Chapter 13 (บทที่ 13)
“Two Worshipers”
การนมัสการสองประเภท

“Unto certain which trusted in themselves that they were righteous, and despised others,” Christ spoke the parable of the Pharisee and the publican. The Pharisee goes up to the temple to worship, not because he feels that he is a sinner in need of pardon, but because he thinks himself righteous and hopes to win commendation. His worship he regards as an act of merit that will recommend him to God. At the same time it will give the people a high opinion of his piety. He hopes to secure favor with both God and man. His worship is prompted by self-interest. {COL 150.1}

พระคริสต์ตรัสอุปมาเรื่องฟาริสีและคนเก็บภาษีไว้ “สำหรับบางคนที่เชื่อมั่นในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และดูหมิ่นคนอื่น” ลูกา 18:9 ฟาริสีคนนี้ขึ้นไปยังวิหารเพื่อนมัสการไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าตนเป็นคนบาป ต้องการการอภัยโทษ แต่เนื่องจากความคิดที่ว่าเขาป็นคนชอบธรรมและหวังที่จะได้รับคำเยินยอ เขาคิดว่าการนมัสการของเขานั้นเป็นการกระทำคุณงามความดีเพื่อเป็นการเสนอตัวเองต่อพระเจ้า ในขณะเดียวกันก็จะทำให้คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวเขาในแง่บวกว่าเขาเป็นคนเคร่งศาสนา เขาหวังที่จะได้รับความชอบพระทัยของพระเจ้าและความพึงพอใจจากมนุษย์ การนมัสการของเขาได้รับแรงกระตุ้นจากผลประโยชน์ส่วนตัว {COL 150.1}

And he is full of self-praise. He looks it, he walks it, he prays it. Drawing apart from others as if to say, “Come not near to me; for I am holier than thou” (Isaiah 65:5), he stands and prays “with himself.” Wholly self-satisfied, he thinks that God and men regard him with the same complacency. {COL 150.2}

เขาคนนี้เต็มล้นไปด้วยการยกยอตนเอง เห็นได้จากการแสดงออกด้วยท่าทางของเขา การเดินของเขาและการอธิษฐานของเขา เขาแยกตัวเองออกจากผู้อื่น ทำตัวเสมือนหนึ่งที่จะพูดว่า “อย่าเข้ามาใกล้ เพราะข้าบริสุทธิ์กว่าเจ้า” อิสยาห์ 65:5 เขายืนและอธิษฐาน “อยู่คนเดียว” เขามีความพึงพอใจในตัวเองหมดทุกสิ่งทุกอย่าง และคิดว่าพระเจ้าและมนุษย์ก็มีความพึงพอใจในตัวเขาเช่นเดียวกัน {COL 150.2}

“God, I thank thee,” he says, “that I am not as other men are, extortioners, unjust, adulterers, or even as this publican.” He judges his character, not by the holy character of God, but by the character of other men. His mind is turned away from God to humanity. This is the secret of his self-satisfaction. {COL 150.3}

เขาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรมและคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้” ลูกา 18: 11 เขาตรวจสอบอุปนิสัยของตัวเองโดยไม่ได้ใช้พระลักษณะนิสัยของพระเจ้าเป็นเกณฑ์ แต่เอาอุปนิสัยของผู้อื่นมาเป็นเกณฑ์ ความคิดของเขาหันเหจากพระเจ้าไปทางมนุษย์ นี่คือเคล็ดลับของความพึงพอใจในตนเองของเขา {COL 150.3}

He proceeds to recount his good deeds: “I fast twice in the week, I give tithes of all that I possess.” The religion of the Pharisee does not touch the soul. He is not seeking Godlikeness of character, a heart filled with love and mercy. He is satisfied with a religion that has to do only with outward life. His righteousness is his own–the fruit of his own works–and judged by a human standard. {COL 151.1}

เขาสาธยายคุณงามความดีของตนเองต่อไปว่า “ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ และสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ก็เอาทศางค์มาถวายเสมอ” ลูกา 18:12 ศาสนาของพวกฟาริสีสัมผัสจิตวิญญาณไม่ได้ พวกเขาไม่ได้แสวงหาอุปนิสัยที่เหมือนกับของพระเจ้า ผู้ทรงมีพระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา เขาพึงพอใจกับศาสนาที่แสดงออกมาภายนอก ความชอบธรรมของเขาเป็นของเขาเอง เป็นผลของการกระทำของตนเองและใช้มาตรฐานของมนุษย์กล่าวโทษผู้อื่น {COL 151.1}

Whoever trusts in himself that he is righteous, will despise others. As the Pharisee judges himself by other men, so he judges other men by himself. His righteousness is estimated by theirs, and the worse they are the more righteous by contrast he appears. His self-righteousness leads to accusing. “Other men” he condemns as transgressors of God’s law. Thus he is making manifest the very spirit of Satan, the accuser of the brethren. With this spirit it is impossible for him to enter into communion with God. He goes down to his house destitute of the divine blessing. {COL 151.2}

ผู้ใดที่วางใจในตัวเองว่าเป็นผู้ชอบธรรมจะดูหมิ่นผู้อื่น เหมือนเช่นฟาริสีคนนี้ที่เอาคนอื่นมาวัดเปรียบเทียบกับตัวเอง เขาก็กล่าวโทษผู้อื่นด้วยมาตรฐานของตัวเขาเอง เขาประเมินความชอบธรรมของเขาเองด้วยความชอบธรรมของผู้อื่น ถ้าคนเหล่านั้นเลวร้ายตัวเขาก็จะยิ่งดูชอบธรรมมากขึ้น ความรู้สึกชอบธรรมในตัวเองทำให้เขากล่าวโทษผู้อื่น เขากล่าวโทษ “คนอื่น” ว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า ฉะนั้นเขากำลังแสดงลักษณะวิญญาณที่แท้จริงของซาตานออกมา เป็นผู้ที่กล่าวโทษพี่น้อง ด้วยสภาพของจิตวิญญาณเช่นนี้เขาจึงไม่อาจสื่อสารกับพระเจ้าได้ เขาจึงกลับบ้านโดยที่ไม่ได้รับพระพรของพระเจ้า {COL 151.2}

The publican had gone to the temple with other worshipers, but he soon drew apart from them as unworthy to unite in their devotions. Standing afar off, he “would not lift up so much as his eyes unto heaven, but smote upon his breast,” in bitter anguish and self-abhorrence. He felt that he had transgressed against God, that he was sinful and polluted. He could not expect even pity from those around him, for they looked upon him with contempt. He knew that he had no merit to commend him to God, and in utter self-despair he cried, “God be merciful to me, a sinner.” He did not compare himself with others. Overwhelmed with a sense of guilt, he stood as if alone in God’s presence. His only desire was for pardon and peace, his only plea was the mercy of God. And he was blessed. “I tell you,” Christ said, “this man went down to his house justified rather than the other.” {COL 151.3}

คนเก็บภาษีไปยังวิหารพร้อมกับคนนมัสการอื่นๆ แต่เขาปลีกตัวออกห่างไปโดยเร็ว รู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะที่เข้าใกล้ผู้ที่ร่วมนมัสการ เขายืนอยู่ห่างออกไป “ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัว” ลูกา 18:13 ด้วยความขมขื่นใจและเกลียดชังตนเอง เขารู้สึกว่าเขาละเมิดต่อพระเจ้าและเป็นคนบาปและเต็มไปด้วยมลทิน เขาไม่อาจที่จะหวังความสงสารจากผู้ที่อยู่รอบตัวเขา เพราะคนเหล่านั้นมองดูเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยาม เขารู้ว่าตนเองไม่มีคุณงามความดีอะไรที่จะเสนอตัวเองแก่พระเจ้าได้ และด้วยสภาพที่สิ้นหวังเช่นนี้เขาทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” ลูกา 18:13 เขาไม่ได้เปรียบเทียบตัวเขาเองกับผู้อื่น เขาถูกทับถมด้วยความรู้สึกผิดราวกับว่าเขายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ความหวังเดียวที่เขาต้องการคือได้รับอภัยและสันติสุข คำทูลขอเพียงประการเดียวคือขอพระเมตตาจากพระเจ้า และเขาก็ได้รับพระพร พระคริสต์ตรัสว่า “เราบอกพวกท่านว่าคนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่อีกคนหนึ่งนั้น” ลูกา 18:14 {COL 151.3}

The Pharisee and the publican represent two great classes into which those who come to worship God are divided. Their first two representatives are found in the first two children that were born into the world. Cain thought himself righteous, and he came to God with a thank offering only. He made no confession of sin, and acknowledged no need of mercy. But Abel came with the blood that pointed to the Lamb of God. He came as a sinner, confessing himself lost; his only hope was the unmerited love of God. The Lord had respect to his offering, but to Cain and his offering He had not respect. The sense of need, the recognition of our poverty and sin, is the very first condition of acceptance with God. “Blessed are the poor in spirit; for theirs is the kingdom of heaven.” Matthew 5:3. {COL 152.1}

ฟาริสีและชายเก็บภาษีเปรียบได้กับการแบ่งคนที่เข้ามานมัสการพระเจ้าเป็นสองกลุ่มใหญ่ บุตรชายสองคนแรกที่เกิดมาในโลกเป็นตัวแทนของคนสองประเภทนี้ คาอินคิดว่าตนเองชอบธรรมและเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยของถวายขอบพระคุณเท่านั้น เขาไม่ได้สารภาพบาป และไม่ยอมรับว่าตนเองต้องการความเมตตา แต่อาเบลเข้ามาเฝ้าพร้อมกับเลือดของสัตว์ที่ชี้ไปยังพระเมษโปดกของพระเจ้า เขามาในสภาพของคนบาป สารภาพว่าตนเองหลงทางไป ความหวังเดียวของเขาคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า พระองค์ทรงให้เกียรติแก่ของถวายของเขา แต่สำหรับคาอินและของถวายของเขาพระเจ้าไม่ทรงยอมรับ ความรู้สึกถึงความต้องการและการรู้สำนึกถึงความขัดสนและบาปเป็นคุณสมบัติอันดับที่หนึ่งของการยอมรับจากพระเจ้า “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” มัทธิว 5:3 {COL 152.1}

For each of the classes represented by the Pharisee and the publican there is a lesson in the history of the apostle Peter. In his early discipleship Peter thought himself strong. Like the Pharisee, in his own estimation he was “not as other men are.” When Christ on the eve of His betrayal forewarned His disciples, “All ye shall be offended because of Me this night,” Peter confidently declared, “Although all shall be offended, yet will not I.” Mark 14:27, 29. Peter did not know his own danger. Self-confidence misled him. He thought himself able to withstand temptation; but in a few short hours the test came, and with cursing and swearing he denied his Lord. {COL 152.2}

ฟาริสีและชายเก็บภาษีที่เป็นตัวแทนของคนในแต่ละกลุ่มนี้มีบทเรียนที่ได้จากประวัติของอัครทูตเปโตรด้วย ในช่วงแรกของชีวิตการติดตามพระองค์นั้น เปโตรคิดว่าตนเองเข้มแข็ง เหมือนฟาริสีคนนั้น เขาประเมินว่าตัวเอง “ไม่เหมือนคนอื่น” ในคืนที่พระคริสต์ถูกทรยศนั้น พระองค์ทรงเตือนสาวกทั้งหลายว่า “ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา” มัทธิว 26:31 เปโตรประกาศด้วยความเชื่อมั่นสูงว่า “แม้ว่าทุกคนจะทิ้งพระองค์ แต่ข้าพระองค์จะไม่ทิ้งพระองค์” มาระโก14:29 เปโตรไม่เคยทราบถึงภัยอันตรายของตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองทำให้เขาหลงผิดไป เขาคิดว่าเขาจะยืนหยัดต่อการทดลองได้ แต่ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเมื่อการทดสอบมาถึง เขาก็ปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาด้วยคำสาปแช่งและคำสาบาน {COL 152.2}

When the crowing of the cock reminded him of the words of Christ, surprised and shocked at what he had just done he turned and looked at his Master. At that moment Christ looked at Peter, and beneath that grieved look, in which compassion and love for him were blended, Peter understood himself. He went out and wept bitterly. That look of Christ’s broke his heart. Peter had come to the turning point, and bitterly did he repent his sin. He was like the publican in his contrition and repentance, and like the publican he found mercy. The look of Christ assured him of pardon. {COL 152.3}

ครั้นเมื่อไก่ขันเตือนเขาให้นึกถึงพระดำรัสของพระคริสต์ เขารู้สึกตกตะลึงและแทบช็อคต่อสิ่งที่กระทำไป เขาหันและมองไปยังพระอาจารย์ของเขา ในเวลานั้นพระคริสต์ทรงทอดพระเนตรเปโตร และภายใต้สายพระเนตรที่โศกเศร้าระคนด้วยความเมตตาและความรักต่อเขา เปโตรเข้าใจในตัวเอง เขาออกไปและร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจ พระเนตรของพระคริสต์ที่ทรงเพ่งมานั้นทำให้หัวใจของเปโตรแตกสลายไป เปโตรมาถึงจุดเปลี่ยนแปลง และเขากลับใจจากบาปด้วยความขมขื่น เขาเปรียบได้กับคนเก็บภาษีในสภาพของการเสียใจและการกลับใจ และเป็นเหมือนคนเก็บภาษีก็ได้รับความเมตตา การมองของพระคริสต์ให้ความมั่นใจว่าเขาได้รับการอภัยแล้ว {COL 152.3}

Now his self-confidence was gone. Never again were the old boastful assertions repeated. {COL 154.1}

บัดนี้ความเชื่อมั่นในตัวเองสูญสิ้นไป การโอ้อวดในอดีตจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก {COL 154.1}

Christ after His resurrection thrice tested Peter. “Simon, son of Jonas,” He said, “lovest thou Me more than these?” Peter did not now exalt himself above his brethren. He appealed to the One who could read His heart. “Lord,” he said, “Thou knowest all things; Thou knowest that I love Thee.” John 21:15, 17. {COL 154.2}

หลังจากที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์ทรงทดสอบเปโตรถึงสามครั้ง พระองค์ตรัสว่า “ซีโมน บุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ” ขณะนั้นเปโตรไมได้ยกตัวเองขึ้นเหนือพี่น้องทั้งหลาย เขาอ้อนวอนขอพระองค์ผู้ทรงอ่านใจของเขาได้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” ยอห์น 21:15, 17 {COL 154.2}

Then he received his commission. A work broader and more delicate than had heretofore been his was appointed him. Christ bade him feed the sheep and the lambs. In thus committing to his stewardship the souls for whom the Saviour had laid down his own life, Christ gave to Peter the strongest proof of confidence in his restoration. The once restless, boastful, self-confident disciple had become subdued and contrite. Henceforth he followed his Lord in self-denial and self-sacrifice. He was a partaker of Christ’s sufferings; and when Christ shall sit upon the throne of His glory, Peter will be a partaker in His glory. {COL 154.3}

แล้วเขาก็ได้รับพระบัญชา เขาได้รับมอบหมายหน้าที่อันกว้างขวางกว่าและละเอียดซับซ้อนกว่าที่เขาเคยรับมาก่อน พระคริสต์ทรงเรียกให้เขาเลี้ยงแกะและลูกแกะ ซึ่งเป็นการอารักขาเลี้ยงดูจิตวิญญาณทั้งหลายที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสละพระชนม์เพื่อพวกเขา พระคริสต์ทรงให้หลักฐานยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เปโตรเพื่อให้เขาเห็นว่าได้รับการทรงเรียกกลับมาให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยความมั่นใจ สาวกที่ครั้งหนึ่งเป็นคนฉุนเฉียว โอ้อวด มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง บัดนี้กลายเป็นคนสงบและถ่อมตน จากนี้ไปเขาติดตามพระเป็นเจ้าของเขาด้วยการละทิ้งตนเองและการถวายตัว เขาเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทนทุกข์กับพระคริสต์ และเมื่อพระคริสต์จะประทับบนบัลลังก์แห่งพระสิริ เปโตรก็จะร่วมรับสง่าราศีของพระองค์ด้วย {COL 154.3}

The evil that led to Peter’s fall and that shut out the Pharisee from communion with God is proving the ruin of thousands today. There is nothing so offensive to God or so dangerous to the human soul as pride and self-sufficiency. Of all sins it is the most hopeless, the most incurable. {COL 154.4}

ความชั่วที่ทำให้เปโตรล้มลงและปิดกั้นคนฟาริสีจากการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้านั้นยังเป็นตัวการที่กำลังทำลายคนจำนวนมากในปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดที่สะอิดสะเอียดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าหรือเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของมนุษย์ได้เท่ากับความหยิ่งยโส และการทะนงตน ในบรรดาบาปทั้งหลาย บาปนี้เป็นบาปที่สิ้นหวังที่สุด เป็นบาปที่รักษายากที่สุด {COL 154.4}

Peter’s fall was not instantaneous, but gradual. Self-confidence led him to the belief that he was saved, and step after step was taken in the downward path, until he could deny his Master. Never can we safely put confidence in self or feel, this side of heaven, that we are secure against temptation. Those who accept the Saviour, however sincere their conversion, should never be taught to say or to feel that they are saved. This is misleading. Every one should be taught to cherish hope and faith; but even when we give ourselves to Christ and know that He accepts us, we are not beyond the reach of temptation. God’s word declares, “Many shall be purified, and made white, and tried.” Daniel 12:10. Only he who endures the trial will receive the crown of life. (James 1:12.) {COL 155.1}

การล้มลงของเปโตรไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เกิดขึ้นมาอยู่อย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้เขาคิดว่าเขารอดแล้ว และในแต่ละก้าวเขาเดินลงสู่ทางแห่งความตกต่ำจนเขาปฏิเสธพระอาจารย์ของตนเองได้ เราไม่ควรที่จะวางใจในตัวเองหรือมีความรู้สึกว่าปลอดภัยจากการทดลองแล้ว ตราบใดที่เราอยู่อีกฟากหนึ่งของสวรรค์ ผู้ที่รับพระผู้ช่วยให้รอดไม่ว่าจะมีความจริงใจต่อการกลับใจเพียงไร ไม่ควรได้รับการสอนให้พูดหรือรู้สึกว่าเขารอดแล้ว นี่จะทำให้เราเข้าใจผิดได้ ทุกคนควรได้รับการสอนให้ยึดมั่นในความหวังและความเชื่อ แต่ถึงแม้ว่าเราถวายตัวให้พระคริสต์แล้วและรู้ว่าพระองค์ยอมรับเราแล้วก็ตาม เราก็ยังไม่พ้นจากการทดลอง พระวจนะของพระเจ้าประกาศว่า “คนเป็นอันมากจะชำระตนเอง ทำให้ตนเองสะอาดหมดจดและถูกถลุง” ดาเนียล 12:10 สำหรับผู้ที่อดทนต่อการทดลองเท่านั้นจะรับมงกุฎแห่งชีวิต (ยากอบ 1:12) {COL 155.1}

Those who accept Christ, and in their first confidence say, I am saved, are in danger of trusting to themselves. They lose sight of their own weakness and their constant need of divine strength. They are unprepared for Satan’s devices, and under temptation many, like Peter, fall into the very depths of sin. We are admonished, “Let him that thinketh he standeth, take heed lest he fall.” 1 Corinthians 10:12. Our only safety is in constant distrust of self, and dependence on Christ. {COL 155.2}

ผู้รับพระคริสต์และในความเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกพูดขึ้นว่า ฉันรอดแล้วจะตกอยู่ในอันตรายของการวางใจในตนเอง พวกเขาหลงไปในความอ่อนแอของตนเองและยังต้องการกำลังของพระเจ้าอยู่เสมอ พวกเขาไม่พร้อมต่อเล่ห์กลของซาตานและเหมือนกับเปโตร เมื่อการทดลองมาถึงเขาก็ตกลงในหลุมแห่งบาป เราได้รับคำเตือนว่า “คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงแล้ว ก็จงระวังไม่ให้ล้มลง” 1โครินธ์ 10:12 ความปลอดภัยประการเดียวของเราที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องคือ ไม่วางใจตนเอง แต่หวังพึ่งในพระคริสต์เท่านั้น {COL 155.2}

It was necessary for Peter to learn his own defects of character, and his need of the power and grace of Christ. The Lord could not save him from trial, but He could have saved him from defeat. Had Peter been willing to receive Christ’s warning, he would have been watching unto prayer. He would have walked with fear and trembling lest his feet should stumble. And he would have received divine help so that Satan could not have gained the victory. {COL 155.3}

สิ่งที่จำเป็นสำหรับเปโตรคือต้องเรียนรู้ความบกพร่องของอุปนิสัยในตัวของเขาเอง และความต้องการฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระคริสต์ พระเป็นเจ้าจะช่วยให้เขาออกจากการทดลองไม่ได้ แต่พระองค์ทรงสามารถช่วยเขาจากความพ่ายแพ้ได้ หากเปโตรยอมรับคำตักเตือนของพระคริสต์ เขาคงเฝ้าอธิษฐานอยู่ตลอดเวลา เขาคงดำเนินชีวิตไปด้วยหวั่นเกรงและตัวสั่นเกลือกว่าเท้าของเขาจะเดินพลาดไป และเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อซาตานไม่อาจเอาชัยชนะเขาได้ {COL 155.3}

It was through self-sufficiency that Peter fell; and it was through repentance and humiliation that his feet were again established. In the record of his experience every repenting sinner may find encouragement. Though Peter had grievously sinned, he was not forsaken. The words of Christ were written upon his soul, “I have prayed for thee, that thy faith fail not.” Luke 22:32. In his bitter agony of remorse, this prayer, and the memory of Christ’s look of love and pity, gave him hope. Christ after His resurrection remembered Peter, and gave the angel the message for the women, “Go your way, tell His disciples and Peter that He goeth before you into Galilee; there shall ye see Him.” Mark 16:7. Peter’s repentance was accepted by the sin-pardoning Saviour. {COL 155.4}

ด้วยความทะนงตนที่ทำให้เปโตรล้มลง และด้วยการกลับใจและการถ่อมตนทำให้เขากลับสู่สภาพเดิม คนบาปที่กลับใจทุกคนรับกำลังใจจากบันทึกแห่งชีวิตของเปโตรได้ แม้ว่าเขาทำบาปอย่างน่าเศร้าสลดใจ เขาก็ยังไม่ถูกทอดทิ้ง พระวจนะของพระคริสต์ถูกจารึกลงในจิตใจของเขาว่า “เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด” ลูกา 22:32 ในความทุกข์อันขมขื่นเศร้าเสียใจต่อการกระทำผิด คำอธิษฐานนี้และภาพความทรงจำที่พระคริสต์ทอดพระเนตรมายังเขาด้วยความรักและสงสารนำความหวังมาให้เปโตร หลังจากพระคริสต์ทรงกลับเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงระลึกถึงเปโตรและทรงให้ทูตสวรรค์นำข่าวไปบอกพวกผู้หญิงว่า “จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น” มาระโก 16:7 พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงอภัยบาปทรงยอมรับการกลับใจของเปโตร {COL 155.4}

And the same compassion that reached out to rescue Peter is extended to every soul who has fallen under temptation. It is Satan’s special device to lead man into sin, and then leave him, helpless and trembling, fearing to seek for pardon. But why should we fear, when God has said, “Let him take hold of My strength, that he may make peace with Me; and he shall make peace with Me?” Isaiah 27:5. Every provision has been made for our infirmities, every encouragement offered us to come to Christ. {COL 156.1}

และความเห็นใจเดียวกันที่ยื่นไปช่วยเปโตร ก็ได้ยื่นไปยังจิตวิญญาณทุกดวงที่ล้มลงภายใต้การทดลอง การทำให้มนุษย์ล้มลงในการทำบาปเป็นเล่ห์กลพิเศษของซาตานและจากนั้นมันก็จะปล่อยเขาให้ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังและหวาดกลัวที่จะเสาะหาการอภัยโทษ แต่ทำไมเราต้องกลัวมันในเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “ให้มันยอมอยู่ใต้การปกป้องของเรา ให้มันสร้างสันติภาพกับเรา ให้มันสร้างสันติภาพกับเรา” อิสยาห์ 27:5 วิถีทางทั้งหลายได้จัดวางไว้เพื่อรองรับความบอบช้ำใดๆ ของเรา การหนุนใจทุกอย่างก็เชิญชวนเราให้เข้าไปหาพระคริสต์ {COL 156.1}

Christ offered up His broken body to purchase back God’s heritage, to give man another trial. “Wherefore He is able also to save them to the uttermost that come unto God by Him, seeing He ever liveth to make intercession for them.” Hebrews 7:25. By His spotless life, His obedience, His death on the cross of Calvary, Christ interceded for the lost race. And now, not as a mere petitioner does the Captain of our salvation intercede for us, but as a Conqueror claiming His victory. His offering is complete, and as our Intercessor He executes His self-appointed work, holding before God the censer containing His own spotless merits and the prayers, confessions, and thanksgiving of His people. Perfumed with the fragrance of His righteousness, these ascend to God as a sweet savor. The offering is wholly acceptable, and pardon covers all transgression. {COL 156.2}

พระคริสต์ทรงพลีพระวรกายฟกช้ำเพื่อซื้อมรดกของพระเจ้ากลับคืนมา เพื่อให้มนุษย์ชาติได้รับโอกาสอีกครั้ง “พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอเผื่อคนเหล่านั้น” ฮีบรู 7:25 พระคริสต์ทรงอุทธรณ์เพื่อมนุษยชาติที่หลงหายด้วยชีวิตที่ไร้มลทิน โดยการเชื่อฟังของพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนคาลวารี และขณะนี้แม่ทัพแห่งกองทัพความรอดไม่ได้เพียงแต่อุทธรณ์ให้เราเท่านั้นแต่พระองค์เสด็จมาอย่างผู้ครอบครองที่ได้รับชัยชนะ การถวายตัวเองของพระองค์สมบูรณ์แบบและในฐานะของผู้ไกล่เกลี่ย พระองค์ทรงทำงานที่พระองค์รับมาเอง ทรงถือเครื่องหอมซึ่งบรรจุคุณความดีอันไร้ตำหนิและคำอธิษฐาน คำสารภาพและคำขอบพระคุณของประชากรของพระเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ สิ่งเหล่านี้อาบด้วยกลิ่นหอมแห่งความชอบธรรมของพระองค์ ลอยขึ้นไปยังพระเจ้าดุจความหอมหวาน เครื่องถวายบูชาได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์และการอภัยครอบคลุมการล่วงละเมิดทั้งหมด{COL 156.2}

Christ has pledged Himself to be our substitute and surety, and He neglects no one. He who could not see human beings exposed to eternal ruin without pouring out His soul unto death in their behalf, will look with pity and compassion upon every soul who realizes that he cannot save himself. {COL 157.1}

พระคริสต์ทรงปฏิญาณพระองค์เองเป็นผู้แทนและเป็นผู้ค้ำประกัน และพระองค์ไม่ทอดทิ้งผู้ใด พระองค์ผู้ไม่อาจทนดูมนุษย์เผชิญกับการถูกทำลายเป็นนิจโดยไม่ได้ทรงทุ่มเทชีวิตของพระองค์จนถึงมรณาเพื่อเขาเหล่านั้น แต่จะทอดพระเนตรด้วยความสงสารและเมตตาต่อจิตวิญญาณที่สำนึกว่าตนช่วยตนเองให้รอดไม่ได้ {COL 157.1}

He will look upon no trembling suppliant without raising him up. He who through His own atonement provided for man an infinite fund of moral power, will not fail to employ this power in our behalf. We may take our sins and sorrows to His feet; for He loves us. His every look and word invites our confidence. He will shape and mold our characters according to His own will. {COL 157.2}

พระองค์จะไม่ทอดพระเนตรผู้ที่อ้อนวอนด้วยตัวสั่น โดยไม่พยุงเขาขึ้นมา พระองค์ทรงเปิดทางไปสู่แหล่งอำนาจทางศีลธรรมเพื่อมนุษย์โดยการทรงไถ่ของพระองค์ พระองค์จะไม่ละเลยที่จะใช้อำนาจของพระองค์เพื่อเรา เรานำบาปและความทุกข์ใจไปยังพระบาทของพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงรักเรา พระเนตรและพระดำรัสของพระคริสต์เชิญชวนให้เราวางใจพระองค์ พระองค์จะทรงดัดแปลงและปั้นอุปนิสัยของเราให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ {COL 157.2}

In the whole Satanic force there is not power to overcome one soul who in simple trust casts himself on Christ. “He giveth power to the faint; and to them that have no might He increaseth strength.” Isaiah 40:29. “If we confess our sins, He is faithful and just to forgive us our sins, and to cleanse us from all unrighteousness.” The Lord says, “Only acknowledge thine iniquity, that thou hast transgressed against the Lord thy God.” “Then will I sprinkle clean water upon you, and ye shall be clean; from all your filthiness and from all your idols will I cleanse you.” 1 John 1:9; Jeremiah 3:13; Ezekiel 36:25. {COL 157.3}

ในกองทัพทั้งหมดของซาตานไม่มีอำนาจที่จะเอาชนะจิตวิญญาณแม้ดวงเดียวที่มอบตัวเองให้พระคริสต์ด้วยความวางใจได้ “พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ยและผู้ไม่มีพลังนั้น พระองค์ทรงให้มีเรี่ยวแรงมาก” อิสยาห์ 40:29 “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” พระเป็นเจ้าตรัสว่า “เพียงแต่ยอมรับความผิดของเจ้าว่าเจ้ากบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” “เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้าทั้งหลาย แล้วเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า” 1 ยอห์น 1:9 เยเรมีย์ 3:13 เอเคเศียล 36:25 . {COL 157.3}

But we must have a knowledge of ourselves, a knowledge that will result in contrition, before we can find pardon and peace. The Pharisee felt no conviction of sin. The Holy Spirit could not work with him. His soul was encased in a self-righteous armor which the arrows of God, barbed and true-aimed by angel hands, failed to penetrate. It is only he who knows himself to be a sinner that Christ can save. He came “to heal the brokenhearted, to preach deliverance to the captives, and recovering of sight to the blind, to set at liberty them that are bruised.” Luke 4:18. But “they that are whole need not a physician.” Luke 5:31. We must know our real condition, or we shall not feel our need of Christ’s help. We must understand our danger, or we shall not flee to the refuge. We must feel the pain of our wounds, or we should not desire healing. {COL 158.1}

ก่อนที่เราจะได้รับการอภัยและพบสันติสุข เราจะต้องรู้จักตัวเราเอง เป็นความรู้ที่จะนำเราไปสู่ความเสียใจที่ได้ทำบาป ฟาริสีไม่รู้สึกสำนึกในบาป พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานกับพวกเขาไม่ได้ จิตวิญญาณของพวกเขาสวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรมของตัวเอง ลูกศรของพระเจ้าซึ่งเล็งโดยมือของทูตสวรรค์ไม่อาจแทงทะลุได้ ผู้ที่รู้ว่าตนเองเป็นคนบาปเท่านั้นที่พระคริสต์จะทรงช่วยให้รอดได้ พระองค์เสด็จมา “เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ” ลูกา 4:18 “คนสบายไม่ต้องการหมอ” ลูกา 5:31 เราต้องรู้สภาพที่แท้จริงของตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะไม่ทราบว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระคริสต์ เราต้องเข้าใจถึงภัยอันตรายของเราเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเราจะวิ่งหาที่ลี้ภัยไม่ได้ เราจะต้องรู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผล ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่หวังที่จะได้รับการรักษา {COL 158.1}

The Lord says, “Because thou sayest, I am rich, and increased with goods, and have need of nothing; and knowest not that thou art wretched, and miserable, and poor, and blind, and naked: I counsel thee to buy of Me gold tried in the fire, that thou mayest be rich; and white raiment, that thou mayest be clothed, and that the shame of thy nakedness do not appear; and anoint thine eyes with eyesalve, that thou mayest see.” Revelation 3:17, 18. The gold tried in the fire is faith that works by love. Only this can bring us into harmony with God. We may be active, we may do much work; but without love, such love as dwelt in the heart of Christ, we can never be numbered with the family of heaven. {COL 158.2}

พระเป็นเจ้าตรัสว่า “เพราะเจ้าพูดว่า ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสมเพช น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอด และเปลือยกาย เราแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะมั่งมี และให้เจ้าซื้อเสื้อผ้าสีขาวเพื่อจะได้สวมให้พ้นจากความอับอายที่ต้องเปลือยกาย และซื้อยาหยอดตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะได้แลเห็น” วิวรณ์ 3:17,18 ทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์คือความเชื่อที่มีการกระทำด้วยความรัก สิ่งนี้เท่านั้นที่ทำให้เราเข้าสนิทกับพระเจ้าได้ เราอาจจะมีความกระตือรือร้น เราอาจทำงานมากมาย แต่หากไม่มีความรักคือความรักที่สถิตอยู่ในพระทัยของพระคริสต์ เราก็ไม่อาจจะเข้าร่วมครอบครัวแห่งสวรรค์ได้ {COL 158.2}

No man can of himself understand his errors. “The heart is deceitful above all things, and desperately wicked; who can know it?” Jeremiah 17:9. The lips may express a poverty of soul that the heart does not acknowledge. While speaking to God of poverty of spirit, the heart may be swelling with the conceit of its own superior humility and exalted righteousness. In one way only can a true knowledge of self be obtained. We must behold Christ. It is ignorance of Him that makes men so uplifted in their own righteousness. When we contemplate His purity and excellence, we shall see our own weakness and poverty and defects as they really are. We shall see ourselves lost and hopeless, clad in garments of self-righteousness, like every other sinner. We shall see that if we are ever saved, it will not be through our own goodness, but through God’s infinite grace. {COL 159.1}

ไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจความผิดพลาดของตนเองด้วยตัวของเขาเองได้ “จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ใครจะรู้จักใจนั้นเล่า” เยเรมีย์17:9 ริมฝีปากอาจกล่าวถึงความขัดสนของจิตวิญญาณที่ใจไม่ยอมรับ ในขณะที่เขาทูลพระเจ้าว่าตนยากจนทางจิตวิญญาณ แต่ใจเขาอาจอวดดีด้วยความคิดในความถ่อมที่เหนือกว่าผู้อื่นและการยกความชอบธรรมของตนเองขึ้นสูง มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะได้ความรู้เรื่องสภาพที่แท้จริงของตัวเราเอง เราจะต้องมองไปยังพระคริสต์ การไม่รู้จักพระองค์ที่ทำให้มนุษย์ยกความชอบธรรมของตนเองขึ้นสูง เมื่อเราตรึกตรองถึงความบริสุทธิ์และความดีงามของพระคริสต์ เรามองเห็นความอ่อนแอและความแร้นแค้นของเราเอง และความบกพร่องที่แท้จริง เราจะมองเห็นว่าเราหลงทางและหมดหวัง สวมเสื้อแห่งความชอบธรรมของตนเองเหมือนเช่นคนบาปอื่นๆ เราจะมองเห็นว่าหากจะได้รับความรอดแล้ว ความรอดนั้นไม่ใช่ได้มาโดยความดีของเราเอง แต่โดยพระคุณอันไม่รู้สิ้นสุดของพระเจ้า {COL 159.1}

The prayer of the publican was heard because it showed dependence reaching forth to lay hold upon Omnipotence. Self to the publican appeared nothing but shame. Thus it must be seen by all who seek God. By faith–faith that renounces all self-trust–the needy suppliant is to lay hold upon infinite power. {COL 159.2}

คำอธิษฐานของคนเก็บภาษีได้รับคำตอบเนื่องจากเป็นคำอธิษฐานที่แสดงถึงการพึ่งพระองค์โดยการยื่นมือไปยังพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพอันไม่จำกัด สำหรับคนเก็บภาษีแล้วเขาถือว่าตัวเองไม่มีค่าอันใด นอกจากความอับอาย ทุกคนที่แสวงหาพระเจ้าจะต้องเห็นตัวเองในสภาพเช่นนี้ โดยความเชื่อเป็นความเชื่อที่จะละทิ้งการพึ่งตนเองโดยสิ้นเชิง คนที่มีความต้องการที่เฝ้าอ้อนวอนจะต้องยึดมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า {COL 159.2}

No outward observances can take the place of simple faith and entire renunciation of self. But no man can empty himself of self. We can only consent for Christ to accomplish the work. Then the language of the soul will be, Lord, take my heart; for I cannot give it. It is Thy property. Keep it pure, for I cannot keep it for Thee. Save me in spite of myself, my weak, unchristlike self. Mold me, fashion me, raise me into a pure and holy atmosphere, where the rich current of Thy love can flow through my soul. {COL 159.3}

ไม่มีการกระทำที่แสดงออกใดจะทดแทนความเชื่ออย่างเรียบง่ายและการบังคับจิตใจตนเอง แต่ไม่มีผู้ใดจะละทิ้งอัตตาของเขาเองได้ เราทำสิ่งนี้ได้ก็โดยการยินยอมให้พระคริสต์เป็นผู้กระทำให้เท่านั้น และแล้วคำพูดของจิตใจก็จะกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับจิตใจของข้าพระองค์ เพราะเป็นสมบัติของพระองค์ ขอทรงรักษาให้บริสุทธิ์เพราะข้าพระองค์ดูแลให้พระองค์ไม่ได้ ขอทรงรักษาข้าพระองค์ไว้แม้ว่าจะเป็นคนอ่อนแอมีชีวิตที่ไม่เหมือนพระคริสต์ โปรดปั้นข้าพระองค์ ตบแต่งข้าพระองค์ พยุงข้าพระองค์ให้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งมีกระแสแห่งความรักอันอุดมสามารถไหลผ่านจิตวิญญาณของข้าพระองค์ {COL 159.3}

It is not only at the beginning of the Christian life that this renunciation of self is to be made. At every advance step heavenward it is to be renewed. All our good works are dependent on a power outside of ourselves. Therefore there needs to be a continual reaching out of the heart after God, a continual, earnest, heartbreaking confession of sin and humbling of the soul before Him. Only by constant renunciation of self and dependence on Christ can we walk safely. {COL 159.4}

การควบคุมจิตใจของตนเอง ไม่ใช่กระทำเมื่อเริ่มต้นชีวิตคริสเตียนเท่านั้น ในขณะมุ่งหน้าสู่สวรรค์ควรต้องทบทวนทุกขั้นตอนอยู่เสมอ การกระทำดีทั้งหมดของเราจะต้องได้รับอำนาจจากภายนอกตัวเรา ฉะนั้นจิตใจของเราจะต้องมุ่งหาพระเจ้าอยู่อย่างต่อเนื่อง การสารภาพบาปและการถ่อมจิตใจต่อพระพักตร์พระเจ้าจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง จริงใจและด้วยจิตใจที่แตกสลาย การควบคุมจิตใจของตนเอง และการพึ่งพระคริสต์เท่านั้นที่เราจะเดินไปได้อย่างปลอดภัย {COL 159.4}

The nearer we come to Jesus and the more clearly we discern the purity of His character, the more clearly we shall discern the exceeding sinfulness of sin and the less we shall feel like exalting ourselves. Those whom heaven recognizes as holy ones are the last to parade their own goodness. The apostle Peter became a faithful minister of Christ, and he was greatly honored with divine light and power; he had an active part in the upbuilding of Christ’s church; but Peter never forgot the fearful experience of his humiliation; his sin was forgiven; yet well he knew that for the weakness of character which had caused his fall only the grace of Christ could avail. He found in himself nothing in which to glory. {COL 160.1}

เมื่อเรายิ่งเข้าใกล้พระเยซูมากขึ้นและเรามองเห็นความบริสุทธิ์ของพระอุปนิสัยของพระองค์ชัดเจนมากเท่าใด เราก็จะมองเห็นความเลวร้ายของบาปมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และเราก็จะไม่อยากที่จะยกชูตนเองขึ้น ผู้ที่สวรรค์จัดว่าเป็นคนบริสุทธิ์จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะอวดความดีของตนเอง อัครสาวกเปโตรได้มาเป็นผู้รับใช้ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ และเขาได้รับเกียรติด้วยแสงสว่างและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เขามีส่วนร่วมในการสร้างคริสตจักรของพระคริสต์อย่างเต็มที่ แต่เปโตรไม่เคยลืมประสบการณ์แห่งความอับอาย บาปของเขาได้รับอภัยแล้ว แต่เขาทราบว่าโดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยอุปนิสัยที่อ่อนแอที่ทำให้เขาล้มลง เขามองไม่เห็นสิ่งใดในตัวเองที่น่าสรรเสริญ {COL 160.1}

None of the apostles or prophets ever claimed to be without sin. Men who have lived nearest to God, men who would sacrifice life itself rather than knowingly commit a wrong act, men whom God had honored with divine light and power, have confessed the sinfulness of their own nature. They have put no confidence in the flesh, have claimed no righteousness of their own, but have trusted wholly in the righteousness of Christ. So will it be with all who behold Christ. {COL 160.2}

ไม่มีอัครสาวกหรือผู้เผยพระวจนะคนใดที่จะอ้างว่าตนเองไม่มีบาป บรรดาคนที่ดำรงชีวิตติดสนิทกับพระเจ้ามากที่สุด ผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนแทนที่จะยอมทำสิ่งที่เขารู้ว่าผิด ผู้ที่พระเจ้าประทานเกียรติด้วยความสว่างและฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า คือ บุคคลที่ได้สารภาพบาปหนาที่มีอยู่ตามธรรมชาติของเขา พวกเขาไม่ได้วางใจในเนื้อหนัง ไม่อ้างว่ามีความชอบธรรมของตนเองแต่ไว้วางใจในความชอบธรรมของพระคริสต์อย่างเต็มที่ ทุกคนที่มองไปยังพระคริสต์ก็จะเป็นเช่นนี้ {COL 160.2}

At every advance step in Christian experience our repentance will deepen. It is to those whom the Lord has forgiven, to those whom He acknowledges as His people, that He says, “Then shall ye remember your own evil ways, and your doings that were not good, and shall loathe yourselves in your own sight.” Ezekiel 36:31. Again He says, “I will establish My covenant with thee, and thou shalt know that I am the Lord; that thou mayest remember, and be confounded, and never open thy mouth any more because of thy shame, when I am pacified toward thee for all that thou hast done, saith the Lord God.” Ezekiel 16:62, 63. Then our lips will not be opened in self-glorification. We shall know that our sufficiency is in Christ alone. We shall make the apostle’s confession our own. “I know that in me (that is, in my flesh) dwelleth no good thing.” Romans 7:18. “God forbid that I should glory, save in the cross of our Lord Jesus Christ, by whom the world is crucified unto me, and I unto the world.” Galatians 6:14. {COL 160.3}

ทุกย่างก้าวที่มุ่งหน้าต่อไปในประสบการณ์ชีวิตคริสเตียน การกลับใจจากบาปของเราจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระเจ้าตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงอภัยและยอมรับเป็นประชากรของพระองค์ว่า “แล้วพวกเจ้าจะระลึกถึงวิถีชั่วของเจ้าและการกระทำที่ไม่ดีของเจ้า แล้วเจ้าจะเกลียดตัวเอง” เอเสเคียล 36:31 และพระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระยาห์เวห์ เพื่อว่าเจ้าจะจำได้และมีความละอาย เจ้าจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะขายหน้า เมื่อเราลบมลทินบาปในทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำมาแล้ว พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ” เอเสเคียล 16:62, 63 และแล้วริมฝีปากของเราจะไม่เอ๋ยเพื่อยกชูตัวเองขึ้น เราจะทราบว่าความพอใจของเราอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น เราจะรับคำสารภาพของอัครสาวกเป็นคำสารภาพของเรา “ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย” โรม 7:18 “ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไรนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็ได้ตายจากโลก” กาลาเทีย 6:14 {COL 160.3}

In harmony with this experience is the command, “Work out your own salvation with fear and trembling. For it is God which worketh in you both to will and to do of His good pleasure.” Philippians 2:12, 13. God does not bid you fear that He will fail to fulfill His promises, that His patience will weary, or His compassion be found wanting. Fear lest your will shall not be held in subjection to Christ’s will, lest your hereditary and cultivated traits of character shall control your life. “It is God which worketh in you both to will and to do of His good pleasure.” Fear lest self shall interpose between your soul and the great Master Worker. Fear lest self-will shall mar the high purpose that through you God desires to accomplish. Fear to trust to your own strength, fear to withdraw your hand from the hand of Christ and attempt to walk life’s pathway without His abiding presence. {COL 161.1}

เพื่อให้สอดคล้องกับประสบการณ์นี้ คำบัญชาที่ให้มาก็คือ “ท่านจงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลายด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยพระองค์” ฟีลิปปี 2:12, 13 พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ท่านวิตกที่พระองค์จะไม่ทรงกระทำตามที่ทรงสัญญาไว้ หรือพระองค์จะทรงหมดความอดทน หรือพระองค์ขาดความเมตตา แต่จงกลัวว่าท่านไม่ยอมมอบตัวอยู่ใต้พระประสงค์ของพระคริสต์ หาไม่แล้วอุปนิสัยที่รับการถ่ายทอดมาหรือที่สั่งสมมาจะเข้าควบคุมชีวิตของท่าน “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” ฟีลิปปี 2:13 จงกลัวว่าท่านเองจะเป็นอุปสรรคในการขัดขวางระหว่างจิตวิญญาณของท่านและพระองค์ผู้เป็นนายงานยิ่งใหญ่ จงกลัวความปรารถนาของตัวเอง จะเป็นสิ่งทำลายพระประสงค์อันสูงส่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำผ่านตัวท่าน จงกลัวที่จะวางใจในพละกำลังของตนเอง จงกลัวเผื่อมือของท่านจะหลุดจากพระหัตถ์ของพระคริสต์และพยายามเดินไปตามทางแห่งชีวิตโดยไม่ยอมอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้า {COL 161.1}

We need to shun everything that would encourage pride and self-sufficiency; therefore we should beware of giving or receiving flattery or praise. It is Satan’s work to flatter. He deals in flattery as well as in accusing and condemnation. Thus he seeks to work the ruin of the soul. Those who give praise to men are used by Satan as his agents. Let the workers for Christ direct every word of praise away from themselves. Let self be put out of sight. Christ alone is to be exalted. “Unto Him that loved us, and washed us from our sins in His own blood,” let every eye be directed, and praise from every heart ascend. (Revelation 1:5.) {COL 161.2}

เราจะต้องหลีกให้ห่างไปจากทุกสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดความหยิ่งยโสและความทะนงตน ฉะนั้นเราจะต้องระมัดระวังการให้และการรับคำยกย่องหรือคำสรรเสริญ การยกย่องเป็นงานของซาตาน มารชอบยกยอ มันเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งการยกย่องและการใส่ร้าย ด้วยวิธีนี้มันจึงหาทางทำลายจิตวิญญาณ คนที่คอยสรรเสริญผู้อื่นจะถูกซาตานใช้ให้เป็นตัวแทนของมัน ขอให้ผู้รับใช้พระคริสต์ทุกคนปัดคำยกย่องสรรเสริญออกไปให้ไกลตัว จงอย่ามองดูแต่ตัวเอง พระคริสต์เท่านั้นที่สมควรได้รับการยกย่องเชิดชู “พระองค์ทรงรัก ทรงปลดปล่อยเราจากบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์” วิวรณ์ 1:5 {COL 161.2}

The life in which the fear of the Lord is cherished will not be a life of sadness and gloom. It is the absence of Christ that makes the countenance sad, and the life a pilgrimage of sighs. Those who are filled with self-esteem and self-love do not feel the need of a living, personal union with Christ. The heart that has not fallen on the Rock is proud of its wholeness. Men want a dignified religion. They desire to walk in a path wide enough to take in their own attributes. Their self-love, their love of popularity and love of praise, exclude the Saviour from their hearts, and without Him there is gloom and sadness. But Christ dwelling in the soul is a wellspring of joy. For all who receive Him, the very keynote of the word of God is rejoicing. {COL 162.1}

ชีวิตที่ยึดมั่นความยำเกรงพระเป็นเจ้าไว้จะไม่ใช่ชีวิตที่โศกเศร้าและมืดมน การขาดพระคริสต์ต่างหากที่ทำให้ใบหน้าเศร้าหมองและการดำเนินชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย ผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองและรักแต่ตัวเองจะไม่รู้สึกต้องการเข้าสนิทกับพระคริสต์ จิตใจที่ไม่ได้ตกลงบนพระศิลาจะหยิ่งเพราะความดีพร้อมของตนเอง มนุษย์ต้องการศาสนาที่ทำให้ดูสง่าผ่าเผย พวกเขาต้องการเดินอยู่บนทางที่กว้างพอที่เขาจะใช้ความคิดเห็นของเขาเอง การรักตนเอง รักชื่อเสียงและรักคำเยินยอ จะกีดกันพระผู้ช่วยออกจากจิตใจ และหากไม่มีพระองค์ก็จะมีแต่ความมืดมนและความเศร้าหมอง แต่เมื่อพระคริสต์สถิตในจิตใจแล้วก็จะกลายเป็นบ่อน้ำพุแห่งความชื่นชมยินดี สำหรับทุกคนที่ต้อนรับพระองค์ ถ้อยคำของพระเจ้าที่จะเปล่งออกมาเสมอคือคำว่าชื่นชมยินดี {COL 162.1}

“For thus saith the high and lofty One that inhabiteth eternity, whose name is Holy: I dwell in the high and holy place, with him also that is of a contrite and humble spirit, to revive the spirit of the humble, and to revive the heart of the contrite ones.” Isaiah 57:15. {COL 162.2}

“องค์ผู้สูงเด่นและสูงส่ง ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ทรงพระนามว่าบริสุทธิ์ ตรัสดังนี้ว่า เราดำรงอยู่ในที่สูงและบริสุทธิ์ และอยู่กับผู้สำนึกผิดและมีวิญญาณจิตที่ถ่อม เพื่อฟื้นฟูวิญญาณจิตของผู้ที่ถ่อมและฟื้นฟูใจของผู้สำนึกผิด” อิสยาห์ 57:15 {COL 162.2}

It was when Moses was hidden in the cleft of the rock that he beheld the glory of God. It is when we hide in the riven Rock that Christ will cover us with His own pierced hand, and we shall hear what the Lord saith unto His servants. To us as to Moses, God will reveal Himself as “merciful and gracious, long-suffering, and abundant in goodness and truth, keeping mercy for thousands, forgiving iniquity and transgression and sin.” Exodus 34:6, 7. {COL 162.3}

เมื่อโมเสสซ่อนตัวอยู่ในช่องศิลา เขาจึงเห็นพระสิริของพระเจ้า เมื่อเราซ่อนตัวอยู่ในพระศิลาแล้วพระคริสต์จะทรงปกปิดเราด้วยพระหัตถ์ที่ถูกแทงและเราจะได้ยินถ้อยคำที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ คือถ้อยคำที่ตรัสกับโมเสสว่า “พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงจนถึงพันๆ ชั่วอายุคน ผู้ประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป” อพยพ 34:6, 7 {COL 162.3}

ภารกิจแห่งการไถ่บาปรวมไปถึงผลที่มนุษย์จะเข้าใจได้ยากยิ่ง “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึงคือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์” 1โครินธ์ 2:9 ขณะที่อำนาจของพระคริสต์ดึงคนบาปให้เข้ามาใกล้ไม้กางเขนและคุกเข่าต่อพระองค์ เขาจะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ เขาจะได้รับจิตใจใหม่ เป็นผู้ที่สร้างใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องไปหาความบริสุทธิ์จากที่ไหนอีกแล้ว เพราะพระเจ้าเองทรงเป็นผู้ “ให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย” โรม 3:26 และ “ผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น พระองค์ก็ทรงให้มีศักดิ์ศรีด้วย” โรม 8:30 บาปที่นำมาซึ่งความอับอายและความตกต่ำจะมีมากมายเพียงใด แต่ความรักแห่งการช่วยให้รอดจะนำมาซึ่งเกียรติและการยกย่องเชิดชูมากยิ่งขึ้นเท่านั้น สำหรับบรรดาผู้ที่พยายามปฏิบัติตามพระฉายของพระเจ้า พระองค์จะประทานขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ ฤทธิ์อำนาจอันสูงส่งที่จะทำให้เขารับตำแหน่งที่สูงกว่าบรรดาทูตสวรรค์ที่ไม่เคยล้มลงในบาป {COL 162.4}

“Thus saith the Lord, the Redeemer of Israel, and His Holy One, to him whom man despiseth, to him whom the nation abhorreth, . . . Kings shall see and arise, princes also shall worship, because of the Lord that is faithful, and the Holy One of Israel, and He shall choose thee.” Isaiah 49:7. {COL 163.1}

“พระผู้ไถ่และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสกับผู้ถูกดูหมิ่นและถูกประชาชาติรังเกียจ ….. กษัตริย์ทั้งหลายจะมองดูแล้วจะยืนขึ้น และพวกเจ้านายจะกราบลงด้วยตัวเองเพราะเหตุพระยาห์เวห์ผู้สัตย์จริงองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลผู้ได้เลือกสรรเจ้า” อิสยาห์ 49:7 {COL 163.1}

“For every one that exalteth himself shall be abased; and he that humbleth himself shall be exalted.” {COL 163.2}

“เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น” ลูกา 18:14 {COL 163.2}