Creation
การสร้าง
1. The theory that God did not create matter when He brought the world into existence is without foundation. In the formation of our world, God was not indebted to pre-existing matter. On the contrary, all things, material or spiritual, stood up before the Lord Jehovah at His voice and were created for His own purpose. The heavens and all the host of them, the earth and all things therein, are not only the work of His hand; they came into existence by the breath of His mouth. Testimonies for the Church”, volume 8, pages 258, 259.
1. “ทฤษฎีที่บอกว่า พระเจ้าไม่ทรงสร้างสสาร เมื่อพระองค์ทรงเนรมิต สร้างโลกไม่เป็นความจริง ในการทรงสร้างโลกของเรานั้น พระเจ้าไม่พึ่งในสสาร ที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทุกสิ่งเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาเวห์ องค์พระผู้เป็นเจ้า (สสารที่มองไม่เห็นจากทุกสารทิศมารวมตัวกัน) โดยพลันมันถูกสร้างขึ้นตาม พระประสงค์ของพระองค์ ทั้งท้องฟ้า และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งทั้งมวล เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ส่วนสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเป็นมาสู่ชีวิตด้วยลมปราณ ที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์” “Testimonies for the Church”, volume 8, pages 258, 259.
2. Just how God accomplished the work of creation He has never revealed to men; human science cannot search out the secrets of the Most High. His creative power is as incomprehensible as His existence. PP 113
2. “พระเจ้าทรงสร้างโลกอย่างไร และมีอะไรอยู่ในโลก หรือไม่ พระเจ้า ไม่ได้ทรงสำแดงให้มนุษย์ทราบ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถค้นหาความ ลึกลับของพระเจ้าได้ เราไม่อาจเข้าใจฤทธานุภาพของพระเจ้าได้มากกว่าที่เรา สามารถเข้าใจว่าพระองค์ทรงพระชนม์อย่างไร” PP 113
3. As the earth came forth from the hand of its Maker, it was exceedingly beautiful. Its surface was diversified with mountains, hills, and plains, interspersed with noble rivers and lovely lakes; but the hills and mountains were not abrupt and rugged, abounding in terrific steeps and frightful chasms, as they now do; the sharp, ragged edges of earth’s rocky framework were buried beneath the fruitful soil, which everywhere produced a luxuriant growth of verdure. There were no loathsome swamps or barren deserts. Graceful shrubs and delicate flowers greeted the eye at every turn. The heights were crowned with trees more majestic than any that now exist. The air, untainted by foul miasma, was clear and healthful. The entire landscape outvied in beauty the decorated grounds of the proudest palace. The angelic host viewed the scene with delight, and rejoiced at the wonderful works of God. PP 44
3. “ขณะโลกสร้างเสร็จจากพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง โลกเป็นโลกที่สวยงาม มาก ปฐพีเต็มไปด้วยภูเขา เนินเขา และที่ราบ และมีแม่น้ำสวยงามหลายสาย ไหลผ่าน มีทะเลสาปที่น่ารัก เนินเขา และภูเขา ไม่มีหน้าผาสูงชัน เหมือนที่ เป็นอยู่ในเวลานี้ ยอดเขาที่ขรุขระถูกฝังอยู่ใต้ดินอันอุดม ไม้ต้นเล็กต้นใหญ่ ใบเขียวสมบูรณ์ ไม้พุ่มสวย ไม้ดอก ออกดอกหลากสีสันเบ่งบานชูช่อยู่ทุกหน ทุกแห่ง ไม่มีหนองบึงที่เป็นอันตราย หรือทะเลทรายกันดาร ทุกพื้นที่มีต้นไม้ ขึ้นอยู่เต็ม เนินเขามีต้นไม้สูงใหญ่อยู่หนาแน่น บางชนิดลำต้นโตกว่าที่มอง เห็นบนโลกในเวลานี้ อากาศบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งทำให้เกิดมลพิษ พื้นที่บางส่วน เป็นเนินลาดเอียงลดหลั่น สวยงามกว่าฝีมือการตบแต่งบ้านสวนสวยที่สุดใน โลก เหล่าทูตสวรรค์มองดูภาพทิวทัศน์ด้วยความยินดี และกล่าวชื่นชมผลงานของพระเจ้า” PP 44
4.“Men will endeavor to explain from natural causes the work of creation, which God has never revealed. But human science cannot search out the secrets of the God of Heaven, and explain the stupendous works of creation, which were a miracle of almighty power, any sooner than it can show how God came into existence.” The Spirit of Prophecy”, volume 1, page 89.
4. “มนุษย์จะพยายามอธิบายการทรงเนรมิตสร้างโลกจากสาเหตุต่างๆ ของธรรมชาติ ซึ่งพระเจ้าไม่ทรงสำแดงให้ทราบด้วยวิธีการเช่นนั้น เพราะ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถค้นหาจากข้อลึกลับของพระเจ้าแห่งฟ้า สวรรค์ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายงานยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างได้ เพราะ เป็นการอัศจรรย์โดยฤทธานุภาพของพระเจ้า ในทำนองเดียวกันวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเสด็จมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร” The Spirit of Prophecy”, volume 1, page 89.
5. I have been warned [1890] that henceforth we shall have a constant contest. Science, so called, and religion will be placed in opposition to each other, because finite men do not comprehend the power and greatness of God. These words of Holy Writ were presented to me, “Of your own selves shall men arise, speaking perverse things, to draw away disciples after them.” MM 98
5. “ข้าพเจ้าได้รับคำเตือน (ปี ค.ศ. 1890) ว่าเราจะต้องพบกับการต่อสู้ดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง วิทยาศาสตร์ และศาสนาจะขัดแย้งต่อกันและกัน ทั้งนี้เพราะมนุษย์มีข้อจำกัดที่จะเข้าใจใน ฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ถ้อยคำเหล่านี้จากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรง ประทานให้ข้าพเจ้า แม้แต่ผู้คนจากกลุ่มผู้เชื่อของเราเองจะยืนขึ้นและบิดเบือน ความจริง พวกเขาต้องการให้เหล่าผู้เชื่อทั้งหลายติดตามพวกเขาไป” MM 98
6. The apostle Paul, writing by the Holy Spirit, declares of Christ that “all things have been created through Him, and unto Him; and He is before all things, and in Him all things hold together.” (Colossians 1:16,17, R.V., margin.) The hand that sustains the worlds in space, the hand that holds in their orderly arrangement and tireless activity all things throughout the universe of God, is the hand that was nailed to the cross for us. Ed 132
6. “อัครทูตเปาโล ได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เขียนไว้ว่า “เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นทั้งในท้องฟ้า และที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็น เทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และ สรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์” (โคโลสี 1:16, 17) อีกนัยหนึ่งพระเจ้าทรงค้ำจุนให้โลกลอยอยู่ในอวกาศ และดวงดาวทั้งปวงดำรงอยู่ร่วมกันในตำแหน่งที่เหมาะสมในจักรวาลของพระเจ้าด้วยพระหัตถ์ถูกตรึงด้วยตะปูติดกับ ไม้กางเขนเพื่อเรา” การศึกษา” หน้า 132
7. Yet men of science think that they can comprehend the wisdom of God, that which He has done or can do. The idea largely prevails that He is restricted by His own laws. Men either deny or ignore His existence, or think to explain everything, even the operation of His Spirit upon the human heart; and they no longer reverence His name or fear His power. They do not believe in the supernatural, not understanding God’s laws or His infinite power to work His will through them. As commonly used, the term “laws of nature” comprises what men have been able to discover with regard to the laws that govern the physical world; but how limited is their knowledge, and how vast the field in which the Creator can work in harmony with His own laws and yet wholly beyond the comprehension of finite beings! PP 114
7. “ผู้คนในแวดวงวิทยาศาสตร์คิดว่า พวกเขาสามารถเข้าใจพระสติปัญญา ของพระเจ้า ในสิ่งที่พระองค์ได้ทำไปหรือสามารถทำได้ ส่วนใหญ่พวกเขา เชื่อว่า พระเจ้าทรงมีขีดจำกัดโดยกฎเกณฑ์ของพระองค์เอง พวกเขาปฏิเสธที่ จะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ พวกเขาคิดว่าจะอธิบายทุกสิ่งทุก อย่างได้ แม้แต่การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ที่ทำงานใน จิตใจของมนุษย์ และพวกเขาไม่ให้ความเคารพสักการะพระนามของพระเจ้า หรือมีความยำเกรงในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พวกเขาไม่เชื่อว่า “พระเจ้า” มีตัวตนจริง และไม่เข้าใจพระบัญญัติของพระองค์ หรือฤทธานุภาพที่ไม่จำกัด ที่จะบันดาลให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ผ่านมนุษย์ คำว่า “กฎแห่ง ธรรมชาติ” ซึ่งเคยใช้กล่าวพรรณนาไว้ว่า สิ่งใดที่มนุษย์สามารถค้นพบเกี่ยว กับกฎเกณฑ์ หรือกฎฟิสิกส์ที่ควบคุมโลกได้ มนุษย์ก็บรรลุแจ้งในความรู้ เพียงพอ แต่ความรู้ของพวกเขาช่างจำกัดเกินไป เพราะพื้นที่ของความรู้นั้น แสนไพศาล ซึ่งพระเจ้าสามารถทำการด้วยกฎเกณฑ์ของพระองค์เอง แต่มนุษย์ มีความเข้าใจในวงจำกัดจะเข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหมด! จากหนั้งสือ บรรพชนและผู้เผยพระวจนะ” หน้า 114
8. God created man in His own image. Here is no mystery. There is no ground for the supposition that man was evolved by slow degrees of development from the lower forms of animal or vegetable life. Such teaching lowers the great work of the Creator to the level of man’s narrow, earthly conceptions. Men are so intent upon excluding God from the sovereignty of the universe that they degrade man and defraud him of the dignity of his origin. He who set the starry worlds on high and tinted with delicate skill the flowers of the field, who filled the earth and the heavens with the wonders of His power, when He came to crown His glorious work, to place one in the midst to stand as ruler of the fair earth, did not fail to create a being worthy of the hand that gave him life. The genealogy of our race, as given by inspiration, traces back its origin, not to a line of developing germs, mollusks, and quadrupeds, but to the great Creator. Though formed from the dust, Adam was “the son of God.” PP 44
8. “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาในพระฉายาของพระองค์ นี่ไม่ใช่ความ ลึกลับ ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการที่บอกว่า “สันนิษฐาน ว่ามนุษย์เกิดขึ้นจากการวิวัฒนาการของสัตว์เซลล์เดียวและทีละเล็กทีละน้อย หลายล้านปีผ่านไปกลายเป็นลิงไม่มีหางชนิดหนึ่ง แล้วกลายเป็นมนุษย์ใน ที่สุด” คำสอนเช่นนั้นลดระดับความยิ่งใหญ่แห่งการทรงเนรมิตสร้างของ พระเจ้าลงสู่ขีดจำกัด ด้วยดวงจิตคับแคบของมนุษย์ มนุษย์ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า ทั้งหลายพยายามขจัดพระเจ้าออกจากการได้รับพระเกียรติว่าเป็น “พระผู้ เนรมิตสร้าง” พวกเข้าปล้นศักดิ์ศรีไปจากมนุษย์ ในส่วนมนุษย์ถูกสร้างมา จากพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงเนรมิตสร้างดาวดารดาษบนฟ้า ทรง ระบายสีท้องทุ่งอย่างจิตรกรผู้ชำนาญด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์พระองค์ทรงเติม แผ่นดิน และแผ่นฟ้าด้วยการอัศจรรย์แห่งฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อพระเจ้า ทรงสร้างโลกอย่างสมบูรณ์แบบเสร็จ ทรงประทานให้มนุษย์มีอำนาจเหนือ สรรพสิ่งบนโลก เพราะว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ มนุษย์จึงมีคุณค่ายิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ทั้งมวลเป็นหนี้พระเจ้า ผู้ทรงสร้างมนุษย์คู่แรกขึ้นมาตามแบบพระฉายาของพระองค์ ไม่ใช่เกิดจาก สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว, จากเชื้อจุลินทรีย์ หรือจากจำพวก “เอป” แต่จากพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” จากหนังสือ บรรพชนและผู้เผยพระวจน หน้า 45
9. God never made a thorn, a thistle, or a tare. These are Satan’s work, the result of degeneration.” —Ellen G. White, Testimonies for the Church, vol. 6, p. 186.
9. พระเจ้า ไม่เคยสร้างต้นไม้ที่มีหนาม หรือต้นหนาม หรือวัชพืช พวกพืชอันไม่เป็นที่ประสงค์เหล่านั้นเป็นผลงานของซาตาน ส่วนต้นพืชที่มีหนาม หรือ ต้นหนามเป็นผลลัพธ์มาจากความบาปอันเกิดกับต้นไม้ที่ให้ชีวิต ความบาปได้ทำต้นไม้ที่ให้ชีวิตตกลงสู่ระดับต่ำ” Testimonies for the Church, volume 6, page 186.