Chapter 1 (บทที่ 1)
The Fall of Lucifer
การหลงผิดของลูซีเฟอร์

Thai audio version. Please connect to internet to listen

Lucifer in heaven, before his rebellion, was a high and exalted angel, next in honor to God’s dear Son. His countenance, like those of the other angels, was mild and expressive of happiness. His forehead was high and broad, showing a powerful intellect. His form was perfect; his bearing noble and majestic. A special light beamed in his countenance and shone around him brighter and more beautiful than around the other angels; yet Christ, God’s dear Son, had the pre-eminence over all the angelic host. He was one with the Father before the angels were created. Lucifer was envious of Christ, and gradually assumed command which devolved on Christ alone. {SR 13.1}

ก่อนที่คิดกบฏขึ้นในสวรรค์ ลูซีเฟอร์เป็นทูตสวรรค์ที่มีตำแหน่งอันสูงศักดิ์ เป็นที่ยกย่องในบรรดาทูตสวรรค์ทั้งปวง มีเกียรติยศเป็นที่สองรองจากพระบุตรที่รักของพระเจ้า ดวงหน้าของทูตสวรรค์องค์นี้มีลักษณะเดียวกันกับของทูตสวรรค์อื่นๆ กล่าวคือ อ่อนโยน และแสดงความสุขความชื่นบาน หน้าผากกว้างและลาดแสดงว่าเป็นผู้มีสติปัญญา รูปร่างงดงามอย่างไม่มีที่ติ กิริยามารยาทท่าทางเรียบร้อยและสง่างามน่าเกรงขาม มีแสงสว่างสุกใสปรากฏอยู่บนใบหน้าของทูตสวรรค์องค์นี้ และมีรัศมีฉายรอบๆ กายของท่านสว่างและงดงามยิ่งกว่าทูตสวรรค์องค์อื่นๆ แต่ถึงกระนั้นพระคริสต์ พระบุตรที่รักของพระเจ้าก็ยังทรงมีตำแหน่งเหนือกว่าทูตสวรรค์ทั้งปวง ก่อนที่จะสร้างทูตสวรรค์ขึ้นนั้นพระคริสต์ทรงร่วมอยู่กับพระบิดา ลูซีเฟอร์อิจฉาพระคริสต์ และค่อยๆ ยึดเอาการบังคับบัญชาซึ่งเป็นสิทธิ์ของพระคริสต์เท่านั้นไป {SR 13.1}

The great Creator assembled the heavenly host, that He might in the presence of all the angels confer special honor upon His Son. The Son was seated on the throne with the Father, and the heavenly throng of holy angels was gathered around them. The Father then made known that it was ordained by Himself that Christ, His Son, should be equal with Himself; so that wherever was the presence of His Son, it was as His own presence. The word of the Son was to be obeyed as readily as the word of the Father. His Son He had invested with authority to command the heavenly host. Especially was His Son to work in union with Himself in the anticipated creation of the earth and every living thing that should exist upon the earth. His Son would carry out His will and His purposes but would do nothing of Himself alone. The Father’s will would be fulfilled in Him. {SR 13.2}

พระมหาบิดาทรงเรียกบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลายมาประชุมกัน เพื่อจะได้ประทานเกียรติยศพิเศษแก่พระบุตรต่อหน้าทูตสวรรค์เหล่านั้น พระบุตรได้ประทับอยู่บนบัลลังก์ร่วมกับพระบิดาและเหล่าทูตสวรรค์อันบริสุทธิ์ได้พากันมาห้อมล้อมพระองค์ แล้วพระบิดาทรงประกาศว่าพระองค์ทรงแต่งตั้งพระคริสต์พระบุตรของพระองค์ให้มียศศักดิ์เท่ากับพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระบุตรอยู่ที่ไหน ก็เหมือนดังหนึ่งพระองค์อยู่ที่นั้นด้วย ทูตสวรรค์จะต้องเชื่อฟังถ้อยคำของพระบุตรมากเท่าๆ กับพระบิดา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้พระบุตรเป็นผู้บังคับบัญชาเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบุตรจะร่วมมือกับพระบิดาในโครงการสร้างโลก และบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในโลก พระบุตรจะกระทำตามความปรารถนาและความมุ่งหมายของพระบิดา แต่จะไม่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามลำพัง พระบุตรเป็นผู้กระทำให้น้ำพระทัยของพระบิดาเป็นผลสำเร็จ{SR 13.2}

Lucifer was envious and jealous of Jesus Christ. Yet when all the angels bowed to Jesus to acknowledge His supremacy and high authority and rightful rule, he bowed with them; but his heart was filled with envy and hatred. Christ had been taken into the special counsel of God in regard to His plans, while Lucifer was unacquainted with them. He did not understand, neither was he permitted to know, the purposes of God. But Christ was acknowledged sovereign of heaven, His power and authority to be the same as that of God Himself. Lucifer thought that he was himself a favorite in heaven among the angels. He had been highly exalted, but this did not call forth from him gratitude and praise to his Creator. He aspired to the height of God Himself. He gloried in his loftiness. He knew that he was honored by the angels. He had a special mission to execute. He had been near the great Creator, and the ceaseless beams of glorious light enshrouding the eternal God had shone especially upon him. He thought how angels had obeyed his command with pleasurable alacrity. Were not his garments light and beautiful? Why should Christ thus be honored before himself? {SR 14.1}

ลูซีเฟอร์มีความอิจฉาริษยาพระเยซูคริสต์ แต่ถึงกระนั้นเมื่อทูตสวรรค์อื่นๆ พากันน้อมคำนับเพื่อแสดงว่ายอมรับพระคริสต์เป็นผู้มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ ปกครองพวกทูตรสวรรค์ทั้งหลายโดยถูกต้องนั้น ลูซีเฟอร์ก็น้อมคำนับด้วย แต่จิตใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง พระคริสต์ได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของพระเจ้าในการดำเนินแผนการต่างๆ ซึ่งลูซีเฟอร์ไม่เคยทราบเลย ท่านไม่เข้าใจและไม่ได้รับอนุญาตให้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า เหล่าทูตสวรรค์ยอมรับการปกครองและฤทธานุภาพของพระคริสต์ให้เท่าเทียมกับพระบิดา ลูซีเฟอร์คิดว่าตนเป็นที่รักใคร่ชอบพอของบรรดาทูตสวรรค์ในแผ่นดินสวรรค์ แม้ลูซีเฟอร์ได้รับความยกย่องอย่างสูงจากพระผู้สร้าง แต่สิ่งนี้มิได้ทำให้ท่านมีความกตัญญูกตเวทีและสรรเสริญพระองค์ ลูซีเฟอร์มีความปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งอันสูงเท่าเทียมกับพระเจ้า ท่านรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับการยกย่อง ลูซีเฟอร์รู้ว่าเหล่าทูตสวรรค์ให้เกียรติยศแก่ท่าน ทั้งรู้ว่ามีหน้าที่พิเศษที่จะต้องทำ ลูซีเฟอร์อยู่ใกล้ชิดพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่และรัศมีอันรุ่งเรืองซึ่งส่องอยู่รอบๆ พระเจ้าผู้ทรงชีวิตชั่วนิรันดร์ได้ส่องมายังท่านเป็นพิเศษ ท่านคิดว่าทูตสวรรค์เคยเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของท่านด้วยความเต็มใจ เสื้อผ้าของท่านมิได้มีแสงสวยงามหรือ? เหตุไฉนพระคริสต์จึงได้รับเกียรติยศเหนือตัวท่าน? {SR 14.1}

He left the immediate presence of the Father, dissatisfied and filled with envy against Jesus Christ. Concealing his real purposes, he assembled the angelic host. He introduced his subject, which was himself. As one aggrieved, he related the preference God had given Jesus to the neglect of himself. He told them that henceforth all the sweet liberty the angels had enjoyed was at an end. For had not a ruler been appointed over them, to whom they from henceforth must yield servile honor? He stated to them that he had called them together to assure them that he no longer would submit to this invasion of his rights and theirs; that never would he again bow down to Christ; that he would take the honor upon himself which should have been conferred upon him, and would be the commander of all who would submit to follow him and obey his voice. {SR 14.2}

ท่านได้ออกจากที่เฝ้าของพระบิดาไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ และอิจฉาพระเยซูคริสต์ ท่านได้ซ่อนความตั้งใจอันแท้จริงไว้ในใจแล้วเรียกเหล่าทูตสวรรค์มาชุมนุมกัน และปรารภเรื่องของท่านซึ่งเกี่ยวกับตัวท่านเอง ด้วยความเจ็บใจท่านได้เล่าเรื่องที่พระเจ้าได้ทรงโปรดปรานพระเยซูคริสต์และทรงละเลยไม่เอาใจใส่ในตัวท่าน แล้วบอกพวกทูตสวรรค์ว่านับแต่นี้ต่อไปอิสรภาพที่เหล่าทูตสวรรค์เคยมีนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว มิใช่เพราะพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งผู้ปกครองเหนือพวกเราที่เราจะต้องถวายเกียรติให้ด้วยความจำใจหรือ? ลูซีเฟอร์ได้แจ้งแก่พวกทูตสวรรค์ว่าการที่เรียกมาชุมนุมกันครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้แน่ใจว่า แต่นี้ไปท่านจะไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาล่วงล้ำสิทธิ์ของท่าน และของเหล่าทูตสวรรค์ และจะไม่ยอมกราบไหว้พระคริสต์อีก ท่านตั้งใจจะชิงเอาเกียรติยศซึ่งความจะประทานให้ท่านเองและจะเป็นผู้บังคับบัญชาบรรดาผู้ที่ยอมติดตามและเชื่อฟังท่าน {SR 14.2}

There was contention among the angels. Lucifer and his sympathizers were striving to reform the government of God. They were discontented and unhappy because they could not look into His unsearchable wisdom and ascertain His purposes in exalting His Son, and endowing Him with such unlimited power and command. They rebelled against the authority of the Son. {SR 15.1}

เกิดมีความเห็นแย้งกันขึ้นในระหว่างพวกทูตสวรรค์ ลูซีเฟอร์และผู้ที่เข้าข้างเดียวกันกับท่านได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของพระเจ้า พวกเขารู้สึกไม่พอใจและไม่มีความสุข เพราะไม่สามารถที่จะหยั่งทราบในพระปัญญาอันล้ำลึก และไม่สามารถค้นพบพระประสงค์ของพระองค์ในการที่ทรงยกย่องพระบุตร โดยประทานให้มีอำนาจและการบังคับบัญชาอย่างมากมายจึงกบฏต่อพระราชอำนาจของพระบุตร {SR 15.1}

Angels that were loyal and true sought to reconcile this mighty, rebellious angel to the will of his Creator. They justified the act of God in conferring honor upon Christ, and with forcible reasoning sought to convince Lucifer that no less honor was his now than before the Father had proclaimed the honor which He had conferred upon His Son. They clearly set forth that Christ was the Son of God, existing with Him before the angels were created; and that He had ever stood at the right hand of God, and His mild, loving authority had not heretofore been questioned; and that He had given no commands but what it was joy for the heavenly host to execute. They urged that Christ’s receiving special honor from the Father, in the presence of the angels, did not detract from the honor that Lucifer had heretofore received. The angels wept. They anxiously sought to move him to renounce his wicked design and yield submission to their Creator; for all had heretofore been peace and harmony, and what could occasion this dissenting, rebellious voice? {SR 15.2}

ฝ่ายทูตสวรรค์ที่จงรักภักดีและซื่อสัตย์ ได้พยายามชักจูงให้ทูตสวรรค์ผู้ทรงอำนาจที่คิดกบฏต่อพระเจ้าให้ยินยอมทำตามพระประสงค์ของพระผู้สร้าง และได้ชี้แจงให้ลูซีเฟอร์เห็นว่าการที่พระเจ้าทรงประทานเกียรติยศพระคริสต์นั้นเป็นความเที่ยงธรรม พวกทูตสวรรค์ได้ให้เหตุผลอันน่าฟังเพื่อให้ท่านสำนึกว่าในการที่พระองค์ประทานเกียรติยศให้แก่พระบุตรนั้นลูซีเฟอร์หาได้มีเกียรติยศน้อยลงไม่ พวกทูตสวรรค์เหล่านั้นได้ชี้แจงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า พระคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งได้ทรงดำรงอยู่กับพระองค์ก่อนที่พระองค์จะสร้างบรรดาทูตสวรรค์ขึ้นและพระองค์ได้ทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดาทรงใช้ฤทธานุภาพอย่างอ่อนโยนไม่เคยบังคับให้พวกทูตสวรรค์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากสิ่งที่พวกเขาจะเต็มใจปฏิบัติตามด้วยความชื่นชมยินดี ทูตสวรรค์เหล่านั้นได้กล่าวสนับสนุนว่าการที่พระคริสต์ได้รับเกียรติยศพิเศษจากพระบิดาต่อหน้าทูตสวรรค์นั้น มิได้ทรงกระทำให้เกียรติยศที่ลูซีเฟอร์มีอยู่แต่ก่อนนั้นลดน้อยลง พวกทูตสวรรค์พากันร้องไห้เศร้าโศก และมีความร้อนใจที่จะทำให้ลูซีเฟอร์เลิกล้มแผนการอันชั่วร้ายนี้เสีย แล้วยินยอมนอบน้อมต่อพระผู้สร้าง เพราะนับตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปอย่างสงบสุขและปรองดองกันและอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดมีเสียงคัดค้านนี้ขึ้นได้เล่า? {SR 15.2}

Lucifer refused to listen. And then he turned from the loyal and true angels, denouncing them as slaves. These angels, true to God, stood in amazement as they saw that Lucifer was successful in his effort to incite rebellion. He promised them a new and better government than they then had, in which all would be freedom. Great numbers signified their purpose to accept him as their leader and chief commander. As he saw his advances were met with success, he flattered himself that he should yet have all the angels on his side, and that he would be equal with God Himself, and his voice of authority would be heard in commanding the entire host of heaven. Again the loyal angels warned him, and assured him what must be the consequences if he persisted; that He who could create the angels could by His power overturn all their authority and in some signal manner punish their audacity and terrible rebellion. To think that an angel should resist the law of God which was as sacred as Himself! They warned the rebellious to close their ears to Lucifer’s deceptive reasonings, and advised him and all who had been affected by him to go to God and confess their wrong for even admitting a thought of questioning His authority. {SR 16.1}

ลูซีเฟอร์ไม่ยอมเชื่อฟัง แล้วได้หันหนีไปจากเหล่าทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์และเที่ยงตรงและประณามว่าพวกเหล่านั้นเป็นทาส เหล่าทูตสวรรค์ผู้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พากันมองด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นลูซีเฟอร์ประสบผลสำเร็จในการก่อกบฏขึ้น ลูซีเฟอร์สัญญากับพวกทูตสวรรค์ว่าจะให้มีการปกครองอย่างใหม่และดียิ่งกว่าการปกครองที่เคยมีอยู่แล้ว ซึ่งในการปกครองใหม่นี้เขาจะมีอิสรภาพโดยสมบูรณ์ มีทูตสวรรค์จำนวนมาแสดงเจตนายอมรับผู้นำและหัวหน้าผู้บังคับบัญชา เมื่อลูซีเฟอร์เห็นว่าการคิดกบฏของตนประสบผลสำเร็จ จึงมีความทะนงใจคิดว่าจะได้ทูตสวรรค์ทั้งหมดมาเป็นพวกของตน และจะยกตนขึ้นให้เท่าเทียมกับพระเจ้าเพื่อจะได้ใช้อำนาจบังคับบัญชาทูตสวรรค์ทั้งปวงในแผ่นดินสวรรค์ พวกทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ได้ตักเตือนท่านอีกและชี้แจงให้ท่านเห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นถ้าท่านยังดื้อดึงต่อไป และกล่าวว่า พระองค์ผู้ทรงสามารถสร้างทูตสวรรค์ได้ ย่อมมีฤทธานุภาพทำลายล้างอำนาจของพวกท่านได้ และจะลงโทษให้เห็นเป็นประจักษ์แก่ผู้กล้าคิดกบฏอย่างร้ายแรง คิดดูซิว่าควรหรือที่ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจะฝ่าฝืนต่อพระบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระองค์เอง เหล่าทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ได้เตือนพวกที่คิดกบฏให้เลิกฟังการอ้างผลล่อลวงของลูซีเฟอร์ และแนะนำท่านกับพวกที่ถูกชักชวนไปหาพระเจ้าแล้วสารภาพผิดในการที่ได้บังอาจคิดทรยศต่อพระองค์ {SR 16.1}

Many of Lucifer’s sympathizers were inclined to heed the counsel of the loyal angels and repent of their dissatisfaction and be again received to the confidence of the Father and His dear Son. The mighty revolter then declared that he was acquainted with God’s law, and if he should submit to servile obedience, his honor would be taken from him. No more would he be intrusted with his exalted mission. He told them that himself and they also had now gone too far to go back, and he would brave the consequences, for to bow in servile worship to the Son of God he never would; that God would not forgive, and now they must assert their liberty and gain by force the position and authority which was not willingly accorded to them. [THUS IT WAS THAT LUCIFER, “THE LIGHT-BEARER,” THE SHARER OF GOD’S GLORY, THE ATTENDANT OF HIS THRONE, BY TRANSGRESSION BECAME SATAN, “THE ADVERSARY.” –PATRIARCHS AND PROPHETS, P. 40.] {SR 16.2}

พรรคพวกของลูซีเฟอร์หลายองค์นึกอยากเชื่อฟังคำตักเตือนของทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์แล้วกลับใจในความผิดและจะได้รับความไว้วางใจอีกจากพระเจ้าและพระบุตรที่รักของพระองค์ กบฏผู้ทรงอำนาจจึงประกาศว่าท่านคุ้นเคยกับพระบัญญัติของพระเจ้าดี และถ้าท่านยอมมอบความเชื่อฟังประดุจทาสแก่พระเยซูคริสต์ เกียรติยศของท่านก็จะเสื่อมสิ้นไป พระเจ้าจะไม่ทรงมอบหน้าที่อันสำคัญให้ทำอีกต่อไป ท่านได้บอกแก่พวกนั้นว่าเป็นการสายไปเสียแล้วที่จะกลับใจใหม่ และท่านกล้าเผชิญต่อผลของการกระทำที่จะบังเกิดขึ้นและจะไม่ยอมกราบไหว้นมัสการอย่างทาสต่อพระบุตรของพระเจ้าเลยเป็นอันขาดและเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทรงอภัยโทษให้ตน และบัดนี้พวกท่านต้องยึดถือเสรีภาพไว้และใช้กำลังยึดเอาตำแหน่งและอำนาจ ซึ่งพระเจ้าไม่เต็มพระทัยประทานแก่พวกท่าน {SR 16.2}

The loyal angels hastened speedily to the Son of God and acquainted Him with what was taking place among the angels. They found the Father in conference with His beloved Son, to determine the means by which, for the best good of the loyal angels, the assumed authority of Satan could be forever put down. The great God could at once have hurled this archdeceiver from heaven; but this was not His purpose. He would give the rebellious an equal chance to measure strength and might with His own Son and His loyal angels. In this battle every angel would choose his own side and be manifested to all. It would not have been safe to suffer any who united with Satan in his rebellion to continue to occupy heaven. They had learned the lesson of genuine rebellion against the unchangeable law of God, and this is incurable. If God had exercised His power to punish this chief rebel, disaffected angels would not have been manifested; hence, God took another course, for He would manifest distinctly to all the heavenly host His justice and His judgment. {SR 17.1}

เหล่าทูตสวรรค์ที่ซื่อตรงได้รีบพากันไปเฝ้าพระบุตรของพระเจ้าและทูลพระองค์ให้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่ทูตสวรรค์ พวกท่านได้พบพระบิดากำลังทรงปรึกษาอยู่กับพระบุตรที่รัก เพื่อจะกำจัดวิธีที่จะทำให้อำนาจปลอมของซาตานสิ้นไป เพื่อประโยชน์ของทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์เอง พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสามารถขับไล่จอมหลอกลวงนี้ออกจากสวรรค์ได้ทันที แต่พระองค์ไม่มีพระประสงค์เช่นนั้น พระองค์จะให้พวกกบฏมีโอกาสที่จะประลองกำลังและอำนาจกับพระบุตร และเหล่าทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ในการสงครามครั้งนี้ ทูตสวรรค์ทุกองค์มีสิทธิ์ที่จะเลือกเข้าข้างฝ่ายไหนตามใจสมัครและเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ไม่เป็นการปลอดภัยที่จะปล่อยให้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งองค์ใดที่ได้เข้าร่วมการกบฏกับซาตาน ให้อาศัยอยู่ในแผ่นดินสวรรค์อีกต่อไป พวกเหล่านี้ได้เรียนรู้ถึงการจงใจกบฏต่อบัญญัติที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าและความผิดนี้มิอาจที่จะแก้ไขได้ ถ้าพระเจ้าจะทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์ลงโทษหัวหน้ากบฏนี้ ทูตสวรรค์อื่นๆ ก็จะไม่เห็นความผิดของทูตสวรรค์ที่ร่วมใจคิดกบฏด้วย ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเลือกหาวิธีอื่น เพราะพระองค์ต้องการที่จะแสดงอย่างแจ่มกระจ่างให้เห็นถึงความยุติธรรมและการวินิจ ฉัยของพระองค์แก่บรรดาทูตสวรรค์ {SR 17.1}

War in Heaven
สงครามในสวรรค์

It was the highest crime to rebel against the government of God. All heaven seemed in commotion. The angels were marshaled in companies, each division with a higher commanding angel at its head. Satan was warring against the law of God, because ambitious to exalt himself and unwilling to submit to the authority of God’s Son, heaven’s great commander. {SR 17.2}

อาชญากรรมที่ร้ายแรง คือการกบฏต่อการปกครองของพระเจ้า คล้ายกับว่าเกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นในสวรรค์ เหล่าทูตสวรรค์ได้ถูกเรียงเป็นกองๆ ทุกกองมีหัวหน้าซึ่งมีอำนาจสูงกว่าเป็นผู้นำ ซาตานกำลังฝ่าฝืนต่อพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะมีความทะเยอทะยานที่จะยกย่องตนเอง และไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจพระบุตรของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ {SR 17.2}

All the heavenly host were summoned to appear before the Father, to have each case determined. Satan unblushingly made known his dissatisfaction that Christ should be preferred before Him. He stood up proudly and urged that he should be equal with God and should be taken into conference with the Father and understand His purposes. God informed Satan, that to His Son alone He would reveal His secret purposes, and He required all the family in heaven, even Satan, to yield Him implicit, unquestioned obedience; but that he (Satan) had proved himself unworthy of a place in heaven. Then Satan exultingly pointed to his sympathizers, comprising nearly one half of all the angels, and exclaimed, “These are with me! Will you expel these also, and make such a void in heaven?” He then declared that he was prepared to resist the authority of Christ and to defend his place in heaven by force of might, strength against strength. {SR 18.1}

ทูตสวรรค์ทั้งหมดได้ถูกเรียกมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา เพื่อจะทรงวินิจฉัยกรณีของทุกๆ องค์ ซาตานได้แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างไม่ละอาย ในการที่พระบิดาโปรดปรานพระคริสต์ก่อนตน มันได้ยืนขึ้นอย่างทะนงใจและเร่งเร้าว่า มันควรจะเท่าเทียมกับพระเจ้าควรจะได้รับการปรึกษากับพระบิดาและหยั่งรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าทรงตรัสกับซาตานว่า พระองค์จะทรงเปิดเผยพระดำริลับแก่พระบุตรองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ทูตทุกๆ องค์ในแผ่นดินสวรรค์แม้แต่ตัวซาตาน ยอมมอบความเชื่อฟังแก่พระคริสต์โดยไม่โต้แย้ง แต่ซาตานได้ทำตัวของมันเองให้เป็นผู้ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในเมืองสวรรค์ต่อไป แล้วซาตานได้ชี้อย่างมีชัยให้ดูพวกที่เข้าร่วมกับมัน ซึ่งมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทูตสวรรค์ทั้งหมดแล้วร้องว่า “พวกเหล่านั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับข้าพเจ้าทั้งนั้น! พระองค์จะขับไล่พวกนี้ด้วย แล้วปล่อยให้เกิดความว่างเปล่าขึ้นในสวรรค์เช่นนี้รึ?” แล้วมันก็ได้ประกาศว่ามันได้เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้พระราชอำนาจของพระคริสต์และป้องกันตำแหน่งในสวรรค์ของมันไว้โดยใช้อำนาจของมันต่อสู้กับอำนาจของพระเจ้า {SR 18.1}

Good angels wept to hear the words of Satan and his exulting boasts. God declared that the rebellious should remain in heaven no longer. Their high and happy state had been held upon condition of obedience to the law which God had given to govern the high order of intelligences. But no provision had been made to save those who should venture to transgress His law. Satan grew bold in his rebellion, and expressed his contempt of the Creator’s law. This Satan could not bear. He claimed that angels needed no law but should be left free to follow their own will, which would ever guide them right; that law was a restriction of their liberty; and that to abolish law was one great object of his standing as he did. The condition of the angels, he thought, needed improvement. Not so the mind of God, who had made laws and exalted them equal to Himself. The happiness of the angelic host consisted in their perfect obedience to law. Each had his special work assigned him, and until Satan rebelled, there had been perfect order and harmonious action in heaven. {SR 18.2}

ทูตสวรรค์ผู้ซื่อสัตย์ต่างร้องไห้เมื่อได้ฟังคำพูดและการโอ้อวดของซาตาน พระเจ้าทรงประกาศิตว่าพวกกบฏจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินสวรรค์อีกต่อไปไม่ได้ สภาพแห่งความสูงส่งและความสุขที่พวกมันได้รับนั้น อยู่เฉพาะภายใต้เงื่อนไขแห่งการเชื่อฟังพระบัญญัติซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญญัติเพื่อปกครองบรรดาผู้มีสติปัญญา พระเจ้ามิได้ทรงจัดเตรียมทางอื่นไว้ช่วยผู้ล่วงละเมิดบัญญัติของพระองค์ ซาตานมีใจองอาจขึ้นในการคิดกบฏครั้งนี้และดูหมิ่นพระบัญญัติของพระผู้สร้าง ซาตานไม่สามารถทนทานต่อการนี้ได้ มันอ้างว่าพวกทูตสวรรค์ไม่จำเป็นต้องมีพระบัญญัติ แต่ควรจะได้รับเสรีภาพที่จะกระทำใดๆ ได้ทุกๆ สิ่งตามความปรารถนาของตนจึงจะเป็นสิ่งกระทำอย่างถูกต้อง คือจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ที่มันจะต้องขัดขวางเอาไว้เช่นนี้ มันคิดว่าพวกทูตสวรรค์ควรจะอยู่ในสภาพที่ดียิ่งกว่านี้อีก พระเจ้าไม่มีความเห็นอย่างเดียวกับมัน พระองค์เป็นผู้ทรงตั้งพระบัญญัติและทรงถือว่าเท่ากับพระองค์เอง ความสุขของบรรดาทูตสวรรค์เกิดจากความเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า ทุกๆ องค์ต่างก็มีหน้าที่ซึ่งถูกมอบหมายไว้ให้ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์เป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความกลมเกลียวกันดี จนกระทั่งซาตานคิดกบฏ{SR 18.2}

Then there was war in heaven. The Son of God, the Prince of heaven, and His loyal angels engaged in conflict with the archrebel and those who united with him. The Son of God and true, loyal angels prevailed; and Satan and his sympathizers were expelled from heaven. All the heavenly host acknowledged and adored the God of justice. Not a taint of rebellion was left in heaven. All was again peaceful and harmonious as before. Angels in heaven mourned the fate of those who had been their companions in happiness and bliss. Their loss was felt in heaven. {SR 19.1}

แล้วได้เกิดการสงครามขึ้นในสวรรค์ พระบุตรของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าชายแห่งแผ่นดินสวรรค์ และบรรดาทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ได้รวมกำลังกันสู้รบกับจอมกบฏและพวกของมัน พระบุตรของพระเจ้าและทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ได้ชัยชนะ ซาตานและพรรคพวกของมันถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ ทูตสวรรค์ทั้งหมดยอมรับและนมัสการพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ไม่มีร่องรอยแห่งการกบฏเหลืออยู่เลยในสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมีความสงบสุขและกลมเกลียวกันอย่างเดียวดุจเดิมอีก บรรดาทูตสวรรค์แห่งแผ่นดินสวรรค์โศกเศร้าในผลการกระทำของมวลมิตรผู้เคยร่วมความสุขและความปลาบปลื้ม ต่างรู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียพวกเหล่านั้นไป{SR 19.1}

The Father consulted His Son in regard to at once carrying out their purpose to make man to inhabit the earth. He would place man upon probation to test his loyalty before he could be rendered eternally secure. If he endured the test wherewith God saw fit to prove him, he should eventually be equal with the angels. He was to have the favor of God, and he was to converse with angels, and they with him. He did not see fit to place them beyond the power of disobedience. {SR 19.2}

พระบิดาได้ทรงปรึกษาพระบุตรถึงแผนการที่จะสร้างมนุษย์ให้อาศัยอยู่ในโลกทันที พระองค์จะทรงทำการทดลองความจงรักภัคดีของมนุษย์ก่อนที่จะทรงมอบชีวิตนิรันดร์แก่เขา ถ้ามนุษย์สามารถที่จะอดทนต่อการทดลองของพระเจ้าได้ พระองค์ก็จะพอพระทัยที่จะทรงยกเขาขึ้นให้เท่าเทียมกับทูตสวรรค์ ในที่สุดเขาจะได้รับความปรานีจากพระเจ้า และจะได้สนทนาปราศรัยกับพวกทูตสวรรค์ พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบในการที่จะตั้งมนุษย์ให้อยู่เหนืออำนาจแห่งความไม่เชื่อฟัง {SR 19.2}