Chapter 16 (บทที่ 16)
“Prayer for the Sick”
“การอธิษฐานเพื่อคนป่วย”

The Scripture says that “men ought always to pray, and not to faint” (Luke 18:1); and if ever there is a time when they feel their need of prayer, it is when strength fails and life itself seems slipping from their grasp. Often those who are in health forget the wonderful mercies continued to them day by day, year after year, and they render no tribute of praise to God for His benefits. But when sickness comes, God is remembered. When human strength fails, men feel their need of divine help. And never does our merciful God turn from the soul that in sincerity seeks Him for help. He is our refuge in sickness as in health. “Like as a father pitieth his children, So the Lord pitieth them that fear Him. For He knoweth our frame; He remembereth that we are dust.” Psalm 103:13, 14. “Because of their transgression, And because of their iniquities, [men] are afflicted. Their soul abhorreth all manner of food; And they draw near unto the gates of death.” Psalm 107:17, 18, A.R.V. “Then they cry unto the Lord in their trouble, And He saveth them out of their distresses. He sendeth His word, and healeth them, And delivereth them from their destructions.” Verses 19, 20, R.V. {MH 225.1}

พระคัมภีร์กล่าวว่า “คนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอไม่อ่อนระอาใจ” (ลูกา 18:1) และหากจะมีเวลาใดที่เขารู้สึกว่าพวกเขาต่างต้องการคำอธิษฐานมากที่สุด เวลานั้นก็คือ เวลาที่รู้สึกอ่อนกำลังและดูเสมือนว่าชีวิตของเขานั้นกำลังจะหลุดพรากจากไป ผู้ที่มีสุขภาพดีไม่ป่วยไข้ มักจะลืมถึงพระเมตตาคุณอันประเสริฐที่พระเจ้าประทานอย่างต่อเนื่องแก่พวกเขาในทุกคืนวัน ตลอดปีแล้วปีเล่าเสมอมา แต่พวกเขากลับมิได้ถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้าในพระคุณของพระองค์ แต่เมื่อความเจ็บไข้ได้ป่วยได้เข้ามาเยือน พวกเขาจะระลึกถึงพระเจ้าขึ้นมาในทันที เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสภาพที่อ่อนกำลัง พวกเขาก็จะรู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาคุณของเรา มิเคยทรงเบือนพระพักตร์ไปจากจิตวิญญาณที่แสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างจริงใจ พระองค์ทรงเป็นเป็นที่ลี้ภัยของเราทั้งในในยามเจ็บไข้เช่นเดียวกับในเวลาที่เราสุขสบาย “บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น เพราะพระองค์ทรงทราบโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” สดุดี 103:13, 14 “เพราะการละเมิดของเขา และเพราะความชั่วช้าของเขา เขาต้องทนความทุกข์ยาก จิตใจเขารังเกียจอาหารทุกชนิด และเข้าไปใกล้ประตูความตาย” สดุดี 107:17, 18 (KJTV) “แล้วในความยากลำบากของเขา เมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงให้เขารอดจากความทุกข์ใจของเขา พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ไปรักษาเขา และทรงช่วยกู้เขาจากหลุมของเขา” สดุดี 107:19, 20 {MH 225.1}

God is just as willing to restore the sick to health now as when the Holy Spirit spoke these words through the psalmist. And Christ is the same compassionate physician now that He was during His earthly ministry. In Him there is healing balm for every disease, restoring power for every infirmity. His disciples in this time are to pray for the sick as verily as the disciples of old prayed. And recoveries will follow; for “the prayer of faith shall save the sick.” We have the Holy Spirit’s power, the calm assurance of faith, that can claim God’s promises. The Lord’s promise, “They shall lay hands on the sick, and they shall recover” (Mark 16:18), is just as trustworthy now as in the days of the apostles. It presents the privilege of God’s children, and our faith should lay hold of all that it embraces. Christ’s servants are the channel of His working, and through them He desires to exercise His healing power. It is our work to present the sick and suffering to God in the arms of our faith. We should teach them to believe in the Great Healer. {MH 226.1}

ในยุคนี้ พระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะช่วยรักษาคนป่วยให้หายเช่นเดียวกับในเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวถึงถ้อยคำเหล่านี้ และในยุคนี้พระคริสต์ยังทรงดำรงเป็นแพทย์พระองค์เดิมผู้ทรงกอปรด้วยพระทัยกรุณา เฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้นที่พระองค์ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ในโลก ในพระองค์นั้น ทรงมีพระโอสถที่สามารถรักษาโรคภัยได้ทุกชนิดและทรงมีฤทธิ์อำนาจในการฟื้นฟูผู้ที่อ่อนระอา ในยุคนี้เหล่าสาวกของพระองค์จะอธิษฐานเผื่อคนที่เจ็บป่วยด้วยความจริงจังเหมือนดังเช่นเหล่าสาวกในยุคก่อนได้อธิษฐาน และคนป่วยย่อมจะหายโรค เพราะ “การอธิษฐานด้วยความเชื่อจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต” (ยากอบ 5:15) เรามีฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์และเรามีความมั่นใจในความเชื่อด้วยความชื่นชมยินดีที่เราสามารถทูลขอต่อพระเจ้าถึงพระสัญญาของพระองค์ พระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่กล่าวว่า “เขาจะวางมือบนคนไข้ คนป่วยแล้ว คนเหล่านั้นจะหายโรค” (มาระโก 16:18) ในยุคนี้เราสามารถไว้วางใจในพระสัญญานี้ได้เท่าๆ กับในยุคของเหล่าอัครสาวก พระสัญญานี้ทำให้เหล่าบุตรของพระเจ้าได้รับสิทธิพิเศษจากพระองค์และเราควรที่จะมีความเชื่อและยึดมั่นในทุกๆ สิ่งที่มีอยู่ในพระสัญญานั้น ผู้รับใช้ของพระคริสต์จะเป็นผู้แทนในพระราชกิจของพระองค์ และพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจในการรักษาของพระองค์โดยอาศัยพวกเขา โดยกำลังในความเชื่อของเรา เรามีหน้าที่ต้องนำคนป่วยเจ็บและผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาหาพระเจ้า และควรสอนคนเหล่านั้นให้มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ {MH 226.1}

The Saviour would have us encourage the sick, the hopeless, the afflicted, to take hold upon His strength. Through faith and prayer the sickroom may be transformed into a Bethel. In word and deed, physicians and nurses may say, so plainly that it cannot be misunderstood, “God is in this place” to save, and not to destroy. Christ desires to manifest His presence in the sickroom, filling the hearts of physicians and nurses with the sweetness of His love. If the life of the attendants upon the sick is such that Christ can go with them to the bedside of the patient, there will come to him the conviction that the compassionate Saviour is present, and this conviction will itself do much for the healing of both the soul and the body. {MH 226.2}

พระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาให้เราช่วยหนุนใจผู้เจ็บป่วย ผู้สิ้นหวัง และผู้ยากไร้ ให้ได้ยึดมั่นในฤทธานุภาพของพระองค์ โดยอาศัยความเชื่อและการอธิษฐาน ห้องของผู้ป่วยจะถูกเปลี่ยนเป็นเบธเอลอันเป็นที่ตั้งแท่นบูชาพระเจ้าได้ โดยคำพูดและการกระทำ แพทย์และพยาบาลทั้งหลายย่อมสามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนจนไม่มีทางที่จะเข้าใจผิดได้ว่า “พระเจ้าทรงอยู่ในสถานที่แห่งนี้” เพื่อทรงช่วยให้รอด มิใช่เพื่อทำลาย พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะสำแดงให้เราทั้งหลายได้เห็นการสถิตของพระองค์อยู่ในห้องผู้ป่วย เพื่อทรงดลจิตใจของแพทย์และพยาบาลทั้งหลายให้เต็มเปี่ยมด้วยความรักอันประเสริฐของพระองค์ หากชีวิตของผู้ดูแลรักษาผู้ป่วยดำเนินไปตามทางที่พระคริสต์ทรงสามารถดำเนินร่วมไปกับพวกเขาที่ข้างเตียงของผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยจะเกิดความเชื่อมั่นขึ้นในจิตใจว่าพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยพระทัยกรุณานั้นได้สถิตอยู่ใกล้ๆ และการที่เขาได้มีความเชื่อมั่นเช่นนี้เอง จึงส่งผลอย่างใหญ่หลวงในการรักษาเยียวยาทั้งต่อร่างกายและจิตใจของเขา {MH 226.2}

And God hears prayer. Christ has said, “If ye shall ask anything in My name, I will do it.” Again He says, “If any man serve Me, him will My Father honor.” John 14:14; 12:26. If we live according to His word, every precious promise He has given will be fulfilled to us. We are undeserving of His mercy, but as we give ourselves to Him, He receives us. He will work for and through those who follow Him. {MH 226.3}

และพระเจ้าจะทรงสดับฟังคำอธิษฐาน พระคริสต์ได้ตรัสว่า “สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น ” พระองค์ตรัสอีกว่า “ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น” ยอห์น 14:14;12:26 หากเราดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ พระสัญญาอันประเสริฐทุกประการที่พระองค์ประทานให้แก่เราก็จะสำเร็จสมบูรณ์ ที่จริงเราไม่สมควรได้รับพระเมตตาคุณของพระองค์แม้แต่น้อย แต่เมื่อเราได้มอบถวายตัวเราเองแด่พระองค์ พระองค์ทรงรับเราไว้ พระองค์จะทรงกระทำเพื่อและผ่านคนทั้งหลายที่ติดตามพระองค์ {MH 226.3}

But only as we live in obedience to His word can we claim the fulfillment of His promises. The psalmist says, “If I regard iniquity in my heart, the Lord will not hear me.” Psalm 66:18. If we render to Him only a partial, halfhearted obedience, His promises will not be fulfilled to us. {MH 227.1}

เราจะอ้างความสำเร็จสมบูรณ์ของพระสัญญาของพระองค์ได้ก็ต่อเมื่อเราได้ดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังตามพระวจนะของพระองค์เท่านั้น ผู้ประพันธ์พระธรรมสดุดีได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วช้าไว้ในใจข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงสดับ” สดุดี 66:18 (TKJV) หากเรามิได้ยอมเชื่อฟังในพระวจนะของพระองค์อย่างสิ้นสุดใจ พระสัญญาของพระองค์ที่มีต่อเราก็มิอาจที่จะสำเร็จสมบูรณ์ลงได้ {MH 227.1}

In the word of God we have instruction relative to special prayer for the recovery of the sick. But the offering of such prayer is a most solemn act, and should not be entered upon without careful consideration. In many cases of prayer for the healing of the sick, that which is called faith is nothing less than presumption. {MH 227.2}

ในพระวจนะของพระเจ้า เราได้รับการแนะนำเกี่ยวกับการอธิษฐานไว้เป็นพิเศษเพื่อให้คนป่วยได้หายโรค แต่การอธิษฐานเช่นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ควรอธิษฐานโดยมิได้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ในการอธิษฐานเพื่อให้หายโรคนั้น หลายครั้งสิ่งที่เรียกกันว่าการอธิษฐานด้วยความเชื่อจึงกลับกลายเป็นเพียงแค่การ “ลองเชื่อดู” เท่านั้น การอธิษฐานด้วยการขาดความเชื่อที่แท้จริงเช่นนี้จึงไม่บังเกิดผล {MH 227.2}

Many persons bring disease upon themselves by their self-indulgence. They have not lived in accordance with natural law or the principles of strict purity. Others have disregarded the laws of health in their habits of eating and drinking, dressing, or working. Often some form of vice is the cause of feebleness of mind or body. Should these persons gain the blessing of health, many of them would continue to pursue the same course of heedless transgression of God’s natural and spiritual laws, reasoning that if God heals them in answer to prayer, they are at liberty to continue their unhealthful practices and to indulge perverted appetite without restraint. If God were to work a miracle in restoring these persons to health, He would be encouraging sin. {MH 227.3}

มีหลายคนนำโรคภัยมาสู่ตนเองด้วยการทำตามใจชอบ พวกเขามิได้ดำเนินชีวิตตามกฎแห่งธรรมชาติ หรือตามหลักการของความบริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด ส่วนคนอื่นๆ ได้เพิกเฉยละเลยต่อกฎเกณฑ์ในด้านสุขภาพด้วยนิสัยของการกิน การดื่ม การแต่งกายหรือการทำงาน บ่อยครั้งที่ความประพฤติในทางที่ชั่วร้ายบางประการเป็นบ่อเกิดของความอ่อนแอของร่างกายหรือจิตใจ หากคนเหล่านี้ได้รับพระพรในด้านสุขภาพที่ดี ก็จะยังคงดำเนินชีวิตด้วยการล่วงละเมิดต่อกฎแห่งธรรมชาติและบทบัญญัติในฝ่ายจิตวิญญาณของพระเจ้าอย่างไม่ใส่ใจต่อไปเช่นเดิม ด้วยการอ้างเหตุผลว่าหากพระเจ้าทรงโปรดให้พวกเขาหายจากโรคด้วยการตอบคำอธิษฐานของเขาแล้ว พวกเขาก็ย่อมจะมีเสรีภาพที่จะดำเนินนิสัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะเหล่านี้ต่อไปเหมือนเดิมและหมกมุ่นในความอยากเหล่านั้นอย่างไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ หากพระเจ้าจะทรงกระทำการอัศจรรย์โดยการช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้หายจากโรคและมีสุขภาพที่ดี ก็เท่ากับว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการกระทำความผิดบาป {MH 227.3}

It is labor lost to teach people to look to God as a healer of their infirmities, unless they are taught also to lay aside unhealthful practices. In order to receive His blessing in answer to prayer, they must cease to do evil and learn to do well. Their surroundings must be sanitary, their habits of life correct. They must live in harmony with the law of God, both natural and spiritual. {MH 227.4}

เป็นการสูญเสียแรงงานอย่างไร้ประโยชน์ในการสอนให้ผู้คนหันไปพึ่งพาพระเจ้าในฐานะที่ทรงดำรงเป็นแพทย์ที่ทรงเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยไม่ได้สอนพวกเขาให้ละทิ้งการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อที่จะได้รับพระพรจากพระองค์ในการตอบคำอธิษฐาน พวกเขาจะต้องละเลิกการกระทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและเรียนรู้ที่จะประกอบการดี สิ่งที่อยู่รอบข้างจะต้องถูกสุขลักษณะและช่วยในการส่งเสริมสุขภาพ อุปนิสัยในชีวิตต้องถูกต้อง พวกเขาต้องดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติของพระเจ้าทั้งทางฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ {MH 227.4}

Confession of Sin To those who desire prayer for their restoration to health, it should be made plain that the violation of God’s law, either natural or spiritual, is sin, and that in order for them to receive His blessing, sin must be confessed and forsaken. {MH 228.1}

การสารภาพความผิดบาป คนทั้งหลายที่ปรารถนาจะหายโรคและมีสุขภาพที่ดีด้วยการอธิษฐานนั้น จะต้องมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าการล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของพระเจ้าทั้งทางฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณนั้นเป็นความผิดบาป และเพื่อที่จะรับพระพรของพระองค์ พวกเขาต้องสารภาพความผิดบาปและละทิ้งความผิดบาปเหล่านั้นเสียก่อน {MH 228.1}

The Scripture bids us, “Confess your faults one to another, and pray one for another, that ye may be healed.” James 5:16. To the one asking for prayer, let thoughts like these be presented: “We cannot read the heart, or know the secrets of your life. These are known only to yourself and to God. If you repent of your sins, it is your duty to make confession of them.” Sin of a private character is to be confessed to Christ, the only mediator between God and man. For “if any man sin, we have an advocate with the Father, Jesus Christ the righteous.” 1 John 2:1. Every sin is an offense against God and is to be confessed to Him through Christ. Every open sin should be as openly confessed. Wrong done to a fellow being should be made right with the one who has been offended. If any who are seeking health have been guilty of evilspeaking, if they have sowed discord in the home, the neighborhood, or the church, and have stirred up alienation and dissension, if by any wrong practice they have led others into sin, these things should be confessed before God and before those who have been offended. “If we confess our sins, He is faithful and just to forgive us our sins, and to cleanse us from all unrighteousness.” 1 John 1:9. {MH 228.2}

พระคัมภีร์ได้กล่าวแก่เราว่า “ท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย” ยากอบ 5:16 สำหรับผู้ที่ขอให้คนอื่นๆ อธิษฐานเผื่อให้เขาหายจากโรค ให้เสนอข้อคิดอย่างนี้ว่า “เราไม่สามารถที่จะอ่านจิตใจหรือทราบเรื่องเร้นลับที่มีอยู่ในชีวิตของท่านได้ สิ่งเหล่านี้ตัวของท่านเองและพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ หากท่านจะกลับใจเสียใหม่จากความผิดบาปของท่าน ก็เป็นหน้าที่ของท่านเองที่จะสารภาพถึงบาปเหล่านั้น” เราต้องทูลสารภาพต่อพระคริสต์ถึงความผิดบาปอันเป็นการลับที่เราได้กระทำ พระองค์เพียงผู้เดียวที่ทรงเป็นคนกลางเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพราะ “ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น” 1 ยอห์น 2:1 ความผิดบาปทุกๆ อย่างเป็นการกระทำผิดต่อพระเจ้าและเราจะต้องสารภาพความผิดบาปนั้นต่อพระองค์โดยทางพระคริสต์ ทุกความผิดบาปที่กระทำอย่างเปิดเผยต้องสารภาพอย่างเปิดเผย ถ้าเราได้กระทำผิดต่อผู้ใด เราก็ควรที่จะสารภาพความผิดต่อผู้นั้น ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดปรารถนาที่จะหายโรคได้กระทำผิดด้วยการพูดกล่าวร้ายต่อผู้อื่น หากเขาได้หว่านความแตกร้าวและก่อความวุ่นวายขึ้นมาภายในครอบครัว กับบ้านใกล้เรือนเคียง หรือในคริสตจักร และได้ก่อให้เกิดความบาดหมางและแตกแยก หากด้วยการกระทำอันใดที่เขาได้ชักนำคนอื่นๆ ให้หลงกระทำผิดบาป เขาจะต้องสารภาพความผิดเหล่านั้นต่อพระเจ้าและต่อคนทั้งหลายที่เขาได้ทำผิดไป “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” 1 ยอห์น 1:9 {MH 228.2}

When wrongs have been righted, we may present the needs of the sick to the Lord in calm faith, as His Spirit may indicate. He knows each individual by name, and cares for each as if there were not another upon the earth for whom He gave His beloved Son. Because God’s love is so great and so unfailing, the sick should be encouraged to trust in Him and be cheerful. To be anxious about themselves tends to cause weakness and disease. If they will rise above depression and gloom, their prospect of recovery will be better; for “the eye of the Lord is upon them” “that hope in His mercy.” Psalm 33:18. {MH 229.1}

เมื่อความผิดได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว เราจึงจะสามารถอธิษฐานทูลขอด้วยความเชื่ออย่างสงบตามความต้องการของผู้ป่วยต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่พระวิญญาณของพระองค์ทรงนำเรา พระองค์ทรงรู้จักชื่อของทุกคน และทรงห่วงใยทุกคนเหมือนกับว่าในโลกนี้ไม่มีใครอื่นอีกที่พระองค์จะประทานพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ให้ เพราะความรักของพระเจ้านั้นสุดแสนยิ่งใหญ่และมิเคยผันแปรตลอดชั่วนิรันดร์ ผู้ป่วยจึงควรได้รับการหนุนใจให้วางใจในพระองค์และให้มีจิตใจที่เบิกบาน ความวิตกกังวลในตัวเองมักจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดความอ่อนแอและเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าพวกเขาสลัดความเศร้าหมองและความรู้สึกหดหู่ให้พ้นไปเสียจากจิตใจ โอกาสหายจากโรคก็จะมีมากขึ้นเพราะ “พระเนตรของพระเยโฮวาห์อยู่เหนือผู้ที่…หวังในความเมตตาของพระองค์” สดุดี 33:18 {MH 229.1}

In prayer for the sick it should be remembered that “we know not what we should pray for as we ought.” Romans 8:26. We do not know whether the blessing we desire will be best or not. Therefore our prayers should include this thought: “Lord, thou knowest every secret of the soul. Thou art acquainted with these persons. Jesus, their Advocate, gave His life for them. His love for them is greater than ours can possibly be. If, therefore, it is for Thy glory and the good of the afflicted ones, we ask, in the name of Jesus, that they may be restored to health. If it be not Thy will that they may be restored, we ask that Thy grace may comfort and Thy presence sustain them in their sufferings.” {MH 229.2}

ในการอธิษฐานเผื่อคนที่เจ็บป่วยนั้น เราควรจดจำไว้ว่า “เราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร” โรม 8:26 เราไม่ทราบว่าพระพรที่เราอยากได้นั้นเป็นสิ่งดีที่สุดหรือไม่ เพราะฉะนั้น ในคำอธิษฐานของเราควรจะมีความคิดนี้รวมอยู่ด้วย ” “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบถึงความลับทุกเรื่องของจิตวิญญาณ พระองค์ทรงรู้จักคุ้นเคยกับคนเหล่านี้เป็นอย่างดี พระเยซูผู้ทรงทูลขอต่อพระบิดาเพื่อเรา พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเขาทั้งหลาย ความรักของพระองค์ที่มีต่อคนเหล่านี้นั้นสุดแสนยิ่งใหญ่มากมายยิ่งกว่าความรักของพวกเราที่จะมีได้ เพราะฉะนั้น หากจะเป็นไปเพื่อจักได้ถวายสง่าราศีแด่พระองค์และเพื่อประโยชน์ของผู้ที่เจ็บป่วยนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทูลขอในนามของพระเยซู เพื่อคนที่เจ็บป่วยจะได้หายจากโรค แต่หากมิใช่น้ำพระทัยของพระองค์ที่จะให้พวกเขาได้หายป่วย ข้าพระองค์ทั้งหลายขอทูลขอให้พระคุณของพระองค์ได้เป็นเครื่องเล้าโลมจิตใจและขอให้พระองค์ได้สถิตเพื่อช่วยประคองเขาไว้และคอยช่วยเหลือในเวลาที่เขาได้รับความทุกข์ทรมาน” {MH 229.2}

God knows the end from the beginning. He is acquainted with the hearts of all men. He reads every secret of the soul. He knows whether those for whom prayer is offered would or would not be able to endure the trials that would come upon them should they live. He knows whether their lives would be a blessing or a curse to themselves and to the world. This is one reason why, while presenting our petitions with earnestness, we should say, “Nevertheless not my will, but Thine, be done.” Luke 22:42. Jesus added these words of submission to the wisdom and will of God when in the Garden of Gethsemane He pleaded, “O My Father, if it be possible, let this cup pass from Me.” Matthew 26:39. And if they were appropriate for Him, the Son of God, how much more are they becoming on the lips of finite, erring mortals! {MH 230.1}

พระเจ้าทรงทราบถึงเบื้องปลายตั้งแต่จุดเริ่มต้น พระองค์ทรงทราบถึงจิตใจของมนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงสามารถที่จะอ่านความเร้นลับทุกประการที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ พระองค์ทรงทราบว่าบุคคลที่เราทูลขออธิษฐานนั้นจะสามารถทนต่อความทุกข์ทรมานได้หรือไม่หากเขาจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป พระองค์ทรงทราบว่าชีวิตของเขานั้นจะนำความสุขหรือความทุกข์มาสู่ตัวเองและสู่โลกหรือไม่ นี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เมื่อเราทูลอ้อนวอนขอด้วยจิตใจที่ร้อนรน เหตุใดเราจึงควรที่จะพูดว่า “แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” ลูกา 22:42 เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานทูลขอในสวนเกทเสมนี พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงถ้อยคำที่พระองค์ได้ทรงยอมให้ทุกสิ่งนั้นได้เป็นไปตามน้ำพระทัยและพระปัญญาของพระเจ้าว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด” มัทธิว 26:39 และหากถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำที่เหมาะสมที่พระบุตรของพระเจ้าได้ตรัสแล้ว ถ้อยคำเหล่านี้จะยิ่งเหมาะสมสำหรับเราผู้เป็นมนุษย์ผู้ที่ยังคงมีความผิดบาปจะต้องกล่าวมากมายสักเพียงใด {MH 230.1}

The consistent course is to commit our desires to our all-wise heavenly Father, and then, in perfect confidence, trust all to Him. We know that God hears us if we ask according to His will. But to press our petitions without a submissive spirit is not right; our prayers must take the form, not of command, but of intercession. {MH 230.2}

สิ่งที่เราควรปฏิบัติอย่างหนักแน่นก็คือ เราต้องมอบความปรารถนาของเราไว้ภายใต้น้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ผู้ทรงมีพระปัญญาอันล้ำเลิศ และวางใจในพระองค์อย่างแท้จริงในสารพัดสิ่ง หากเราได้ทูลขอตามน้ำพระทัยของพระองค์ เราจึงรู้แน่ว่าพระเจ้าจะสดับฟังเรา แต่การทูลขอโดยจิตใจที่มิได้อ่อนน้อมถ่อมตนลงนั้นไม่ถูกต้อง คำอธิษฐานของเราต้องมิใช่เป็นการออกคำสั่ง แต่เป็นการวิงวอนขอความกรุณา {MH 230.2}

There are cases where God works decidedly by His divine power in the restoration of health. But not all the sick are healed. Many are laid away to sleep in Jesus. John on the Isle of Patmos was bidden to write: “Blessed are the dead which die in the Lord from henceforth: Yea, saith the Spirit, that they may rest from their labors; and their works do follow them.” Revelation 14:13. From this we see that if persons are not raised to health, they should not on this account be judged as wanting in faith. {MH 230.3}

มีผู้ป่วยหลายรายที่พระเจ้าทรงใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในการฟื้นฟูให้หายจากโรค แต่มิใช่ทุกคนจะหายจากโรค หลายคนได้ล่วงหลับไปในพระเยซู ยอห์นในขณะที่อยู่บนเกาะปัทโมสได้รับพระดำรัสสั่งให้เขียนไว้ว่า “คนทั้งหลายที่ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข และพระวิญญาณตรัสว่า จริงอย่างนั้น เขาได้หยุดพักจากการงานของเขา เพราะการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป” วิวรณ์ 14:13 จากข้อพระคัมภีร์นี้เราจะเห็นได้ว่า ถ้าคนป่วยมิได้หายจากโรคนั้น เราก็มิควรที่จะตัดสินว่าเพราะพวกเขาขาดความเชื่อแต่อย่างใด {MH 230.3}

We all desire immediate and direct answers to our prayers, and are tempted to become discouraged when the answer is delayed or comes in an unlooked-for form. But God is too wise and good to answer our prayers always at just the time and in just the manner we desire. He will do more and better for us than to accomplish all our wishes. And because we can trust His wisdom and love, we should not ask Him to concede to our will, but should seek to enter into and accomplish His purpose. Our desires and interests should be lost in His will. These experiences that test faith are for our benefit. By them it is made manifest whether our faith is true and sincere, resting on the word of God alone, or whether depending on circumstances, it is uncertain and changeable. Faith is strengthened by exercise. We must let patience have its perfect work, remembering that there are precious promises in the Scriptures for those who wait upon the Lord. {MH 230.4}

เราทุกคนต่างปรารถนาที่จะให้พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานตรงตามที่เราขอและในทันทีทันใด และมักจะถูกทดลองให้ท้อถอยหมดกำลังใจเมื่อคำตอบนั้นล่าช้าหรือคำตอบนั้นมิได้เป็นไปตามที่เราได้คาดหวังไว้ แต่พระเจ้าทรงมีพระปัญญาอันล้ำเลิศและพระองค์ทรงมีพระคุณความดีเกินกว่าที่จะทรงตอบคำอธิษฐานของเราในเวลาและตามวิธีที่เราปรารถนาเสมอไป พระองค์จะทรงกระทำการให้แก่เราได้มากยิ่งกว่าและดีเลิศยิ่งกว่าการทำให้ความปรารถนาของเราบรรลุผล และเพราะเหตุที่เราสามารถที่จะไว้วางใจในพระปัญญาและความรักของพระองค์ได้ เราจึงมิควรที่จะทูลขอให้พระองค์ต้องทรงยอมกระทำตามใจของเรา แต่เราควรจะแสวงหาที่จะเข้าใจถึงพระประสงค์ของพระองค์และกระทำให้สำเร็จตามพระประสงค์นั้น ความปรารถนาและส่วนได้ส่วนเสียของเราจึงมิควรเป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ประสบการณ์ที่ทดสอบความเชื่อเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่เรา จากการทดลองเหล่านี้สำแดงให้ประจักษ์ว่าความเชื่อของเรานั้นจริงแท้และจริงใจหรือไม่ ตั้งอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว หรือว่าอยู่กับสถานการณ์ซึ่งคลอนแคลนและไม่แน่ไม่นอน ความเชื่อจะมีกำลังเข้มแข็งโดยการกระทำ เราต้องปล่อยให้ความอดทนทำหน้าที่ของมันให้สมบูรณ์ และต้องระลึกไว้เสมอว่ามีพระสัญญาอันประเสริฐมากมายในพระคัมภีร์สำหรับผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า {MH 230.4}

Not all understand these principles. Many who seek the Lord’s healing mercy think that they must have a direct and immediate answer to their prayers or their faith is defective. For this reason, those who are weakened by disease need to be counseled wisely, that they may act with discretion. They should not disregard their duty to the friends who may survive them, or neglect to employ nature’s agencies for the restoration of health. {MH 231.1}

มิใช่ทุกคนจะเข้าใจถึงหลักเกณฑ์เหล่านี้ หลายคนที่ปรารถนาในพระเมตตาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อที่จะให้พระองค์ได้ทรงรักษาเขาให้หายจากโรคนั้น คิดว่าเขาจะต้องได้รับคำตอบจากพระเจ้าตรงตามที่เขาได้อธิษฐานขอในทันที หากเขาไม่ได้รับการตอบคำอธิษฐานเขาก็จะคิดว่าเพราะพวกเขานั้นขาดความเชื่อ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่อยู่ในสภาพที่อ่อนแอเพราะความเจ็บป่วยจึงสมควรที่จะได้รับคำแนะนำที่มีความเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อพวกเขาจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง เขาไม่ควรละเลยที่จะบอกกล่าวให้มิตรสหายได้ทำหน้าที่ๆ จะต้องทำต่อหลังจากที่เขาจากไป หรือมองข้ามการใช้วิธีการทางธรรมชาติเพื่อช่วยให้เขาได้หายจากโรค {MH 231.1}

Often there is danger of error here. Believing that they will be healed in answer to prayer, some fear to do anything that might seem to indicate a lack of faith. But they should not neglect to set their affairs in order as they would desire to do if they expected to be removed by death. Nor should they fear to utter words of encouragement or counsel which at the parting hour they wish to speak to their loved ones. {MH 231.2}

บ่อยครั้งมักมีอันตรายจากข้อผิดพลาดที่จุดนี้ โดยเชื่อว่าพวกเขาจะได้รับการรักษาให้หายเพราะพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน บางคนจึงกลัวที่จะทำอะไรที่แสดงถึงการขาดความเชื่อ แต่พวกเขาไม่ควรละเลยในการจัดเตรียมภารกิจที่จำเป็นให้พร้อมเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะต้องตายจากไป และพวกเขาไม่ควรกลัวที่จะกล่าวถ้อยคำที่ช่วยปลุกปลอบจิตใจหรือคำสั่งเสียตามความปรารถนาของพวกเขาแก่ผู้ที่เขารักในเวลาสุดท้ายของชีวิตที่เหลืออยู่ {MH 231.2}

Those who seek healing by prayer should not neglect to make use of the remedial agencies within their reach. It is not a denial of faith to use such remedies as God has provided to alleviate pain and to aid nature in her work of restoration. It is no denial of faith to co-operate with God, and to place themselves in the condition most favorable to recovery. God has put it in our power to obtain a knowledge of the laws of life. This knowledge has been placed within our reach for use. We should employ every facility for the restoration of health, taking every advantage possible, working in harmony with natural laws. When we have prayed for the recovery of the sick, we can work with all the more energy, thanking God that we have the privilege of co-operating with Him, and asking His blessing on the means which He Himself has provided. {MH 231.3}

คนป่วยทั้งหลายที่ปรารถนาจะหายโรคโดยการอธิษฐาน ไม่ควรปฏิเสธที่จะใช้วิธีการในการบำบัดรักษาใดๆ ที่สามารถจะเข้าถึงได้ การใช้วิธีการในการรักษาต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เพื่อที่จะรักษาบรรเทาความเจ็บปวดทรมานและเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่สภาพปกตินั้นไม่ถือว่าเป็นการหย่อนในความเชื่อ การร่วมมือกับพระเจ้าและการนำตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้หายป่วยได้เร็วขึ้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการหย่อนในความเชื่อ ทั้งนี้เพราะพระเจ้าได้ประทานความสามารถให้กับมนุษย์ได้มีความรู้ในเรื่องของกฎต่างๆ ที่ก่อให้เกิดและธำรงชีวิต พระองค์ได้ประทานความรู้นี้ให้แก่เราเพื่อที่เราจะสามารถนำมาใช้ได้ เราจึงควรที่จะใช้ทุกๆ วิธีการในการรักษาโดยใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และปฏิบัติให้สอดคล้องไปกับกฎแห่งธรรมชาติและบทบัญญัติฝ่ายร่างกายเพื่อที่จะช่วยเยียวยารักษาความเจ็บป่วย เมื่อเราได้อธิษฐานเพื่อให้คนป่วยได้หายจากโรค เราก็จะกระทำกิจด้วยกำลังที่มากยิ่งขึ้น เราจะขอบพระคุณพระเจ้าในสิทธิพิเศษที่เราได้ร่วมงานกับพระองค์ และทูลขอให้พระองค์ได้ทรงอวยพระพรให้กับวิธีการในการบำบัดรักษาที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่เรา {MH 231.3}

We have the sanction of the word of God for the use of remedial agencies. Hezekiah, king of Israel, was sick, and a prophet of God brought him the message that he should die. He cried unto the Lord, and the Lord heard His servant and sent him a message that fifteen years should be added to his life. Now, one word from God would have healed Hezekiah instantly; but special directions were given, “Let them take a lump of figs, and lay it for a plaster upon the boil, and he shall recover.” Isaiah 38:21. {MH 232.1}

เรามีพระสัญญาในพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงอนุญาตให้เราได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในการบำบัดรักษา กษัตริย์เฮเสคียาห์แห่งประเทศอิสราเอลได้ทรงประชวรและผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้นำข่าวมาทูลว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงร้องทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ พระองค์จึงได้ส่งผู้เผยพระวจนะมาทูลกษัตริย์เฮเสคียาห์ว่าพระเจ้าทรงโปรดให้พระองค์ได้มีอายุยืนยาวต่อไปอีกสิบห้าปี ในการนี้ พระเจ้าอาจจะตรัสคำเพียงคำเดียวกษัตริย์เฮเสคียาห์ก็จะทรงหายประชวรได้ในทันที แต่พระองค์ทรงรับสั่งถึงคำแนะนำที่ประทานไว้ให้เป็นพิเศษดังนี้ว่า “ให้เขาเอาขนมมะเดื่อมาแผ่นหนึ่ง และแปะไว้ที่พระยอด เพื่อพระองค์จะฟื้น” อิสยาห์ 38:21 {MH 232.1}

On one occasion Christ anointed the eyes of a blind man with clay and bade him, “Go, wash in the pool of Siloam. . . . He went his way therefore, and washed, and came seeing.” John 9:7. The cure could be wrought only by the power of the Great Healer, yet Christ made use of the simple agencies of nature. While He did not give countenance to drug medication, He sanctioned the use of simple and natural remedies. {MH 233.1}

มีอยู่คราวหนึ่ง พระคริสต์ทรงใช้โคลนทานัยน์ตาของคนตาบอดและทรงมีพระดำรัสสั่งว่า “ไปล้าง……เสียในสระสิโลอัมเถิด เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้” ยอห์น 9:7 โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงดำรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาโรคให้หายได้ แต่ถึงกระนั้นพระคริสต์ก็ทรงใช้สิ่งที่เรียบง่ายจากธรรมชาติในการรักษา พระองค์มิได้ทรงสนับสนุนการบำบัดรักษาโรคโดยการใช้ยา พระองค์ทรงเห็นชอบที่จะใช้สิ่งเรียบง่ายที่มีอยู่ตามธรรมชาติในการรักษาแทน {MH 233.1}

When we have prayed for the recovery of the sick, whatever the outcome of the case, let us not lose faith in God. If we are called upon to meet bereavement, let us accept the bitter cup, remembering that a Father’s hand holds it to our lips. But should health be restored, it should not be forgotten that the recipient of healing mercy is placed under renewed obligation to the Creator. When the ten lepers were cleansed, only one returned to find Jesus and give Him glory. Let none of us be like the unthinking nine, whose hearts were untouched by the mercy of God. “Every good gift and every perfect gift is from above, and cometh down from the Father of lights, with whom is no variableness, neither shadow of turning.” James 1:17. {MH 233.2}

เมื่อเราอธิษฐานเพื่อให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัยนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขออย่าให้เราสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า ถ้าเราต้องเผชิญกับการสูญเสียคนที่เรารัก ขอให้เรายอมรับในความทุกข์ระทมนั้น โดยระลึกว่าพระหัตถ์ของพระบิดาจะทรงสวมกอดเราไว้ แต่เมื่อผู้ป่วยหายกลับเป็นปกติ เราจะต้องไม่ลืมว่าผู้ที่ได้รับพระเมตตาคุณที่ทรงโปรดรักษาให้หายนั้น ได้ตกอยู่ในสัญญาต่อใหม่ที่ผูกพันเขาไว้กับพระผู้สร้าง เมื่อคนโรคเรื้อนสิบคนได้รับการรักษาให้หายแล้ว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้กลับไปเฝ้าพระเยซูและได้ถวายสรรเสริญแด่พระองค์ ขออย่าให้เราเป็นเหมือนคนโรคเรื้อนทั้งเก้าคนที่จิตใจของพวกเขามิได้สัมผัสถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้า “ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวนหรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง” ยากอบ 1:17 {MH 233.2}