, that it is possible for God to bestow upon men. Those who thus become participants in labors of love are brought nearest to their Creator. {SC 79.1}

เมื่อเราทำให้ตัวของเราเป็นพระพรแก่ผู้อื่น พระพรนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเรา นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เรามีส่วนร่วมในแผนการแห่งการไถ่ให้รอด พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มีส่วนในธรรมชาติของพระองค์และเพื่อให้มนุษย์กระจายพระพรไปให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นี่เป็นเกียรติสูงสุดและเป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่มนุษย์ได้ ผู้ที่เข้ามาร่วมทำงานแห่งรักนี้ จะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดพระผู้สร้างของเขาได้มากที่สุด {SC 79.1}

God might have committed the message of the gospel, and all the work of loving ministry, to the heavenly angels. He might have employed other means for accomplishing His purpose. But in His infinite love He chose to make us co-workers with Himself, with Christ and the angels, that we might share the blessing, the joy, the spiritual uplifting, which results from this unselfish ministry. {SC 79.2}

พระเจ้าอาจมอบหมายให้ทูตสวรรค์เป็นผู้ประกาศข่าวสารแห่งพระกิตติคุณและเป็นผู้รับภาระการรับใช้ด้วยรักทั้งหมด พระองค์อาจใช้วิธีอื่นๆ เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ แต่ด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกเราให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ กับพระคริสต์และกับทูตสวรรค์ เพื่อเราจะมีส่วนร่วมในพระพร ในความสุข และยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลที่ได้จากงานของการรับใช้ที่ไม่เห็นแก่ตัว {SC 79.2}

We are brought into sympathy with Christ through the fellowship of His sufferings. Every act of self-sacrifice for the good of others strengthens the spirit of beneficence in the giver’s heart, allying him more closely to the Redeemer of the world, who “was rich, yet for your sakes . . . became poor, that ye through His poverty might be rich.” 2 Corinthians 8:9. And it is only as we thus fulfill the divine purpose in our creation that life can be a blessing to us. {SC 79.3}

โดยการร่วมทุกข์กับพระคริสต์ เราจะเข้าใจความทุกข์ยากของพระองค์ การยอมสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นจะทำให้วิญญาณแห่งการรู้จักแบ่งปันที่มีอยู่ในจิตใจของผู้ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น “พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมีเนื่องจากความยากจนองพระองค์” (2 โครินธ์ 8:9) และนี่คือวิธีที่พระเจ้าจะใช้เพื่อให้เราทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างเราขึ้นมาสำเร็จ เพื่อจะได้มีชีวิตที่เป็นพระพรสำหรับเราเอง {SC 79.3}

If you will go to work as Christ designs that His disciples shall, and win souls for Him, you will feel the need of a deeper experience and a greater knowledge in divine things, and will hunger and thirst after righteousness. You will plead with God, and your faith will be strengthened, and your soul will drink deeper drafts at the well of salvation. Encountering opposition and trials will drive you to the Bible and prayer. You will grow in grace and the knowledge of Christ, and will develop a rich experience. {SC 80.1}

หากท่านจะออกไปทำงานรับใช้ตามที่พระคริสต์ทรงวางแผนให้สาวกของพระองค์ทำและนำจิตวิญญาณกลับมาหาพระองค์แล้ว ท่านก็จะรู้สึกถึงความต้องการที่จะมีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นและความต้องการที่จะมีความรอบรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม และท่านก็จะรู้สึกหิวและกระหายความชอบธรรม ท่านจะอ้อนวอนกับพระเจ้าและความเชื่อของท่านจะเข้มแข็งขึ้นและจิตวิญญาณของท่านจะดื่มน้ำที่ได้จากบ่อแห่งความรอดที่ลึกกว่าเดิม เมื่อท่านต้องการเผชิญหน้ากับการต่อต้านและการทดลอง ท่านจะถูกผลักให้ไปศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐาน ท่านจะเจริญขึ้นในพระคุณและความรอบรู้ในพระคริสต์และจะได้รับประสบการณ์ที่มีค่า {SC 80.1}

The spirit of unselfish labor for others gives depth, stability, and Christlike loveliness to the character, and brings peace and happiness to its possessor. The aspirations are elevated. There is no room for sloth or selfishness.

วิญญาณแห่งการรับใช้ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวจะสร้างอุปนิสัยให้ลึกล้ำมั่นคง และน่ารักอย่างพระคริสต์ และนำสันติสุขและความผาสุกมาให้แก่ผู้ที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ ความใฝ่ฝันนี้จะถูกปรับให้ยิ่งสูงขึ้นไป จะไม่มีช่องว่างสำหรับความเกียจคร้านหรือความเห็นแก่ตัว

Those who thus exercise the Christian graces will grow and will become strong to work for God. They will have clear spiritual perceptions, a steady, growing faith, and an increased power in prayer.

ผู้ที่ดำรงชีวิตด้วยคุณความดีของคริสเตียนจะเจริญเติบใหญ่ขึ้นและจะเป็นคนเข้มแข็งที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าได้ พวกเขาจะมีสายตาทางฝ่ายวิญญาณที่ชัดเจน ความเชื่อที่เติบใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคงและการอธิษฐานของเขาจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น

The Spirit of God, moving upon their spirit, calls forth the sacred harmonies of the soul in answer to the divine touch. Those who thus devote themselves to unselfish effort for the good of others are most surely working out their own salvation. {SC 80.2}

พระวิญญาณของพระเจ้าที่เคลื่อนไหวในเขาจะชักนำวิญญาณจิตของเขาให้สนองตอบต่อการสัมผัสของพระเจ้า ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอันศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นได้ ผู้ที่อุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพื่อสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นกำลังจัดการกับการสร้างความรอดของเขาเองอย่างแน่นอน {SC 80.2}

The only way to grow in grace is to be disinterestedly doing the very work which Christ has enjoined upon us–to engage, to the extent of our ability, in helping and blessing those who need the help we can give them. Strength comes by exercise; activity is the very condition of life. Those who endeavor to maintain Christian life by passively accepting the blessings that come through the means of grace, and doing nothing for Christ, are simply trying to live by eating without working. And in the spiritual as in the natural world, this always results in degeneration and decay.

วิธีเดียวที่จะเจริญขึ้นในพระคุณคือ การทำงานทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้เราทำอย่างไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตน ลงมือทำงานอย่างสุดความสามารถของเราเพื่อให้ความช่วยเหลือและเป็นพระพรให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือซึ่งเราช่วยเขาได้ กำลังฝ่ายกายจะได้มาด้วยการออกกำลังกาย กิจกรรมแห่งการรับใช้เป็นส่วนสำคัญของชีวิต ผู้ที่พยายามรักษาชีวิตคริสเตียนด้วยการคอยแต่จะรับพระพรที่ได้มาโดยพระคุณและไม่ทำอะไรเพื่อพระคริสต์เลย ก็เปรียบเหมือนคนที่มีชีวิตที่คอยแต่จะกินโดยไม่ทำงาน และผลจากการทำเช่นนี้ของชีวิตฝ่ายวิญญาณก็มีความคล้ายคลึงกับชีวิตในโลกธรรมชาติ นั่นคือ มักจะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมและหมดสภาพ

A man who would refuse to exercise his limbs would soon lose all power to use them. Thus the Christian who will not exercise his God-given powers not only fails to grow up into Christ, but he loses the strength that he already had. {SC 80.3}

ผู้ที่ไม่ยอมใช้แขนขา ในไม่ช้าก็จะสูญเสียความสามารถไปจนหมด ดังนั้น คริสเตียนที่ไม่ยอมนำพละกำลังที่พระเจ้าทรงประทานให้ออกมาใช้ เขาไม่เพียงแต่จะไม่เติบใหญ่ขึ้นในพระคริสต์เท่านั้น แต่จะสูญเสียพละกำลังที่เขามีอยู่แล้วไปด้วย {SC 80.3}

The church of Christ is God’s appointed agency for the salvation of men. Its mission is to carry the gospel to the world. And the obligation rests upon all Christians. Everyone, to the extent of his talent and opportunity, is to fulfill the Saviour’s commission. The love of Christ, revealed to us, makes us debtors to all who know Him not. God has given us light, not for ourselves alone, but to shed upon them. {SC 81.1}

คริสตจักรของพระคริสต์เป็นตัวแทนที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้เพื่อความรอดของมนุษย์ พันธกิจของคือการประกาศพระกิตติคุณออกไปทั่วโลก หน้าที่นี้ถูกจัดไว้ให้คริสเตียนทุกคน ทุกคนต้องทำหน้าที่ตามพระบัญชาของพระผู้ช่วยให้รอดตามแต่ขนาดความสามารถและโอกาสที่เขามี ความรักของพระคริสต์ที่ทรงเปิดไว้ให้แก่เรา ทำให้เราเป็นหนี้คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระองค์ พระเจ้าทรงประทานแสงสว่างให้แก่เรา ไม่ใช่มีไว้สำหรับตัวเราเองเท่านั้น แต่เพื่อให้เราส่องแสงสว่างนั้นไปให้แก่ผู้อื่น {SC 81.1}

If the followers of Christ were awake to duty, there would be thousands where there is one today proclaiming the gospel in heathen lands. And all who could not personally engage in the work, would yet sustain it with their means, their sympathy, and their prayers. And there would be far more earnest labor for souls in Christian countries. {SC 81.2}

หากผู้ติดตามของพระคริสต์จะตื่นตัวในหน้าที่ของเขาแล้ว จะมีคนนับเป็นพันๆ ออกไปประกาศพระกิตติคุณในดินแดนที่ยังไม่มีผู้เชื่อพระเจ้าแทนที่จะมีคนประกาศอยู่เพียงคนเดียวอย่างเช่นทุกวันนี้ และทุกคนที่ไม่สามารถลงมือทำงานเหล่านี้ด้วยตัวเองได้ ก็จะสนับสนุนงานเหล่านั้นด้วยทรัพย์ของเขา ความเห็นใจและคำอธิษฐานของเขา และในประเทศที่มีคริสเตียนจะมีการทำงานเพื่อจิตวิญญาณด้วยความจริงใจมากยิ่งขึ้น {SC 81.2}

We need not go to heathen lands, or even leave the narrow circle of the home, if it is there that our duty lies, in order to work for Christ. We can do this in the home circle, in the church, among those with whom we associate, and with whom we do business. {SC 81.3}

เราไม่จำเป็นต้องไปยังดินแดนที่ห่างไกลหรือแม้แต่ออกไปจากสังคมวงแคบของบ้าน หากมีหน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อพระคริสต์ที่นั่น เราทำงานเช่นนี้ได้ในแวดวงของบ้าน ในคริสตจักร กับผู้ที่เราคบหาสมาคมด้วย และกับผู้ที่เราทำธุรกิจด้วย {SC 81.3}

The greater part of our Saviour’s life on earth was spent in patient toil in the carpenter’s shop at Nazareth. Ministering angels attended the Lord of life as He walked side by side with peasants and laborers, unrecognized and unhonored. He was as faithfully fulfilling His mission while working at His humble trade as when He healed the sick or walked upon the storm-tossed waves of Galilee. So in the humblest duties and lowliest positions of life, we may walk and work with Jesus. {SC 81.4}

เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดของเรามีชีวิตอยู่ในโลก พระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานอย่างอดทนภายในร้านช่างไม้ที่เมืองนาซาเร็ธ ทูตสวรรค์ผู้รับใช้คอยเฝ้าติดตามพระเจ้าแห่งชีวิตในขณะที่ทรงดำเนินอยู่เคียงข้างคนยากจนและผู้ที่ใช้แรงงาน พระองค์ไม่ได้รับการยอมรับและไม่ได้รับพระเกียรติ พระองค์ทรงทำหน้าที่ของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อทั้งในขณะที่ทรงประกอบธุรกิจอันต่ำต้อยพอๆ กับในขณะที่ทรงรักษาผู้ป่วยหรือดำเนินอยู่ท่ามกลางคลื่นลมอันปั่นป่วนของทะเลกาลิสี ดังนั้น เราก็จะดำเนินและทำงานร่วมกับพระเยซูได้ในหน้าที่และตำแหน่งที่ต่ำต้อยที่สุดของชีวิต {SC 81.4}

The apostle says, “Let every man, wherein he is called, therein abide with God.” 1 Corinthians 7:24. The businessman may conduct his business in a way that will glorify his Master because of his fidelity. If he is a true follower of Christ he will carry his religion into everything that is done and reveal to men the spirit of Christ. The mechanic may be a diligent and faithful representative of Him who toiled in the lowly walks of life among the hills of Galilee. Everyone who names the name of Christ should so work that others, by seeing his good works, may be led to glorify their Creator and Redeemer. {SC 82.1}

อัครทูตกล่าวว่า ให้ “ทุกคนดำรงอยู่ในฐานะอันใดเมื่อพระเจ้าทรงเรียกก็ให้ผู้นั้นอยู่กับพระเจ้าในฐานะนั้น” (1 โครินธ์ 7:24) นักธุรกิจจะประกอบธุรกิจของเขาด้วยความซื่อตรงเพื่อถวายเกียรติแด่พระอาจารย์ของเขาหากเขาเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระคริสต์ เขาก็จะนำศาสนาของเขาเข้าไปในทุกที่และแสดงให้มนุษย์เห็นวิญญาณของพระคริสต์ นายช่างที่ขยันขันแข็งและสัตย์ซื่อก็จะเป็นตัวแทนของพระองค์ผู้ทรงทำงานท่ามกลางผู้ที่ต่ำต้อย ณ กลางหุบเขาแห่งกาลิสี ทุกคนที่นำพระนามของพระคริสต์มาใช้ จะทำตามหน้าที่ของเขา จนเมื่อผู้อื่นมองเห็นการงานที่ดีของเขาแล้วจะสรรเสริญพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขา {SC 82.1}

Many have excused themselves from rendering their gifts to the service of Christ because others were possessed of superior endowments and advantages. The opinion has prevailed that only those who are especially talented are required to consecrate their abilities to the service of God. It has come to be understood by many that talents are given to only a certain favored class to the exclusion of others who of course are not called upon to share in the toils or the rewards. But it is not so represented in the parable. When the master of the house called his servants, he gave to every man his work. {SC 82.2}

มีคนจำนวนมากแก้ตัวกับการไม่ยอมนำของประทานที่เขามีอยู่มาถวายรับใช้พระคริสต์ด้วยให้เหตุผลว่า มีผู้อื่นที่มีของประทานที่ดีกว่าและมีความสามารถที่เหนือกว่า มักมีความคิดเห็นที่แพร่หลายว่า ผู้ที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นที่ต้องนำความสามารถของเขามามอบถวายรับใช้พระเจ้า คนมากมายเข้าใจว่าความสามารถพิเศษนั้นทรงโปรดประทานให้แก่กลุ่มคนที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ามาแบ่งรับภาระหรือการตอบแทน แต่ในคำอุปมามิได้สอนไว้เช่นนี้ เมื่อเจ้าของบ้านเรียกบ่าวของท่านเข้ามาพบ ท่านได้มอบหมายงานให้ทุกคนทำ {SC 82.2}

With a loving spirit we may perform life’s humblest duties “as to the Lord.” Colossians 3:23. If the love of God is in the heart, it will be manifested in the life. The sweet savor of Christ will surround us, and our influence will elevate and bless. {SC 82.3}

ด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก เราจะทำหน้าที่ที่ต่ำต้อยที่สุดในชีวิตเพื่อ “ทำถวายพระองค์พระผู้เป็นเจ้า” (โคโลสี 3:23) หากความรักของพระเจ้าอยู่ในจิตใจแล้ว ชีวิตนั้นก็จะแสดงความรักนั้นออกมา กลิ่นอันหอมหวานของพระคริสต์จะอยู่รอบตัวเรา และอิทธิพลของเราจะเด่นขึ้นมาและทำให้ผู้อื่นได้รับพระพร {SC 82.3}

You are not to wait for great occasions or to expect extraordinary abilities before you go to work for God. You need not have a thought of what the world will think of you. If your daily life is a testimony to the purity and sincerity of your faith, and others are convinced that you desire to benefit them, your efforts will not be wholly lost. {SC 83.1}

ท่านไม่ต้องคอยโอกาสที่ยิ่งใหญ่หรือหวังให้มีความสามารถพิเศษก่อนแล้วจึงค่อยออกไปทำงานรับใช้พระเจ้า ท่านต้องไม่คิดว่า โลกจะคิดอย่างไรกับท่าน หากชีวิตประจำวันของท่านเป็นพยานถึงความเชื่อของท่านที่บริสุทธิ์และสัตย์จริง และคนอื่นๆ ก็มั่นใจว่าท่านต้องการให้พวกเขาได้รับประโยชน์ ความพยายามของท่านก็จะไม่สูญเปล่า {SC 83.1}

The humblest and poorest of the disciples of Jesus can be a blessing to others. They may not realize that they are doing any special good, but by their unconscious influence they may start waves of blessing that will widen and deepen, and the blessed results they may never know until the day of final reward.

สาวกที่ต่ำต้อยและยากจนที่สุดของพระเยซูยังทำตัวให้เป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้ พวกเขาอาจจะไม่เคยตระหนักว่าได้ทำอะไรที่ดีเป็นพิเศษ แต่จากอิทธิพลที่เขาทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้น ทำให้เกิดคลื่นแห่งพระพรที่จะขยายออกเป็นวงกว้างและฝังลึกยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ไม่เคยรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เป็นพระพรนั้นเลยจนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่การกระทำของเขาจะได้รับผลตอบแทน

They do not feel or know that they are doing anything great. They are not required to weary themselves with anxiety about success. They have only to go forward quietly, doing faithfully the work that God’s providence assigns, and their life will not be in vain. Their own souls will be growing more and more into the likeness of Christ; they are workers together with God in this life and are thus fitting for the higher work and the unshadowed joy of the life to come. {SC 83.2}

พวกเขาไม่ได้รู้สึกหรือไม่ได้คิดว่า สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร พวกเขาไม่เคยกังวลใจถึงเรื่องความสำเร็จ เขาเพียงแต่ต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ทำงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้อย่างซื่อสัตย์ และชีวิตของเขาก็จะไม่สูญเปล่า จิตวิญญาณของเขาจะเติบใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนคล้ายคลึงกับของพระคริสต์ ขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเขาเป็นคนทำงานร่วมกับพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ ในชีวิตที่จะมาถึงนั้น พวกเขาจึงเหมาะที่จะทำงานที่สูงส่งกว่าและได้รับความสุขที่ไม่มีเงามืดมาบดบัง {SC 83.2}