Chapter 18 (บทที่ 18)
“Go into the Highways and Hedges”
“จงออกไปตามถนนและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิด”
The Saviour was a guest at the feast of a Pharisee. He accepted invitations from the rich as well as the poor, and according to His custom He linked the scene before Him with His lessons of truth. Among the Jews the sacred feast was connected with all their seasons of national and religious rejoicing. It was to them a type of the blessings of eternal life. The great feast at which they were to sit down with Abraham, Isaac, and Jacob, while the Gentiles stood without, and looked on with longing eyes, was a theme on which they delighted to dwell. The lesson of warning and instruction which Christ desired to give, He now illustrated by the parable of a great supper. The blessings of God, both for the present and for the future life, the Jews thought to shut up to themselves. They denied God’s mercy to the Gentiles. By the parable Christ showed that they were themselves at that very time rejecting the invitation of mercy, the call to God’s kingdom. He showed that the invitation which they had slighted was to be sent to those whom they despised, those from whom they had drawn away their garments as if they were lepers to be shunned. {COL 219.1}
พระผู้ช่วยให้รอดได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงของฟาริสีคนหนึ่ง พระองค์ทรงตอบรับคำเชิญของทั้งคนมั่งมีและคนยากจน และตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระองค์ทรงเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเบื้องพระพักตร์ให้เข้ากับบทเรียนแห่งความจริง ในหมู่ชาวยิวนั้นงานเลี้ยงศักดิ์สิทธิ์จะเกี่ยวโยงกับทุกฤดูกาลแห่งความชื่นชมยินดีของประเทศชาติและศาสนา งานเลี้ยงนี้เปรียบเสมือนเครื่องหมายแห่งพระพรของชีวิตนิรันดร์ เรื่องราวของงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ซึ่งพวกเขาจะได้นั่งร่วมโต๊ะกับอับราอัม อิสอัคและยาโคบ ในขณะที่คนนอกศาสนายืนอยู่ภายนอกและมองด้วยตาละห้อยนั้นเป็นเรื่องราวที่พวกเขาชื่นชอบที่จะพูดถึง บทเรียนของการตักเตือนและสั่งสอนที่พระคริสต์ทรงปรารถนาจะสอนนั้น จึงทรงอธิบายในเวลานี้ด้วยอุปมาเรื่องงานเลี้ยงใหญ่ พวกยิวคิดจะเก็บพระพรของพระเจ้าทั้งสำหรับชีวิตนี้และชีวิตหน้าไว้สำหรับตนเอง พวกเขาไม่ยอมให้ความเมตตาของพระเจ้าผ่านไปยังคนนอกศาสนา พระคริสต์ทรงแสดงให้เห็นในอุปมาว่าในขณะเดียวกัน พวกเขาปฏิเสธคำเชื้อเชิญแห่งความเมตตาซึ่งเป็นคำเชิญชวนให้เข้ามายังอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าคำเชื้อเชิญที่เขาละเลยไม่สนใจนั้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้ที่เขาดูหมิ่น คือผู้ที่พวกเขาสะบัดเสื้อผ้าหนีราวกับว่าผู้นั้นเป็นโรคเรื้อนที่น่ารังเกียจ {COL 219.1}
In choosing the guests for his feast, the Pharisee had consulted his own selfish interest. Christ said to him, “When thou makest a dinner or a supper, call not thy friends, nor thy brethren, neither thy kinsmen, nor thy rich neighbors, lest they also bid thee again, and a recompense be made thee. But when thou makest a feast, call the poor, the maimed, the lame, the blind: and thou shalt be blessed; for they cannot recompense thee: for thou shalt be recompensed at the resurrection of the just.” {COL 220.1}
ในการคัดเลือกแขกมาร่วมงานเลี้ยง ชาวฟาริสีเลือกตามความคิดเห็นแก่ตัวของตน พระคริสต์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เมื่อท่านจะจัดการเลี้ยงไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือเวลาเย็นก็ตาม อย่าเชิญเฉพาะเพื่อนๆ หรือพี่น้อง หรือญาติๆ หรือบรรดาเพื่อนบ้านที่มั่งมี คาดว่าพวกเขาจะเชิญท่านกลับคืน แล้วท่านจะได้รับการตอบแทน แต่เมื่อท่านจัดการเลี้ยงนั้น จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุขเพราะว่าเขาทั้งหลายไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน ส่วนท่านจะได้รับการตอบแทนเมื่อคนชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย” ลูกา 14: 12-14 {COL 220.1}
Christ was here repeating the instruction He had given to Israel through Moses. At their sacred feasts the Lord had directed that “the stranger, and the fatherless, and the widow, which are within thy gates, shall come, and shall eat, and be satisfied.” Deuteronomy 14:29. These gatherings were to be as object lessons to Israel. Being thus taught the joy of true hospitality, the people were throughout the year to care for the bereaved and the poor. And these feasts had a wider lesson. The spiritual blessings given to Israel were not for themselves alone. God had given the bread of life to them, that they might break it to the world. {COL 220.2}
ในที่นี้ พระคริสต์ทรงย้ำถึงคำสั่งสอนที่พระองค์ประทานแก่ชนชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส ในงานพิธีอันศักดิ์สิทธิ์พระยาห์เวห์ตรัสว่า “คนต่างด้าวและลูกกำพร้าและแม่ม่าย ผู้ซึ่งอยู่ภายในเมืองของท่านจะได้มารับประทานอย่างอิ่มหนำ” เฉลยธรรมบัญญัติ14:29 งานชุมชนเหล่านี้ควรเป็นดังบทเรียนเปรียบเทียบแก่ชนชาติอิสราเอลคือเมื่อพวกเขาได้รับการสั่งสอนถึงความสุขจากการมีเมตตาอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขาควรต้องดูแลเอาใจใส่ผู้ที่ต้องทนทุกข์และยากจนไปตลอดทั้งปี และงานเลี้ยงเหล่านี้ยังมีบทเรียนที่กว้างกว่านี้อีก คือพระพรฝ่ายจิตวิญญาณที่ชาวอิสราเอลได้รับไม่ได้มีไว้สำหรับพวกเขาเท่านั้น พระเจ้าประทานอาหารแห่งชีวิตให้แก่พวกเขาเพื่อพวกเขาจะแบ่งปันให้แก่โลกต่อไป {COL 220.2}
This work they had not fulfilled. Christ’s words were a rebuke to their selfishness. To the Pharisees His words were distasteful. Hoping to turn the conversation into another channel, one of them, with a sanctimonious air, exclaimed, “Blessed is he that shall eat bread in the kingdom of God.” This man spoke with great assurance, as if he himself were certain of a place in the kingdom. His attitude was similar to the attitude of those who rejoice that they are saved by Christ, when they do not comply with the conditions upon which salvation is promised. His spirit was like that of Balaam when he prayed, “Let me die the death of the righteous, and let my last end be like his.” Numbers 23:10. The Pharisee was not thinking of his own fitness for heaven but of what he hoped to enjoy in heaven. His remark was designed to turn away the minds of the guests at the feast from the subject of their practical duty. He thought to carry them past the present life to the remote time of the resurrection of the just. {COL 221.1}
พวกเขาทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ ถ้อยคำของพระคริสต์จึงตำหนิความเห็นแก่ตัวของพวกเขา คำตรัสของพระองค์จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของชาวฟาริสี พวกเขาพยายามจะเบี่ยงเบนการสนทนาไปเรื่องอื่นโดยมีคนหนึ่งในพวกเขาแสร้งพูดอย่างเลื่อมใสศรัทธาว่า “ผู้ที่จะได้รับประทานอาหารในแผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นสุข” ลูกา 14:15 ชายผู้นี้พูดด้วยความมั่นใจราวกับว่าเขามีความแน่ใจว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว ทัศนคติของเขาคล้ายกับของผู้ที่ชื่นชมยินดีว่าตนได้รับความรอดโดยพระคริสต์แล้ว ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำตามเงื่อนไขเพื่อให้ได้ความรอดตามคำสัญญา จิตวิญญาณของเขาคล้ายคลึงกับของบาลาอัม เมื่ออธิษฐานว่า “ขอให้ข้าพเจ้าตายเหมือนอย่างการตายของผู้ชอบธรรมและขอให้บั้นปลายชีวิตข้าพเจ้าเป็นเหมือนของเขา’ กันดารวิถี 23:10 ชาวฟาริสีไม่ได้คำนึงว่าตนเองเหมาะสมกับแผ่นดินสวรรค์หรือไม่ กลับหวังแต่เพียงว่าจะได้ชื่นชมสิ่งต่างๆ ในสวรรค์ พระดำรัสของพระองค์ถูกยกขึ้นเพื่อหวังจะนำความนึกคิดของแขกที่มาในงานออกจากเรื่องหน้าที่ของพวกเขาที่ปฏิบัติอยู่ พระองค์ทรงประสงค์จะนำพวกเขาให้พ้นจากเรื่องในชีวิตปัจจุบันไปสู่กาลข้างหน้าเมื่อผู้ชอบธรรมจะเป็นขึ้นจากตาย {COL 221.1}
Christ read the heart of the pretender, and fastening His eyes upon him He opened before the company the character and value of their present privileges. He showed them that they had a part to act at that very time, in order to share in the blessedness of the future. {COL 221.2}
พระคริสต์ทรงอ่านจิตใจของผู้เสแสร้งคนนี้ออก และขณะที่จ้องไปยังชายผู้นี้พระองค์ทรงเปิดเผยต่อหน้าคนทั้งปวงให้เห็นถึงคุณค่าและลักษณะของสิทธิพิเศษที่เขาทั้งหลายมีอยู่ในปัจจุบัน พระองค์ทรงสำแดงให้ประจักษ์ว่าเขาทั้งหลายมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติในขณะนั้นเพื่อที่จะได้รับพรแห่งอนาคต {COL 221.2}
“A certain man,” He said, “made a great supper, and bade many.” When the time of the feast arrived, the host sent his servant to the expected guests with a second message, “Come; for all things are now ready.” But a strange indifference was shown. “All with one consent began to make excuse. The first said unto him, I have bought a piece of ground, and I must needs go and see it; I pray thee have me excused. And another said, I have bought five yoke of oxen, and I go to prove them; I pray thee have me excused. And another said, I have married a wife, and therefore I cannot come.” {COL 221.3}
พระองค์ตรัสว่า “มีคนหนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญแขกไว้จำนวนมาก” เมื่อเวลาที่งานเลี้ยงมาถึง เจ้าภาพสั่งบ่าวของตนไปยังผู้ที่ได้รับเชิญเป็นคำรบสองกล่าวว่า “เชิญมาเถิดเพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว” แต่กลับได้รับการแสดงความไม่เอาใจใส่จนน่าประหลาดใจ “พวกนั้นต่างพากันขอตัว คนแรกบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อนาไว้และจะต้องไปดูนานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ อีกคนหนึ่งบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อวัวไว้ห้าคู่และจะต้องไปลองวัวนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ อีกคนหนึ่งก็บอกว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าไปไม่ได้’” ลูกา 14:16-20 {COL 221.3}
None of the excuses were founded on a real necessity. The man who “must needs go and see” his piece of ground, had already purchased it. His haste to go and see it was due to the fact that his interest was absorbed in his purchase. The oxen, too, had been bought. The proving of them was only to satisfy the interest of the buyer. The third excuse had no more semblance of reason. The fact that the intended guest had married a wife need not have prevented his presence at the feast. His wife also would have been made welcome. But he had his own plans for enjoyment, and these seemed to him more desirable than the feast he had promised to attend. He had learned to find pleasure in other society than that of the host. He did not ask to be excused, made not even a pretense of courtesy in his refusal. The “I cannot” was only a veil for the truth–“I do not care to come.” {COL 222.1}
ไม่มีคำแก้ตัวของผู้ใดที่แสดงถึงความจำเป็นอย่างแท้จริง ชายผู้ “จะต้องไปดูนานั้น” ซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว การที่เขาต้องรีบไปดูนาก็เพราะความสนใจของเขาอยู่กับสิ่งที่เขาซื้อไว้แล้ว ส่วนคนมีวัวก็เช่นกัน เขาซื้อมาแล้ว การไปลองดูวัวนั้นก็เพื่อจะสนองความสนใจของผู้ซื้อ คำแก้ตัวเรื่องที่สามก็ไม่มีเหตุผล ความจริงที่ว่าผู้ที่รับเชิญพึ่งจะแต่งงาน ก็ไม่ควรเป็ฯสิ่งที่ขัดขวางการเข้าร่วมงานเลี้ยงของเขา ภรรยาของเขาก็จะได้รับการต้อนรับเข้าร่วมในงานเลี้ยงด้วย แต่เขามีแผนการของตนเองเพื่อแสวงหาความสุขและสิ่งนี้ดูเหมือนจะน่าปรารถนามากกว่างานเลี้ยงที่เขาสัญญาว่าจะเข้าร่วม เขาเรียนรู้ที่จะหาความสำราญจากงานอื่นมากกว่าที่จะไปตามคำเชิญของเจ้าของงานเลี้ยง เขาไม่ได้ขออนุญาตแก้ตัวที่จะไม่ไปหรือไม่ได้แสร้งทำเป็นมีมารยาทในการปฏิเสธคำเชิญ แต่คำว่า “ข้าพเจ้าไปไม่ได้” เป็นเพียงการอำพรางการพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะไป” เท่านั้นเอง {COL 222.1}
All the excuses betray a preoccupied mind. To these intended guests other interests had become all-absorbing. The invitation they had pledged themselves to accept was put aside, and the generous friend was insulted by their indifference. {COL 222.2}
คำแก้ตัวทั้งหลายเป็นการแสดงถึงจิตใจที่มีเรื่องอื่นอยู่เต็มแล้ว สำหรับแขกที่ได้รับเชิญเหล่านี้ ความสนใจในสิ่งอื่นครอบงำพวกเขาจนหมด พวกเขาละทิ้งคำเชิญซึ่งพวกเขาสัญญาว่าจะไปนั้นและท่าทีของการไม่สนใจใยดีของคนเหล่านี้เป็นการดูถูกสหายผู้ใจกว้าง {COL 222.2}
By the great supper, Christ represents the blessings offered through the gospel. The provision is nothing less than Christ Himself. He is the bread that comes down from heaven; and from Him the streams of salvation flow. The Lord’s messengers had proclaimed to the Jews the advent of the Saviour; they had pointed to Christ as “the Lamb of God, which taketh away the sin of the world.” John 1:29. In the feast He had provided, God offered to them the greatest gift that Heaven can bestow–a gift that is beyond computation. The love of God had furnished the costly banquet, and had provided inexhaustible resources. “If any man eat of this bread,” Christ said, “he shall live for ever.” John 6:51. {COL 222.3}
ในงานเลี้ยงใหญ่นี้ พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้เห็นถึงพระพรที่ทรงยื่นให้โดยผ่านทางข่าวประเสริฐ สรรพสิ่งที่จัดเตรียมไว้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าองค์พระคริสต์เอง พระองค์ทรงเป็นอาหารทิพย์ซึ่งลงมาจากสวรรค์และกระแสความรอดก็ไหลผ่านมาจากพระองค์ ผู้สื่อข่าวของพระเจ้าประกาศแก่ชนชาติยิวถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาชี้ไปยังพระคริสต์ว่าเป็น “พระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป” ยอห์น 1:29 ในงานเลี้ยงรับรองที่พระองค์ทรงจัดนั้น พระเจ้าทรงเสนอของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่สวรรค์สามารถประทานให้แก่พวกเขา เป็นของประทานที่ประเมินค่าไม่ได้ ความรักของพระเจ้าได้ตบแต่งงานเลี้ยงราคาแพงและจัดเตรียมทรัพยากรที่ไม่มีวันสูญสิ้นไว้ให้ พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 6:51 {COL 222.3}
But in order to accept the invitation to the gospel feast, they must make their worldly interests subordinate to the one purpose of receiving Christ and His righteousness. God gave all for man, and He asks him to place His service above every earthly and selfish consideration. He cannot accept a divided heart. The heart that is absorbed in earthly affections cannot be given up to God. {COL 223.1}
แต่ก่อนที่จะรับคำเชิญไปงานเลี้ยงแห่งข่าวประเสริฐนี้ พวกเขาจะต้องวางความใฝ่ใจทางโลกของตนเองให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายอันเดียวของการรับพระคริสต์และความชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมนุษย์และพระองค์ทรงเรียกให้พวกเขาจัดวางการรับใช้พระองค์อยู่เหนือสิ่งใดอื่นในโลกและให้การรับใช้นั้นอยู่เหนือความเห็นแก่ตัว พระองค์ทรงรับจิตใจที่ยังลังเลเป็นสองฝ่ายไม่ได้ จิตใจที่หมกมุ่นอยู่กับความปรารถนาทางโลกจะนำมามอบถวายให้กับพระเจ้าไม่ได้ {COL 223.1}
The lesson is for all time. We are to follow the Lamb of God whithersoever He goeth. His guidance is to be chosen, His companionship valued above the companionship of earthly friends. Christ says, “He that loveth father or mother more than Me is not worthy of Me, and he that loveth son or daughter more than Me is not worthy of Me.” Matthew 10:37. {COL 223.2}
บทเรียนนี้ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เราต้องติดตามพระเมษโปดกของพระเจ้าไปทุกหนทุกแห่งที่พระองค์ทรงดำเนินไป เราต้องเลือกให้พระองค์ทรงนำและความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพระองค์มีค่าเหนือกว่าความเป็นมิตรใดในโลก พระคริสต์ตรัสว่า “ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราและใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา” มัทธิว 10:37 {COL 223.2}
Around the family board, when breaking their daily bread, many in Christ’s day repeated the words, “Blessed is he that shall eat bread in the kingdom of God.” But Christ showed how difficult it was to find guests for the table provided at infinite cost. Those who listened to His words knew that they had slighted the invitation of mercy. To them worldly possessions, riches, and pleasures were all-absorbing. With one consent they had made excuse. {COL 223.3}
ในสมัยของพระเยซู เมื่อมีการร่วมโต๊ะรับประทานอาหารในครอบครัว ก็จะมีการท่องข้อความว่า “ผู้ที่จะได้รับประทานอาหารในแผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นสุข” ลูกา 14:15 แต่พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้เห็นว่าการเชิญแขกเหรื่อมาร่วมโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ด้วยราคาแพงจนประเมินค่าไม่ได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากเพียงไร ผู้ที่ฟังถ้อยคำของพระองค์ทราบดีว่าพวกเขาดูหมิ่นคำเชื้อเชิญอันมีเมตตาของพระองค์ พวกเขาถูกทรัพย์สมบัติและความสนุกสนานในโลกนี้ดึงดูดไปหมด พวกเขาจึงตกลงใจพร้อมกันแก้ตัวด้วยคำพูดแบบเดียวกัน {COL 223.3}
So it is now. The excuses urged for refusing the invitation to the feast cover the whole ground of excuses for refusing the gospel invitation. Men declare that they cannot imperil their worldly prospects by giving attention to the claims of the gospel. They count their temporal interests as of more value than the things of eternity. The very blessings they have received from God become a barrier to separate their souls from their Creator and Redeemer. They will not be interrupted in their worldly pursuits, and they say to the messenger of mercy, “Go thy way for this time; when I have a convenient season, I will call for thee.” Acts 24:25. Others urge the difficulties that would arise in their social relations should they obey the call of God. They say they cannot afford to be out of harmony with their relatives and acquaintances. Thus they prove themselves to be the very actors described in the parable. The Master of the feast regards their flimsy excuses as showing contempt for His invitation. {COL 224.1}
ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน คำแก้ตัวที่บอกปฏิเสธคำเชื้อเชิญมายังงานเลี้ยงก็เป็นคำแก้ตัวที่ครอบคลุมคำแก้ตัวต่างๆ ที่บอกปฏิเสธการเชื้อเชิญให้รับข่าวประเสริฐ มนุษย์กล่าวว่าเขาไม่สามารถเอาสิ่งของในโลกนี้ไปเสี่ยงกับการให้ความสนใจต่อเรื่องข่าวประเสริฐ พวกเขาถือว่าความสนใจในสิ่งของฝ่ายโลกที่ไม่ยั่งยืนมีค่ายิ่งกว่าสิ่งที่เป็นนิรันดร์ พระพรที่พวกเขารับจากพระเจ้ากลับกลายเป็นสิ่งที่กีดขวางจิตวิญญาณของพวกเขาให้ห่างไปจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างและพระผู้ไถ่ของตนเอง พวกเขาไม่ยอมให้สิ่งใดๆ มาขัดขวางการดำเนินตามโลกนี้และพวกเขาพูดต่อผู้สื่อข่าวแห่งความเมตตาว่า “วันนี้เจ้าไปได้แล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะเรียกเจ้ามาอีก” กิจการ 24:25 คนอื่นๆ กล่าวถึงความลำบากที่จะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ทางสังคมของเขาถ้าเขายอมเชื่อฟังคำเชื้อเชิญของพระเจ้า พวกเขาบอกว่าพวกเขาแยกตัวออกจากญาติสนิทและมิตรสหายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเขาเองเป็นตัวละครในอุปมาเสียเอง เจ้าภาพงานเลี้ยงถือคำแก้ตัวที่ไม่มีสาระนี้ว่าเป็นการแสดงความไม่ให้เกียรติต่อคำเชิญของท่าน {COL 224.1}
The man who said, “I have married a wife, and therefore I cannot come,” represents a large class. Many there are who allow their wives or their husbands to prevent them from heeding the call of God. The husband says, “I cannot obey my convictions of duty while my wife is opposed to it. Her influence would make it exceedingly hard for me to do so.” The wife hears the gracious call, “Come; for all things are now ready,” and she says, “‘I pray thee have me excused.’ My husband refuses the invitation of mercy. He says that his business stands in the way. I must go with my husband, and therefore I cannot come.” The children’s hearts are impressed. They desire to come. But they love their father and mother, and since these do not heed the gospel call, the children think that they cannot be expected to come. They too say, “Have me excused.” {COL 224.2}
ชายที่พูดว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าไปไม่ได้” เป็นตัวแทนคนหมู่มาก มีหลายคนที่ยอมให้ภรรยาหรือสามีเป็นอุปสรรคในการตอบสนองคำเรียกของพระเจ้า ผู้เป็นสามีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถทำตามหน้าที่ได้ ถ้าภรรยาไม่เห็นด้วย อิทธิพลของเธอจะทำให้ข้าพเจ้าเกิดความลำบากใจอย่างมาก” ผู้เป็นภรรยาเมื่อได้ยินคำเรียกร้องแห่งพระคุณที่กล่าวว่า “เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว” ลูกา 14:17 และเธอจะกล่าวว่า “ได้โปรดเถิดดิฉันต้องขอตัว สามีของดิฉันปฏิเสธคำเชื้อเชิญแห่งความเมตตา เขากล่าวว่ายุ่งกับการงานไม่สะดวก ดิฉันจะต้องไปกับสามีเพราะฉะนั้นจึงไปร่วมงานด้วยไม่ได้” บุตรทั้งหลายจึงได้รับรอยประทับในจิตใจ พวกเขาปรารถนาจะไปแต่พวกเขามีความรักต่อบิดาและมารดา เมื่อบิดามารดาไม่ฟังคำเรียกร้องของข่าวประเสริฐ ลูกๆ จึงคิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องไปก็ได้ พวกเขากล่าวเช่นเดียวกันว่า “ขอตัวเถอะ” {COL 224.2}
All these refuse the Saviour’s call because they fear division in the family circle. They suppose that in refusing to obey God they are insuring the peace and prosperity of the home; but this is a delusion. Those who sow selfishness will reap selfishness. In rejecting the love of Christ they reject that which alone can impart purity and steadfastness to human love. They will not only lose heaven, but will fail of the true enjoyment of that for which heaven was sacrificed. {COL 225.1}
บุคคลทั้งหมดปฏิเสธคำเรียกร้องขององค์พระผู้ช่วยให้รอดเพราะกลัวความแตกแยกในครอบครัว พวกเขาคิดว่าการปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้าจะทำให้เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในครอบครัว แต่นี่เป็นภาพลวงตา บุคคลที่หว่านความเห็นแก่ตัวจะเกี่ยวเก็บผลแห่งความเห็นแก่ตัวนั้น การปฏิเสธความรักของพระคริสต์ก็เท่ากับปฏิเสธสิ่งเดียวที่นำมาซึ่งความบริสุทธิ์และความมั่นคงให้แก่ความรักของมนุษย์ พวกเขาไม่เพียงสูญเสียแผ่นดินสวรรค์เท่านั้นแต่จะไม่มีความสุขที่แท้จริงซึ่งแผ่นดินสวรรค์ยอมสละไว้ให้แล้ว {COL 225.1}
In the parable, the giver of the feast learned how his invitation had been treated, and “being angry, said to his servant, Go out quickly into the streets and lanes of the city, and bring in hither the poor, and the maimed, and the halt, and the blind.” {COL 225.2}
ในอุปมานี้ ผู้ที่จัดงานเลี้ยงทราบดีว่าคำเชื้อเชิญของเขาถูกตอบสนองอย่างไร และ “นายก็โกรธ จึงสั่งบ่าวว่า จงออกไปโดยเร็ว ไปตามถนนใหญ่และตรอกเล็กซอยน้อยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาที่นี่” ลูกา 14:21 {COL 225.2}
The host turned from those who despised his bounty, and invited a class who were not full, who were not in possession of houses and lands. He invited those who were poor and hungry, and who would appreciate the bounties provided. “The publicans and the harlots,” Christ said, “go into the kingdom of God before you.” Matthew 21:31. However wretched may be the specimens of humanity that men spurn and turn aside from, they are not too low, too wretched, for the notice and love of God. Christ longs to have care-worn, weary, oppressed human beings come to Him. He longs to give them the light and joy and peace that are to be found nowhere else. The veriest sinners are the objects of His deep, earnest pity and love. He sends His Holy Spirit to yearn over them with tenderness, seeking to draw them to Himself. {COL 225.3}
เจ้าภาพหันไปจากคนที่ดูหมิ่นความใจกว้างของเขาเหล่านี้และไปเชิญหมู่คนที่ไม่มีความสมบูรณ์พูนสุข คนที่ไม่มีบ้านและที่ดินเป็นของตนเองแทน ท่านเชิญคนยากจนและหิวโหยและคนที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ พระคริสต์ตรัสว่า “บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพวกท่าน” มัทธิว 21:31 แม้ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะเป็นหมู่คนที่มนุษย์ต่างดูหมิ่นและหันหลังให้ แต่พวกเขาไม่ได้ต่ำต้อยเกินไปหรือเลวร้ายเกินกว่าที่ความรักและความสนใจของพระเจ้าจะไปถึง พระคริสต์ทรงรอคอยให้ผู้เหนื่อยอ่อน ทุกข์ยากแสนเข็ญ และถูกกดขี่ข่มเหงเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ทรงรอที่จะประทานความสว่างและความยินดีและสันติสุขซึ่งไม่สามารถหาพบได้จากที่อื่นให้แก่ทุกคน คนบาปหนาที่สุดนั้นคือเป้าหมายแห่งความสงสารและความรักที่ล้ำลึกและจริงใจของพระองค์ พระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเรียกร้องพวกเขาด้วยความอ่อนโยนและเพื่อเสาะหานำพวกเขาให้มาหาพระองค์ {COL 225.3}
The servant who brought in the poor and the blind reported to his master, “It is done as thou hast commanded, and yet there is room. And the Lord said unto the servant, Go out into the highways and hedges, and compel them to come in, that my house may be filled.” Here Christ pointed to the work of the gospel outside the pale of Judaism, in the highways and byways of the world. {COL 226.1}
บ่าวซึ่งออกไปนำบรรดาคนยากจนและคนตาบอดมายังงานเลี้ยงก็รายงานต่อเจ้านายว่า “ข้าพเจ้าทำตามที่ท่านสั่งแล้ว แต่ยังมีที่ว่างอยู่ นายจึงสั่งบ่าวคนนั้นว่า จงออกไปตามถนนและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิด บังคับให้พวกเขาเข้ามาเพื่อให้เรือนของเรามีแขกเต็ม” ลูกา 14: 22, 23 ในที่นี้พระคริสต์ทรงชี้ไปยังงานการประกาศข่าวประเสริฐนอกแวดวงศาสนายูดาย ทั้งตามถนนใหญ่และตรอกน้อยของโลก {COL 226.1}
In obedience to this command, Paul and Barnabas declared to the Jews, “It was necessary that the word of God should first have been spoken to you; but seeing ye put it from you, and judge yourselves unworthy of everlasting life, lo, we turn to the Gentiles. For so hath the Lord commanded us, saying, I have set Thee to be a light of the Gentiles, that Thou shouldest be for salvation unto the ends of the earth. And when the Gentiles heard this, they were glad, and glorified the word of the Lord; and as many as were ordained to eternal life believed.” Acts 13:46-48. {COL 226.2}
เปาโลและบานาบัสเชื่อฟังต่อคำสั่งนี้จึงกล่าวกับชาวยิวว่า “เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกล่าวพระวจนะของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายฟังก่อน แต่เมื่อพวกท่านปฏิเสธและตัดสินตัวเองว่าไม่สมควรจะได้ชีวิตนิรันดร์ นี่แน่ะ เราจะหันไปหาพวกต่างชาติ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเราว่าอย่างนี้ เราตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างสำหรับคนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก เมื่อคนต่างชาติได้ยินอย่างนั้นก็มีความยินดีและสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าและคนทั้งหลายที่ทรงหมายไว้แล้วเพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์ก็เชื่อถือ” กิจการ 13:46-48 {COL 226.2}
The gospel message proclaimed by Christ’s disciples was the announcement of His first advent to the world. It bore to men the good tidings of salvation through faith in Him. It pointed forward to His second coming in glory to redeem His people, and it set before men the hope, through faith and obedience, of sharing the inheritance of the saints in light. This message is given to men today, and at this time there is coupled with it the announcement of Christ’s second coming as at hand. The signs which He Himself gave of His coming have been fulfilled, and by the teaching of God’s word we may know that the Lord is at the door. {COL 226.3}
ข่าวประเสริฐซึ่งประกาศโดยสาวกทั้งหลายของพระคริสต์เป็นการประกาศถึงการเสด็จมายังโลกครั้งแรกของพระองค์ นี่เป็นการนำข่าวดีแห่งความรอดโดยความเชื่อในพระองค์มายังมนุษย์ ข่าวนี้เล็งไปถึงกาลข้างหน้าเมื่อพระเยซูเสด็จมาครั้งที่สองด้วยสง่าราศีของพระองค์ เพื่อไถ่ประชากรของพระองค์และยังนำมาซึ่งความหวังใจโดยผ่านทางความเชื่อศรัทธาและความเชื่อฟังในการแบ่งปันมรดกของผู้ชอบธรรมในแสงสว่าง ข่าวนี้ประกาศให้กับมนุษย์ในทุกวันนี้และปัจจุบันก็ยังประกาศอีกด้วยว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์นั้นมาใกล้แล้ว หมายสำคัญซึ่งพระองค์เองตรัสไว้ถึงการเสด็จมาของพระองค์นั้นสำเร็จแล้ว และโดยคำสอนของพระวจนะของพระเจ้าเราจึงทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ประตู {COL 226.3}
John in the Revelation foretells the proclamation of the gospel message just before Christ’s second coming. He beholds an angel flying “in the midst of heaven, having the everlasting gospel to preach unto them that dwell on the earth, and to every nation, and kindred, and tongue, and people, saying with a loud voice, Fear God, and give glory to Him; for the hour of His judgment is come.” Revelation 14:6, 7. {COL 227.1}
ยอห์นพยากรณ์ไว้ในพระธรรมวิวรณ์ถึงการประกาศข่าวประเสริฐก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ท่านมองเห็นทูตสวรรค์ “เหาะไปในท้องฟ้าเพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษาและทุกชนชาติ ท่านประกาศเสียงดังว่า จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายพระเกียรติแด่พระองค์เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว” วิวรณ์ 14:6, 7 {COL 227.1}
In the prophecy this warning of the judgment, with its connected messages, is followed by the coming of the Son of man in the clouds of heaven. The proclamation of the judgment is an announcement of Christ’s second coming as at hand. And this proclamation is called the everlasting gospel. Thus the preaching of Christ’s second coming, the announcement of its nearness, is shown to be an essential part of the gospel message. {COL 227.2}
ในคำพยากรณ์นี้ คำตักเตือนเรื่องการพิพากษารวมทั้งข่าวสารอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกันในคำพยากรณ์ ตามมาด้วยการเสด็จกลับมาของบุตรมนุษย์บนเมฆในท้องฟ้า การประกาศข่าวการพิพากษาเป็นการประกาศการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ว่ามาใกล้แล้ว และการประกาศข่าวนี้ก็คือข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะ ด้วยเหตุนี้การเทศนาเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์และการประกาศว่าเหตุการณ์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว จึงเป็นส่วนสำคัญยิ่งของข่าวประเสริฐ {COL 227.2}
The Bible declares that in the last days men will be absorbed in worldly pursuits, in pleasure and money-getting. They will be blind to eternal realities. Christ says, “As the days of Noah were, so shall also the coming of the Son of man be. For as in the days that were before the flood they were eating and drinking, marrying and giving in marriage, until the day that Noah entered into the ark, and knew not until the flood came, and took them all away; so shall also the coming of the Son of man be.” Matthew 24:37-39. {COL 228.1}
พระคัมภีร์เปิดเผยให้ทราบว่าในยุคสุดท้ายนั้นมนุษย์จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งของทางฝ่ายโลก ในความสนุกสนานและการแสวงหาเงินทอง เขาจะตาบอดต่อสิ่งที่เป็นความจริงอันนิรันดร์ พระคริสต์ตรัสว่า “เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายพากันกินดื่มกัน สมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือใหญ่และน้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคนโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น” มัทธิว 24:37-39 {COL 228.1}
So it is today. Men are rushing on in the chase for gain and selfish indulgence as if there were no God, no heaven, and no hereafter. In Noah’s day the warning of the flood was sent to startle men in their wickedness and call them to repentance. So the message of Christ’s soon coming is designed to arouse men from their absorption in worldly things. It is intended to awaken them to a sense of eternal realities, that they may give heed to the invitation to the Lord’s table. {COL 228.2}
ทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน มนุษย์เร่งที่จะแสวงหากำไรและทำสิ่งที่ต้องการด้วยความเห็นแก่ตัวราวกับว่าไม่มีพระเจ้า ไม่มีแผ่นดินสวรรค์และไม่มีโลกหน้า ในสมัยของโนอาห์ คำตักเตือนที่บอกว่าน้ำจะท่วมโลก ได้ถูกส่งมาเพื่อกระตุ้นให้มนุษย์ตื่นตัวกับความชั่วของตนและเพื่อจะเรียกให้พวกเขากลับใจใหม่ ด้วยเหตุนี้ข่าวการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ที่ใกล้เข้ามาก็ส่งมาเพื่อกระตุ้นเร่งเร้ามนุษย์ให้หันกลับจากการหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งของทางฝ่ายโลก ข่าวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะปลุกมนุษย์ให้ตื่นขึ้นสู่ความจริงนิรันดร์ เพื่อว่าพวกเขาจะเอาใจใส่ต่อคำเชื้อเชิญเข้าร่วมโต๊ะของพระผู้เป็นเจ้า {COL 228.2}
The gospel invitation is to be given to all the world–“to every nation, and kindred, and tongue, and people.” Revelation 14:6. The last message of warning and mercy is to lighten the whole earth with its glory. It is to reach all classes of men, rich and poor, high and low. “Go out into the highways and hedges,” Christ says, “and compel them to come in, that My house may be filled.” {COL 228.3}
คำเชิญชวนของข่าวประเสริฐจะต้องประกาศไปทั่วทั้งโลก “แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษาและทุกชนชาติ” วิวรณ์ 14:6 ข่าวสุดท้ายเพื่อตักเตือนและความเมตตาจะทำให้โลกสว่างไสวด้วยสง่าราศีและข่าวนี้จะต้องเข้าถึงชนทุกชั้นวรรณะไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สูงส่งหรือต่ำต้อย พระคริสต์ตรัสว่า “จงออกไปตามถนนและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิด บังคับให้พวกเขาเข้ามาเพื่อให้เรือนของเรามีแขกเต็ม” {COL 228.3}
The world is perishing for want of the gospel. There is a famine for the word of God. There are few who preach the word unmixed with human tradition. Though men have the Bible in their hands, they do not receive the blessing that God has placed in it for them. The Lord calls upon His servants to carry His message to the people. The word of everlasting life must be given to those who are perishing in their sins. {COL 228.4}
โลกกำลังพินาศเพราะขาดข่าวประเสริฐ ขณะนี้เกิดการกันดารพระธรรมของพระเจ้า มีน้อยคนนักที่สั่งสอนพระธรรมที่ไม่ได้เจือปนด้วยธรรมเนียมของมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์จะมีพระคัมภีร์อยู่ในมือ แต่พวกเขาหาได้รับพระพรซึ่งพระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้แล้วไม่ พระยาห์เวห์ทรงเรียกบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ให้นำข่าวของพระองค์ไปยังคนทั้งหลาย พระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์จะต้องประกาศไปให้แก่ผู้ที่กำลังจะพินาศในบาปผิดของตน {COL 228.4}
In the command to go into the highways and hedges, Christ sets forth the work of all whom He calls to minister in His name. The whole world is the field for Christ’s ministers. The whole human family is comprised in their congregation. The Lord desires that His word of grace shall be brought home to every soul. {COL 229.1}
ในคำสั่งที่ให้ออกไปตามถนนและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิดนั้น พระคริสต์ทรงวางพระราชกิจของพระองค์ไว้ให้กับคนที่ทรงเรียกให้มาทำหน้าที่รับใช้พระนามของพระองค์ ทั่วทั้งโลกเป็นทุ่งนาสำหรับผู้รับใช้ของพระคริสต์ ครอบครัวมนุษย์ทั้งโลกจะรวมตัวกันได้โดยเขาเหล่านี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงปรารถนาจะประทานพระวจนะแห่งพระคุณของพระองค์ไปสู่จิตวิญญาณทุกดวง {COL 229.1}
To a great degree this must be accomplished by personal labor. This was Christ’s method. His work was largely made up of personal interviews. He had a faithful regard for the one-soul audience. Through that one soul the message was often extended to thousands. {COL 229.2}
งานส่วนใหญ่จะสำเร็จได้ด้วยการทำงานของแต่ละคน นี่เป็นวิธีที่พระคริสต์ทรงใช้ งานของพระองค์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยการสนทนาตัวต่อตัว พระองค์ทรงสนพระทัยต่อจิตวิญญาณแม้เพียงดวงเดียว จากจิตวิญญาณเพียงดวงเดียวนี้เอง ข่าวนี้ก็ขยายออกไปยังคนนับพันนับหมื่น {COL 229.2}
We are not to wait for souls to come to us; we must seek them out where they are. When the word has been preached in the pulpit, the work has but just begun. There are multitudes who will never be reached by the gospel unless it is carried to them. {COL 229.3}
เราไม่ควรรอให้คนทั้งหลายเข้ามาหาเราเอง เราต้องออกไปแสวงหาพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน คำเทศนาบนธรรมาสน์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการทำงาน ข่าวประเสริฐจะเข้าถึงคนอีกมากมายไม่ได้ จะต้องมีผู้นำไปให้พวกเขา {COL 229.3}
The invitation to the feast was first given to the Jewish people, the people who had been called to stand as teachers and leaders among men, the people in whose hands were the prophetic scrolls foretelling Christ’s advent, and to whom was committed the symbolic service foreshadowing His mission. Had priests and people heeded the call, they would have united with Christ’s messengers in giving the gospel invitation to the world. The truth was sent to them that they might impart it. When they refused the call, it was sent to the poor, the maimed, the halt, and the blind. Publicans and sinners received the invitation. When the gospel call is sent to the Gentiles, there is the same plan of working. The message is first to be given “in the highways”–to men who have an active part in the world’s work, to the teachers and leaders of the people. {COL 229.4}
คำเชิญชวนให้ไปร่วมงานเลี้ยงได้ส่งไปหาชาวยิวก่อนเป็นอันดับแรก พวกเขาได้รับการทรงเรียกให้เป็นครูสอนและผู้นำท่ามกลางปวงชน เป็นผู้ที่มีหนังสือม้วนคำพยากรณ์อยู่ในมือที่บอกถึงการเสด็จมาของพระคริสต์ไว้ล่วงหน้าและเป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติกิจซึ่งมีเครื่องหมายเล็งถึงพันธกิจของพระองค์ หากบรรดาปุโรหิตและคนเหล่านี้เอาใจใส่ต่อการทรงเรียกแล้ว พวกเขาคงมีส่วนร่วมกับผู้สื่อข่าวของพระคริสต์ในการประกาศคำเชื้อเชิญของข่าวประเสริฐให้แก่ชาวโลก ความจริงได้ส่งไปให้แก่พวกเขาเพื่อการแบ่งปัน เมื่อพวกเขาปฏิเสธคำเชิญชวน ข่าวนี้จึงส่งต่อไปยังคนยากจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด คนเก็บภาษีและคนบาปต่างพากันรับคำเชื้อเชิญนี้ เมื่อข่าวประเสริฐแห่งการทรงเรียกนี้ถูกส่งไปยังชาวต่างชาติ มีการใช้แผนงานอย่างเดียวกันในการทำงาน ข่าวนี้จะต้องไปยัง “ถนนใหญ่” ก่อน คือ ไปยังผู้ที่มีบทบาทในโลก ครูและผู้นำทั้งหลาย {COL 229.4}
Let the Lord’s messengers bear this in mind. To the shepherds of the flock, the teachers divinely appointed, it should come as a word to be heeded. Those who belong to the higher ranks of society are to be sought out with tender affection and brotherly regard. Men in business life, in high positions of trust, men with large inventive faculties and scientific insight, men of genius, teachers of the gospel whose minds have not been called to the special truths for this time–these should be the first to hear the call. To them the invitation must be given. {COL 230.1}
ขอให้ผู้สื่อข่าวขององค์พระผู้เป็นเจ้าจดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ ให้ผู้เลี้ยงฝูงแกะคือบรรดาครูผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยสวรรค์จงเอาใจใส่พระบัญชานี้ พวกเขาควรแสวงหาบุคคลระดับสูงในสังคมด้วยความรักอ่อนสุภาพและด้วยความรักเอาใจใส่ฉันพี่น้อง ทั้งนักธุรกิจ นักปกครองที่อยู่ในตำแห่งสำคัญ นักค้นคว้าทางวิชาการ นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ คนที่มีความสามารถสูง ครูผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ยังไม่ได้รับการทรงเรียกให้ทราบข่าวความจริงพิเศษสำหรับยุคนี้ บุคคลเหล่านี้ควรเป็นคนกลุ่มแรกที่รับข่าวการทรงเรียก คำเชื้อเชิญจะต้องส่งไปยังบุคคลเหล่านี้ {COL 230.1}
There is a work to be done for the wealthy. They need to be awakened to their responsibility as those entrusted with the gifts of heaven. They need to be reminded that they must give an account to Him who shall judge the living and the dead. The wealthy man needs your labor in the love and fear of God. Too often he trusts in his riches, and feels not his danger. The eyes of his mind need to be attracted to things of enduring value. He needs to recognize the authority of true goodness, which says, “Come unto Me, all ye that labour and are heavy laden, and I will give you rest. Take My yoke upon you, and learn of Me; for I am meek and lowly in heart, and ye shall find rest unto your souls; for My yoke is easy, and My burden is light.” Matthew 11:28-30. {COL 230.2}
มีงานที่ต้องทำเพื่อคนมั่งมี พวกเขาต้องได้รับการปลุกให้ทราบถึงความรับผิดชอบของเขาว่าเป็นเหมือนผู้ที่ได้รับฝากของประทานจากสวรรค์ พวกเขาจะต้องได้รับคำเตือนให้ระลึกว่าพวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงตัดสินความทั้งคนเป็นและคนตาย คนร่ำรวยต้องการงานปฏิบัติ ของท่านที่ทำด้วยความรักและความยำเกรงพระเจ้า บ่อยครั้งคนเหล่านี้วางใจในทรัพย์สมบัติของตนและไม่รู้สึกถึงอันตรายที่จะเกิดแก่ตนเอง สายตาของพวกเขาจะต้องถูกชี้แนะเพื่อให้มองไปยังสิ่งที่มีค่าชั่วนิรันดร์ พวกเขาจะต้องตระหนักถึงพระราชอำนาจของความดีงามที่แท้จริง ซึ่งกล่าวว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อมและจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา” มัทธิว 11:28-30 {COL 230.2}
Those who stand high in the world for their education, wealth, or calling, are seldom addressed personally in regard to the interests of the soul. Many Christian workers hesitate to approach these classes. But this should not be. If a man were drowning, we would not stand by and see him perish because he was a lawyer, a merchant, or a judge. If we saw persons rushing over a precipice, we would not hesitate to urge them back, whatever might be their position or calling. Neither should we hesitate to warn men of the peril of the soul. {COL 230.3}
บุคคลที่อยู่ตำแหน่งสูงในโลกที่มีการศึกษาสูง ร่ำรวยหรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงมักจะไม่ได้รับการบอกกล่าวเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องที่มีความสำคัญต่อจิตวิญญาณ ผู้รับใช้คริสตเตียนลังเลใจที่จะเข้าหาคนกลุ่มนี้ แต่ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย ถ้ามีคนกำลังจมน้ำ เราไม่ควรยืนนิ่งและดูเขาพินาศไปเพียงเพราะเขาเป็นทนายความ เป็นพ่อค้าหรือผู้พิพากษา ถ้าเราพบคนกำลังวิ่งไปที่หน้าผาเราคงจะไม่ลังเลที่จะร้องขอให้เขาหันกลับมาโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งหรือหน้าที่การงานของเขา เช่นเดียวกัน เราไม่ควรลังเลในการเตือนเพื่อนมนุษย์ถึงภัยอันตรายของจิตวิญญาณ {COL 230.3}
None should be neglected because of their apparent devotion to worldly things. Many in high social positions are heartsore, and sick of vanity. They are longing for a peace which they have not. In the very highest ranks of society are those who are hungering and thirsting for salvation. Many would receive help if the Lord’s workers would approach them personally, with a kind manner, a heart made tender by the love of Christ. {COL 231.1}
เราไม่ควรละเลยไม่เอาใจใส่ต่อคนใดเพราะเห็นว่าพวกเขาสนใจในสิ่งของทางฝ่ายโลก มีหลายคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูงที่จิตใจชอกช้ำ เบื่อหน่ายกับสิ่งที่เป็นอนิจจัง พวก เขาอยากมีความสงบสุขที่ยังขาดอยู่ ในสังคมชั้นสูงสุดยังมีคนที่กำลังหิวและกระหายความรอด มีหลายคนที่จะยอมรับการช่วยเหลือถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าจะเข้าหาเขาเป็นการส่วนตัว ด้วยมารยาทที่ดีและจิตใจที่อ่อนสุภาพ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความรักของพระคริสต์ {COL 231.1}
The success of the gospel message does not depend upon learned speeches, eloquent testimonies, or deep arguments. It depends upon the simplicity of the message and its adaptation to the souls that are hungering for the bread of life. “What shall I do to be saved?”–this is the want of the soul. {COL 231.2}
ความสำเร็จของข่าวประเสริฐหาได้ขึ้นอยู่กับความรู้ในการพูด คำพยานที่คล่องแคล่วหรือคำโต้ตอบอันแยบยล แต่ขึ้นอยู่กับความเรียบง่ายของข่าวประเสริฐและความสามารถในการปรับเข้าหาจิตวิญญาณที่กำลังหิวกระหายอาหารแห่งชีวิต จิตใจที่มีความต้องการจะถามว่า “ข้าพเจ้าควรทำประการใดจึงจะได้รับความรอด” {COL 231.2}
Thousands can be reached in the most simple and humble way. The most intellectual, those who are looked upon as the world’s most gifted men and women, are often refreshed by the simple words of one who loves God, and who can speak of that love as naturally as the world speaks of the things that interest him most deeply. {COL 232.1}
ความสำเร็จของข่าวประเสริฐหาได้ขึ้นอยู่กับความรู้ในการพูด คำพยานที่คล่องแคล่วหรือคำโต้ตอบอันแยบยล แต่ขึ้นอยู่กับความเรียบง่ายของข่าวประเสริฐและความสามารถในการปรับเข้าหาจิตวิญญาณที่กำลังหิวกระหายอาหารแห่งชีวิต จิตใจที่มีความต้องการจะถามว่า “ข้าพเจ้าควรทำประการใดจึงจะได้รับความรอด” {COL 231.2}
Often the words well prepared and studied have but little influence. But the true, honest expression of a son or daughter of God, spoken in natural simplicity, has power to unbolt the door to hearts that have long been closed against Christ and His love. {COL 232.2}
บ่อยครั้งถ้อยคำซึ่งตระเตรียมและศึกษามาอย่างดีมักมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อย แต่การแสดงออกทางความรู้สึกอย่างจริงใจและซื่อตรงของบุตรชายหรือบุตรหญิงของพระเจ้าที่กล่าวถ่อยคำอย่างเป็นธรรมชาติด้วยความเรียบง่ายกลับมีพลังที่จะเปิดประตูใจที่ถูกปิดมาเป็นเวลานานต่อพระคริสต์และความรักของพระองค์ {COL 232.2}
Let the worker for Christ remember that he is not to labor in his own strength. Let him lay hold of the throne of God with faith in His power to save. Let him wrestle with God in prayer, and then work with all the facilities God has given him. The Holy Spirit is provided as his efficiency. Ministering angels will be by his side to impress hearts. {COL 232.3}
ขอให้ผู้รับใช้ของพระคริสต์ระลึกว่าไม่ควรทำงานด้วยกำลังของตนโดยลำพัง เขาควรยึดพระที่นั่งของพระเจ้าด้วยความเชื่อในอำนาจของพระองค์ที่จะช่วยให้รอดได้ ให้เขาปล้ำสู้กับพระเจ้าในการอธิษฐาน แล้วจึงทำงานด้วยสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่พระเจ้าประทาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้พวกเขา ทูตสวรรค์ที่รับใช้พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างพวกเขาเพื่อสร้างความประทับใจขึ้นในจิตใจ {COL 232.3}
If the leaders and teachers at Jerusalem had received the truth Christ brought, what a missionary center their city would have been! Backslidden Israel would have been converted. A vast army would have been gathered for the Lord. And how rapidly they could have carried the gospel to all parts of the world. So now, if men of influence and large capacity for usefulness could be won for Christ, then through them what a work could be accomplished in lifting up the fallen, gathering in the outcasts, and spreading far and wide the tidings of salvation. Rapidly the invitation might be given, and the guests be gathered for the Lord’s table. {COL 232.4}
หากผู้นำและครูในกรุงเยรูซาเล็มรับความจริงที่พระคริสต์ทรงนำมาให้ กรุงนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ประกาศข่าวได้อย่างดีมากเพียงไร ชนชาติอิสราเอลที่หลงหายไปคงได้กลับใจ กองทหารอันเหลือคณานับคงจะมาชุมนุมกันเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และข่าวประเสริฐจะประกาศไปทุกแห่งทั่วโลกได้เร็วมากขึ้นเพียงใด ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ถ้าบุคคลผู้มีอิทธิพลสูงและความสามารถดีได้เข้ามาเชื่อพระคริสต์ พวกเขาจะกระทำการเพื่อช่วยอุ้มชูผู้ที่หลงไป รวบรวมผู้ที่ถูกทอดทิ้งและเผยแพร่ข่าวประเสริฐแห่งความรอดไปอย่างกว้างไกลได้มากเพียงใด คำเชื้อเชิญจะถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็วและผู้รับเชิญจะถูกรวบรวมมาร่วมโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า {COL 232.4}
But we are not to think only of great and gifted men, to the neglect of the poorer classes. Christ instructs His messengers to go also to those in the byways and hedges, to the poor and lowly of the earth. In the courts and lanes of the great cities, in the lonely byways of the country, are families and individuals–perhaps strangers in a strange land–who are without church relations, and who, in their loneliness, come to feel that God has forgotten them. They do not understand what they must do to be saved. Many are sunken in sin. Many are in distress. They are pressed with suffering, want, unbelief, despondency. Disease of every type afflicts them, both in body and in soul. They long to find a solace for their troubles, and Satan tempts them to seek it in lusts and pleasures that lead to ruin and death. He is offering them the apples of Sodom, that will turn to ashes upon their lips. They are spending their money for that which is not bread and their labor for that which satisfieth not. {COL 232.5}
แต่เราไม่ควรคิดถึงแต่คนสูงศักดิ์หรือมีความสามารถสูงจนกระทั่งละเลยคนที่ยากจนกว่า พระคริสต์ทรงสอนให้บ่าวของพระองค์ไปตามตรอกซอยและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิดด้วย ไปยังคนยากจนและคนธรรมดาของโลก ตามคฤหาสน์และตรอกของเมืองใหญ่ ตามซอกซอยเปลี่ยวเปล่าในชนบทยังมีครอบครัวและผู้คนซึ่งอาจเป็นคนแปลกหน้าในบ้านเมืองใหม่ ผู้ไม่มีมิตรสหายในคริสตจักรและอยู่โดดเดี่ยวที่รู้สึกว่าพระเจ้าลืมพวกเขาไปแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรับความรอดได้ หลายคนจมอยู่ในบาป หลายคนตกทุกข์ร้อน พวกเขาทุกข์ยากทรมาน ขัดสน ไม่มีความเชื่อ ทุกข์ใจ โรคร้ายทุกชนิดรุมล้อมเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ พวกเขาปรารถนาการเล้าโลมใจจากปัญหาต่างๆ และซาตานล่อลวงพวกเขาให้หาทางออกด้วยการเข้าหาตัณหาและความสนุกสนานซึ่งมีแต่นำไปสู่ความพินาศและความตาย มันหยิบยื่นผลไม้แห่งเมืองโสโดมให้พวกเขา ที่จะเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านคาปาก พวกเขากำลังใช้จ่ายเงินทองไปเพื่อสิ่งซึ่งไม่ใช่อาหารและทำงานหนักเพื่อสิ่งซึ่งไม่ให้ความพึงพอใจ {COL 232.5}
In these suffering ones we are to see those whom Christ came to save. His invitation to them is “Ho, every one that thirsteth, come ye to the waters, and he that hath no money; come ye, buy and eat; yea, come, buy wine and milk without money and without price. . . . Hearken diligently unto Me, and eat ye that which is good, and let your soul delight itself in fatness. Incline your ear, and come unto Me: hear, and your soul shall live.” Isaiah 55:1-3. {COL 233.1}
ในท่ามกลางคนที่ทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เราจะต้องไปค้นหาผู้ที่พระคริสต์เสด็จมาเพื่อช่วยให้รอด คำเชิญของพระองค์ที่มายังคนเหล่านี้คือ “โอ้ ทุกคนที่กระหาย จงมายังน้ำและผู้ที่ไม่มีเงิน จงมาหาซื้อและรับประทาน จงมาซื้อเหล้าองุ่นและน้ำนมโดยไม่ต้องเสียเงินและค่าใช้จ่าย…จงเอาใจใส่ฟังเราและรับประทานของดีและให้ตัวเจ้าปีติยินดีในอาหารโอชา จงเอียงหูของเจ้าแล้วมาหาเรา จงฟังเพื่อเจ้าจะมีชีวิต” อิสยาห์ 55:1-3 {COL 233.1}
God has given a special command that we should regard the stranger, the outcast, and the poor souls who are weak in moral power. Many who appear wholly indifferent to religious things are in heart longing for rest and peace. Although they may have sunken to the very depths of sin, there is a possibility of saving them. {COL 233.2}
พระเจ้าทรงมอบหมายคำสั่งพิเศษให้เราว่าจะต้องเอาใจใส่คนแปลกหน้า ผู้ถูกทอดทิ้งและจิตวิญญาณน่าสงสารที่อ่อนแอฝ่ายศีลธรรม มีหลายคนซึ่งดูเหมือนว่าไม่สนใจในเรื่องศาสนาเลยแต่ภายในใจกลับแสวงหาความสงบสุขและการพักผ่อน แม้ว่าพวกเขาจะจมลึกอยู่ในความผิดบาปแต่ก็ยังมีโอกาสที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้ {COL 233.2}
Christ’s servants are to follow His example. As He went from place to place, He comforted the suffering and healed the sick. Then He placed before them the great truths in regard to His kingdom. This is the work of His followers. As you relieve the sufferings of the body, you will find ways for ministering to the wants of the soul. You can point to the uplifted Saviour, and tell of the love of the great Physician, who alone has power to restore. {COL 233.3}
ผู้รับใช้ของพระคริสต์จะต้องทำตามแบบอย่างของพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปตามที่ต่างๆ พระองค์ทรงปลอบประโลมผู้ทนทุกข์และรักษาผู้เจ็บป่วย จากนั้นก็ทรงเปิดเผยความจริงยิ่งใหญ่เกี่ยวกับแผ่นดินของพระองค์ให้พวกเขาทราบ นี่คือภารกิจของผู้ติดตามพระองค์ ขณะที่ท่านปลดเปลื้องความทุกข์ฝ่ายร่างกายให้เขา ท่านก็จะพบหนทางที่จะเข้าถึงความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณ ท่านชี้ไปยังองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงรับการยกชูขึ้น และบอกถึงความรักของแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้เดียวที่มีอำนาจที่จะนำกลับสู่สภาพดีดังเดิมได้ {COL 233.3}
Tell the poor desponding ones who have gone astray that they need not despair. Though they have erred, and have not been building a right character, God has joy to restore them, even the joy of His salvation. He delights to take apparently hopeless material, those through whom Satan has worked, and make them the subjects of His grace. He rejoices to deliver them from the wrath which is to fall upon the disobedient. Tell them there is healing, cleansing for every soul. There is a place for them at the Lord’s table. He is waiting to bid them welcome. {COL 234.1}
จงบอกคนทุกข์โศกที่หลงทางไปว่าพวกเขาไม่ต้องเศร้าเสียใจอีกต่อไป แม้พวกเขาจะพลาดไปแล้วและไม่ได้ปลูกฝังอุปนิสัยที่ถูกต้อง พระเจ้าจะทรงนำความยินดีกลับคืนมาให้ แม้กระทั่งความยินดีในความรอดของพระองค์ พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะนำผู้ที่เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นคนสิ้นหวังซึ่งเป็นคนที่ซาตานทำนั้นให้นำมาอยู่ใต้ร่มพระคุณของพระองค์ พระเจ้าทรงยินดีที่จะนำพวกเขาออกจากพระพิโรธที่ตกกับผู้ไม่เชื่อ จงบอกให้พวกเขารู้ว่ามีการรักษาและการชำระสำหรับจิตวิญญาณทุกดวง มีที่จัดไว้สำหรับพวกเขาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเฝ้ารอที่จะต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดี {COL 234.1}
Those who go into the byways and hedges will find others of a widely different character, who need their ministry. There are those who are living up to all the light they have, and are serving God the best they know how. But they realize that there is a great work to be done for themselves and for those about them. They are longing for an increased knowledge of God, but they have only begun to see the glimmering of greater light. They are praying with tears that God will send them the blessing which by faith they discern afar off. In the midst of the wickedness of the great cities many of these souls are to be found. Many of them are in very humble circumstances, and because of this they are unnoticed by the world. There are many of whom ministers and churches know nothing. But in lowly, miserable places they are the Lord’s witnesses. They may have had little light and few opportunities for Christian training, but in the midst of nakedness, hunger, and cold they are seeking to minister to others. Let the stewards of the manifold grace of God seek out these souls, visit their homes, and through the power of the Holy Spirit minister to their needs. Study the Bible with them and pray with them with that simplicity which the Holy Spirit inspires. Christ will give His servants a message that will be as the bread of heaven to the soul. The precious blessing will be carried from heart to heart, from family to family. {COL 234.2}
บรรดาผู้ที่ไปตามตรอกซอยและตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิดจะพบผู้คนที่มีอุปนิสัยที่แตกต่างกันอย่างมาก คนเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือจากเขา มีบางคนปฏิบัติตนอย่างดีที่สุดตามแสงสว่างที่พวกเขาได้รับและทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ แต่พวกเขาตระหนักดีว่ายังมีงานใหญ่ที่ต้องทำเพื่อตัวเขาเอง และเพื่อคนที่อยู่รอบข้าง พวกเขาอยากมีความรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้นแต่พวกเขาเพียงแค่เริ่มต้นที่จะเห็นประกายของแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเท่านั้น พวกเขาเฝ้าอธิษฐานด้วยน้ำตาเพื่อขอพระเจ้าประทานพระพรซึ่งโดยความเชื่อพวกเขามองเห็นอยู่แต่ไกล ในใจกลางเมืองใหญ่ที่ชั่วร้ายของเราจะพบจิตวิญญาณเหล่านี้จำนวนมาก หลายคนมีสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นอย่างยิ่ง และเพราะสภาพของเขาเป็นเช่นนี้จึงไม่เป็นที่สนใจของชาวโลก มีหลายคนซึ่งผู้รับใช้และคริสตจักรไม่เคยทราบเรื่องเลย แต่ในสภาพที่ต่ำต้อยและยากแค้นเช่นนี้พวกเขาเป็นพยานให้แก่พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาอาจจะได้รับแสงสว่างเพียงเล็กน้อยและมีโอกาสได้รับการฝึกฝนแบบคริสเตียนเพียงน้อยนิด แต่ท่ามกลางความเปลือยเปล่า ความหิวโหยและหนาวเหน็บ พวกเขากำลังหาทางที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ขอให้ผู้อารักขาที่ได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้าแสวงหาวิญญาณจิตเหล่านี้ ไปเยี่ยมเยียนบ้านเขาและด้วยฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความช่วยเหลือพวกเขา จงศึกษาพระคัมภีร์กับเขาและอธิษฐานร่วมกับเขาด้วยความเรียบง่ายตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจ พระคริสต์จะประทานถ้อยคำ ซึ่งเป็นเสมือนอาหารจากสวรรค์สำหรับจิตวิญญาณ พระพรอันมีค่าจะถูกนำไปให้แก่จิตใจแต่ละดวง จากครอบครัวสู่ครอบครัว {COL 234.2}
The command given in the parable, to “compel them to come in,” has often been misinterpreted. It has been regarded as teaching that we should force men to receive the gospel. But it denotes rather the urgency of the invitation, and the effectiveness of the inducements presented. The gospel never employs force in bringing men to Christ. Its message is “Ho, every one that thirsteth, come ye to the waters.” Isaiah 55:1. “The Spirit and the bride say, Come. . . . And whosoever will, let him take the water of life freely.” Revelation 22:17. The power of God’s love and grace constrains us to come. {COL 235.1}
คำสั่งในอุปมาที่กล่าวว่า “บังคับให้พวกเขาเข้ามา” มักจะถูกแปลความหมายผิดเสมอ โดยถือว่าเป็นคำสอนให้เราจะต้องบังคับมนุษย์ยอมรับข่าวประเสริฐ แต่แท้จริงแล้วคำบัญชานี้เล็งถึงการให้เร่งนำคำเชิญนี้ออกไปแจ้งแก่คนทั้งหลายและประสิทธิภาพในการชักจูงคนให้เข้ามามากกว่า ข่าวประเสริฐไม่ได้บังคับให้มนุษย์มาหาพระคริสต์ ข่าวนั้นมีว่า “ทุกคนที่กระหาย จงมายังน้ำ” อิสยาห์ 55:1 “พระวิญญาณและเจ้าสาวกล่าวว่า เชิญเสด็จมาเถิด…ใครมีใจปรารถนาจงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” วิวรณ์ 22:17 อำนาจของความรักและพระคุณของพระเจ้าเร่งให้เราเข้ามา {COL 235.1}
The Saviour says, “Behold, I stand at the door, and knock; if any man hear My voice, and open the door, I will come in to him, and will sup with him, and he with Me.” Revelation 3:20. He is not repulsed by scorn or turned aside by threatening, but continually seeks the lost ones, saying, “How shall I give thee up?” Hosea 11:8. Although His love is driven back by the stubborn heart, He returns to plead with greater force, “Behold, I stand at the door, and knock.” The winning power of His love compels souls to come in. And to Christ they say, “Thy gentleness hath made me great.” Psalm 18:35. {COL 235.2}
พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “นี่แนะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขาและเขาจะรับประทานร่วมกับเรา” วิวรณ์ 3:20 การดูหมิ่นจะไม่ผลักไสพระองค์ หรือคำขู่จะไม่ทำให้พระองค์หันจากไป แต่ทรงแสวงหาผู้หลงหายอยู่เสมอโดยตรัสว่า “เราจะให้เจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไร” โฮเซยา 11:8 แม้ว่าความรักของพระองค์จะถูกโต้กลับด้วยจิตใจที่ดื้อดึง แต่พระองค์ทรงอ้อนวอนตอบด้วยกำลังที่เพิ่มขึ้น นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู” อำนาจที่มีชัยแห่งความรักของพระองค์เร่งเร้าจิตวิญญาณให้เข้ามา และพวกเขากล่าวกับพระคริสต์ว่า “การถ่อมพระองค์ลงก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น” สดุดี 18:35 {COL 235.2}
Christ will impart to His messengers the same yearning love that He Himself has in seeking for the lost. We are not merely to say, “Come.” There are those who hear the call, but their ears are too dull to take in its meaning. Their eyes are too blind to see anything good in store for them. Many realize their great degradation. They say, I am not fit to be helped; leave me alone. But the workers must not desist. In tender, pitying love, lay hold of the discouraged and helpless ones. Give them your courage, your hope, your strength. By kindness compel them to come. “Of some have compassion, making a difference; and others save with fear, pulling them out of the fire.” Jude 22, 23. {COL 235.3}
พระคริสต์จะทรงมอบความรักที่เรียกร้องหา อย่างเดียวกันกับที่พระองค์ทรงเสาะหาผู้ที่หลงหายแก่ผู้สื่อข่าวของพระองค์ เราไม่ควรเพียงเอ่ยคำว่า “เชิญมาเถิด” มีหลายคนได้ยินเสียงเรียก แต่หูของพวกเขาตึงเกินกว่าที่จะรับทราบความหมาย ดวงตาของพวกเขามืดเกินกว่าที่จะเห็นสิ่งดีใดๆ ที่เก็บไว้ คนอีกมากมายตระหนักถึงความตกต่ำอย่างแสนสาหัสของตน เขากล่าวว่าข้าพเจ้าไม่สมควรที่จะได้รับความช่วยเหลือ ปล่อยข้าพเจ้าตามลำพังเถิด แต่ผู้รับใช้ไม่ควรหยุดอยู่ตรงนั้น จงเข้าถึงคนที่หมดกำลังใจและช่วยเหลือตนเองไม่ได้เหล่านี้ด้วยความอ่อนโยนและความรักความสงสาร จงให้กำลังใจแก่พวกเขา ให้ความหวังและความเข้มแข็งแก่พวกเขา จงเร่งเร้าเขาด้วยความปรานีให้เขาเข้ามา “จงมีใจเมตตาคนที่ยังสงสัยอยู่ จงช่วยคนให้รอดด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ” ยูดา 22, 23 {COL 235.3}
If the servants of God will walk with Him in faith, He will give power to their message. They will be enabled so to present His love and the danger of rejecting the grace of God that men will be constrained to accept the gospel. Christ will perform wonderful miracles if men will but do their God-given part. In human hearts today as great a transformation may be wrought as has ever been wrought in generations past. John Bunyan was redeemed from profanity and reveling, John Newton from slave dealing, to proclaim an uplifted Saviour. A Bunyan and a Newton may be redeemed from among men today. Through human agents who co-operate with the divine, many a poor outcast will be reclaimed, and in his turn will seek to restore the image of God in man. There are those who have had very meager opportunities, who have walked in ways of error because they knew no better way, to whom beams of light will come. As the word of Christ came to Zacchaeus, “Today I must abide at thy house” (Luke 19:5), so the word will come to them; and those who were supposed to be hardened sinners will be found to have hearts as tender as a child’s because Christ has deigned to notice them. Many will come from the grossest error and sin, and will take the place of others who have had opportunities and privileges but have not prized them. They will be accounted the chosen of God, elect, precious; and when Christ shall come into His kingdom, they will stand next His throne. {COL 236.1}
ถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าเดินไปกับพระองค์ด้วยความเชื่อ พระองค์จะประทานพลังอำนาจให้แก่ข่าวของพวกเขา พวกเขาจะได้รับความสามารถในการประกาศความรักของพระองค์และภัยอันตรายของการปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าจนสามารถเร่งเร้าให้คนทั้งหลายที่ได้ยินยอมรับข่าวประเสริฐได้ พระคริสต์จะทรงกระทำการอัศจรรย์ หากมนุษย์จะกระทำหน้าที่ในส่วนที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขา ในจิตใจของมนุษย์ทุกวันนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏในทุกยุคที่ผ่านมา จอห์น บันยันได้รับการไถ่จากการเป็นผู้ที่ลบหลู่ศาสนาและรักความสนุกสนาน จอห์น นิวตันจากการค้าทาสมาเป็นผู้ประกาศองค์พระผู้ช่วยให้รอด ทุกวันนี้บุคคลเช่นบันยันและนิวตันอาจได้รับการไถ่จากสังคมได้ โดยผ่านตัวแทนมนุษย์ที่ร่วมมือกับพระเจ้าจะมีคนผู้ถูกทอดทิ้งรับการไถ่กลับคืน และจากนั้นพวกเขาจะพยายามนำพระฉายาของพระเจ้ากลับคืนสู่มนุษย์ดังเดิม ยังมีผู้ที่ด้อยโอกาส ผู้ที่ดำเนินในทางที่ผิดเพราะเขาไม่ได้ทราบถึงหนทางที่ดีกว่า พวกเขาเหล่านี้จะได้รับแสงสว่าง ดังเช่นพระดำรัสของพระคริสต์ที่มีมายังศักเคียส “เพราะว่าวันนี้เราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน” ลูกา 19:5 พระดำรัสนั้นจะมาถึงพวกเขาด้วยและคนที่ดูเหมือนว่าเป็นคนบาปที่แข็งกระด้างก็จะพบว่ามีจิตใจที่อ่อนโยนเช่นเด็กเล็กๆ เพราะว่าพระคริสต์ทรงถ่อมพระทัยลงมาหาเขา จะมีหลายคนที่มาจากหมู่คนทำบาปทำชั่วและพวกเขาจะเข้ามาแทนที่คนอื่นๆ ที่ได้รับโอกาสและสิทธิ์พิเศษแต่ไม่ได้เห็นคุณค่าของสิ่งนี้ พวกเขาเหล่านี้จะถูกเรียกว่าเป็นผู้เลือกสรรที่มีค่ายิ่งของพระเจ้า และเมื่อพระคริสต์จะเสด็จมาในแผ่นดินของพระองค์ พวกเขาจะยืนอยู่เคียงข้างพระบัลลังก์ของพระองค์ {COL 236.1}
But “see that ye refuse not Him that speaketh.” Hebrews 12:25. Jesus said, “None of those men which were bidden shall taste of My supper.” They had rejected the invitation, and none of them were to be invited again. In rejecting Christ, the Jews were hardening their hearts, and giving themselves into the power of Satan so that it would be impossible for them to accept His grace. So it is now. If the love of God is not appreciated and does not become an abiding principle to soften and subdue the soul, we are utterly lost. The Lord can give no greater manifestation of His love than He has given. If the love of Jesus does not subdue the heart, there are no means by which we can be reached. {COL 236.2}
“จงระวังให้ดี อย่าปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสอยู่นั้น” ฮีบรู12:25 พระเยซูตรัสว่า “ในพวกคนที่ได้รับเชิญนั้น จะไม่มีสักคนหนึ่งได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย” ลูกา 14:24 พวกเขาปฏิเสธคำเชื้อเชิญและจะไม่มีผู้ใดในพวกนั้นได้รับเชิญอีกเลย การปฏิเสธพระคริสต์ทำให้จิตใจของชาวยิวแข็งกระด้างและยอมมอบตัวอยู่ใต้อำนาจของซาตาน จนกระทั่งพวกเขายอมรับพระคุณของพระองค์ไม่ได้ ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าความรักของพระเจ้าถูกมองอย่างไม่เห็นคุณค่าและไม่นำมาเป็นหลักการทำให้จิตใจสงบเสงี่ยม เราก็จะหลงหายไปอย่างแน่นอน องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักที่ทรงเปิดเผยให้เห็นแล้วไม่ได้ หากความรักของพระเยซูทำให้จิตใจของเรายอมสงบเสงี่ยมต่อพระองค์ไม่ได้ ก็ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะเข้าถึงตัวเราได้ {COL 236.2}
Every time you refuse to listen to the message of mercy, you strengthen yourself in unbelief. Every time you fail to open the door of your heart to Christ, you become more and more unwilling to listen to the voice of Him that speaketh. You diminish your chance of responding to the last appeal of mercy. Let it not be written of you, as of ancient Israel, “Ephraim is joined to idols; let him alone.” Hosea 4:17. Let not Christ weep over you as He wept over Jerusalem, saying, “How often would I have gathered thy children together, as a hen doth gather her brood under her wings, and ye would not! Behold, your house is left unto you desolate.” Luke 13:34, 35. {COL 237.1}
ทุกครั้งที่ท่านปฏิเสธที่จะฟังข่าวแห่งพระกรุณาคุณ ท่านเพิ่มความไม่เชื่อของท่านให้มากขึ้น ทุกครั้งที่ท่านไม่ยอมเปิดประตูใจแก่พระคริสต์ ท่านก็จะยิ่งไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับท่าน ทำให้โอกาสที่จะตอบสนองการทรงเรียกครั้งสุดท้ายแห่งพระกรุณาคุณลดน้อยลง จงอย่าให้มีการบันทึกไว้เกี่ยวกับตัวท่านดังเช่นที่เกิดขึ้นกับชนชาติอิสราเอลในกาลก่อนว่า “เอฟราอิมก็ผูกพันอยู่กับรูปเคารพแล้ว ปล่อยเขาไปเถิด” โฮเชยา 4:17 จงอย่าให้พระคริสต์ทรงกรรแสงเพราะท่านดังเช่นที่พระองค์ทรงกรรแสงเพื่อเยรูซาเล็มว่า “เราปรารถนาจะรวบรวมลูกๆ ของเจ้าไว้เหมือนแม่ไก่ที่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่พวกเจ้าไม่ยอม นี่แน่ะ นิเวศของพวกเจ้าจะถูกทอดทิ้ง” ลูกา 13:34-35 {COL 237.1}
We are living in a time when the last message of mercy, the last invitation, is sounding to the children of men. The command, “Go out into the highways and hedges,” is reaching its final fulfillment. To every soul Christ’s invitation will be given. The messengers are saying, “Come; for all things are now ready.” Heavenly angels are still working in co-operation with human agencies. The Holy Spirit is presenting every inducement to constrain you to come. Christ is watching for some sign that will betoken the removing of the bolts and the opening of the door of your heart for His entrance. Angels are waiting to bear the tidings to heaven that another lost sinner has been found. The hosts of heaven are waiting, ready to strike their harps and to sing a song of rejoicing that another soul has accepted the invitation to the gospel feast. {COL 237.2}
เรากำลังอาศัยอยู่ในช่วงสุดท้ายของข่าวแห่งพระกรุณาคุณ คำเชื้อเชิญครั้งสุดท้ายกำลังประกาศดังกังวานมายังบุตรทั้งหลายของมนุษย์ พระบัญชาที่ว่า “จงออกไปตามถนนใหญ่และตามหนทางที่มีรั้วรอบขอบชิด” ลูกา 14:23 กำลังจะสำเร็จ คำเชิญของพระคริสต์จะต้องออกไปถึงจิตวิญญาณทุกดวงผู้ประกาศข่าวที่กำลังร้องว่า “เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว” ลูกา 14:17 ทูตสวรรค์กำลังทำงานร่วมกับมนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ทุกวิถีทางที่จะเร่งชักนำให้ท่านเข้ามา พระคริสต์ทรงเฝ้าดูสัญญาณบางอย่างที่จะบอกว่ากลอนประตูของท่านถอดออกแล้วและประตูของท่านเปิดออกเพื่อให้พระองค์เสด็จเข้ามาในจิตใจ ทูตสวรรค์กำลังเฝ้ารอที่จะนำข่าวดีกลับไปยังสวรรค์ว่าได้พบคนบาปที่หลงหายไปอีกคนหนึ่ง ชาวสวรรค์กำลังเฝ้ารอเตรียมพร้อมที่จะบรรเลงพิณและเปล่งเสียงแห่งความชื่นชมยินดีที่จิตวิญญาณอีกหนึ่งดวงยอมรับคำเชิญให้มางานเลี้ยงแห่งข่าวประเสริฐ {COL 237.2}