Chapter 2 (บทที่ 2)
Jesus Presented in the Temple
พระเยซูในพระวิหาร
Joseph and Mary were Jews, and followed the customs of their nation. When Jesus was six weeks old, they brought Him to the Lord in the temple at Jerusalem. {SJ 17.1}
โยเซฟและมาเรียเป็นชาวยิว และโดยธรรมเนียมชาวยิว ทั้งสองก็จะต้องนำทารกที่เกิดใหม่มาที่พระวิหารเพื่อทำพิธิอุทิศถวายให้พระเจ้าเมื่ออายุทารกได้หกสัปดาห์ โยเซฟและมาเรียได้นำพระเยซูไปถวายพระเจ้าที่พระวิหารในกรุงยะรูซาเล็ม
This was according to the law which God had given to Israel, and Jesus was to be obedient in all things. So God’s own Son, the Prince of Heaven, by His example teaches that we should obey. {SJ 17.2}
นั่นก็เป็นการทำตามสิ่งที่พระเจ้าได้สั่งไว้กับชนชาติยิสราเอล พระเยซูทรงเชื่อฟังพระเจ้าใน ทุกสิ่ง ดังนั้นพระบุตรของพระเจ้าเจ้าชายแห่งสวรรค์ทรงเป็นแบบอย่างให้กับเรา ซึ่งเราควรทำตาม
Only the first-born son of each family was thus presented at the temple. This ceremony was to keep in memory an event that had taken place long before. {SJ 17.3}
ทุกครอบครัวจะต้องนำบุตรชายคนแรกมาถวายที่พระวิหารการมีพิธีนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
When the children of Israel were slaves in Egypt, the Lord sent Moses to set them free. He bade Moses go to Pharaoh, king of Egypt, and say: {SJ 17.4}
ขณะที่พวกยิวเป็นทาสของพวกอียิปต์ และพระเจ้าได้ทรงใช้โมเซให้ทำการปลดปล่อยพลไพร่ของพระองค์ พระองค์ทรงใช้ให้โมเซไปทูลกษัตรย์ฟาโรห์ว่า เราบอกแก่เจ้าว่า” จงปล่อยบุตรของเราให้ไปนมัสการเรา ถ้าเจ้าไม่ยอมไห้เขาไป เราจะประหารบุตรหัวปีของเจ้าเสีย” เอ็กโซโด (อพยพ) 4.22,23
Moses carried this message to the king. But Pharaoh’s 18 answer was, “Who is the Lord, that I should obey His voice to let Israel go? I know not the Lord, neither will I let Israel go.” Exodus 5:2. {SJ 17.6}
โมเซจึงนำถ้อยความนี้ไปทูลฟาโรห์ แต่ฟาโรห์ทรงตอบว่า “พระเจ้าเป็นผู้ใดเล่า เราจึงจะต้องเชื่อฟังคำของพระองค์และปล่อยคนยิสรา เอลไป เราไม่รู้จังพระเจ้าและยิ่งกว่านั้นเราจะไม่ยอมปล่อยคนยิสราเอลไป เป็นอันขาด” เอ็นโซโด 5.2
Then the Lord sent fearful plagues upon the Egyptians. The last of these plagues was the slaying of the first-born son of every family, from that of the king to the lowliest in the land. {SJ 18.1}
พระเจ้าจึงทรงส่งภัยทรมานหลายอย่างมาสู่ชาวอียิปต์และภัยอย่างสุดท้ายก็คือ การสังหารบุตรรหัวปีทุกครอบครัว พระเจ้าทรงสังโมเซว่า ชาวยิวทุกครอบครัวจะต้องฆ่าแกะหนึ่งตัวแล้วเอาเลือดแกะมาทาที่เสาประตู นั่งจะเป็นเครื่องหมายที่ทูตทรณะของพระเจ้าจะได้ละเว้นครอบครัว หรือบ้านที่เลือดทาอยู่นั้น
The Lord told Moses that every family of the Israelites must kill a lamb, and put some of the blood upon the door-posts of their dwellings. {SJ 18.2} This was a sign, that the angel of death might pass over all the houses of the Israelites, and destroy none but the proud and cruel Egyptians. {SJ 18.3} This blood of the “Passover” represented to the Jews the blood of Christ. For in due time, God would give His dear Son to be slain as the lamb had been slain; so that all who should believe in Him might be saved from everlasting death. Christ is called our Passover. (1 Corinthians 5:7.) By His blood, through faith, we are redeemed. (Ephesians 1:7.) {SJ 18.4}
เลือดนี้เรียกว่า เลือดปัศคาซึ่งเล็งถึงเลือดของพระเยซูผู้ซึ่งจะได้มาบังเกิดตามกำหนดเวลาที่เจ้าได้ทรงกำหนดให้พระเยซูมาถูกฆ่า เพื่อที่ไครก็ตามที่มีความเชื่อในพระองค์จะไม่ต้องตายชั่วนิรันดร์ พระคริสคือปัศคาของเราทั้งหลาย(1โกรินโธ 5.7 โดยโลหิตของพระองค์และโดยความเชื่อเราทั้งหลายถูกไถ่แล้ว (เอเฟโซ 1.7 )
So as each family in Israel brought the eldest son to the temple, they were to remember how the children had been saved from the plague, and how all might be saved from sin and eternal death. The child presented at the temple was taken in the arms of the priest, and held up before the altar. {SJ 18.5} Thus it was solemnly dedicated to God. Then after it was given back to the mother, its name was written in the roll, or book, that contained the names of the first-born of Israel. So all who are saved by Christ’s blood will have their names written in the book of life. {SJ 18.6}
ด้วยเหตุนี้ทุกครอบครัวในยิสราเอลจึงนำบุตรชายหังปีมาที่พระวิหารเพื่อถวายแก่พระเจ้า เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าพวกเขาได้รอดพ้นจากภัยทรมาน และเดี๋ยวนี้จะได้รอดพ้นจากความตายชั่วนิรันดร์ ปุโรหิตจะอุ้มเด็กที่ถูดนำมาถวายแล้วชูขึ่นต่อหน้าแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้กระทำต่อพระเจ้า หลังจากหลังจากมอบถวายแล้วจะคืนเด็กนั้นให้กับมรรดา แล้วก็จะจดชื่อเด็กนั้นลงที่สมุดบรรทึก ชื่อที่จดไว้นั้นจะ เป็นบุตรหัวปีชองอิสราเอล ในทำนอง เดียวกันคนทั้งหลายที่รอดโดยพระโลหิตของพระคริสต์ ก็จะมีรายชื่อของเขาบันทึกอยู่ในสมุดทะ เบียนประจำชีพของพระเจ้า
Joseph and Mary brought Jesus to the priest as the law required. Every day fathers and mothers were coming with their children, and in Joseph and Mary the priest saw nothing different from many others. They were simply working people. {SJ 19.1}
การที่โยเซฟและมาเรียนำพระเยซูมาอุทิศที่พระวิหารตามกฎที่มีกำหนดไห้ไว้ ไม่ไช้เรื่องที่แปลก เพราะทุกวันจะเห็นพ่อแม่นำลูก ๆ มาทำพิธีในพระวิหารก็ไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างทารก พระเยซูกับเด็กคนอื่น ๆ ปุโรหิตนั้นไม่ได้คิดเลยว่า
In the child Jesus he saw only a helpless infant. Little did the priest think that he was then holding in his arms the Saviour of the world, the High Priest of the heavenly temple. But he might have known; for if he had been obedient to God’s Word, the Lord would have taught him these things. {SJ 19.2}
คนที่เขาอุ้มอยู่นั้นเป็นพระผู้ช้วยให้รอดของโลกเป็นพระผู้สูงสุดของแผ่นดินสวรรค์ และเป็นมหาปุโรหิตของพวกเขานั่นเอง ที่จริงแล้วเขาน่าจะรู้ได้ถ้าเขาในสิ่งเหล่านี้
At this very time there were in the temple two of God’s true servants, Simeon and Anna. Both had grown old in His service, and He showed them things that could not be made known to the proud and selfish priests. {SJ 19.3}
ในขณะเดียวกันและที่เดียวกันนั้น มีผู้รับใช้ของพระเจ้าสองคนชื่อว่า ซีมโอนกับฮันนาทั้งสองรับใช้พระองค์จนกระทั่งแก่ชราทั้งสองคนนี้มีสิ่งซึ่งพวกปุโรหิตที่โอหังและเห็นแก่ตัวและไม่มี
To Simeon had been given the promise that he should not die until he had seen the Saviour. As soon as he saw Jesus in the temple, he knew that this was the promised One. {SJ 19.4} Upon the face of Jesus there was a soft, heavenly light; and Simeon, taking the child in his arms, praised God, and said: {SJ 19.5}
ซีมโอมได้รับคำมั่นสัญญาว่า เขาจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระผู้ช้วยให้รอด ทันทีที่ซีมโอนไดเห็นพระเยซูในพระวิหาร เขาก็รู้ทันทีว่านี่คือพระผู้ช้วยที่ทรงสัญญาไว้ พระพักตร์ของพระเยซูทรงเรืองรองด้วยแสงแห่งสวรรค์ซีมโอนจึงอุ้มเอาทารกนั้นและสรรเสริญพระเจ้าว่า
“Lord, now lettest Thou Thy servant depart in peace, according to Thy word: for mine eyes have seen Thy salvation, which Thou hast prepared before the face of all people; a light to lighten the Gentiles, and the glory of Thy people Israel.” Luke 2:29-32. {SJ 19.6}
ข้าพระเจ้าบัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว ซึ่งพระองค์ได้ทรงจดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย เป็นแสงสว่างส่อง องแก่ชาวต่างชาติและ เป็นสง่าราศีของพวกยิสราเอล ชนชาติของพระองค์ “ ลูกา 2.29-32
Anna, a prophetess, “coming in that instant gave thanks likewise unto the Lord, and spake of Him to all them that looked for redemption in Jerusalem.” Luke 2:38. {SJ 19.7}
และนางฮันนา “ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาโมทนาพระเจ้าและกล่าวถึงพระกุมารให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่ในกรุงยะรูซาเล็มฟัง “ ลูกา 2.38
So it is that God chooses humble people to be His witnesses. Often those whom the world calls great are passed by. Many are like the Jewish priests and rulers. {SJ 19.8}
เราจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงเลือกบุคคลอันต่ำต้อยให้กล่าวเป็นพยานให้แก่พระองค์ พระองค์ทรงมองข้ามบุคคลที่โลกยกย่องว่าสูงส่งหรืยิ่งใหญ่
Many are eager to serve and honor themselves, but think little about serving and honoring God. Therefore He cannot choose them to tell others of His love and mercy.
อย่าง เช่นพวกนักบวชชาวยิวและปกครองคนเหล่านั้นคอยที่จะปรนนิบัติและยกย่องกับตัวเอง แต่คิดน้อยมากที่จะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงเลือกให้เขาประกาศข่าวความรักและความเมตตากรุณาพระองค์
Mary, the mother of Jesus, pondered the far-reaching prophecy of Simeon. As she looked upon the child in her arms, and recalled what the shepherds of Bethlehem had said, she was full of grateful joy and bright hope. {SJ 20.2}
เมื่อนางมาเรียได้ยินคำกล่าวของซีมโอน ทำให้นางนึกถึงคำกล่าวของคนเลี้ยงแกะ นางมองดูทารกในอ้อมอกของนางแล้วก็รู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
Simeon’s words called to her mind the prophecy of Isaiah. She knew that of Jesus were spoken these wonderful words: {SJ 20.3}
ถ้อยคำของซีมโอมทำไห้นางระลึกถึงคำพยากรณ์ของท่านยะซายา ซึ่งนางรู้ดีว่ากล่าวพยากรณ์ถึงพระเยซูถ้อยคำนั้นมีว่า
“The people that walked in darkness have seen a great light: they that dwell in the land of the shadow of death, upon them hath the light shined.” {SJ 20.4}
“ชนชาติที่ดำเนินในความมืดจะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราชความสว่างจึงได้ส่องลงมาบนเขา”
“For unto us a child is born, unto us a Son is given: and the government shall be upon His shoulder: and His name shall be called Wonderful, Counsellor, the Mighty God, the Everlasting Father, the Prince of Peace.” Isaiah 9:2, 6. {SJ 20.5}
“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า” ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” ยะซายา (อิสยาห์) 9.2,6