Chapter 12 (บทที่ 12)
“Asking to Give”
ขอเพื่อแบ่งปัน

Christ was continually receiving from the Father that He might communicate to us. “The word which ye hear,” He said, “is not Mine, but the Father’s which sent Me.” John 14:24. “The Son of man came not to be ministered unto, but to minister.” Matthew 20:28. Not for Himself, but for others, He lived and thought and prayed. From hours spent with God He came forth morning by morning, to bring the light of heaven to men. Daily He received a fresh baptism of the Holy Spirit. In the early hours of the new day the Lord awakened Him from His slumbers, and His soul and His lips were anointed with grace, that He might impart to others. His words were given Him fresh from the heavenly courts, words that He might speak in season to the weary and oppressed. “The Lord God hath given Me,” He said, “the tongue of the learned, that I should know how to speak a word in season to him that is weary: He wakeneth morning by morning, He wakeneth Mine ear to hear as the learned.” Isaiah 50:4. {COL 139.1}

พระคริสต์ทรงรับข่าวสารจากพระบิดาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพระองค์จะทรงส่งต่อให้พวกเรา พระองค์ตรัสว่า “คำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” ยอห์น 14:24 “บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น” มัทธิว 20:28 พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ทรงไตร่ตรองและทรงอธิษฐานไม่ใช่เพื่อพระองค์เองแต่เพื่อผู้อื่น พระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับพระบิดาหลายชั่วโมง เสด็จออกมาจากการอธิษฐานในตอนเช้าวันแล้ววันเล่าเพื่อนำแสงจากสวรรค์มาให้มนุษย์ พระองค์รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประจำทุกวัน ในช่วงเช้ามืดของวันใหม่พระยาห์เวห์ทรงปลุกพระองค์จากการบรรทม และจิตวิญญาณและริมฝีปากของพระองค์ได้รับการเจิมด้วยพระคุณเพื่อพระองค์จะนำไปแบ่งปันให้ผู้อื่น เป็นพระดำรัสที่ประทานมาใหม่จากพระบัลลังก์ของสวรรค์ เป็นคำตรัสที่พระองค์จะประทานให้ในเวลาที่เหมาะสมแก่ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและถูกกดขี่ พระองค์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์องค์เจ้านายประทานแก่ข้าพเจ้า ให้มีลิ้นของผู้ได้รับการสั่งสอน เพื่อข้าพเจ้าจะรู้จักการค้ำชูคือค้ำชูผู้อิดโรยด้วยถ้อยคำ ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก พระองค์ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังเหมือนอย่างคนได้รับการสั่งสอน” อิสยาห์ 50:4 {COL 139.1}

Christ’s disciples were much impressed by His prayers and by His habit of communion with God. One day after a short absence from their Lord, they found Him absorbed in supplication. Seeming unconscious of their presence, He continued praying aloud. The hearts of the disciples were deeply moved. As He ceased praying, they exclaimed, “Lord, teach us to pray.” {COL 140.1}

สาวกของพระคริสต์ต่างประทับใจในคำอธิษฐานและอากัปกิริยาของพระองค์ในการสนทนากับพระเจ้า วันหนึ่งหลังจากไม่ได้อยู่ร่วมกับพระอาจารย์ช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาพบพระองค์ในการอ้อนวอนอธิษฐานอย่างจริงจัง ดูเสมือนว่าพระองค์ไม่ทรงทราบว่าพวกเขาอยู่ใกล้ พระองค์ทรงอธิษฐานด้วยเสียงดัง สาวกทั้งหลายต่างพากันตื้นตันใจ ขณะที่พระองค์ทรงหยุดการอธิษฐานพวกเขาร้องอุทานขึ้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน” ลูกา 11:1 {COL 140.1}

In answer, Christ repeated the Lord’s prayer, as He had given it in the sermon on the mount. Then in a parable He illustrated the lesson He desired to teach them. {COL 140.2}

พระคริสต์ทรงตอบด้วยการตรัสอีกครั้งคำอธิษฐานของพระองค์ที่ตรัสไว้ในคำเทศนาบนภูเขา แล้วพระองค์ทรงอธิบายบทเรียนที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสอนด้วยอุปมา {COL 140.2}

“Which of you,” He said, “shall have a friend, and shall go unto him at midnight, and say unto him, Friend, lend me three loaves; for a friend of mine in his journey is come to me, and I have nothing to set before him? And he from within shall answer and say, Trouble me not; the door is now shut, and my children are with me in bed: I cannot rise and give thee. I say unto you, Though he will not rise and give him because he is his friend, yet because of his importunity he will rise and give him as many as he needeth.” {COL 140.3}

พระองค์ตรัสว่า “ใครในพวกท่านที่มีเพื่อนคนหนึ่ง และเขาไปหาเพื่อนคนนั้นในเวลาเที่ยงคืน พูดกับเขาว่า เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาถึงและข้าไม่มีอะไรจะให้เขากิน เพื่อนที่อยู่ข้างในจะตอบว่า อย่ารบกวนข้าเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับตัวข้าก็นอนกันหมดแล้ว ข้าไม่สามารถลุกขึ้นไปหยิบให้ท่านได้ เราบอกพวกท่านว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นไปหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าเพราะถูกคนนั้นรบเร้าอย่างมาก เขาก็จะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่คนนั้นต้องการ” ลูกา 11:5-8 {COL 140.3}

Here Christ represents the petitioner as asking that he may give again. He must obtain the bread, else he cannot supply the necessities of a weary, belated wayfarer. Though his neighbor is unwilling to be troubled, he will not desist his pleading; his friend must be relieved; and at last his importunity is rewarded, his wants are supplied. {COL 140.4}

ในที่นี้พระคริสต์ทรงแสดงให้เห็นว่าเป็นการขอเพื่อที่จะให้แก่คนอื่น เขาจะต้องได้ขนมปัง ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถสนองความต้องการของผู้เดินทางเหน็ดเหนื่อยที่มาในตอนดึก แม้ว่าเพื่อนบ้านไม่อยากให้รบกวนเขาก็ยังไม่เลิกขอความช่วยเหลือ เพื่อนของเขาจะต้องได้รับการดูแลและในที่สุดการวิงวอนของเขาก็ได้รับการตอบสนอง ความขัดสนได้รับการจุนเจือ {COL 140.4}

In like manner the disciples were to seek blessings from God. In the feeding of the multitude and in the sermon on the bread from heaven, Christ had opened to them their work as His representatives. They were to give the bread of life to the people. He who had appointed their work, saw how often their faith would be tried. Often they would be thrown into unexpected positions, and would realize their human insufficiency. Souls that were hungering for the bread of life would come to them, and they would feel themselves to be destitute and helpless. They must receive spiritual food, or they would have nothing to impart. But they were not to turn one soul away unfed. Christ directs them to the source of supply. The man whose friend came to him for entertainment, even at the unseasonable hour of midnight, did not turn him away. He had nothing to set before him, but he went to one who had food and pressed his request until the neighbor supplied his need. And would not God, who had sent His servants to feed the hungry, supply their need for His own work? {COL 140.5}

ในทำนองเดียวกัน สาวกทั้งหลายจะต้องแสวงหาพระพรจากพระเจ้า ในการเลี้ยงฝูงชนและในคำเทศนาเรื่องอาหารจากสวรรค์ พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้พวกเขาเห็นภาระของการเป็นตัวแทนของพระองค์ พวกเขาจะต้องนำอาหารแห่งชีวิตมาให้ประชาชน พระองค์ผู้ทรงกำหนดงานให้พวกเขาทำ ทรงเล็งเห็นว่าความเชื่อของพวกเขาจะได้รับการทดลองอยู่เสมอ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพที่ไม่คาดคิดอยู่บ่อยครั้ง และจะรู้สึกถึงสภาพของมนุษย์ที่มีความสามารถไม่เพียงพอ จิตวิญญาณทั้งหลายที่หิวกระหายอาหารแห่งชีวิตจะเข้ามาหาพวกเขาและพวกเขาจะรู้สึกขาดแคลนและหมดหนทาง พวกเขาจะต้องรับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณไม่เช่นนั้นจะไม่มีอะไรที่จะแบ่งปันได้ แต่คนเหล่านี้จะต้องไม่ปฏิเสธแม้จิตวิญญาณเพียงดวงเดียวให้ไปโดยที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดู พระคริสต์ทรงชี้แนะไปยังแหล่งของอาหาร ชายที่มีเพื่อนมาขอความช่วยเหลือก็ยังสนองตอบแม้ในยามเที่ยงคืนที่ไม่สะดวก เพื่อนคนนั้นไม่ได้หันหลังให้ เขาไม่มีสิ่งใดที่จะยกมาเลี้ยงดู แต่เขาก็ไปหาผู้ที่มีอาหารและรบเร้าขอจนเพื่อนบ้านให้ตามที่เขาต้องการ และพระเจ้าผู้ทรงส่งผู้รับใช้ให้ไปเลี้ยงผู้หิวโหยจะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งของให้ตามความต้องการสำหรับพระราชกิจของพระองค์เองหรือ {COL 140.5}

But the selfish neighbor in the parable does not represent the character of God. The lesson is drawn, not by comparison, but by contrast. A selfish man will grant an urgent request, in order to rid himself of one who disturbs his rest. But God delights to give. He is full of compassion, and He longs to grant the requests of those who come unto Him in faith. He gives to us that we may minister to others and thus become like Himself. {COL 141.1}

แต่เพื่อนบ้านที่เห็นแก่ตัวในอุปมาไม่ได้เป็นตัวอย่างพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า บทเรียนที่ได้มาไม่ใช่ด้วยการเปรียบเทียบถึงความคล้ายคลึงกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบถึงความแตกต่าง คนที่เห็นแก่ตัวจะตอบสนองการขออย่างรีบด่วน เพื่อตัวเองจะไม่ถูกรบกวนเวลาพักผ่อน แต่พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะประทานแก่เรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและทรงปรารถนาที่จะประทานให้ตามความต้องการของผู้ที่เข้าหาพระองค์ด้วยความเชื่อ พระองค์ประทานเพื่อเราจะช่วยเหลือผู้อื่นและให้เป็นเหมือนพระองค์ {COL 141.1}

Christ declares, “Ask, and it shall be given you; seek, and ye shall find; knock, and it shall be opened unto you. For every one that asketh receiveth; and he that seeketh findeth; and to him that knocketh it shall be opened.” {COL 141.2}

พระคริสต์ทรงประกาศว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา” ลูกา 11: 9,10 {COL 141.2}

The Saviour continues: “If a son shall ask bread of any of you that is a father, will he give him a stone? or if he ask a fish, will he for a fish give him a serpent? or if he shall ask an egg, will he offer him a scorpion? If ye then, being evil, know how to give good gifts unto your children, how much more shall your heavenly Father give the Holy Spirit to them that ask Him?” {COL 141.3}

พระผู้ช่วยให้รอดยังตรัสต่อไปว่า “มีใครบ้างในพวกท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอขนมปังจะเอาก้อนหินให้เขาหรือ หรือถ้าขอปลา จะเอางูให้เขาแทนหรือ หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์” ลูกา 11:11-13 {COL 141.3}

In order to strengthen our confidence in God, Christ teaches us to address Him by a new name, a name entwined with the dearest associations of the human heart. He gives us the privilege of calling the infinite God our Father. This name, spoken to Him and of Him, is a sign of our love and trust toward Him, and a pledge of His regard and relationship to us. Spoken when asking His favor or blessing, it is as music in His ears. That we might not think it presumption to call Him by this name, He has repeated it again and again. He desires us to become familiar with the appellation. {COL 141.4}

เพื่อเป็นการให้ความวางใจของเราในพระเจ้าเข้มแข็งยิ่งขึ้น พระคริสต์ทรงสอนให้เราทูลเรียกพระองค์ด้วยพระนามใหม่ ซึ่งเป็นนามที่เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับจิตใจมนุษย์ พระองค์ประทานให้เรามีโอกาสเรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ว่าเป็นพระบิดาของเรา พระนามนี้มีไว้เพื่อทูลต่อพระองค์และเป็นคำปฏิญาณของพระองค์ว่าจะทรงดูแลและมีความสัมพันธ์กับเรา คำทูลขอเพื่อการทรงช่วยเหลือและคำทูลขอพระพรจะเป็นเช่นเสียงดนตรีในพระกรรณของพระองค์ เพื่อไม่ให้เราสมมติว่าเป็นการเรียกไปอย่างนั้นเอง ที่เรียกพระองค์ด้วยพระนามนี้พระองค์ทรงย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าให้ทูลเรียกพระองค์ด้วยพระนามนี้ พระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้เราคุ้นเคยกับพระสมัญญานามของพระองค์ {COL 141.4}

God regards us as His children. He has redeemed us out of the careless world and has chosen us to become members of the royal family, sons and daughters of the heavenly King. He invites us to trust in Him with a trust deeper and stronger than that of a child in his earthly father. Parents love their children, but the love of God is larger, broader, deeper, than human love can possibly be. It is immeasurable. Then if earthly parents know how to give good gifts to their children, how much more shall our Father in heaven give the Holy Spirit to those who ask Him? {COL 142.1}

พระเจ้าทรงถือว่าเราเป็นบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงไถ่เราจากโลกที่ไม่ใยดีนี้และทรงเลือกเราให้เป็นสมาชิกของครอบครัวราชวงศ์ เป็นราชบุตรและราชธิดาของพระมหากษัตริย์แห่งสวรรค์ พระองค์ทรงเชิญให้เราวางใจในพระองค์ ด้วยความวางใจอันแนบแน่น และมั่งคงมากกว่าความเชื่อของเด็กที่มีต่อคุณพ่อในโลก พ่อแม่รักลูกๆ แต่ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กว้างขวางกว่า ลึกซึ้งกว่ารักของมนุษย์ที่มีอยู่ เป็นความรักที่วัดกันไม่ได้ ดังนั้นหากพ่อแม่ในโลกยังรู้จักให้ของดีแก่ลูกๆ ได้ พระบิดาของเราในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ทูลขอสักเท่าไร {COL 142.1}

Christ’s lessons in regard to prayer should be carefully considered. There is a divine science in prayer, and His illustration brings to view principles that all need to understand. He shows what is the true spirit of prayer, He teaches the necessity of perseverance in presenting our requests to God, and assures us of His willingness to hear and answer prayer. {COL 142.2}

เราต้องเอาใจใส่บทเรียนของพระคริสต์ในเรื่องของการอธิษฐาน ในคำอธิษฐานมีศาสตร์แห่งพระเจ้า และคำอธิบายของพระองค์แสดงให้เห็นถึงหลักการที่ทุกคนจะต้องเข้าใจ พระองค์แสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นวิญญาณที่แท้จริงของการอธิษฐาน พระองค์ทรงสอนถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความอดทนในการเสนอความต้องการของเราต่อพระเจ้า และประทานความมั่นใจแก่เราว่าพระองค์ทรงพร้อมที่จะฟังและตอบคำอธิษฐาน {COL 142.2}

Our prayers are not to be a selfish asking, merely for our own benefit. We are to ask that we may give. The principle of Christ’s life must be the principle of our lives. “For their sakes,” He said, speaking of His disciples, “I sanctify Myself, that they also might be sanctified.” John 17:19. The same devotion, the same self-sacrifice, the same subjection to the claims of the word of God, that were manifest in Christ, must be seen in His servants. Our mission to the world is not to serve or please ourselves; we are to glorify God by co-operating with Him to save sinners. We are to ask blessings from God that we may communicate to others. The capacity for receiving is preserved only by imparting. We cannot continue to receive heavenly treasure without communicating to those around us. {COL 142.3}

คำอธิษฐานของเรานั้นไม่ควรเป็นการขออย่างเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง เราควรที่จะขอเพื่อแบ่งปัน หลักการของพระคริสต์จะต้องเป็นหลักการของชีวิตเรา พระองค์ตรัสถึงสาวกทั้งหลายว่า “ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง” ยอห์น 17:19 การอุทิศตัวแบบเดียวกัน ความเสียสละแบบเดียวกัน การยอมอยู่ภายใต้อำนาจพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยในองค์พระคริสต์แบบเดียวกันจะต้องแสดงออกในชีวิตผู้รับใช้ของพระองค์ หน้าที่ของเราที่มีต่อโลกไม่ใช่เพื่อที่จะปรนนิบัติหรือตามใจตนเอง เราจะต้องถวายเกียรติยศให้พระเจ้าด้วยการร่วมมือกับพระองค์เพื่อช่วยคนบาป เราจะต้องขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อเราจะส่งต่อให้ผู้อื่น ปริมาณของที่เราจะรับได้นั้นจะถนอมรักษาไว้ได้ด้วยการแบ่งปัน เราคงรับขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ไปอย่างต่อเนื่องไม่ได้หากปราศการการแบ่งปันต่อให้กับผู้อื่นที่อยู่รอบตัวเรา {COL 142.3}

In the parable the petitioner was again and again repulsed, but he did not relinquish his purpose. So our prayers do not always seem to receive an immediate answer; but Christ teaches that we should not cease to pray. Prayer is not to work any change in God; it is to bring us into harmony with God. When we make request of Him, He may see that it is necessary for us to search our hearts and repent of sin. Therefore He takes us through test and trial, He brings us through humiliation, that we may see what hinders the working of His Holy Spirit through us. {COL 143.1}

ในอุปมา ผู้ขอถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาไม่ได้ละทิ้งความตั้งใจของเขา ดังนั้นคำอธิษฐานของเราก็ดูเหมือนว่าไม่ได้รับคำตอบทันทีทุกครั้ง แต่พระคริสต์ทรงสอนว่าเราไม่ควรหยุดอธิษฐาน คำอธิษฐานไม่ใช่มีไว้เพื่อที่จะเปลี่ยนพระเจ้า แต่เป็นการนำเราให้เข้าสนิทกับพระองค์ เมื่อเราทูลขอ พระองค์ก็อาจทรงเห็นว่าเป็นการสมควรที่เราต้องสำรวจใจเราและหันจากบาป ดังนั้นพระองค์จึงทรงนำเราผ่านการทดลองและการทดสอบ พระองค์ทรงนำเราผ่านสถานการณ์การถ่อมตนเพื่อเราจะเห็นว่าสิ่งใดขัดขวางการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา {COL 143.1}

There are conditions to the fulfillment of God’s promises, and prayer can never take the place of duty. “If ye love Me,” Christ says, “Keep My commandments.” “He that hath My commandments, and keepeth them, he it is that loveth Me; and he that loveth Me shall be loved of My Father, and I will love him, and will manifest Myself to him.” John 14:15, 21. Those who bring their petitions to God, claiming His promise while they do not comply with the conditions, insult Jehovah. They bring the name of Christ as their authority for the fulfillment of the promise, but they do not those things that would show faith in Christ and love for Him. {COL 143.2}

การทำให้พระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จนั้นจะต้องมีเงื่อนไข และการอธิษฐานเข้าแทนหน้าที่การงานไม่ได้ พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” “ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” ยอห์น 14:15, 21 ผู้ใดทูลเสนอความต้องการกับพระเจ้าโดยยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ในขณะที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระองค์นั้นดูหมิ่นพระยาห์เวห์ พวกเขานำพระนามของพระคริสต์มาเป็นอำนาจเพื่อให้เป็นไปตามพระสัญญา แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่มีในพระคริสต์และในความรักพระองค์ {COL 143.2}

Many are forfeiting the condition of acceptance with the Father. We need to examine closely the deed of trust wherewith we approach God. If we are disobedient, we bring to the Lord a note to be cashed when we have not fulfilled the conditions that would make it payable to us. We present to God His promises, and ask Him to fulfill them, when by so doing He would dishonor His own name. {COL 143.3}

มีคนเป็นจำนวนมากอยู่ในสภาพสูญเสียการยอมรับในพระบิดา เราจำเป็นต้องพิจารณาอย่างใกล้ชิดถึงการกระทำแห่งการวางใจในการเข้าเฝ้าพระเจ้า หากเราไม่เชื่อฟังก็เหมือนกับเป็นการเอาตั๋วแลกเงินมายังพระเป็นเจ้าเพื่อขอแลกเงิน ขณะที่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่จะให้ตั๋วแลกเงินนั้นใช้จ่ายแทนเงินได้ เราเสนอพระเจ้าด้วยพระสัญญาของพระองค์ และขอให้พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จ การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าพระองค์ทรงทำลายพระนามของพระองค์เอง {COL 143.3}

The promise is “If ye abide in Me, and My words abide in you, ye shall ask what ye will, and it shall be done unto you.” John 15:7. And John declares: “Hereby we do know that we know Him, if we keep His commandments. He that saith, I know Him, and keepeth not His commandments, is a liar, and the truth is not in him. But whoso keepeth His word, in him verily is the love of God perfected.” 1 John 2:3-5. {COL 144.1}

พระสัญญามีอยู่ว่า “ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น” ยอห์น 15:7 และยอห์นเปิดเผยว่า “ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์ ผู้ที่กล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง” 1 ยอห์น 2:3-5 {COL 144.1}

One of Christ’s last commands to His disciples was “Love one another as I have loved you.” John 13:34. Do we obey this command, or are we indulging sharp, unchristlike traits of character? If we have in any way grieved or wounded others, it is our duty to confess our fault and seek for reconciliation. This is an essential preparation that we may come before God in faith, to ask His blessing. {COL 144.2}

หนึ่งในพระบัญชาสุดท้ายของพระคริสต์ที่มีต่อสาวกของพระองค์คือ “เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” ยอห์น 13:34 เราปฏิบัติตามพระบัญชานี้หรือไม่ หรือว่าเราตามใจตนเองให้มีลักษณะนิสัยของความฉุนเฉียวและไม่เหมือนพระคริสต์ ถ้าเราทำให้ผู้ใดผู้หนึ่งเศร้าหรือเสียใจเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสารภาพความผิดของเรา และขอการคืนดี นี่เป็นการเตรียมตัวที่สำคัญที่จะนำไปสู่พระเจ้าด้วยความเชื่อเพื่อขอพระพรของพระองค์ {COL 144.2}

There is another matter too often neglected by those who seek the Lord in prayer. Have you been honest with God? By the prophet Malachi the Lord declares, “Even from the days of your fathers ye are gone away from Mine ordinances, and have not kept them. Return unto Me, and I will return unto you, saith the Lord of hosts. But ye said, Wherein shall we return? Will a man rob God? Yet ye have robbed Me. But ye say, Wherein have we robbed Thee? In tithes and offerings.” Malachi 3:7, 8. {COL 144.3}

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ที่แสวงหาพระเป็นเจ้าโดยการอธิษฐานละเลยบ่อยๆ ท่านซื่อตรงต่อพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าทรงประกาศผ่านผู้เผยพระวจนะมาลาคีว่า “เจ้าได้หันเหไปเสียจากกฎเกณฑ์ของเราและไม่ได้รักษาไว้ ตั้งแต่ครั้งสมัยบรรพบุรุษของเจ้า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เจ้าจงกลับมาหาเราและเราจะกลับมาหาเจ้าทั้งหลาย แต่เจ้ากล่าวว่าเราทั้งหลายจะทำอย่างไรถึงจะกลับมา มนุษย์จะฉ้อโกงพระเจ้าหรือ ที่จริงเจ้าทั้งหลายได้ฉ้อโกงเรา แต่เจ้ากล่าว่า พวกเราฉ้อโกงพระเจ้าอย่างไร ก็ฉ้อโกงในเรื่องทศางค์และเครื่องบูชานั่นซิ” มาลาคี 3:7, 8 {COL 144.3}

As the Giver of every blessing, God claims a certain portion of all we possess. This is His provision to sustain the preaching of the gospel. And by making this return to God, we are to show our appreciation of His gifts. But if we withhold from Him that which is His own, how can we claim His blessing? If we are unfaithful stewards of earthly things, how can we expect Him to entrust us with the things of heaven? It may be that here is the secret of unanswered prayer. {COL 144.4}

ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ประทานพระพรทุกอย่าง พระเจ้าทรงอ้างสิทธิส่วนหนึ่งในทุกสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ นี่เป็นข้อกำหนดของพระองค์เพื่อการสนับสนุนการเผยแพร่ข่าวประเสริฐ และโดยการนำส่วนนี้คืนพระเจ้าเป็นการแสดงออกถึงความซาบซึ้งในของประทานของพระองค์ แต่ถ้าหากเราไม่ยอมถวายพระองค์ในส่วนซึ่งเป็นของพระองค์ เราจะอ้างพระพรของพระองค์ได้อย่างไร หากเราเป็นผู้ดูแลสมบัติฝ่ายโลกที่ไม่ซื่อสัตย์ เราจะหวังคอยให้พระเจ้าวางใจเราด้วยสิ่งของฝ่ายสวรรค์ได้อย่างไร นี่อาจเป็นเคล็ดลับของคำอธิษฐานที่ไม่ได้รับคำตอบก็ได้ {COL 144.4}

But the Lord in His great mercy is ready to forgive, and He says, “Bring ye all the tithes into the storehouse, that there may be meat in Mine house, and prove Me now herewith, . . . if I will not open you the windows of heaven, and pour you out a blessing, that there shall not be room enough to receive it. And I will rebuke the devourer for your sakes, and he shall not destroy the fruits of your ground; neither shall your vine cast her fruit before the time in the field. . . . And all nations shall call you blessed; for ye shall be a delightsome land, saith the Lord of hosts.” Malachi 3:10-12. {COL 144.5}

แต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตายิ่งใหญ่ ทรงพร้อมที่จะให้อภัย และพระองค์ตรัสว่า “จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลังเพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ว่าเราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่ เราจะขจัดพวกตั๊กแตนให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในสวนของเจ้าจะไม่ร่วง…..แล้วประชาชาติทั้งสิ้นจะเรียกเจ้าว่า ผู้ที่ได้รับพระพร เพราะว่าแผ่นดินของเจ้าจะเป็นแผ่นดินที่น่าพึงใจ พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ” มาลาคี 3:10-12 {COL 144.5}

So it is with every other one of God’s requirements. All His gifts are promised on condition of obedience. God has a heaven full of blessings for those who will co-operate with Him. All who obey Him may with confidence claim the fulfillment of His promises. {COL 145.1}

ข้อกำหนดอื่นๆ ทุกข้อของพระเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ของประทานทั้งหมดของพระองค์ทรงโปรดสัญญาให้ภายใต้เงื่อนไขของการเชื่อฟัง พระองค์ทรงมีพระพรอยู่เต็มสวรรค์สำหรับผู้ที่จะร่วมมือกับพระองค์ ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์จะมั่นใจในการอ้างสิทธิเพื่อให้พระสัญญานั้นสำเร็จ {COL 145.1}

But we must show a firm, undeviating trust in God. Often He delays to answer us in order to try our faith or test the genuineness of our desire. Having asked according to His word, we should believe His promise and press our petitions with a determination that will not be denied. {COL 145.2}

แต่เราจะต้องแสดงออกถึงความไว้วางใจที่มั่นคงและไม่หันเหไปจากพระเจ้า บ่อยครั้งพระองค์ทรงตอบล่าช้าเพื่อทดสอบความเชื่อของเรา หรือเพื่อทดสอบความจริงใจในความต้องการของเรา เมื่อเราทูลขอไปตามพระธรรมของพระเจ้าเราก็ควรเชื่อในพระสัญญาและย้ำการทูลขอของเราด้วยความตั้งใจเพื่อให้คำทูลขอไม่ได้รับการปฏิเสธ {COL 145.2}

God does not say, Ask once, and you shall receive. He bids us ask. Unwearyingly persist in prayer. The persistent asking brings the petitioner into a more earnest attitude, and gives him an increased desire to receive the things for which he asks. Christ said to Martha at the grave of Lazarus, “If thou wouldest believe, thou shouldest see the glory of God.” John 11:40. {COL 145.3}

พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่าจงขอหนึ่งครั้งแล้วเจ้าจะได้ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เราขอ จงอธิษฐานโดยไม่ย่อท้อ ความเพียรพยายามในการทูลขอจะทำให้ผู้ขอมีท่าทีของการตั้งใจมากขึ้น และทำให้เขาต้องการที่จะรับสิ่งที่ขอมากยิ่งขึ้น พระคริสต์ตรัสกับมารธาที่ข้างอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสว่า “ ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” ยอห์น 11:40 {COL 145.3}

But many have not a living faith. This is why they do not see more of the power of God. Their weakness is the result of their unbelief. They have more faith in their own working than in the working of God for them. They take themselves into their own keeping. They plan and devise, but pray little, and have little real trust in God. They think they have faith, but it is only the impulse of the moment. Failing to realize their own need, or God’s willingness to give, they do not persevere in keeping their requests before the Lord. {COL 145.4}

แต่คนเป็นจำนวนมากไม่มีความเชื่อที่มีชีวิต นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้เห็นอำนาจของพระเจ้าได้มากกว่านี้ ความอ่อนแอของเขาเป็นเนื่องมาจากความไม่เชื่อของเขา เขามีความเชื่อในการกระทำของตนเองมากกว่าการปฏิบัติของพระเจ้าที่มีต่อเขา เขาจัดการกับการงานของเขาเอง เขาวางแผนและออกแบบ แต่อธิษฐานน้อยและมีความวางใจอย่างจริงจังในพระเจ้าน้อย เขาคิดว่าตนเองมีความเชื่อแต่เป็นเพียงแรงกระตุ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเขามองไม่เห็นความต้องการของตนเอง หรือความเต็มพระทัยของพระเจ้าในการประทานให้จึงไม่อดทนในการเสนอความต้องการต่อพระพักตร์พระเป็นเจ้า {COL 145.4}

Our prayers are to be as earnest and persistent as was the petition of the needy friend who asked for the loaves at midnight. The more earnestly and steadfastly we ask, the closer will be our spiritual union with Christ. We shall receive increased blessings because we have increased faith. {COL 146.1}

คำอธิษฐานของเราจะต้องจริงใจและทูลขอด้วยความเพียร ดังเช่นคำร้องขอของเพื่อนที่ตกอยู่ในความต้องการ ผู้ร้องขอขนมปังในยามเที่ยงคืน เมื่อเรายิ่งขอด้วยความจริงใจและความแน่วแน่เพียงไร เราก็จะใกล้ชิดกับพระคริสต์ในทางฝ่ายวิญญาณจิตได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เราจะได้รับพระพรเพิ่มขึ้นเพราะเรามีความเชื่อเพิ่มขึ้น {COL 146.1}

Our part is to pray and believe. Watch unto prayer. Watch, and co-operate with the prayer-hearing God. Bear in mind that “we are labourers together with God.” 1 Corinthians 3:9. Speak and act in harmony with your prayers. It will make an infinite difference with you whether trial shall prove your faith to be genuine, or show that your prayers are only a form. {COL 146.2}

หน้าที่ของเราคืออธิษฐานและเชื่อ จงเฝ้าอธิษฐาน เฝ้าและร่วมมือกับพระเจ้าผู้สดับฟังคำอธิษฐาน จงจำไว้เสมอว่า “เราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า” 1โครินธ์ 3:9 จงพูดและทำให้สอดคล้องกับคำอธิษฐานของท่าน จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างเด่นชัดว่าการทดลองจะพิสูจน์ว่า ความเชื่อของท่านนั้นเป็นความเชื่อที่แท้จริง หรือแสดงว่าคำอธิษฐานของท่านเป็นเพียงแต่เป็นพิธีการเท่านั้นเอง {COL 146.2}

When perplexities arise, and difficulties confront you, look not for help to humanity. Trust all with God. The practice of telling our difficulties to others only makes us weak, and brings no strength to them. It lays upon them the burden of our spiritual infirmities, which they cannot relieve. We seek the strength of erring, finite man, when we might have the strength of the unerring, infinite God. {COL 146.3}

เมื่อความสับสนเกิดขึ้น และความทุกข์ยากอยู่ต่อหน้าท่าน จงอย่ามองหาความช่วยเหลือจากมนุษย์ จงไว้วางใจในพระเจ้าในทุกสิ่ง การใช้วิธีบอกเล่าความทุกข์ยากของเราแก่ผู้อื่นจะเป็นเพียงทำให้เราอ่อนแอและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้มแข็ง มีแต่จะเป็นการเพิ่มภาระความทุกข์ยากทางฝ่ายจิตวิญญาณของเราให้กับพวกเขาซึ่งเป็นภาระที่พวกเขาแก้ไขอะไรให้เราไม่ได้ เรามองหากำลังของมนุษย์ที่มีขีดจำกัดและทำผิดพลาดเสมอแทนที่จะขอกำลังเข้มแข็งจากพระเจ้าผู้ไม่เคยพลาดและไม่มีขอบขีดจำกัด {COL 146.3}

You need not go to the ends of the earth for wisdom, for God is near. It is not the capabilities you now possess or ever will have that will give you success. It is that which the Lord can do for you. We need to have far less confidence in what man can do and far more confidence in what God can do for every believing soul. He longs to have you reach after Him by faith. He longs to have you expect great things from Him. He longs to give you understanding in temporal as well as in spiritual matters. He can sharpen the intellect. He can give tact and skill. Put your talents into the work, ask God for wisdom, and it will be given you. {COL 146.4}

ท่านไม่จำเป็นต้องไปถึงที่สุดปลายของแผ่นดินโลกเพื่อแสวงหาสติปัญญา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ใกล้ การที่ท่านประสพความสำเร็จได้นั้นไม่ใช่เพราะความสามารถทั้งหลายที่ท่านมีอยู่หรือที่จะได้มา แต่เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงประกอบกิจให้ท่านต่างหาก เราควรวางใจในสิ่งที่มนุษย์กระทำให้น้อยลงและพึ่งพิงพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงสามารถทำเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงที่เชื่อให้มากยิ่งขึ้น พระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านเข้ามาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ พระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านคาดหวังสิ่งยิ่งใหญ่จากพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะประทานความเข้าใจในเรื่องของทั้งทางฝ่ายโลกและทางฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่ท่าน พระองค์ทรงกระทำให้สติปัญญาของท่านเฉียบแหลมได้ พระองค์ประทานไหวพริบและทักษะได้ จงนำตะลันต์ของท่านลงไปสู่การปฏิบัติ จงทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้าแล้วพระองค์จะประทานให้แก่ท่าน {COL 146.4}

Take the word of Christ as your assurance. Has He not invited you to come unto Him? Never allow yourself to talk in a hopeless, discouraged way. If you do you will lose much. By looking at appearances and complaining when difficulties and pressure come, you give evidence of a sickly, enfeebled faith. Talk and act as if your faith was invincible. The Lord is rich in resources; He owns the world. Look heavenward in faith. Look to Him who has light and power and efficiency. {COL 146.5}

จงยึดพระวจนะของพระคริสต์เป็นหลักประกันของท่าน พระองค์ไม่ได้ทรงเชื้อเชิญท่านให้มาหาพระองค์หรอกหรือ จงอย่าปล่อยให้ตัวเองพูดแต่เรื่องความสิ้นหวังและผิดหวัง หากท่านทำเช่นนี้ท่านจะสูญเสียมาก ด้วยการมองแต่ภายนอกและบ่นเมื่อความทุกข์ยากและความกดดันมาถึง ท่านกำลังแสดงถึงความเชื่อที่ขี้โรคและอ่อนกำลัง จงพูดและปฏิบัติเสมือนหนึ่งว่าความเชื่อของท่านนั้นไม่อาจถูกทำลายได้ พระยาห์เวห์ทรงบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของโลกนี้ จงมองขึ้นไปยังสวรรค์เบื้องบนด้วยความเชื่อ มองไปที่พระองค์ผู้ทรงมีแสงสว่างและฤทธิ์อำนาจและทรงพละกำลังอันเข้มแข็ง {COL 146.5}

There is in genuine faith a buoyancy, a steadfastness of principle, and a fixedness of purpose that neither time nor toil can weaken. “Even the youths shall faint and be weary, and the young men shall utterly fall: but they that wait upon the Lord shall renew their strength; they shall mount up with wings as eagles; they shall run, and not be weary; and they shall walk, and not faint.” Isaiah 40:30, 31. {COL 147.1}

ในความเชื่อที่แท้จริงจะมีความร่าเริง มีหลักการที่มั่นคงและความมุ่งหมายที่แน่นอนที่แม้เวลาหรือความเหนื่อยยากก็ไม่อาจที่จะทำให้อ่อนแอลงได้ “แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรีย์ เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย” อิสยาห์ 40:30-31 {COL 147.1}

There are many who long to help others, but they feel that they have no spiritual strength or light to impart. Let them present their petitions at the throne of grace. Plead for the Holy Spirit. God stands back of every promise He has made. With your Bible in your hands say, I have done as Thou hast said. I present Thy promise, “Ask, and it shall be given you; seek, and ye shall find; knock, and it shall be opened unto you.” {COL 147.2}

ยังมีคนอีกจำนวนมากที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือผู้อื่น แต่เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีกำลังหรือแสงสว่างทางฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อแบ่งปัน จงให้เขาเหล่านั้นทูลขอความต้องการไปยังพระที่นั่งแห่งพระคุณ จงร้องขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังคำสัญญาทุกคำที่ตรัสไว้ จงถือพระคัมภีร์ไว้ในมือของท่านและกล่าวว่า ข้าพระองค์ได้กระทำตามที่พระองค์ตรัสไว้แล้ว ข้าพระองค์ขอนำพระสัญญามาทูลต่อพระองค์ “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” ลูกา 11:9 {COL 147.2}

We must not only pray in Christ’s name, but by the inspiration of the Holy Spirit. This explains what is meant when it is said that the Spirit “maketh intercession for us, with groanings which cannot be uttered.” Romans 8:26. Such prayer God delights to answer. When with earnestness and intensity we breathe a prayer in the name of Christ, there is in that very intensity a pledge from God that He is about to answer our prayer “exceeding abundantly above all that we ask or think.” Ephesians 3:20. {COL 147.3}

เราไม่ควรอธิษฐานในพระนามของพระคริสต์เท่านั้น แต่โดยการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย เรื่องนี้อธิบายความหมายซึ่งตรัสไว้โดยพระวิญญาณที่กล่าวว่า “พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ” โรม 8:26 คำอธิษฐานเช่นนี้พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะตอบ เมื่อเราอ้าปากอธิษฐานในนามของพระคริสต์ด้วยความจริงใจและร้อนรนพระเจ้าทรงพร้อมที่จะตอบคำอธิษฐานของเราตามพระสัญญาของพระองค์ “มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด” เอเฟซัส 3:20 {COL 147.3}

Christ has said, “What things soever ye desire, when ye pray, believe that ye receive them, and ye shall have them.” Mark 11:24. “Whatsoever ye shall ask in My name, that will I do, that the Father may be glorified in the Son.” John 14:13. And the beloved John, under the inspiration of the Holy Spirit, speaks with great plainness and assurance: “If we ask anything according to His will, He heareth us: and if we know that He hear us, whatsoever we ask, we know that we have the petitions that we desired of Him.” 1 John 5:14, 15. Then press your petition to the Father in the name of Jesus. God will honor that name. {COL 147.4}

พระคริสต์ตรัสว่า “เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น” มาระโก 11:24 “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร” ยอห์น 14:13 และยอห์นสาวกผู้เป็นที่รักได้พูดไว้อย่างชัดเจนและเป็นหลักประกันภายใต้การดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “ถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟัง เมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์” 1 ยอห์น 5:14, 15 ฉะนั้นจงเร่งเร้าคำขอของท่านในนามของพระเยซูไปยังพระบิดา พระเจ้าจะประทานเกียรติให้แก่พระนามนั้น {COL 147.4}

The rainbow round about the throne is an assurance that God is true, that in Him is no variableness, neither shadow of turning. We have sinned against Him, and are undeserving of His favor; yet He Himself has put into our lips that most wonderful of pleas, “Do not abhor us, for Thy name’s sake; do not disgrace the throne of Thy glory; remember, break not Thy covenant with us.” Jeremiah 14:21. When we come to him confessing our unworthiness and sin, He has pledged Himself to give heed to our cry. The honor of His throne is staked for the fulfillment of His word unto us. {COL 148.1}

รุ้งที่อยู่ล้อมรอบพระที่นั่งนั้นเป็นหลักประกันว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ในพระองค์ไม่มีความผันแปรหรือเงาแห่งการหันเหไป เราทั้งหลายกระทำผิดต่อพระองค์และไม่สมควรที่จะได้รับความชอบพระทัยของพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังประทานคำทูลขอที่อัศจรรย์ที่สุดแก่ริมฝีปากของพวกเขา “เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขออย่าทรงเกลียดพวกข้าพระองค์ ขออย่าให้พระที่นั่งรุ่งเรืองของพระองค์ต้องเสื่อมเสีย ขอทรงระลึกและอย่าทรงหักพันธสัญญาของพระองค์ซึ่งมีไว้กับข้าพระองค์” เยเรมีย์ 14:21 เมื่อเรามาเข้าเฝ้าพระองค์ สารภาพความไม่เหมาะสมและบาปของเรา พระองค์ก็ทรงสัญญาว่าจะทรงสดับคำทูลขอของเรา พระเกียรติแห่งพระที่นั่งของพระองค์เป็นเดิมพันถ้อยคำของพระองค์ว่าจะสำเร็จตามที่ประทานไว้แก่เรา {COL 148.1}

Like Aaron, who symbolized Christ, our Saviour bears the names of all His people on His heart in the holy place. Our great High Priest remembers all the words by which He has encouraged us to trust. He is ever mindful of His covenant. {COL 148.2}

ดั่งอาโรนผู้เป็นสัญลักษณ์แทนพระคริสต์ พระผู้ช่วยของเราทรงแบกชื่อของประชากรทั้งหมดของพระองค์แนบอยู่แทบพระอุระในวิสุทธิสถาน มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ของเราทรงระลึกถึงคำที่ตรัสไว้ทั้งหมดที่พระองค์ประทานให้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เราวางใจในพระองค์ พระองค์ทรงเอาใจใส่ต่อพระสัญญาของพระองค์เสมอ {COL 148.2}

All who seek of Him shall find. All who knock will have the door opened to them. The excuse will not be made, Trouble Me not; the door is closed; I do not wish to open it. Never will one be told, I cannot help you. Those who beg at midnight for loaves to feed the hungry souls will be successful. {COL 148.3}

ทุกคนที่แสวงหาพระองค์จะได้พบ ทุกคนที่เคาะจะพบว่าประตูเปิดออกให้แก่เขา จะไม่มีคำแก้ตัวว่าอย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ฉันไม่อยากจะเปิดให้ จะไม่มีผู้ใดได้ยินว่า ฉันไม่อาจช่วยเจ้าได้ ผู้ที่ขอในเวลาเที่ยงคืนเพื่อขนมปังที่จะเลี้ยงจิตวิญญาณที่หิวกระหายจะได้พบกับความสำเร็จ {COL 148.3}

In the parable, he who asks bread for the stranger, receives “as many as he needeth.” And in what measure will God impart to us that we may impart to others? “According to the measure of the gift of Christ.” Ephesians 4:7. Angels are watching with intense interest to see how man is dealing with his fellow men. When they see one manifest Christlike sympathy for the erring, they press to his side and bring to his remembrance words to speak that will be as the bread of life to the soul. So “God shall supply all your need according to His riches in glory by Christ Jesus.” Philippians 4:19. Your testimony in its genuineness and reality He will make powerful in the power of the life to come. The word of the Lord will be in your mouth as truth and righteousness. {COL 148.4}

ในอุปมา ผู้ที่ขอขนมปังเพื่อแขกแปลกหน้าได้รับ “ตามที่คนนั้นต้องการ” ลูกา 11:8 และพระเจ้าจะประทานให้เราขนาดไหนเพื่อที่เราจะได้แบ่งปันให้ผู้อื่น “ตามขนาดที่พระคริสต์ประทาน” เอเฟซัส 4:7 ทูตสวรรค์กำลังมองด้วยความสนใจอย่างยิ่งเพื่อดูว่ามนุษย์จะปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไร เมื่อทูตสวรรค์เห็นผู้หนึ่งแสดงความเห็นใจอย่างพระคริสต์เพื่อผู้หลงผิด ทูตสวรรค์จะเร่งเข้าหา และช่วยให้เขาจดจำคำพูดที่จะเป็นเสมือนหนึ่งอาหารแห่งชีวิตแก่จิตวิญญาณ ดังนั้นพระเจ้า “จะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” ฟีลิปปี 4:19 พระองค์จะทรงทำให้คำพยานที่แท้จริงจากใจจริงของท่านเป็นกำลังที่มีอำนาจยิ่งขึ้นให้แก่ชีวิตที่จะมาถึง พระธรรมของพระเจ้าจะอยู่ในปากของท่านเป็นดั่งเช่นความจริงและความชอบธรรม {COL 148.4}

Personal effort for others should be preceded by much secret prayer; for it requires great wisdom to understand the science of saving souls. Before communicating with men, commune with Christ. At the throne of heavenly grace obtain a preparation for ministering to the people. {COL 149.1}

การอธิษฐานในที่ลับลี้ให้มากจะต้องมาก่อนการประกาศให้ผู้อื่นเป็นการส่วนตัว เพราะศาสตร์แห่งการช่วยคนอื่นให้รอดต้องใช้ปัญญาอย่างมากยิ่งเพื่อจะเข้าใจได้ ก่อนที่จะสื่อสารกับมนุษย์ ให้สนทนากับพระคริสต์ ตรงพระที่นั่งแห่งพระคุณของพระเจ้า ให้รับการเตรียมตัวก่อนออกไปรับใช้ประชาชน {COL 149.1}

Let your heart break for the longing it has for God, for the living God. The life of Christ has shown what humanity can do by being partaker of the divine nature. All that Christ received from God we too may have. Then ask and receive. With the persevering faith of Jacob, with the unyielding persistence of Elijah, claim for yourself all that God has promised. {COL 149.2}

จงให้หัวใจของท่านแตกสลายให้กับหัวใจที่คอยเฝ้ารอพระเจ้า เฝ้ารอพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ชีวิตของพระเยซูทรงสำแดงออกถึงสิ่งที่มนุษย์ทำได้โดยการเข้าร่วมกับธรรมชาติของพระเจ้า สิ่งของทั้งปวงที่พระคริสต์รับจากพระเจ้า เราทั้งหลายก็จะสามารถรับมาได้ด้วย ดังนั้นจงขอและรับ ด้วยความเชื่อที่พากเพียรอย่างของยาโคบ ด้วยความยึดมั่นที่ไม่ย่อท้ออย่างของเอลียาห์ ให้ทวงพระสัญญาทั้งหมดของพระเจ้ามาเป็นของท่านเอง {COL 149.2}

Let the glorious conceptions of God possess your mind. Let your life be knit by hidden links to the life of Jesus. He who commanded the light to shine out of darkness is willing to shine in your heart, to give the light of the knowledge of the glory of God in the face of Jesus Christ. The Holy Spirit will take the things of God and show them unto you, conveying them as a living power into the obedient heart. Christ will lead you to the threshold of the Infinite. You may behold the glory beyond the veil, and reveal to men the sufficiency of Him who ever liveth to make intercession for us. {COL 149.3}

จงให้ความเข้าใจอันมีสง่าราศีในเรื่องของพระเจ้าครอบคลุมความคิดของท่าน จงให้ชีวิตของท่านผูกติดอยู่กับชีวิตของพระเยซูด้วยการเชื่อมเข้าด้วยกันกับสายโซ่ที่ซ่อนไว้ พระองค์ผู้ตรัสสั่งให้แสงสว่างส่องออกมาจากที่มืด ทรงมีพระทัยเปี่ยมล้นที่จะส่องสว่างเข้าไปในใจของท่าน เพื่อให้แสงแห่งความรู้แห่งสง่าราศีของพระเจ้าผ่านพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำเรื่องของพระเจ้าและเปิดเผยให้แก่ท่าน เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาด้วยพละกำลังอันมีชีวิตเข้าสู่จิตใจที่เชื่อฟัง พระคริสต์จะทรงนำท่านไปยังธรณีประตูของพระเจ้า ท่านมองเห็นพระสิริด้านหลังม่านได้ และจะเปิดเผยให้มนุษย์เห็นความบริสุทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลาเพื่อทูลขอเผื่อเราทั้งหลาย {COL 149.3}