Chapter 17 (บทที่ 17)
“Spare it this Year Also”
“ขอเอาไว้ปีนี้อีก” อ้างอิงจากลูกา 13:1-9
Christ in His teaching linked with the warning of judgment the invitation of mercy. “The Son of man is not come,” He said, “to destroy men’s lives, but to save them.” Luke 9:56. “God sent not His Son into the world to condemn the world; but that the world through Him might be saved.” John 3:17. His mission of mercy in its relation to God’s justice and judgment is illustrated in the parable of the barren fig tree. {COL 212.1}
ในคำสอนของพระคริสต์ พระองค์ทรงเชื่อมคำตักเตือนเรื่องของการพิพากษาเข้ากับคำเชื้อเชิญแห่งความเมตตา พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด” ลูกา 9:56 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” ยอห์น 3:17 พระราชกิจแห่งความเมตตาของพระองค์ที่เกี่ยวกับความยุติธรรมและการพิพากษาของพระเจ้าได้เปิดเผยออกมาให้เห็นในอุปมาต้นมะเดื่อไม่มีผล {COL 212.1}
Christ had been warning the people of the coming of the kingdom of God, and He had sharply rebuked their ignorance and indifference. The signs in the sky, which foretold the weather, they were quick to read; but the signs of the times, which so clearly pointed to His mission, were not discerned. {COL 212.2}
พระคริสต์ทรงตักเตือนประชาชนถึงแผ่นดินของพระเจ้าที่กำลังมาใกล้และพระองค์ยังทรงตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรงถึงความไม่รู้และไม่เอาใจใส่ของพวกเขา พวกเขาเข้าใจเครื่องหมายในท้องฟ้าเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ แต่สำหรับเครื่องหมายแห่งกาลเวลาที่ชี้ชัดไปถึงพระราชกิจของพระองค์ พวกเขากลับมองไม่เห็น {COL 212.2}
But men were as ready then as men are now to conclude that they themselves are the favorites of heaven, and that the message of reproof is meant for another. The hearers told Jesus of an event which had just caused great excitement. Some of the measures of Pontius Pilate, the governor of Judea, had given offense to the people. There had been a popular tumult in Jerusalem, and Pilate had attempted to quell this by violence. On one occasion his soldiers had even invaded the precincts of the temple, and had cut down some Galilean pilgrims in the very act of slaying their sacrifices. The Jews regarded calamity as a judgment on account of the sufferer’s sin, and those who told of this act of violence did so with secret satisfaction. In their view their own good fortune proved them to be much better, and therefore more favored by God, than were these Galileans. They expected to hear from Jesus words of condemnation for these men, who, they doubted not, richly deserved their punishment. {COL 212.3}
แต่มนุษย์ในสมัยนั้นก็เหมือนกับสมัยนี้ที่พร้อมจะทึกทักว่าตนเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ และว่าข่าวการตักเตือนนั้นมีไว้ให้แก่ผู้อื่น ผู้ฟังเหล่านี้บอกพระเยซูถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างมากยิ่ง มาตรการบางประการที่ปอนทีอัสปีลาตเจ้าเมืองยูเดียทำให้ประชาชนไม่พอใจ มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม ปีลาตพยายามทำให้สงบลงโดยการใช้ความรุนแรง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทหารของปีลาตบุกเข้าไปในบริเวณพระวิหารและสังหารคนนมัสการชาวกาลิลีที่กำลังลงมือถวายเครื่องเผาบูชาอยู่ ชาวยิวถือว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการพิพากษาลงโทษบาปของคนเหล่านั้นและคนที่บอกเล่าเหตุการณ์รุนแรงนี้พูดออกมาด้วยความพึงพอใจอย่างลับๆ ในความเห็นของพวกเขา ถือว่าโชคดี แสดงว่าพวกเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ามากกว่าพวกชาวกาลิลีเหล่านั้น พวกเขาหวังอย่างไม่ต้องสงสัยว่าจะได้ยินพระเยซูทรงตำหนิคนเหล่านั้นที่สมควรได้รับการลงโทษเช่นนั้น {COL 212.3}
The disciples of Christ did not venture to express their ideas until they had heard the opinion of their Master. He had given them pointed lessons in reference to judging other men’s characters, and measuring retribution according to their finite judgment. Yet they looked for Christ to denounce these men as sinners above others. Great was their surprise at His answer. {COL 213.1}
สาวกทั้งหลายของพระคริสต์ไม่กล้าเอ่ยปากออกความคิดเห็นจนกว่าพวกเขาจะได้ฟังความคิดเห็นของพระอาจารย์แล้ว พระองค์ประทานบทเรียนที่ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงการพิพากษาอุปนิสัยของผู้อื่น และมาตรการของผลกรรมสนองตามความเข้าใจอันจำกัดของพวกเขา ถึงกระนั้นพวกเขายังมองไปยังพระคริสต์หวังที่จะให้พระองค์ประณามคนเหล่านี้ว่าบาปหนากว่าผู้อื่น คำตอบของพระองค์สร้างความประหลาดใจต่อพวกเขาอย่างยิ่ง {COL 213.1}
Turning to the multitude, the Saviour said, “Suppose ye that these Galileans were sinners above all the Galileans, because they suffered such things? I tell you, Nay; but, except ye repent, ye shall all likewise perish.” These startling calamities were designed to lead them to humble their hearts, and to repent of their sins. The storm of vengeance was gathering, which was soon to burst upon all who had not found a refuge in Christ. {COL 213.2}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงหันไปยังฝูงชนและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านั้นเป็นคนบาปยิ่งกว่าชาวกาลิลีอื่นๆ ทั้งหมด เพราะพวกเขาต้องทนทุกข์อย่างนั้นหรือ เราบอกพวกท่าน ไม่ใช่ แต่ท่านเองถ้าไม่กลับใจใหม่ก็จะต้องพินาศเหมือนกัน” ลูกา 13:2, 3 เหตุการณ์ร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อนำพวกเขาให้ถ่อมจิตใจลงและกลับใจใหม่จากบาป พายุแห่งการแก้แค้นกำลังก่อตัวขึ้นในอีกไม่นาน มันจะกระหนำคนทั้งปวงที่ไม่ได้เข้าลี้ภัยในพระคริสต์{COL 213.2}
As Jesus talked with the disciples and the multitude, He looked forward with prophetic glance and saw Jerusalem besieged with armies. He heard the tramp of the aliens marching against the chosen city and saw the thousands upon thousands perishing in the siege. Many of the Jews were, like those Galileans, slain in the temple courts, in the very act of offering sacrifice. The calamities that had fallen upon individuals were warnings from God to a nation equally guilty. “Except ye repent,” said Jesus,”ye shall all likewise perish.” For a little time the day of probation lingered for them. There was still time for them to know the things that belonged to their peace. {COL 213.3}
ขณะที่พระเยซูตรัสกับสาวกและฝูงชน พระองค์ทอดพระเนตรไปยังเหตุการณ์ในภายภาคหน้าตามคำพยากรณ์และทรงเห็นกองทหารล้อมกรุงเยรูซาเล็มไว้ พระองค์ทรงได้ยินเสียงฝีเท้าของคนต่างชาติสวนสนามเข้ามายังเมืองที่ได้รับการคัดเลือกสรรไว้และทอดพระเนตรเห็นคนนับเป็นพันๆ พินาศไปเพราะเมืองถูกล้อม มีชาวยิวจำนวนมากเหมือนเช่นชาวกาลิลีที่ถูกสังหารในบริเวณพระวิหารในขณะกำลังถวายเครื่องเผาบูชา เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับบุคคลเหล่านี้เป็นคำการตักเตือนจากพระเจ้าแก่ประเทศชาติที่มีความผิดในลักษณะเดียวกัน พระเยซูตรัสว่า “แต่ถ้าท่านทุกคนไม่กลับใจใหม่ก็จะต้องพินาศเช่นกัน” ลูกา 13:5 เวลาแห่งความกรุณาสำหรับพวกเขามีเหลืออีกไม่มากนัก ยังพอมีเวลาที่จะให้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ให้ความสงบสุขที่แท้ของพวกเขา {COL 213.3}
“A certain man,” He continued, “had a fig-tree planted in his vineyard; and he came and sought fruit thereon, and found none. Then said he unto the dresser of his vineyard, Behold, these three years I come seeking fruit on this fig-tree, and find none: cut it down; why cumbereth it the ground?” {COL 214.1}
พระองค์ตรัสอุปมาต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งไว้ในสวนองุ่นของตน และเขามาหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ เขาจึงพูดกับผู้ที่รักษาเถาองุ่นว่า นี่แนะ เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ จงโค่นมันทิ้งไป จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำไม” ลูกา 13:6, 7 {COL 214.1}
Christ’s hearers could not misunderstand the application of His words. David had sung of Israel as the vine brought out of Egypt. Isaiah had written, “The vineyard of the Lord of hosts is the house of Israel, and the men of Judah His pleasant plant.” Isaiah 5:7. The generation to whom the Saviour had come were represented by the fig tree in the Lord’s vineyard–within the circle of His special care and blessing. {COL 214.2}
ผู้ฟังถ้อยคำของพระคริสต์ไม่ได้เข้าใจความหมายพระดำรัสของพระองค์ผิดไป กษัตริย์ดาวิดร้องเพลงกล่าวว่าอิสราเอลเป็นเหมือนเถาองุ่นที่นำออกไปจากประเทศอียิปต์ อิสยาห์บันทึกว่า “เพราะว่าสวนองุ่นของพระยาห์เวห์จอมทัพคือวงศ์วานอิสราเอล และคนยูดาห์ เป็นต้นไม้ที่พระองค์ทรงชื่นชอบ” อิสยาห์ 5:7 ต้นมะเดื่อเทศที่อยู่ในสวนของพระยาห์เวห์ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลรักษาและพระพรพิเศษของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แทนคนทั้งหลายที่พระผู้ช่วยเสด็จมาเพื่อเขา {COL 214.2}
God’s purpose toward His people, and the glorious possibilities before them, had been set forth in the beautiful words, “That they might be called trees of righteousness, the planting of the Lord, that He might be glorified,” Isaiah 61:3. The dying Jacob, under the Spirit of inspiration, had said of his best-loved son, “Joseph is a fruitful bough, even a fruitful bough by a well; whose branches run over the wall.” And he said, “The God of thy Father” “shall help thee,” the Almighty “shall bless thee with blessings of heaven above, blessings of the deep that lieth under.” Genesis 49:22, 25. So God had planted Israel as a goodly vine by the wells of life. He had made His vineyard “in a very fruitful hill.” He had “fenced it, and gathered out the stones thereof, and planted it with the choicest vine.” Isaiah 5:1, 2. {COL 214.3}
พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับประชากรของพระองค์และสง่าราศีที่น่าจะได้รับอยู่ต่อหน้าพวกเขานั้นได้รับการบันทึกเป็นถ้อยคำอันไพเราะว่า “แล้วคนจะเรียกพวกเขาว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม ที่พระยาห์เวห์ทรงปลูกไว้เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์” อิสยาห์ 61:3 ขณะที่ยาโคบใกล้สิ้นอายุไข ได้กล่าวภายใต้การดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงบุตรชายอันเป็นที่รักว่า “โยเซฟเป็นกิ่งที่เกิดผล เป็นกิ่งที่เกิดผลอยู่ริมบ่อน้ำ มีกิ่งเลื้อยบนกำแพง” และท่านพูดต่อว่า “โดยพระเจ้าของบิดาเจ้าผู้ทรงช่วยเจ้า โดยพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรงอวยพระพรแก่เจ้า ด้วยพรที่มาจากฟ้าเบื้องบน พรที่มาจากที่ลึกเบื้องล่าง” ปฐมกาล 49:22, 25 ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงปลูกอิสราเอลไว้เป็นเถาองุ่นที่ดีเลิศข้างบ่อน้ำแห่งชีวิต พระองค์ทรงตั้งสวนองุ่น “อยู่บนเนินเขาอันอุดมยิ่ง” พระองค์ทรง “[ล้อมรั้ว] เก็บก้อนหินออกหมด และปลูกเถาองุ่นอย่างดีไว้” อิสยาห์ 5:1, 2 {COL 214.3}
“And He looked that it should bring forth grapes, and it brought forth wild grapes.” Isaiah 5:2. The people of Christ’s day made a greater show of piety than did the Jews of earlier ages, but they were even more destitute of the sweet graces of the Spirit of God. The precious fruits of character that made the life of Joseph so fragrant and beautiful, were not manifest in the Jewish nation. {COL 215.1}
“ท่านคาดหวังว่ามันจะเกิดผลองุ่น[หวาน] แต่มันกลับเกิดผลเปรี้ยว” อิสยาห์ 5:2 ประชาชนในสมัยพระเยซู อวดตัวว่ามีความเชื่อในศาสนามากกว่าชาวยิวในยุคก่อนๆ แต่พวกเขากลับขาดพระคุณแห่งพระวิญญาณของพระเจ้ามากยิ่งกว่า ผลแห่งอุปนิสัยอันทรงคุณค่าที่ทำให้ชีวิตของโยเซฟหอมหวนและงดงามกลับไม่ได้ปรากฏในชนชาติยิวเลยแม้แต่น้อย {COL 215.1}
God in His Son had been seeking fruit, and had found none. Israel was a cumberer of the ground. Its very existence was a curse; for it filled the place in the vineyard that a fruitful tree might fill. It robbed the world of the blessings that God designed to give. The Israelites had misrepresented God among the nations. They were not merely useless, but a decided hindrance. To a great degree their religion was misleading, and wrought ruin instead of salvation. {COL 215.2}
พระเจ้าในสภาพของพระบุตรกำลังแสวงหาผล แต่หาพบไม่ อิสราเอลกลายเป็นผู้ทำให้ผืนดินรกร้าง การตั้งอยู่ของชาติอิสราเอลกลายเป็นคำแช่งสาป เพราะว่าชนชาตินี้ได้ยึดพื้นที่ในสวนซึ่งควรเป็นที่สำหรับต้นไม้ที่ออกผล ประเทศนี้ฉ้อโกงพระพรที่พระเจ้าทรงพระประสงค์จะประทานให้แก่โลก ชาวอิสราเอลเป็นตัวแทนในทางที่ผิดแก่บรรดาประชาชาติทั้งหลาย ไม่เพียงใช้การไม่ได้เท่านั้นแต่ยังเป็นผู้ขัดขวางความรอดของผู้อื่นอีกด้วย ในระดับหนึ่งศาสนาของพวกเขานำไปสู่ทางที่ผิดและนำสู่ความพินาศแทนที่จะนำไปสู่ความรอด {COL 215.2}
In the parable the dresser of the vineyard does not question the sentence that the tree, if it remained fruitless, should be cut down; but he knows and shares the owner’s interest in that barren tree. Nothing could give him greater joy than to see its growth and fruitfulness. He responds to the desire of the owner, saying, “Let it alone this year also, till I shall dig about it and dung it; and if it bear fruit, well.” {COL 215.3}
ในอุปมา ผู้รักษาเถาองุ่นไม่เคยตั้งข้อสงสัยในประโยคที่ว่าถ้าต้นมะเดื่อไม่เกิดผลก็ควรฟันทิ้งเสีย แต่พวกเขาทราบดีและให้ความสนใจร่วมกับเจ้าของต่อต้นไม้ที่ไร้ผลนี้ ไม่มีอะไรจะทำให้พวกเขามีความสุขมากไปกว่าที่จะเห็นต้นไม้นี้เจริญเติบโตและออกผล พวกเขาตอบสนองความปรารถนาของเจ้าของสวนโดยพูดว่า “ขอเก็บเอาไว้อีกปี ลองให้ข้าพเจ้าพรวนดินใส่ปุ๋ยดู ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป” ลูกา 13:8, 9 {COL 215.3}
The gardener does not refuse to minister to so unpromising a plant. He stands ready to give it still greater care. He will make its surroundings most favorable, and will lavish upon it every attention. {COL 215.4}
คนดูแลสวนไม่ได้ปฏิเสธที่จะดูแลต้นไม้ที่หมดหวังต้นนี้ เขายังคงพร้อมที่จะให้การดูแลเอาใจใส่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เขายังจะสร้างให้สภาพแวดล้อมเหมาะสมให้มากที่สุดและจะให้การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด {COL 215.4}
The owner and the dresser of the vineyard are one in their interest in the fig tree. So the Father and the Son were one in their love for the chosen people. Christ was saying to His hearers that increased opportunities would be given them. Every means that the love of God could devise would be put in operation that they might become trees of righteousness, bringing forth fruit for the blessing of the world. {COL 216.1}
เจ้าของสวนและคนดูแลสวนต่างก็มีความสนใจเหมือนกันต่อการดูแลต้นมะเดื่อ พระบิดาและพระบุตรทรงมีน้ำพระทัยเหมือนกันในความรักที่มีต่อประชากรที่เลือกสรรของพระองค์ พระคริสต์กำลังตรัสกับบรรดาผู้ฟังของพระองค์ว่า พระองค์จะทรงเปิดโอกาสเพิ่มขึ้นแก่พวกเขา ทุกวิถีทางที่ความรักของพระเจ้าจะสามารถทำได้ จะนำมาใช้เพื่อให้เขาเป็นต้นไม้แห่งความชอบธรรมและเกิดผลเป็นพระพรสำหรับโลกนี้ {COL 216.1}
Jesus did not in the parable tell the result of the gardener’s work. At that point His story was cut short. Its conclusion rested with the generation that heard His words. To them the solemn warning was given. “If not, then after that thou shalt cut it down.” Upon them it depended whether the irrevocable words should be spoken. The day of wrath was near. In the calamities that had already befallen Israel, the owner of the vineyard was mercifully forewarning them of the destruction of the unfruitful tree. {COL 216.2}
ในอุปมานี้พระเยซูไม่ได้ตรัสถึงผลของงานที่คนดูแลสวนทำไป เมื่อมาถึงตอนนี้เรื่องก็จบลง บทสรุปสุดท้ายขึ้นอยู่กับพงศ์พันธุ์รุ่นต่อไปที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของพระองค์ คำเตือนที่น่าหวาดหวั่นมายังพวกเขาว่า “ถ้าไม่ ท่านจงโค่นมันทิ้งก็ได้” ลูกา 13: 9 ถ้อยคำซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้นี้จะถูกประกาศออกหรือไม่ขึ้นกับพวกเขา วันแห่งพระพิโรธกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ในเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับอิสราเอล เจ้าของสวนตักเตือนด้วยความเมตตาไว้แล้วว่าต้นไม้ที่ไม่เกิดผลนั้นจะถูกทำลาย {COL 216.2}
The warning sounds down along the line to us in this generation. Are you, O careless heart, a fruitless tree in the Lord’s vineyard? Shall the words of doom erelong be spoken of you? How long have you received His gifts? How long has He watched and waited for a return of love? Planted in His vineyard, under the watchful care of the gardener, what privileges are yours! How often has the tender gospel message thrilled your heart! You have taken the name of Christ, you are outwardly a member of the church which is His body, and yet you are conscious of no living connection with the great heart of love. The tide of His life does not flow through you. The sweet graces of His character, “the fruits of the Spirit,” are not seen in your life. {COL 216.3}
เสียงของคำตักเตือนนั้นยังดังก้องลงมาถึงเราในยุคปัจจุบัน สำหรับท่านผู้ที่เป็นคนไม่เอาใจใส่ ท่านเป็นต้นไม้ที่ไร้ผลในสวนองุ่นของพระยาห์เวห์หรือเปล่า ถ้อยคำแห่งความพินาศที่ตรัสไว้ในกาลก่อนจะต้องตรัสกับท่านอีกหรือไม่ ท่านรับของประทานของพระองค์มานานแค่ไหนแล้ว พระองค์ทรงเฝ้ามองและรอคอยการตอบสนองแห่งรักมานานแค่ไหนแล้ว ท่านรับสิทธิพิเศษมากเพียงใดที่เติบใหญ่ขึ้นในสวนองุ่นของพระเจ้าภายใต้การดูแลของผู้รักษาสวน มีบ่อยครั้งเพียงใดที่ข่าวประเสริฐทำให้หัวใจของท่านตื่นเต้น ท่านรับพระนามของพระคริสต์แล้ว ท่านแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเป็นสมาชิกคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ แต่ถึงกระนั้นท่านกลับไม่ติดสนิทกับพระองค์ผู้ทรงมีพระทัยแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ กระแสชีวิตของพระองค์ไม่ได้ไหลผ่านตัวของท่าน พระคุณอันหวานชื่นของพระลักษณะของพระองค์คือ “ผลของพระวิญญาณ” กาลาเทีย 5:22 ไม่ปรากฏในชีวิตของท่าน {COL 216.3}
The barren tree receives the rain and the sunshine and the gardener’s care. It draws nourishment from the soil. But its unproductive boughs only darken the ground, so that fruit-bearing plants cannot flourish in its shadow. So God’s gifts, lavished on you, convey no blessing to the world. You are robbing others of privileges that, but for you, might be theirs. {COL 217.1}
ต้นไม้ที่ไม่ออกผลนั้นรับน้ำฝนและแสงแดดและการดูแลเอาใจใส่ของคนรักษาสวน มันได้รับปุ๋ยหล่อเลี้ยงจากพื้นดิน แต่กิ่งก้านที่ไร้ผลของมันกลับบดบังพื้นดินจนทำให้ต้นที่ให้ผลอื่นๆ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ภายใต้ร่มเงาของมัน เช่นเดียวกับของประทานของพระเจ้าที่หลั่งไหลมายังท่านก็ไม่ได้ไหลผ่านไปสู่ชาวโลก ท่านปล้นสิทธิพิเศษนี้ไปจากผู้อื่นซึ่งถ้าสิทธินี้ไม่ได้ตกอยู่กับท่านอาจเป็นของเขาทั้งหลาย {COL 217.1}
You realize, though it may be but dimly, that you are a cumberer of the ground. Yet in His great mercy God has not cut you down. He does not look coldly upon you. He does not turn away with indifference, or leave you to destruction. Looking upon you He cries, as He cried so many centuries ago concerning Israel, “How shall I give thee up, Ephraim? How shall I deliver thee, Israel? . . . I will not execute the fierceness of Mine anger. I will not return to destroy Ephraim; for I am God, and not man.” Hosea 11:8, 9. The pitying Saviour is saying concerning you, Spare it this year also, till I shall dig about it and dress it. {COL 217.2}
อย่างน้อยท่านก็ตระหนักอย่างเลือนรางว่าท่านเป็นคนทำให้พื้นดินรกเสียเปล่า ถึงกระนั้นก็ตามด้วยความเมตตาอันใหญ่หลวงของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงโค่นท่านลง พระองค์ไม่ได้ทรงทอดพระเนตรมายังท่านอย่างเย็นชา พระองค์ไม่ได้ทรงหันพระพักตร์ไปจากท่านอย่างไม่แยแส หรือปล่อยท่านไปสู่ความพินาศ พระองค์ทรงกรรแสงเมื่อทอดพระเนตรมายังท่านดังเช่นที่ทรงกรรแสงด้วยทรงหวงใยอิสราเอลเมื่อหลายศตวรรษก่อน “โอ เอฟราอิมเอ๋ย เราจะให้เจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไร โอ อิสราเอลเอ๋ย เราจะมอบเจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไร…เราจะไม่จัดการด้วยความกริ้วอันร้อนแรง เราจะไม่ทำลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์” โฮเชยา 11:8 , 9 องค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระทัยเมตตาสงสารกำลังตรัสเกี่ยวกับตัวท่านว่า ขอเก็บเอาไว้อีกปี ลองให้ข้าพเจ้าพรวนดินใส่ปุ๋ยดู {COL 217.2}
With what unwearied love did Christ minister to Israel during the period of added probation. Upon the cross He prayed, “Father, forgive them; for they know not what they do.” Luke 23:24. After His ascension the gospel was preached first at Jerusalem. There the Holy Spirit was poured out. There the first gospel church revealed the power of the risen Saviour. There Stephen–“his face as it had been the face of an angel” (Acts 6:15)–bore his testimony and laid down his life. All that heaven itself could give was bestowed. “What could have been done more to My vineyard,” Christ said, “that I have not done in it?” Isaiah 5:4. So His care and labor for you are not lessened, but increased. Still He says, “I the Lord do keep it; I will water it every moment; lest any hurt it, I will keep it night and day.” Isaiah 27:3. {COL 218.1}
ในช่วงเวลาแห่งพระกรุณาธิคุณที่ยืดออกไป พระคริสต์ทรงปฏิบัติต่ออิสราเอลด้วยความรักที่ไม่เสื่อมคลายเช่นนี้เพียงไร ขณะที่อยู่บนไม้กางเขนพระองค์ทรงอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” ลูกา 23:34 หลังจากที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ สาวกประกาศข่าวประเสริฐในกรุงเยรูซาเล็มก่อน ณ ที่นั่น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหลั่งลงมาและที่นั่นคริสตจักรแห่งแรกได้เปิดตัวให้เห็นพลังอำนาจของพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงเป็นขึ้นจากตาย ที่นั่นสเทเฟน “หน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์” กิจการ 6:15 เป็นพยานและพลีชีพของตน ทุกสิ่งที่สวรรค์ประทานให้นั้น ก็ได้มอบไว้ให้หมดแล้ว พระคริสต์ตรัสว่า “มีอะไรที่จะทำได้อีกเพื่อสวนองุ่นของเราซึ่งเรายังไม่ได้ทำให้” อิสยาห์ 5:4 เหตุฉะนั้น ความเอาใจใส่และการลงแรงที่ทรงกระทำเพื่อท่านนั้นไม่ได้ลดน้อยถอยลง แต่กลับเพิ่มขึ้น พระองค์ยังคงตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ เป็นผู้ดูแลสวนนั้น เรารดน้ำทุกเวลา เกรงว่าผู้หนึ่งผู้ใดจะทำอันตรายสวนนั้น เราจึงดูแลสวนนั้นทั้งกลางคืนกลางวัน” อิสยาห์ 27:3 {COL 218.1}
“If it bear fruit, well; and if not, then after that”– {COL 218.2}
“ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป แต่ถ้าไม่–” ลูกา 13:9 {COL 218.2}
The heart that does not respond to divine agencies becomes hardened until it is no longer susceptible to the influence of the Holy Spirit. Then it is that the word is spoken, “Cut it down; why cumbereth it the ground?” {COL 218.3}
จิตใจที่ไม่ได้ตอบสนองต่อตัวแทนของสวรรค์จะแข็งกระด้างมากขึ้นจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกถึงอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีเสียงดังมาว่า “จงโค่นมันทิ้งไป จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำไม” ลูกา 13:7 {COL 218.3}
Today He invites you: “O Israel, return unto the Lord thy God. . . . I will heal their backsliding, I will love them freely. . . . I will be as the dew unto Israel; he shall grow as the lily, and cast forth his roots as Lebanon. . . . They that dwell under his shadow shall return; they shall revive as the corn, and grow as the vine. . . . From Me is thy fruit found.” Hosea 14:1-8. {COL 218.4}
วันนี้พระองค์ทรงเชื้อเชิญท่าน “โอ อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า…เราจะรักษาเขาให้หายจากการกลับสัตย์ เราจะรักเขาด้วยความเต็มใจ…เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล เขาจะเบิกบานอย่างดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งราเหมือนต้นไม้แห่งเลบานอน…..เขาทั้งหลายจะกลับมาอยู่ใต้ร่มเงาของเรา เขาจะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น…ผลของเจ้าก็ได้มาจากเรา” โฮเชยา 14:1-8 {COL 218.4}