Chapter 2 (บทที่ 2)
“The Sower Went Forth to Sow”
“มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช”

By the parable of the sower, Christ illustrates the things of the kingdom of heaven, and the work of the great Husbandman for His people. Like a sower in the field, He came to scatter the heavenly grain of truth.

ด้วยการใช้อุปมาเรื่องคนหว่านพืช พระคริสต์ทรงอธิบายด้วยตัวอย่างเรื่องของอาณาจักรแห่งสวรรค์ และพันธกิจของพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของสวนผู้ยิ่งใหญ่เพื่อประชากรของพระองค์ เหมือนผู้หว่านข้าวในทุ่งนา พระองค์เสด็จมาเพื่อหว่านเมล็ดแห่งความจริง

And His parable teaching itself was the seed with which the most precious truths of His grace were sown. Because of its simplicity the parable of the sower has not been valued as it should be.

และคำสอนด้วยอุปมาของพระองค์นี้เป็นเมล็ดความจริงแห่งพระคุณอันมีค่ายิ่งที่หว่านออกไป เนื่องจากอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้เรียบง่าย ทำให้มองไม่เห็นถึงคุณค่าของเรื่องนี้เท่าที่ควร

From the natural seed cast into the soil, Christ desires to lead our minds to the gospel seed, the sowing of which results in bringing man back to his loyalty to God.

จากเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะนำความนึกคิดของเรามาสู่เมล็ดแห่งพระกิตติคุณ ซึ่งการหว่านนี้จะมีผลในการนำมนุษย์กลับมาสู่ความจงรักภักดีต่อพระเจ้า

He who gave the parable of the tiny seed is the Sovereign of heaven, and the same laws that govern earthly seed sowing govern the sowing of the seeds of truth. {COL 33.1}

พระองค์ผู้ประทานอุปมาของเมล็ดเล็กๆ นี้ก็คือผู้ทรงฤทธิ์อำนาจแห่งสวรรค์ และกฎอันเดียวกันที่ควบคุมเหนือการหว่านเมล็ดพืชบนโลกนี้ควบคุมการหว่านพืชแห่งความจริงด้วยเช่นกัน {COL 33.1}

By the Sea of Galilee a company had gathered to see and hear Jesus–an eager, expectant throng. The sick were there, lying on their mats, waiting to present their cases before Him.

ณ ชายฝั่งทะเลกาลิลี มีฝูงชนที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและมีความหวังใจชุมนุมกันเพื่อจะได้เห็นและฟังพระเยซู คนเจ็บป่วยก็พากันมาอยู่ที่นั่น พวกเขานอนอยู่บนเสื่อของตนเฝ้ารอที่จะเสนอความต้องการต่อพระพักตร์พระองค์

It was Christ’s God-given right to heal the woes of a sinful race, and He now rebuked disease, and diffused around Him life and health and peace. {COL 33.2}

พระคริสต์ทรงมีสิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้เพื่อการรักษาความทุกข์ทรมานของชนชาติที่มีบาปเหล่านี้ และขณะนี้พระองค์ทรงขับไล่โรคภัยและทรงแผ่ชีวิต สุขภาพดีและสันติสุขไปรอบพระองค์ {COL 33.2}

As the crowd continued to increase, the people pressed close about Christ until there was no room to receive them.

ขณะที่ฝูงชนทวีจำนวนขึ้น พวกเขาก็พากันเบียดเสียดรอบข้างพระกายพระคริสต์จนไม่มีที่เพื่อรองรับคนเหล่านั้น

Then, speaking a word to the men in their fishing boats, He stepped into the boat that was waiting to take Him across the lake, and bidding His disciples push off a little from the land, He spoke to the multitude upon the shore. {COL 34.1}

ดังนั้นเมื่อพระองค์ตรัสกับชายที่อยู่ในเรือหาปลา ก็เสด็จประทับในเรือซึ่งจอดรอพร้อมที่จะนำพาพระองค์ข้ามทะเลสาบ และพระองค์ตรัสสั่งให้สาวกทั้งหลายผลักเรือออกจากฝั่งเล็กน้อย แล้วจึงตรัสกับฝูงชนที่นั่งอยู่บนชายฝั่ง {COL 34.1}

Beside the sea lay the beautiful plain of Gennesaret, beyond rose the hills, and upon hillside and plain both sowers and reapers were busy, the one casting seed and the other harvesting the early grain. Looking upon the scene, Christ said {COL 34.2}

บนชายฝั่งทะเลนั้นมีที่ราบงดงามแห่งเกนเนซาเร็ท ห่างออกไปก็เป็นเทือกเขาและบนไหล่เขาตลอดที่ราบนั้นมีทั้งผู้หว่านและผู้เก็บเกี่ยวกำลังยุ่งอยู่กับการงาน ฝ่ายหนึ่งกำลังหว่านเมล็ดพืช อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเก็บเกี่ยวผลข้าวที่ปลูกไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่ทอดพระเนตรภาพเหล่านั้นพระคริสต์ตรัสดังนี้{COL 34.2}

“Behold, the sower went forth to sow; and as he sowed, some seeds fell by the wayside, and the birds came and devoured them”

“นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย

“some fell upon stony places, where they had not much earth; and forthwith they sprung up, because they had no deepness of earth: and when the sun was up, they were scorched; and because they had no root, they withered away.

บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น มันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี

And some fell among thorns; and the thorns sprung up, and choked them: but other fell into good ground, and brought forth fruit, some an hundredfold, some sixtyfold, some thirtyfold.” Matthew 13:3-8 {COL 34.3}

บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” มัทธิว 13:3-8 {COL 34.3}

Christ’s mission was not understood by the people of His time. The manner of His coming was not in accordance with their expectations.

ประชาชนในสมัยนั้นไม่เข้าใจภารกิจหน้าที่ของพระคริสต์ สภาพการเสด็จมาของพระองค์นั้นไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวังไว้

The Lord Jesus was the foundation of the whole Jewish economy. Its imposing services were of divine appointment. They were designed to teach the people that at the time appointed One would come to whom those ceremonies pointed.

พระเยซูทรงเป็นรากฐานขององค์ประกอบทั้งหมดของชาวยิว พิธีการปฏิบัติต่างๆ อันสง่าล้วนมาจากพระบัญชาของพระเจ้า เป็นพิธีที่ทรงตั้งไว้เพื่อสอนประชาชนให้ทราบว่าเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาตามที่พิธีการที่เขาทั้งหลายปฏิบัติอยู่นั้นเล็งถึง

But the Jews had exalted the forms and ceremonies and had lost sight of their object. The traditions, maxims, and enactments of men hid from them the lessons which God intended to convey.

แต่ชาวยิวยกพิธีการและรูปแบบของพิธีที่ปฏิบัตินั้นขึ้น จนกระทั่งหลงลืมจุดมุ่งหมายของสิ่งเหล่านี้ ธรรมเนียมประเพณี หลักคำสอนและกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นขวางกั้นพวกเขาจากบทเรียนที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ถ่ายทอดให้แก่พวกเขา

These maxims and traditions became an obstacle to their understanding and practice of true religion. And when the Reality came, in the person of Christ, they did not recognize in Him the fulfillment of all their types, the substance of all their shadows. They rejected the antitype, and clung to their types and useless ceremonies.

หลักคำสอนและธรรมเนียมประเพณีต่างๆ กลายเป็นสิ่งกีดขวางความเข้าใจและการปฏิบัติกิจศาสนาที่แท้จริง และเมื่อพระผู้เป็นองค์แท้จริงเสด็จมาในรูปกายของพระคริสต์ พวกเขากลับมองไม่เห็นพระองค์พระผู้เสด็จมาทำพิธีกรรมทั้งหลายให้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้เป็นเงาของความจริง พวกเขาปฏิเสธพระผู้เที่ยงแท้ และยึดติดกับสิ่งจำลองและพิธีการที่ไร้ค่า

The Son of God had come, but they continued to ask for a sign. The message, “Repent ye; for the kingdom of heaven is at hand,” they answered by demands for a miracle. Matthew 3:2.

พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว แต่พวกเขากลับถามหาหมายสำคัญ สำหรับข่าวที่ประกาศว่า “จงกลับใจใหม่เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” พวกเขาร้องขอการอัศจรรย์ มัทธิว 3:2

The gospel of Christ was a stumbling block to them because they demanded signs instead of a Saviour. They expected the Messiah to prove His claims by mighty deeds of conquest, to establish His empire on the ruins of earthly kingdoms.

ข่าวประเสริฐของพระคริสต์กลายเป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาเพราะพวกเขาร้องขอหมายสำคัญแทนที่จะแสวงหาพระผู้ช่วยให้รอด คนเหล่านี้ต่างหวังจะเห็นพระเมสสิยาห์พิสูจน์พระองค์เองโดยการกระทำอันยิ่งใหญ่ในการครอบครอง เพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์บนสิ่งปรักหักพังของโลก

This expectation Christ answered in the parable of the sower. Not by force of arms, not by violent interpositions, was the kingdom of God to prevail, but by the implanting of a new principle in the hearts of men. {COL 34.4}

พระคริสต์ทรงตอบความคาดหวังในเรื่องนี้ด้วยอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช อาณาจักรของพระเจ้าจะประสบชัยชนะไม่ใช่ด้วยกำลังทหาร ไม่ใช่การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง แต่ด้วยการปลูกฝังหลักการใหม่ในจิตใจของมนุษย์ {COL 34.4}

“He that soweth the good seed is the Son of man.” Matthew 13:37. Christ had come, not as a king, but as a sower; not for the overthrow of kingdoms, but for the scattering of seed;

“ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์” มัทธิว 13:37 พระคริสต์เสด็จมาไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์ แต่ในฐานะผู้หว่าน ไม่ใช่มาคว่ำอาณาจักรทั้งหลาย แต่มาเพื่อหว่านเมล็ดให้กระจายออกไป

not to point His followers to earthly triumphs and national greatness, but to a harvest to be gathered after patient toil and through losses and disappointments. {COL 35.1}

ไม่ใช่เพื่อชี้นำผู้ติดตามพระองค์ไปสู่ชัยชนะฝ่ายโลก และความยิ่งใหญ่ของประชาชาติ แต่ชี้ไปสู่การเก็บเกี่ยวที่จะมีขึ้นภายหลังการตรากตรำทำงานด้วยความอดทนและการสูญเสีย และความผิดหวัง {COL 35.1}

The Pharisees perceived the meaning of Christ’s parable, but to them its lesson was unwelcome. They affected not to understand it.

ฟาริสีทั้งหลายเข้าใจความหมายของอุปมาของพระคริสต์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับบทเรียนที่ได้ยิน พวกเขาแกล้งทำทีว่าไม่เข้าใจ

To the multitude it involved in still greater mystery the purpose of the new teacher, whose words had so strangely moved their hearts and so bitterly disappointed their ambitions.

แต่สำหรับฝูงชนที่ฟังนั้นยิ่งกลายเป็นสิ่งลึกลับมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของครูผู้สอนคนใหม่นี้ผู้ทรงมีคำสอนที่จับใจ แต่ก็ทำให้ความคาดหวังของพวกเขาผิดหวังอย่างขมขื่น

The disciples themselves had not understood the parable, but their interest was awakened. They came to Jesus privately and asked for an explanation. {COL 35.2}

สาวกทั้งหลายเองก็ไม่เข้าใจอุปมา แต่ความสนใจของคนเหล่านี้ได้ถูกปลุกขึ้น พวกเขาจึงเข้าเฝ้าพระเยซูตามลำพังและทูลขอคำอธิบาย {COL 35.2}

This was the desire which Christ wished to arouse, that He might give them more definite instruction. He explained the parable to them, as He will make plain His word to all who seek Him in sincerity of heart.

นี่คือความปรารถนาที่พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะกระตุ้นให้เกิดขึ้น เพื่อพระองค์จะทรงให้คำสั่งสอนที่ชัดแจ้งมากยิ่งขึ้นได้ พระองค์ทรงอธิบายอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟัง ดังเช่นที่พระองค์ทรงยินดีที่จะอธิบายพระคำของพระองค์ให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ

Those who study the word of God with hearts open to the enlightenment of the Holy Spirit, will not remain in darkness as to the meaning of the word. “If any man willeth to do His will,” Christ said, “he shall know of the teaching whether it be of God, or whether I speak from Myself.” John 7:17,

บรรดาผู้ที่ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยจิตใจที่เปิดออกต่อการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว จะไม่ตกอยู่ในความมืดในเรื่องความหมายของพระธรรม พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง” ยอห์น 7:17

All who come to Christ for a clearer knowledge of the truth will receive it. He will unfold to them the mysteries of the kingdom of heaven, and these mysteries will be understood by the heart that longs to know the truth.

ทุกคนที่มาหาพระคริสต์เพื่อความเข้าใจในความจริงมากขึ้นจะได้รับความเข้าใจ พระองค์จะทรงเปิดสิ่งล้ำลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์แก่เขา และจิตใจที่ต้องการความจริงจะเข้าใจความลึกลับนี้ด้วยใจ

A heavenly light will shine into the soul temple, and will be revealed to others as the bright shining of a lamp on a dark path. {COL 35.3}

แสงสว่างแห่งสวรรค์จะฉายเข้าไปในวิหารแห่งจิตวิญญาณ แล้วเขาก็จะเปิดเผยออกต่อหน้าผู้อื่นดังเช่นแสงกล้าจากตะเกียงบนหนทางที่มืดมัว {COL 35.3}

“The sower went forth to sow” (R.V.) . In the East the state of affairs was so unsettled, and there was so great danger from violence that the people dwelt chiefly in walled towns, and the husbandmen went forth daily to their labor outside the walls.

“มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช” ในประเทศแถบตะวันออก บ้านเมืองไม่ค่อยสงบสุข มีภัยอันตรายจากเหตุการณ์รุนแรง จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่ภายในกำแพงประตูเมือง คนทำนาต้องออกไปนอกกำแพงเมืองเพื่อทำงานของตนทุกวัน

So Christ, the heavenly Sower, went forth to sow. He left His home of security and peace, left the glory that He had with the Father before the world was, left His position upon the throne of the universe.

ด้วยเหตุนี้พระคริสต์ผู้หว่านแห่งสวรรค์เสด็จออกไปเพื่อหว่าน พระองค์ทรงจากบ้านอันปลอดภัยและสงบ ทรงละพระสิริที่มีอยู่ขณะดำรงอยู่ร่วมกับพระบิดาก่อนสร้างโลก ทรงละยศถาบรรดาศักดิ์แห่งบัลลังก์ของจักวาล

He went forth, a suffering, tempted man; went forth in solitude, to sow in tears, to water with His blood, the seed of life for a world lost. {COL 36.1}

พระองค์ทรงออกไปในฐานะมนุษย์ที่ทนทุกข์และถูกทดลอง ทรงออกไปอย่างโดดเดี่ยวลำพัง ทรงหว่านด้วยน้ำตา และรดด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อหว่านเมล็ดพืชแห่งชีวิตสำหรับโลกที่หลงหาย {COL 36.1}

His servants in like manner must go forth to sow. When called to become a sower of the seed of truth, Abraham was bidden, “Get thee out of thy country, and from thy kindred, and from thy father’s house, unto a land that I will show thee.” Genesis 12:1.

เช่นเดียวกัน ผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องออกไปเพื่อหว่าน เมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้หว่านเมล็ดแห่งความจริงว่า “เจ้าจงออกจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า จากบ้านบิดาของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า” ปฐมกาล 12:1

“And he went out, not knowing whither he went.” Hebrews 11:8. So to the apostle Paul, praying in the temple at Jerusalem, came the message from God, “Depart; for I will send thee far hence unto the Gentiles.” Acts 22:21.

“และเดินทางออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน” ฮีบรู 11:8 เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโลขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่ในวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ข่าวของพระเจ้ามาบอกว่า “จงไปเถิด เราจะใช้เจ้าไปไกล ไปหาบรรดาคนต่างชาติ” กิจการ 22:21

So those who are called to unite with Christ must leave all, in order to follow Him. Old associations must be broken up, plans of life relinquished, earthly hopes surrendered. In toil and tears, in solitude, and through sacrifice, must the seed be sown. {COL 36.2}

ดังนั้นเพื่อติดตามพระคริสต์ ผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เข้าสนิทกับพระองค์จะต้องละทิ้งทุกสิ่ง จะต้องตัดความสัมพันธ์เก่าให้ขาด ปล่อยแผนการในชีวิต ยกเลิกความหวังในโลกไป จะต้องหว่านเมล็ดด้วยการตรากตรำและน้ำตา ทำอย่างโดดเดี่ยวและด้วยความเสียสละ {COL 36.2}

“The sower soweth the word.” Christ came to sow the world with truth. Ever since the fall of man, Satan has been sowing the seeds of error. It was by a lie that he first gained control over men, and thus he still works to overthrow God’s kingdom in the earth and to bring men under his power.

“ผู้หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ” พระคริสต์เสด็จมาเพื่อหว่านพระวจนะแห่งความจริงในโลกนี้ ตั้งแต่มนุษย์พ่ายแพ้ในบาป ซาตานเที่ยวหว่านเมล็ดแห่งความผิด มันเข้าควบคุมมนุษย์เป็นครั้งแรกได้ก็โดยการพูดโกหก และมันยังคงทำงานของมันเพื่อโค่นล้มแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้และนำมนุษย์ให้ไปอยู่ภายใต้อำนาจของมัน

A sower from a higher world, Christ came to sow the seeds of truth. He who had stood in the councils of God, who had dwelt in the innermost sanctuary of the Eternal, could bring to men the pure principles of truth.

พระคริสต์ผู้หว่านจากโลกที่เหนือกว่าเสด็จมาเพื่อหว่านเมล็ดแห่งความจริง พระองค์ผู้ทรงเคยอยู่ท่ามกลางคณะที่ปรึกษาของพระเจ้า ผู้ทรงเคยสถิตอยู่อภิสุทธิสถานในพลับพลาของพระผู้ทรงชนม์เป็นนิตย์ ทรงนำกฎเกณฑ์อันบริสุทธิ์แห่งความจริงมาสู่มนุษย์

Ever since the fall of man, Christ had been the Revealer of truth to the world. By Him the incorruptible seed, “the word of God, which liveth and abideth forever,” is communicated to men. 1 Peter 1:23.

นับตั้งแต่มนุษย์ล้มลง พระคริสต์ทรงเป็นผู้เผยความจริงต่อโลกนี้ด้วยพระองค์เอง โดยพระองค์เมล็ดที่ไม่เปื่อยเน่าคือ “พระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและดำรงอยู่” ได้ถ่ายทอดให้กับมนุษย์ 1 เปโตร 1:23

In that first promise spoken to our fallen race in Eden, Christ was sowing the gospel seed. But it is to His personal ministry among men and to the work which He thus established that the parable of the sower especially applies. {COL 37.1}

พระคริสต์ทรงหว่านเมล็ดแห่งข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรกเมื่อทรงสัญญากับมนุษย์ที่ล้มลงในสวนเอเดน แต่อุปมาของผู้หว่านเป็นการกล่าวอย่างเจาะจงถึงการเสด็จมารับใช้ท่ามกลางมนุษย์และพระราชกิจที่พระองค์เสด็จมาจัดตั้ง {COL 37.1}

The word of God is the seed. Every seed has in itself a germinating principle. In it the life of the plant is enfolded. So there is life in God’s word. Christ says, “The words that I speak unto you, they are Spirit, and they are life.” John 6:63.

พระวจนะของพระเจ้าคือเมล็ด เมล็ดทุกเมล็ดมีหลักการของการงอกภายในตัวของมันเอง ชีวิตของต้นไม้ก่อเกิดมาจากเมล็ด เช่นเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้ามีชีวิตอยู่ภายใน พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต” ยอห์น 6:63

“He that heareth My word, and believeth on Him that sent Me, hath everlasting life.” John 5:24.

“ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 5:24

In every command and in every promise of the word of God is the power, the very life of God, by which the command may be fulfilled and the promise realized.

คำสั่งทุกคำสั่ง คำสัญญาทุกคำสัญญาของพระวจนะของพระเจ้ามีอำนาจเพราะนี่คือชีวิตของพระองค์เอง ที่ทำให้คำสอนนั้นเป็นจริงและพระสัญญานั้นสำเร็จ

He who by faith receives the word is receiving the very life and character of God. {COL 38.1}

ผู้ที่รับถ้อยคำโดยความเชื่อก็ได้รับทั้งชีวิตและพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า {COL 38.1}

Every seed brings forth fruit after its kind. Sow the seed under right conditions, and it will develop its own life in the plant.

เมล็ดทุกเมล็ดให้ผลตามชนิดของมัน เมื่อหว่านเมล็ดภายใต้สภาวการณ์ที่เหมาะสมก็จะก่อให้เกิดชีวิตภายในต้นพืชนั้น

Receive into the soul by faith the incorruptible seed of the word, and it will bring forth a character and a life after the similitude of the character and the life of God. {COL 38.2}

เมื่อรับเมล็ดแห่งพระวจนะที่ไม่รู้จักเปื่อยเน่าเข้าไปในจิตใจโดยความเชื่อ ก็จะนำมาซึ่งอุปนิสัยและชีวิตที่ละม้ายคล้ายคลึงกับพระลักษณะนิสัยและชีวิตของพระเจ้า {COL 38.2}

The teachers of Israel were not sowing the seed of the word of God. Christ’s work as a teacher of truth was in marked contrast to that of the rabbis of His time.

บรรดาอาจารย์ของชาวอิสราเอลไม่ได้หว่านเมล็ดแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระคริสต์ในฐานะอาจารย์ผู้สอนความจริงนั้นแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการสอนของอาจารย์ในสมัยของพระคริสต์

They dwelt upon traditions, upon human theories and speculations. Often that which man had taught and written about the word, they put in place of the word itself. Their teaching had no power to quicken the soul.

พวกเขาสอนเรื่องของขนบธรรมเนียม ทฤษฎีและการคาดคะเนของมนุษย์ บ่อยครั้งพวกเขาเอาสิ่งที่มนุษย์สอนและบันทึกเกี่ยวกับพระวจนะมาใช้แทนพระวจนะของพระเจ้า คำสอนของพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะกระตุ้นจิตวิญญาณ

The subject of Christ’s teaching and preaching was the word of God. He met questioners with a plain, “It is written.” “What saith the Scriptures?” Romans 4:3 “How readest thou?” Luke 10:26

ในขณะที่เนื้อเรื่องคำสอนและคำเทศนาของพระคริสต์คือพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงโต้ผู้ซักถามด้วยถ้อยคำ “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า” มัทธิว 4:4 “พระคัมภีร์ว่าอย่างไร” โรม 4:3 “ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร” ลูกา 10:26

At every opportunity, when an interest was awakened by either friend or foe, He sowed the seed of the word. He who is the Way, the Truth, and the Life, Himself the living Word, points to the Scriptures, saying, “They are they which testify of Me.”

ในทุกโอกาส เมื่อความสนใจเกิดขึ้นไม่ว่ามาจากมิตรสหายหรือศัตรู พระองค์ทรงหว่านเมล็ดแห่งพระวจนะทุกครั้ง พระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ทรงเป็นพระธรรมแห่งชีวิต ทรงชี้ไปยังพระคัมภีร์และตรัสว่า “พระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้แก่เรา”

And “beginning at Moses and all the prophets,” He opened to His disciples “in all the Scriptures the things concerning Himself.” John 5:39; Luke 24:27. {COL 38.3}

และ “เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะ” พระองค์ทรงเปิดเผยต่อหน้าสาวก “อธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง” ยอห์น 5:39 ลูกา 24:27 {COL 38.3}

Christ’s servants are to do the same work. In our day, as of old, the vital truths of God’s word are set aside for human theories and speculations. Many professed ministers of the gospel do not accept the whole Bible as the inspired word.

ผู้รับใช้ของพระคริสต์ควรกระทำอย่างเดียวกัน ในทุกวันนี้เหมือนเช่นกาลก่อน ความจริงอันสำคัญแห่งพระวจนะของพระเจ้าถูกละเลยเพื่อให้ทฤษฎีที่มนุษย์แต่งขึ้นและการสันนิษฐานต่างๆ เข้าแทนที่ ศาสนาจารย์ผู้ประกาศข่าวประเสริฐหลายคนไม่ได้ยอมรับพระคัมภีร์ทุกตอนว่าเป็นพระธรรมที่ได้รับการดลใจ

One wise man rejects one portion; another questions another part. They set up their judgment as superior to the word; and the Scripture which they do teach rests upon their own authority.

บุคคลที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งอาจปฏิเสธข้อความตอนหนึ่ง อีกคนอาจสงสัยในอีกตอนหนึ่ง เขาต่างยกความคิดเห็นของตนไว้เหนือพระวจนะและพระคัมภีร์ซึ่งเขาสอนนั้นตั้งอยู่บนอำนาจของตนเอง

Its divine authenticity is destroyed. Thus the seeds of infidelity are sown broadcast; for the people become confused and know not what to believe.

ความจริงแห่งพระเจ้าถูกทำลายไป ดังนั้นเมล็ดแห่งความไม่ซื่อสัตย์จึงถูกหว่านให้แพร่กระจายไปทำให้ผู้คนสับสนและไม่ทราบว่าควรเชื่อเรื่องใด

There are many beliefs that the mind has no right to entertain. In the days of Christ the rabbis put a forced, mystical construction upon many portions of Scripture. Because the plain teaching of God’s word condemned their practices, they tried to destroy its force.

มีความเชื่อหลายอย่างที่สมองของเราไม่มีสิทธิ์รับมาพิจารณา ในสมัยของพระคริสต์พวกครูอาจารย์ใช้อำนาจ ใช้ข้อความหลายส่วนของพระคัมภีร์มาเป็นโครงสร้างคำสอนที่ล้ำลึก เนื่องจากคำสอนอันเรียบง่ายของพระเจ้ากล่าวโทษการกระทำของพวกตน พวกเขาจึงพยายามทำลายอำนาจนี้เสีย

The same thing is done today. The word of God is made to appear mysterious and obscure in order to excuse transgression of His law. Christ rebuked these practices in His day. He taught that the word of God was to be understood by all.

สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน พระธรรมของพระเจ้าถูกกระทำให้ดูลึกลับและไม่กระจ่าง เพื่อที่จะเป็นข้อแก้ตัวในการละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ พระคริสต์ทรงตำหนิการประพฤติเช่นนี้ในสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงสอนว่าทุกคนเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้

He pointed to the Scriptures as of unquestionable authority, and we should do the same. The Bible is to be presented as the word of the infinite God, as the end of all controversy and the foundation of all faith. {COL 39.1}

พระองค์ทรงเน้นว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงที่ปราศจากข้อกังขา และเราก็ควรทำเช่นเดียวกัน พระคัมภีร์ควรจะได้รับการนำเสนอในฐานะเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นจุดสิ้นสุดของบรรดาข้อโต้แย้งทั้งหลาย และเป็นรากฐานของความเชื่อทั้งปวง {COL 39.1}

The Bible has been robbed of its power, and the results are seen in a lowering of the tone of spiritual life. In the sermons from many pulpits of today there is not that divine manifestation which awakens the conscience and brings life to the soul.

พระคัมภีร์ถูกปล้นอำนาจไปเสียและเห็นผลลัพธ์แห่งความตกต่ำในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ในคำเทศนาจากธรรมาสน์หลายแห่งในปัจจุบัน ไม่มีการแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวกับสวรรค์อันจะปลุกจิตสำนึกและนำชีวิตมาสู่จิตวิญญาณ

The hearers can not say, “Did not our heart burn within us, while He talked with us by the way, and while He opened to us the Scriptures?” Luke 24:32. There are many who are crying out for the living God, longing for the divine presence.

ผู้ฟังไม่สามารถกล่าวว่า “ใจเราเร้าร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ” ลูกา 24:32 มีหลายคนร้องหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เฝ้าหวังรอคอยการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์

Philosophical theories or literary essays, however brilliant, cannot satisfy the heart. The assertions and inventions of men are of no value. Let the word of God speak to the people.

แม้ว่าทฤษฎีทางปรัชญาหรือวรรณกรรมจะล้ำเลิศเพียงใดก็ดับความกระหายของจิตใจไม่ได้ การอ้างอิงและการค้นคว้าของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่า จงให้พระวจนะของพระเจ้าตรัสกับมนุษย์

Let those who have heard only traditions and human theories and maxims hear the voice of Him whose word can renew the soul unto everlasting life. {COL 40.1}

จงให้ผู้ที่เคยได้ยินแต่เพียงธรรมเนียมประเพณีและทฤษฎีและคำสอนของมนุษย์ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อันเป็นถ้อยคำของพระองค์ซึ่งสร้างชีวิตใหม่ที่จะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ {COL 40.1}

Christ’s favorite theme was the paternal tenderness and abundant grace of God; He dwelt much upon the holiness of His character and His law; He presented Himself to the people as the Way, the Truth, and the Life.

หลักสำคัญอันเป็นที่โปรดปรานของพระคริสต์คือ ความอ่อนโยนของพ่อและพระคุณอันเอนกอนันต์ของพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงใช้เวลาอย่างมากยิ่งในเรื่องความบริสุทธิ์ของพระอุปนิสัยและพระบัญญัติของพระองค์ ทรงสำแดงพระองค์เองแก่ประชาชนว่าทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต

Let these be the themes of Christ’s ministers. Present the truth as it is in Jesus. Make plain the requirements of the law and the gospel. Tell the people of Christ’s life of self-denial and sacrifice;

จงให้สิ่งเหล่านี้เป็นหลักสำคัญของผู้รับใช้พระคริสต์ จงเสนอความจริงตามที่ควรจะเป็นในพระเยซูคริสต์ จงอธิบายข้อบังคับของพระบัญญัติและพระกิตติคุณอย่างชัดเจน จงประกาศให้ผู้คนทราบถึงชีวิตการควบคุมตนเองและการเสียสละ

of His humiliation and death; of His resurrection and ascension; of His intercession for them in the courts of God; of His promise, “I will come again, and receive you unto Myself.” John 14:3. {COL 40.2}

การถ่อมตน และการวายพระชนม์ของพระคริสต์ การเป็นขึ้นจากความตายและการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ การเสนอความแทนมนุษย์ต่อหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา” ยอห์น 14:3 {COL 40.2}

Instead of discussing erroneous theories, or seeking to combat the opponents of the gospel, follow the example of Christ. Let fresh truths from God’s treasure house flash into life. “Preach the word.” “Sow beside all waters.”

เราควรประพฤติตามแบบอย่างของพระคริสต์แทนการอภิปรายในทฤษฎีที่ผิดๆ หรือพยายามต่อสู้ปฏิปักษ์ของข่าวประเสริฐ จงให้ความจริงอันสดใหม่จากขุมทรัพย์ของพระเจ้าฉายเข้าไปในชีวิต “จงประกาศพระวจนะ” “หว่านอยู่ข้างห้วงน้ำทั้งปวง”

“Be instant in season, out of season.” “He that hath My word, let him speak My word faithfully. What is the chaff to the wheat? saith the Lord.” “Every word of God is pure. . . . Add thou not unto His words, lest He reprove thee, and thou be found a liar.” 2 Timothy 4:2; Isaiah 32:20; Jeremiah 23:28; Proverbs 30:5, 6. {COL 40.3}

“จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ” “ให้คนที่มีถ้อยคำของเรากล่าวถ้อยคำของเราอย่างสุจริต เพราะฟางข้าวจะเปรียบอะไรกับข้าวได้ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” “พระดำรัสทุกคำของพระเจ้าพิสูจน์แล้วว่าจริง..…อย่าเพิ่มอะไรเข้ากับพระวจนะของพระองค์ เกรงว่าจะทรงตำหนิเจ้าและทรงตัดสินว่าเจ้าพูดมุสา” 2 ทิโมธี 4:2 อิสยาห์ 32:20 เยเรมีย์ 23:28 สุภาษิต 30:5-6 {COL 40.3}

“The sower soweth the word.” Here is presented the great principle which should underlie all educational work. “The seed is the word of God.” But in too many schools of our day God’s word is set aside. Other subjects occupy the mind.

“ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ” มาระโก 4:14 หลักการอันยิ่งใหญ่ซึ่งควรเป็นพื้นฐานของงานการศึกษาทั้งปวงได้นำมาแสดงให้เห็นไว้ในที่นี้ “เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า” ลูกา 8:11 แต่โรงเรียนหลายแห่งในปัจจุบันละเลยพระวจนะของพระเจ้า วิชาอื่นๆ ครอบงำความคิด

The study of infidel authors holds a large place in the educational system. Skeptical sentiments are interwoven in the matter placed in school books. Scientific research becomes misleading, because its discoveries are misinterpreted and perverted.

ระบบการศึกษาส่วนใหญ่บรรจุการศึกษาของผู้เขียนที่ไม่ใช่ผู้เชื่อ ความสงสัยถูกสอดแทรกเข้าไปในหนังสือเรียน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทำให้ความคิดไขว้เขวไป เพราะการค้นพบต่างๆ ถูกแปลความอย่างไม่ถูกต้องและบิดเบือน

The word of God is compared with the supposed teachings of science, and is made to appear uncertain and untrustworthy. Thus the seeds of doubt are planted in the minds of the youth, and in time of temptation they spring up.

มีการเปรียบเทียบพระวจนะของพระเจ้ากับคำสอนทางวิทยาศาสตร์ที่สมมติขึ้น ทำให้พระวจนะดูเหมือนว่าขาดความถูกต้องและน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุนี้เองมีการปลูกเมล็ดแห่งความสงสัยในความนึกคิดของเยาวชน และเมื่อเวลาแห่งการทดลองมาถึงเมล็ดนี้จึงงอกขึ้น

When faith in God’s word is lost, the soul has no guide, no safeguard. The youth are drawn into paths which lead away from God and from everlasting life. {COL 41.1}

เมื่อความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าสูญหายไป จิตวิญญาณก็ปราศจากผู้นำและเครื่องคุ้มกัน เยาวชนถูกนำไปสู่หนทางที่เหินห่างพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์ {COL 41.1}

To this cause may in great degree be attributed the widespread iniquity in our world today. When the word of God is set aside, its power to restrain the evil passions of the natural heart is rejected. Men sow to the flesh, and of the flesh they reap corruption. {COL 41.2}

เรื่องส่วนใหญ่เหล่านี้มีผลมาจากความชั่วร้ายที่แพร่หลายในโลกทุกวันนี้ เมื่อมนุษย์ละเลยพระโอวาทของพระเจ้า จะทำให้เกิดการปฏิเสธอำนาจการยับยั้งตัณหาชั่วของจิตใจ มนุษย์หว่านสิ่งที่เกี่ยวกับเนื้อหนังและเขาก็จะเก็บเกี่ยวความชั่วร้ายจากเนื้อหนังนั้น {COL 41.2}

And here, too, is the great cause of mental weakness and inefficiency. In turning from God’s word to feed on the writings of uninspired men, the mind becomes dwarfed and cheapened. It is not brought in contact with deep, broad principles of eternal truth.

สภาพอย่างนี้ทำให้สมองอ่อนแอและด้อยประสิทธิภาพ เมื่อสมองหันออกจากพระวจนะของพระเจ้าไปรับสิ่งที่แต่งโดยมนุษย์ที่ไม่ได้รับการดลใจ จะทำให้ความคิดล้าหลังและด้อยคุณค่า ความคิดไม่ได้สัมผัสกับหลักการแห่งความจริงอันเจริญเป็นนิตย์ที่มีความลึกซึ้งและกว้างไกล

The understanding adapts itself to the comprehension of the things with which it is familiar, and in this devotion to finite things it is weakened, its power is contracted, and after a time it becomes unable to expand. {COL 41.3}

ความเข้าใจจะปรับตัวเองเข้ากับสิ่งที่คุ้นเคย และเมื่อใช้เวลาให้กับสิ่งที่ไร้ค่าเหล่านั้น ก็จะทำให้ความคิดที่ดีงามอ่อนแอและอ่อนกำลังลง และต่อมาอีกไม่นานก็จะเจริญขึ้นไม่ได้ {COL 41.3}

All this is false education. The work of every teacher should be to fasten the mind of the youth upon the grand truths of the word of Inspiration. This is the education essential for this life and for the life to come. {COL 41.4}

สิ่งทั้งปวงเหล่านี้คือการศึกษาที่ผิด หน้าที่ของครูคือสอนให้เยาวชนมีความคิดยึดมั่นอยู่กับความจริงแห่งพระวจนะที่ได้รับการดลใจ นี่คือการศึกษาที่จำเป็นต่อชีวิตนี้และชีวิตหน้า {COL 41.4}

And let it not be thought that this will prevent the study of the sciences, or cause a lower standard in education. The knowledge of God is as high as heaven and as broad as the universe.

อย่าเข้าใจว่าสิ่งนี้จะขัดขวางการศึกษาศาสตร์ในด้านต่างๆ หรือทำให้มาตรฐานการศึกษาต่ำลง ความรู้ในเรื่องของพระเจ้าเป็นความรู้ที่สูงเทียบเท่าสวรรค์และกว้างไกลดุจห้วงจักรวาล

There is nothing so ennobling and invigorating as a study of the great themes which concern our eternal life. Let the youth seek to grasp these God-given truths, and their minds will expand and grow strong in the effort.

ไม่มีสิ่งใดที่มีคุณค่าและทรงพลังเทียบเท่าการศึกษาในหลักการอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผลต่อชีวิตชั่วนิรันดร์ของเรา จงให้เยาวชนเพียรพยายามรับความจริงซึ่งประทานมาจากพระเจ้าที่จะส่งผลให้ความคิดของเขาเติบโตและขยายออกอย่างเต็มกำลัง

It will bring every student who is a doer of the word into a broader field of thought, and secure for him a wealth of knowledge that is imperishable. {COL 42.1}

สิ่งนี้จะนำพาให้ผู้ที่ศึกษาทุกคนซึ่งปฏิบัติตามเข้าสู่ความรู้ ความคิดที่กว้างไกล และทำให้เขาได้คลังสมบัติแห่งปัญญาที่ไม่เสื่อมสลาย {COL 42.1}

The education to be secured by searching the Scriptures is an experimental knowledge of the plan of salvation. Such an education will restore the image of God in the soul.

การศึกษาที่ได้มาจากการค้นคว้าพระคัมภีร์นั้นคือความรู้ในแนวปฏิบัติของแผนการแห่งความรอด การศึกษาดังกล่าวจะนำพระฉายาของพระเจ้าคืนสู่วิญญาณจิต

It will strengthen and fortify the mind against temptation, and fit the learner to become a co-worker with Christ in His mission of mercy to the world.

จะเสริมสร้างความเข้มแข็งและเป็นเกราะความคิดเสริมป้องกันการทดลอง และทำให้ผู้ที่เรียนรู้มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ทำงานร่วมกับพระคริสต์ในภารกิจที่เต็มไปด้วยพระเมตตาของพระองค์ต่อชาวโลก

It will make him a member of the heavenly family; and prepare him to share the inheritance of the saints in light. {COL 42.2}

ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในสวรรค์และตระเตรียมเขาเพื่อเข้ารับส่วนแบ่งมรดกของผู้ชอบธรรมในความสว่าง {COL 42.2}

But the teacher of sacred truth can impart only that which he himself knows by experience. “The sower sowed his seed.” Christ taught the truth because He was the truth. His own thought, His character, His life-experience, were embodied in His teaching.

แต่ผู้สอนความจริงอันศักดิ์สิทธิ์แบ่งบันได้เฉพาะสิ่งที่เขาเรียนรู้มาโดยประสบการณ์ของเขาเองเท่านั้น “ผู้หว่านพืช หว่านเมล็ดของเขา” พระคริสต์ทรงสั่งสอนความจริงเพราะพระองค์ทรงเป็นความจริง ความคิดของพระองค์เอง พระลักษณะอุปนิสัยของพระองค์และประสบการณ์ชีวิตของพระองค์ล้วนแต่แฝงอยู่ในคำสอนของพระองค์

So with His servants: those who would teach the word are to make it their own by a personal experience. They must know what it is to have Christ made unto them wisdom and righteousness and sanctification and redemption.

ด้วยเหตุนี้ผู้รับใช้ของพระองค์ที่สั่งสอนพระวจนะจะต้องให้คำสั่งสอนนั้นเป็นของตนเองด้วยประสบการณ์ของตัวเขาเอง พวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าการให้พระคริสต์เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทสติปัญญาและความชอบธรรม การชำระให้บริสุทธิ์และการไถ่ให้รอดนั้นคืออะไร

In presenting the word of God to others, they are not to make it a suppose-so or a may-be. They should declare with the apostle Peter, “We have not followed cunningly devised fables when we made known unto you the power and coming of our Lord Jesus Christ, but were eye-witnesses of His majesty.” 2 Peter 1:16.

ในการประกาศพระธรรมของพระเจ้าแก่ผู้อื่นนั้น เขาไม่ควรทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นหรือความน่าจะเป็น พวกเขาควรประกาศเหมือนกับอัครสาวกเปโตรว่า “เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพและการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์” 2 เปโตร 1:16

Every minister of Christ and every teacher should be able to say with the beloved John, “The life was manifested, and we have seen it, and bear witness, and show unto you that eternal life which was with the Father, and was manifested unto us.” 1 John 1:2. {COL 43.1}

ผู้รับใช้ของพระคริสต์และครูผู้สอนทุกคนควรจะกล่าวได้เช่นเดียวกับอัครทูตยอห์นผู้เป็นที่รักว่า “ชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็นและเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา” 1 ยอห์น 1:2 {COL 43.1}

The Soil–by the Wayside

ดินที่อยู่ตามหนทาง

That with which the parable of the sower chiefly deals is the effect produced on the growth of the seed by the soil into which it is cast. By this parable Christ was virtually saying to His hearers,

หลักสำคัญของอุปมาเรื่องผู้หว่านนั้นอยู่ที่ดินซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของเมล็ดที่หว่านไป โดยอุปมานี้ แท้ที่จริงแล้วพระคริสต์ทรงประสงค์ให้ผู้ฟังเข้าใจว่า

It is not safe for you to stand as critics of My work, or to indulge disappointment because it does not meet your ideas.

ท่านไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์พระราชกิจของพระองค์หรือหมกมุ่นอยู่กับความผิดหวัง เพราะงานนั้นไม่เป็นไปอย่างที่ท่านคิดไว้เป็นการกระทำที่ไม่ปลอดภัย

The question of greatest importance to you is, How do you treat My message? Upon your reception or rejection of it your eternal destiny depends. {COL 43.2}

ปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับท่านคือ ท่านปฏิบัติต่อถ้อยคำของเราอย่างไร ชีวิตนิรันดร์ในบั้นปลายของท่านขึ้นอยู่กับการตอบรับหรือปฏิเสธถ้อยคำเหล่านี้ของเรา {COL 43.2}

Explaining the seed that fell by the wayside, He said, “When any one heareth the word of the kingdom, and understandeth it not, then cometh the wicked one, and catcheth away that which was sown in his heart. This is he which received seed by the wayside.” {COL 44.1}

พระองค์ทรงอธิบายถึงเมล็ดที่ตกลงข้างทางว่า “เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่พืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง” มัทธิว 13:19{COL 44.1}

The seed sown by the wayside represents the word of God as it falls upon the heart of an inattentive hearer. Like the hard-beaten path, trodden down by the feet of men and beasts, is the heart that becomes a highway for the world’s traffic, its pleasures and sins.

เมล็ดพืชที่ตกตามหนทางหมายถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ตกลงบนจิตใจของผู้ที่ไม่ตั้งใจฟัง ดั่งทางเดินที่ถูกใช้งานอย่างหนัก ถูกเท้าของคนและสัตว์เหยียบย่ำ จิตใจที่กลายเป็นทางหลวงของโลก ทั้งความสนุกสนานและความผิดบาป

Absorbed in selfish aims and sinful indulgences, the soul is “hardened through the deceitfulness of sin.” Hebrews 3:13. The spiritual faculties are paralyzed.

ชีวิตที่ซึมซับแต่เป้าหมายที่เห็นแก่ตัวและตัณหาชั่ว จึงทำให้ “ใจดื้อรั้นไปเพราะการล่อลวงของบาป” ฮีบรู 3:13 ความสามารถฝ่ายจิตวิญญาณเป็นอัมพาตไป มนุษย์ได้ยินพระวจนะแต่หาเข้าใจไม่

Men hear the word, but understand it not. They do not discern that it applies to themselves. They do not realize their need or their danger. They do not perceive the love of Christ, and they pass by the message of His grace as something that does not concern them. {COL 44.2}

พวกเขามองไม่เห็นว่าพระวจนะกล่าวถึงตนเอง เขาไม่ได้ตระหนักถึงความต้องการหรืออันตรายของตนเอง ไม่เข้าใจถึงความรักของพระคริสต์และคนเหล่านี้มองข้ามข่าวประเสริฐแห่งพระคุณว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง {COL 44.2}

As the birds are ready to catch up the seed from the wayside, so Satan is ready to catch away the seeds of divine truth from the soul. He fears that the word of God may awaken the careless, and take effect upon the hardened heart.

ซาตานเป็นเหมือนฝูงนกที่เตรียมพร้อมเพื่อจิกกินเมล็ดพืชจากข้างทาง เตรียมพร้อมที่จะฉกพืชแห่งความจริงจากจิตใจ มันกลัวว่าพระวจนะของพระเจ้าอาจจะปลุกคนที่สะเพร่าให้ตื่นขึ้น และก่อให้เกิดผลในจิตใจที่แข็งกระด้าง

Satan and his angels are in the assemblies where the gospel is preached. While angels of heaven endeavor to impress hearts with the word of God, the enemy is on the alert to make the word of no effect.

ซาตานและพรรคพวกของมันร่วมอยู่ในที่ที่มีการชุมนุมประกาศข่าวประเสริฐ ขณะที่ทูตสวรรค์พยายามประทับพระวจนะของพระเจ้าลงบนจิตใจคนเหล่านั้น ศัตรูก็คอยเฝ้าระวังที่จะทำให้พระธรรมนั้นไม่บังเกิดผล

With an earnestness equaled only by his malice, he tries to thwart the work of the Spirit of God. While Christ is drawing the soul by His love, Satan tries to turn away the attention of the one who is moved to seek the Saviour. He engages the mind with worldly schemes.

ด้วยความเพียรพยายามที่เท่าเทียมกับความชั่วร้ายของมัน มันพยายามหันเหการทำงานของพระวิญญาณของพระเจ้า ขณะที่พระคริสต์ทรงเรียกร้องจิตวิญญาณด้วยความรักของพระองค์ ซาตานพยายามหันเหความสนใจของผู้ที่ได้รับการดลใจให้แสวงหาพระผู้ช่วยให้รอด มันใช้แผนการทางโลกชักชวนความนึกคิด

He excites criticism, or insinuates doubt and unbelief. The speaker’s choice of language or his manner may not please the hearers, and they dwell upon these defects. Thus the truth they need, and which God has graciously sent them, makes no lasting impression. {COL 44.3}

มันกระตุ้นให้เกิดการติเตียน หรือปลูกฝังความระแวงสงสัยและความไม่เชื่อ การใช้ภาษาหรือกิริยาท่าทางของผู้พูดไม่เป็นที่น่าพอใจของผู้ฟัง และพวกเขาก็ไปเอ่ยถึงจุดบกพร่องเหล่านี้อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ความจริงที่พวกเขาต้องการและที่พระเจ้าทรงกรุณาประทานให้จึงฝังอยู่ได้ไม่นาน {COL 44.3}

Satan has many helpers. Many who profess to be Christians are aiding the tempter to catch away the seeds of truth from other hearts. Many who listen to the preaching of the word of God make it the subject of criticism at home.

ซาตานมีผู้ช่วยจำนวนมาก หลายคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนกำลังช่วยผู้ทดลองฉกเมล็ดแห่งความจริงไปจากจิตใจของคนทั้งหลาย มีหลายคนที่ฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้วนำกลับบ้านไปติเตียน

They sit in judgment on the sermon as they would on the words of a lecturer or a political speaker. The message that should be regarded as the word of the Lord to them is dwelt upon with trifling or sarcastic comment.

พวกเขาตัดสินความคำเทศนาเหมือนกับตัดสินถ้อยคำของนักปาฐกถาหรือนักพูดทางการเมือง ข่าวสารซึ่งควรจะถือว่าเป็นพระวจนะของพระเป็นเจ้ากลับได้รับการวิจารณ์ถากถางอย่างไม่เคารพหรืออย่างเหน็บแนม

The minister’s character, motives, and actions, and the conduct of fellow members of the church, are freely discussed. Severe judgment is pronounced, gossip or slander repeated, and this in the hearing of the unconverted.

มีการกล่าวถึงอุปนิสัย ความนึกคิดและการกระทำของศิษยาภิบาลผู้รับใช้และความประพฤติของเพื่อนสมาชิกโบสถ์อย่างเสรี มีการตัดสินความอย่างรุนแรง การซุบซิบนินทาซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะต่อหน้าผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจ

Often these things are spoken by parents in the hearing of their own children. Thus are destroyed respect for God’s messengers, and reverence for their message. And many are taught to regard lightly God’s word itself. {COL 45.1}

บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้ออกจากปากของผู้ปกครองต่อหน้าลูกๆ ของตนเอง ความเคารพที่มีให้กับผู้สื่อข่าวของพระเจ้าและความยำเกรงต่อข่าวสารถูกทำลายไป และหลายคนได้รับการสั่งสอนให้เคารพนับถือพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่จริงจัง {COL 45.1}

Thus in the homes of professed Christians many youth are educated to be infidels. And the parents question why their children are so little interested in the gospel, and so ready to doubt the truth of the Bible.

ด้วยเหตุนี้ หนุ่มสาวหลายคนในบ้านของผู้อ้างตนว่าเป็นคริสเตียน จึงได้รับการสั่งสอนให้เป็นผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ผู้ปกครองกลับสงสัยว่าทำไมบุตรของตนจึงมีความสนใจในพระกิตติคุณน้อยนัก และทำไมพวกเขาพร้อมที่จะสงสัยความจริงของพระคัมภีร์เสมอ

They wonder that it is so difficult to reach them with moral and religious influences. They do not see that their own example has hardened the hearts of their children. The good seed finds no place to take root, and Satan catches it away. {COL 46.1}

พวกเขาต่างพากันฉงนใจว่าทำไมการชักจูงให้ประพฤติตามศีลธรรม และศาสนาถึงยากนักหนา พวกเขามองไม่เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วตัวอย่างของเขาเองที่ทำให้จิตใจของบุตรหลานของตนแข็งกระด้าง เมล็ดพืชที่ดีนั้นไม่มีที่จะหยั่งรากลงและซาตานก็มาฉวยไปเสีย {COL 46.1}

In Stony Places

ตามทางที่เป็นพื้นหิน

“He that receiveth the seed into stony places, the same is he that heareth the word, and anon with joy receiveth it; yet hath he not root in himself, but dureth for a while; for when tribulation or persecution ariseth because of the word, by and by he is offended.” {COL 46.2}

“เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด” มัทธิว 13:20-21 {COL 46.2}

The seed sown upon stony ground finds little depth of soil. The plant springs up quickly, but the root cannot penetrate the rock to find nutriment to sustain its growth, and it soon perishes.

เมล็ดพืชที่หว่านตกลงบนที่มีหินเนื้อดินตื้น พืชนั้นงอกขึ้นเร็วแต่รากชอนไชผ่านก้อนหินเพื่อดูดซึมอาหารมาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ต่อมาไม่นานก็เหี่ยวเฉาไป

Many who make a profession of religion are stony-ground hearers. Like the rock underlying the layer of earth, the selfishness of the natural heart underlies the soil of their good desires and aspirations.

คนจำนวนมากแสดงตนเป็นผู้รับเชื่อศาสนาจัดเป็นผู้ฟังประเภทพื้นดินที่มีหิน เหมือนเช่นก้อนหินที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน ความเห็นแก่ตัวของจิตใจตามธรรมชาติก็ซ่อนอยู่ใต้ความต้องการและความทะเยอทะยานอันดี

The love of self is not subdued. They have not seen the exceeding sinfulness of sin, and the heart has not been humbled under a sense of its guilt. This class may be easily convinced, and appear to be bright converts, but they have only a superficial religion. {COL 46.3}

ความรักตนเองไม่ได้ถูกควบคุม พวกเขามองไม่เห็นความผิดอย่างมหันต์ของบาปและจิตใจไม่ได้ถ่อมลงภายใต้ความรู้สึกผิด คนกลุ่มนี้รับเชื่อง่ายและดูเหมือนว่ากลับใจจริงๆ แต่พวกเขานับถือศาสนาเพียงผิวเผินเท่านั้น{COL 46.3}

It is not because men receive the word immediately, nor because they rejoice in it, that they fall away. As soon as Matthew heard the Saviour’s call, immediately he rose up, left all, and followed Him.

มนุษย์พลาดล้มไม่ใช่เพราะพวกเขายอมรับพระวจนะโดยเร็วหรือเพราะมีความชื่นชมยินดีในพระวจนะ ในทันทีที่มัทธิวได้ยินเสียงเรียกของพระผู้ช่วยให้รอด เขาลุกขึ้นละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ไป

As soon as the divine word comes to our hearts, God desires us to receive it; and it is right to accept it with joy. “Joy shall be in heaven over one sinner that repenteth.” Luke 15:7.

พระเจ้าทรงปรารถนาให้เรารับพระวจนะทันทีที่เข้ามาสู่จิตใจของเรา และการรับพระวจนะด้วยความยินดีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง “จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่” ลูกา 15:7

And there is joy in the soul that believes on Christ. But those who in the parable are said to receive the word immediately, do not count the cost. They do not consider what the word of God requires of them. They do not bring it face to face with all their habits of life, and yield themselves fully to its control. {COL 46.4}

และมีความยินดีในจิตใจของผู้ที่เชื่อพระคริสต์ แต่ผู้ซึ่งอุปมากล่าวถึงว่าได้รับพระวจนะในทันใด ไม่ได้คำนึงถึงราคา เขาไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากำหนดให้เขาทำ เขาไม่ได้นำพระวจนะมาส่องเทียบกับอุปนิสัยทั้งหมดในชีวิตของเขา และยอมเต็มใจให้พระวจนะเป็นผู้ควบคุม {COL 46.4}

The roots of the plant strike down deep into the soil, and hidden from sight nourish the life of the plant. So with the Christian; it is by the invisible union of the soul with Christ, through faith, that the spiritual life is nourished.

รากของพืชเจาะไชลึกลงสู่พื้นดินจนถูกปิดบังจากสายตาภายนอก เป็นส่วนหล่อเลี้ยงชีวิตของพืช เช่นเดียวกับชีวิตคริสเตียน เมื่อจิตวิญญาณเข้าสนิทกับพระคริสต์โดยความเชื่อที่มองด้วยตาไม่เห็น ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก็ได้รับการหล่อเลี้ยง

But the stony-ground hearers depend upon self instead of Christ. They trust in their good works and good impulses, and are strong in their own righteousness. They are not strong in the Lord, and in the power of His might. Such a one “hath not root in himself”; for he is not connected with Christ. {COL 47.1}

แต่ผู้ฟังแบบดินที่มีหินพึ่งในตนเองแทนที่จะพึ่งในพระคริสต์ พวกเขาวางใจในการประพฤติและความรู้สึกที่ดีของเขาเอง และเข้มแข็งในความชอบธรรมของตนเอง พวกเขาไม่เข้มแข็งในพระผู้เป็นเจ้าและพระกำลังอำนาจของพระองค์ คนเช่นนี้ “ไม่มีรากลึกในตัว” มัทธิว 13:21 เพราะเขาไม่ได้ติดสนิทกับพระคริสต์ {COL 47.1}

The hot summer sun, that strengthens and ripens the hardy grain, destroys that which has no depth of root. So he who “hath not root in himself,” “dureth for a while”; but “when tribulation or persecution ariseth because of the word, by and by he is offended.” Matthew 13:21

ดวงอาทิตย์ร้อนแรงในฤดูร้อนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและทำให้เมล็ดพืชเติบโตเต็มที่นั้นทำลายต้นพืชที่ไม่มีรากหยั่งลึก ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ “ไม่มีรากลึกในตัว จึงทนอยู่ชั่วคราว” แต่ “เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด” มัทธิว 13:21

Many receive the gospel as a way of escape from suffering, rather than as a deliverance from sin. They rejoice for a season, for they think that religion will free them from difficulty and trial. While life moves smoothly with them, they may appear to be consistent Christians.

มีคนจำนวนมากรับข่าวประเสริฐเพียงเพื่อเป็นวิถีที่จะหลบให้พ้นจากความทุกข์แทนที่จะเพื่อให้หลุดพ้นจากบาป พวกเขามีความชื่นชมยินดีเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเพราะคิดว่าศาสนาจะปลดเขาจากความยากลำบากและปัญหา เมื่อชีวิตยังคงราบรื่น พวกเขาก็ดูเหมือนเป็นคริสเตียนที่เสมอต้นเสมอปลาย

But they faint beneath the fiery test of temptation. They cannot bear reproach for Christ’s sake. When the word of God points out some cherished sin, or requires self-denial or sacrifice, they are offended.

แต่เมื่อมีการทดลองอย่างจริงจังเขาก็ล้มลง พวกเขารับคำติเตียนเพราะพระนามของพระคริสต์ไม่ได้ เมื่อพระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยให้เห็นถึงบาปที่เขายังรักอยู่หรือต้องการให้เขารู้จักบังคับตัวเองหรือเสียสละ เขาก็รู้สึกขุ่นเคือง

It would cost them too much effort to make a radical change in their life. They look at the present inconvenience and trial, and forget the eternal realities. Like the disciples who left Jesus, they are ready to say, “This is an hard saying; who can hear it?” John 6:60. {COL 47.2}

สำหรับเขาแล้วการจะเกิดความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในชีวิตของตนเองกลายเป็นภาระมากเกินไป เขามองไปยังความทุกข์ยากลำบากและการทดสอบในปัจจุบันและลืมคิดถึงชีวิตนิรันดร์ในภายภาคหน้า ดังเช่นสาวกที่จากพระเยซูไป พวกเขาพร้อมที่จะกล่าวว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนักใครจะรับได้” ยอห์น 6:60 {COL 47.2}

There are very many who claim to serve God, but who have no experimental knowledge of Him. Their desire to do His will is based upon their own inclination, not upon the deep conviction of the Holy Spirit.

คนจำนวนมากอ้างว่าตนเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่กลับไม่มีประสบการณ์ความรู้กับพระองค์ ความต้องการที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ของพวกเขาตั้งอยู่บนความประสงค์ของตนเอง ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานการกลับใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

Their conduct is not brought into harmony with the law of God. They profess to accept Christ as their Saviour, but they do not believe that He will give them power to overcome their sins.

ความประพฤติของเขาไม่สอดคล้องกับบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาอ้างว่าได้รับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่กลับขาดความเชื่อว่าพระองค์จะประทานกำลังให้พวกเขาเอาชนะบาป

They have not a personal relation with a living Saviour, and their characters reveal defects both hereditary and cultivated. {COL 48.1}

คนเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงพระชนม์อยู่ และอุปนิสัยของพวกเขาก็มีความบกพร่องออกมาให้เห็น ซึ่งเป็นความบกพร่องทั้งที่เกิดจากทางพันธุกรรมและที่เกิดจากการสั่งสมมา {COL 48.1}

It is one thing to assent in a general way to the agency of the Holy Spirit, and another thing to accept His work as a reprover calling to repentance. Many feel a sense of estrangement from God, a realization of their bondage to self and sin; they make efforts for reform; but they do not crucify self.

เป็นเรื่องหนึ่งที่จะยอมรับว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสื่อตัวแทนทั่วไป และเป็นคนละเรื่องที่จะยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำหน้าที่ของการตักเตือนเชิญชวนให้กลับใจ หลายคนรู้สึกห่างเหินจากพระเจ้า ตระหนักถึงการตกเป็นทาสของตนเองและบาป พวกเขาลงแรงเพื่อปฏิรูปแต่ไม่นำตัวเองไปตรึงกางเขน

They do not give themselves entirely into the hands of Christ, seeking for divine power to do His will. They are not willing to be molded after the divine similitude.

พวกเขาไม่ยอมมอบถวายตนเองไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ แสวงหากำลังจากเบื้องบนเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมรับการปั้นแต่งให้เป็นไปตามพระลักษณะของพระเจ้า

In a general way they acknowledge their imperfections, but they do not give up their particular sins. With each wrong act the old selfish nature is gaining strength. {COL 48.2}

พวกเขาเพียงยอมรับโดยทั่วไปถึงความบกพร่องของตนแต่พวกเขาไม่ยอมที่จะละทิ้งบาปที่เฉพาะเจาะจง ทุกครั้งเมื่อกระทำผิด ธรรมชาติแห่งความเห็นแก่ตัวเดิมๆ ก็แข็งแกร่งขึ้น {COL 48.2}

The only hope for these souls is to realize in themselves the truth of Christ’s words to Nicodemus, “Ye must be born again.” “Except a man be born from above, he can not see the kingdom of God.” John 3:7, 3, margin. {COL 48.3}

ความหวังเดียวสำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้คือ การตระหนักด้วยตัวเองถึงความจริงของพระดำรัสของพระคริสต์ต่อนิโคเดมัสที่กล่าวว่า “พวกท่านต้องเกิดใหม่” “ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า” ยอห์น 3:7, 3 {COL 48.3}

True holiness is wholeness in the service of God. This is the condition of true Christian living. Christ asks for an unreserved consecration, for undivided service. He demands the heart, the mind, the soul, the strength. Self is not to be cherished. He who lives to himself is not a Christian. {COL 48.4}

ความบริสุทธิ์ที่แท้จริงคือการถวายทั้งตัวรับใช้พระราชกิจของพระเจ้า นี่คือเงื่อนไขการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง พระคริสต์ทรงเรียกหาการถวายทั้งตัว การรับใช้อย่างหมดใจ พระองค์ทรงประสงค์ให้เรามอบถวายใจ ความคิด จิตวิญญาณและพละกำลังทั้งหมดแก่พระองค์ จะต้องไม่ยึดมั่นในอัตตา ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองไม่ได้เป็นคริสเตียน {COL 48.4}

Love must be the principle of action. Love is the underlying principle of God’s government in heaven and earth, and it must be the foundation of the Christian’s character. This alone can make and keep him steadfast. This alone can enable him to withstand trial and temptation. {COL 49.1}

ความรักจะต้องเป็นหลักการของการประพฤติ ความรักเป็นหลักการพื้นฐานการปกครองของพระเจ้าในสวรรค์และบนโลก และสิ่งนี้จะต้องเป็นรากฐานแห่งอุปนิสัยของคริสเตียน เป็นสิ่งเดียวที่รักษาเขาให้มั่นคงอยู่ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเผชิญกับความทุกข์ยากและการทดลอง {COL 49.1}

And love will be revealed in sacrifice. The plan of redemption was laid in sacrifice–a sacrifice so broad and deep and high that it is immeasurable.

ความรักนั้นย่อมแสดงออกในการเสียสละ แผนการแห่งการไถ่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเสียสละ เป็นการเสียสละที่ลึกและกว้างและสูงจนไม่สามารถวัดได้

Christ gave all for us, and those who receive Christ will be ready to sacrifice all for the sake of their Redeemer. The thought of His honor and glory will come before anything else. {COL 49.2}

พระคริสต์ประทานทุกสิ่งสำหรับเราและทุกคนที่ยอมรับพระองค์ก็พร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งเพื่อพระผู้ไถ่ให้รอดของพวกเขา การระลึกถึงการถวายเกียรติและพระสิริของพระองค์จะต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด {COL 49.2}

If we love Jesus, we shall love to live for Him, to present our thank offerings to Him, to labor for Him. The very labor will be light. For His sake we shall covet pain and toil and sacrifice.

ถ้าเรารักพระเยซูเราย่อมรักที่จะดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ ทูลถวายขอบคุณพระองค์และทำงานรับใช้พระองค์ ภาระจะเบา เพื่อเห็นแก่พระองค์ เราย่อมปรารถนาความเจ็บปวดและความยากลำบากและความเสียสละ

We shall sympathize with His longing for the salvation of men. We shall feel the same tender craving for souls that He has felt. {COL 49.3}

เราย่อมมีความเห็นใจในพระประสงค์ของการนำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ เราควรรู้สึกเช่นเดียวกับพระองค์ที่อยากเห็นจิตวิญญาณเหล่านั้นได้รับการช่วยเหลือ {COL 49.3}

This is the religion of Christ. Anything short of it is a deception. No mere theory of truth or profession of discipleship will save any soul. We do not belong to Christ unless we are His wholly.

นี่คือศาสนาของพระคริสต์ สิ่งอื่นที่น้อยไปกว่านี้ย่อมเป็นการหลอกลวง ไม่มีทฤษฎีแห่งความจริงใดๆ หรือการแกล้งทำตัวให้ดูเหมือนว่าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์ที่จะช่วยจิตวิญญาณให้รอดได้ เราจะเป็นคนของพระคริสต์ไม่ได้จนกว่าเราจะมอบชีวิตทั้งหมดถวายพระองค์

It is by halfheartedness in the Christian life that men become feeble in purpose and changeable in desire. The effort to serve both self and Christ makes one a stony-ground hearer, and he will not endure when the test comes upon him. {COL 50.1}

การถวายจิตใจเพียงครึ่งเดียวของชีวิตคริสเตียน ทำให้มนุษย์มีความไม่มั่งคงในเป้าหมายและเปลี่ยนแปลงไปตามความปรารถนา ความพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและรับใช้พระคริสต์ในขณะเดียวกันทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นผู้ฟังที่มีหินมากบนดินและเขาจะทนไม่ได้เมื่อเกิดการทดสอบ {COL 50.1}

Among Thorns

กลางหนาม

“He also that received seed among the thorns is he that heareth the word; and the care of this world, and the deceitfulness of riches, choke the word, and he becometh unfruitful.” {COL 50.2}

“และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้นได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลกและการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสียจึงไม่เกิดผล” มัทธิว 13:22 {COL 50.2}

The gospel seed often falls among thorns and noxious weeds; and if there is not a moral transformation in the human heart, if old habits and practices and the former life of sin are not left behind,

บ่อยครั้งเมล็ดข่าวประเสริฐตกลงสู่พื้นที่มีหนามและหญ้าที่มีพิษ และหากหัวใจมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลงในด้านศีลธรรม หากไม่ปล่อยนิสัยเดิมและพฤติกรรมเก่าและชีวิตในอดีตทิ้งไป

if the attributes of Satan are not expelled from the soul, the wheat crop will be choked. The thorns will come to be the crop, and will kill out the wheat. {COL 50.3}

หากไม่ขับคุณลักษณะของซาตานออกไปจากจิตวิญญาณ ต้นข้าวก็จะถูกรัด พงหนามจะกลายเป็นต้นพืชและทำลายต้นข้าว {COL 50.3}

Grace can thrive only in the heart that is being constantly prepared for the precious seeds of truth. The thorns of sin will grow in any soil; they need no cultivation; but grace must be carefully cultivated.

พระคุณจำเริญอยู่ได้เฉพาะในจิตใจที่เตรียมพร้อมเพื่อรองรับเมล็ดแห่งความจริงอันล้ำค่า หนามแห่งบาปจะเติบโตในเนื้อดินทุกสภาพ มันไม่ต้องการการดูแล แต่พระคุณนั้นจะต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง

The briers and thorns are always ready to spring up, and the work of purification must advance continually. If the heart is not kept under the control of God, if the Holy Spirit does not work unceasingly to refine and ennoble the character, the old habits will reveal themselves in the life.

ไม้หนามและต้นหนามพร้อมเสมอที่จะผุดขึ้น และภาระงานของการชำระให้บริสุทธิ์จำต้องก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง หากจิตใจไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ประกอบกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อชำระและขัดเกลาอุปนิสัยแล้ว อุปนิสัยเก่าๆ จะปรากฏตัวเองขึ้นในชีวิตอีก

Men may profess to believe the gospel; but unless they are sanctified by the gospel their profession is of no avail. If they do not gain the victory over sin, then sin is gaining the victory over them. The thorns that have been cut off but not uprooted grow apace, until the soul is overspread with them. {COL 50.4}

มนุษย์อาจแสดงตัวว่าเชื่อข่าวประเสริฐ แต่หากเขาไม่ได้รับการชำระโดยข่าวประเสริฐแล้ว การเป็นผู้เชื่อก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเขาไม่มีชัยชนะเหนือบาปแล้วบาปก็จะมีชัยเหนือเขา ต้นหนามที่ถูกตัดแต่ไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนก็จะเจริญขึ้นโดยเร็ว ในที่สุดมันจะปกคลุมจิตวิญญาณจนหมดสิ้น {COL 50.4}

Christ specified the things that are dangerous to the soul. As recorded by Mark He mentions the cares of this world, the deceitfulness of riches, and the lusts of other things.

พระคริสต์ทรงเน้นให้เห็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณ ตามที่มาระโกบันทึกไว้ พระองค์ทรงกล่าวถึงความกังวลของโลกนี้ ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติและความโลภในสิ่งต่างๆ

Luke specifies the cares, riches, and pleasures of this life. These are what choke the word, the growing spiritual seed. The soul ceases to draw nourishment from Christ, and spirituality dies out of the heart. {COL 51.1}

ลูการะบุถึงความกังวลทรัพย์สมบัติและความสนุกสนานของชีวิตนี้ สิ่งเหล่านี้รัดพระวจนะซึ่งเป็นเมล็ดฝ่ายจิตวิญญาณที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นมา จิตใจไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระคริสต์และในที่สุดชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณตายไปจากหัวใจ {COL 51.1}

“The cares of this world.” No class is free from the temptation to worldly care. To the poor, toil and deprivation and the fear of want bring perplexities and burdens. To the rich come fear of loss and a multitude of anxious cares.

“ความกังวลของโลก” มาระโก 4: 19 ไม่มีชนกลุ่มใดที่หลุดพ้นจากการทดลองในเรื่องของความกังวลของโลก สำหรับคนยากจน ความทุกข์ยากและความขัดสนและความกลัวต่อการขาดแคลน ทำให้เกิดความกังวลและเป็นภาระ สำหรับคนมั่งมีจะมีความกลัวเรื่องการสูญเสีย และความห่วงใยวิตกกังวลมากมาย

Many of Christ’s followers forget the lesson He has bidden us learn from the flowers of the field. They do not trust to His constant care. Christ cannot carry their burden, because they do not cast it upon Him.

ผู้ติดตามพระคริสต์หลายคนลืมบทเรียนที่พระองค์ทรงสอนให้เราเรียนรู้จากดอกไม้ในทุ่งนา พวกเขาไม่ได้วางใจในการดูแลอย่างสม่ำเสมอของพระองค์ พระคริสต์ช่วยรับภาระของพวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้มอบภาระไว้กับพระองค์

Therefore the cares of life, which should drive them to the Saviour for help and comfort, separate them from Him. {COL 51.2}

ดังนั้นภาระแห่งชีวิตซึ่งควรผลักดันพวกเขาให้ไปทูลขอความช่วยเหลือ และคำปลอบประโลมใจจากพระองค์จึงกลายเป็นสิ่งที่แยกตัวพวกเขาออกจากพระองค์ไป {COL 51.2}

Many who might be fruitful in God’s service become bent on acquiring wealth. Their whole energy is absorbed in business enterprises, and they feel obliged to neglect things of a spiritual nature.

มีหลายคนน่าจะทำงานรับใช้พระเจ้าได้อย่างบังเกิดผล แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับการหาทรัพย์สมบัติ พวกเขาทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับธุรกิจ และพวกเขารู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องละสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ

Thus they separate themselves from God. We are enjoined in the Scriptures to be “not slothful in business.” Romans 12:11.

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงแยกตัวเองออกจากพระเจ้า เราได้รับคำบัญชาในพระคัมภีร์ว่า “อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้น” โรม 12:11

We are to labor that we may impart to him who needs. Christians must work, they must engage in business, and they can do this without committing sin.

เราควรทำงานเพื่อสามารถแบ่งปันให้กับผู้ที่ขัดสน คริสเตียนต้องทำงาน พวกเขาควรดำเนินธุรกิจและทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่กระทำบาป

But many become so absorbed in business that they have no time for prayer, no time for the study of the Bible, no time to seek and serve God. At times the longings of the soul go out for holiness and heaven; but there is no time to turn aside from the din of the world to listen to the majestic and authoritative utterances of the Spirit of God.

แต่มีหลายคนที่ทุ่มเทให้กับธุรกิจมากจนกระทั่งไม่มีเวลาสำหรับการอธิษฐาน ไม่มีเวลาสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์ ไม่มีเวลาที่จะแสวงหาและรับใช้พระเจ้า มีบางครั้งจิตใจหวนคิดถึงความบริสุทธิ์และแผ่นดินสวรรค์ แต่ไม่มีเวลาที่จะหยุดพักจากเสียงอึกทึกของโลกนี้มาสู่พระสุรเสียงที่มีสิทธิอำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า

The things of eternity are made subordinate, the things of the world supreme. It is impossible for the seed of the word to bring forth fruit; for the life of the soul is given to nourish the thorns of worldliness. {COL 51.3}

สิ่งอันเป็นนิรันดร์กลายเป็นเรื่องรอง ส่วนสิ่งในโลกนี้กลับเป็นเอก เมล็ดแห่งพระวจนะเกิดผลไม่ได้ เพราะเขาใช้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเลี้ยงดูต้นหนามของทางโลก {COL 51.3}

And many who are working with a very different purpose, fall into a like error. They are working for others’ good; their duties are pressing, their responsibilities are many, and they allow their labor to crowd out devotion.

มีหลายคนทำงานด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพความผิดพลาดอย่างเดียวกัน พวกเขาทำงานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น หน้าที่บีบบังคับพวกเขาไว้ พวกเขาต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างและปล่อยให้การงานทำให้ไม่มีเวลาเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระเจ้า

Communion with God through prayer and a study of His word is neglected. They forget that Christ has said, “Without Me ye can do nothing.” John 15:5.

พวกเขาละเลยการติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยการอธิษฐานและการศึกษาพระธรรม เขาลืมไปว่าพระคริสต์เคยตรัส “ถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ยอห์น 15:5

They walk apart from Christ, their life is not pervaded by His grace, and the characteristics of self are revealed. Their service is marred by desire for supremacy, and the harsh, unlovely traits of the unsubdued heart. Here is one of the chief secrets of failure in Christian work. This is why its results are often so meager. {COL 52.1}

พวกเขาดำเนินชีวิตเหินห่างจากพระคริสต์ ชีวิตของพวกเขาขาดจากพระคุณ และนิสัยที่เห็นแก่ตัวจึงปรากฏออกมาให้เห็น ความอยากมีอำนาจและคุณสมบัติหยาบกร้านของหัวใจไม่ยอมอยู่ใต้บังคับ ทำให้การปรนนิบัติรับใช้ของเขาเสื่อม นี่คือเคล็ดลับสำคัญของความล้มเหลวในการงานของคริสเตียน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผลงานที่ได้รับจึงน้อยนัก {COL 52.1}

“The deceitfulness of riches.” The love of riches has an infatuating, deceptive power. Too often those who possess worldly treasure forget that it is God who gives them power to get wealth.

“ความล่อลวงของทรัพย์สมบัติ” มัทธิว 13:12 การรักทรัพย์สมบัติมีอำนาจลุ่มหลงหลอกลวง บ่อยครั้ง คนที่มีทรัพย์สมบัติทางโลกลืมว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานกำลังให้เขาได้รับความมั่งคั่ง

They say, “My power and the might of mine hand hath gotten me this wealth.” Deuteronomy 8:17. Their riches, instead of awakening gratitude to God, lead to the exaltation of self. They lose the sense of their dependence upon God and their obligation to their fellow men.

เขากล่าวว่า “กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำทรัพย์มีค่านี้มาให้ข้า” เฉลยธรรมบัญญัติ 8:17 แทนที่ความมั่งคั่งของเขาจะกระตุ้นให้เกิดความสำนึกในพระคุณของพระเจ้า มันกลับนำเขาไปสู่การยกยอตัวเอง เขาลืมพึ่งพาในพระเจ้า และหน้าที่ที่ควรมีต่อเพื่อนมนุษย์

Instead of regarding wealth as a talent to be employed for the glory of God and the uplifting of humanity, they look upon it as a means of serving themselves. Instead of developing in man the attributes of God, riches thus used are developing in him the attributes of Satan. The seed of the word is choked with thorns. {COL 52.2}

แทนที่จะคิดว่าความร่ำรวยเป็นตะลันต์ที่ควรนำมาถวายเกียรติพระเจ้าและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พวกเขากลับมองว่าเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับตัวเอง แทนที่จะช่วยพัฒนาให้มนุษย์มีคุณลักษณะของพระเจ้า ความมั่งคั่งนั้นกลับก่อให้เกิดคุณลักษณะของซาตาน เมล็ดพืชแห่งพระวจนะจึงถูกรัดด้วยพงหนาม {COL 52.2}

“And pleasures of this life.” There is danger in amusement that is sought merely for self-gratification. All habits of indulgence that weaken the physical powers, that becloud the mind, or that benumb the spiritual perceptions, are “fleshly lusts, which war against the soul.” 1 Peter 2:11. {COL 53.1}

“ความสนุกสนานของชีวิตนี้” ลูกา 8:14 ความบันเทิงที่ได้มาเพียงเพื่อบำบัดความปรารถนาของตนเองเป็นภัยอันตราย นิสัยทุกอย่างที่ทำให้กำลังฝ่ายร่างกายอ่อนแอลง ทำให้ความคิดไม่ปลอดโปร่งหรือสิ่งที่ทำให้การรับรู้ฝ่ายจิตวิญญาณมึนงง คือ “ตัณหาของเนื้อหนังซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิต” 1 เปโตร 2:11 {COL 53.1}

“And the lusts of other things.” These are not necessarily things sinful in themselves, but something that is made first instead of the kingdom of God. Whatever attracts the mind from God, whatever draws the affections away from Christ, is an enemy to the soul. {COL 53.2}

“และความโลภในสิ่งต่างๆ” มาระโก 4:19 สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เป็นบาปโดยตัวของมันเอง แต่เป็นสิ่งที่เรายกไว้ให้เป็นอันดับแรกไปแทนที่อาณาจักรของพระเจ้า อะไรก็ตามที่ดึงดูดความคิดให้ออกจากพระเจ้า สิ่งใดก็ตามที่ดึงมนุษย์ออกจากความสนิทสนมกับพระคริสต์ก็เป็นข้าศึกของจิตวิญญาณ {COL 53.2}

When the mind is youthful and vigorous and susceptible of rapid development, there is great temptation to be ambitious for self, to serve self.

เมื่อความคิดยังเยาว์วัยและตื่นตัวอยู่ และมีศักยภาพในการพัฒนาได้รวดเร็ว การทดลองยิ่งใหญ่ที่มักจะพบ คือความทะเยอทะยานเพื่อตัวเองและทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง

If worldly schemes are successful, there is an inclination to continue in a line that deadens conscience, and prevents a correct estimate as to what constitutes real excellence of character. When circumstances favor this development, growth will be seen in a direction prohibited by the word of God. {COL 53.3}

หากอุบายทางโลกสัมฤทธิ์ผลแล้ว จะมีแนวโน้มดำเนินไปในทางที่จะทำให้จิตใต้สำนึกตายด้าน และขัดขวางการประเมินว่าสิ่งใดเป็นส่วนประกอบของอุปนิสัยที่ดีเลิศอันแท้จริงได้อย่างถูกต้อง เมื่อภาวการณ์เป็นไปในทางที่สนับสนุนการพัฒนาเช่นนี้ การเติบโตขึ้นก็จะเป็นไปในทางที่พระวจนะของพระเจ้าห้ามไว้ {COL 53.3}

In this formative period of their children’s life, the responsibility of parents is very great. It should be their study to surround the youth with right influences, influences that will give them correct views of life and its true success.

ในช่วงเวลาการเจริญวัยของชีวิตในวัยเด็ก พ่อแม่มีหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ บิดามารดาควรศึกษาหาสภาพแวดล้อมของอิทธิพลที่ดี อิทธิพลช่วยให้เยาวชนรู้จักมุมมองของชีวิตที่ถูกต้อง และความหมายของความสำเร็จอันแท้จริง

Instead of this, how many parents make it their first object to secure for their children worldly prosperity. All their associations are chosen with reference to this object. Many parents make their home in some large city, and introduce their children into fashionable society.

แทนที่จะกระทำเช่นนี้ บิดามารดาจำนวนสักกี่คนกลับสร้างเป้าหมายอันดับแรกด้วยการแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยฝ่ายโลกให้กับบุตรของตน บุคคลที่เขาให้เข้าสังคมด้วยล้วนเป็นคนผ่านการคัดเลือกด้วยจุดประสงค์นี้ พ่อแม่จำนวนมากเลือกสร้างบ้านของตนในเมืองใหญ่ และแนะนำบุตรของตนให้เข้าสังคมที่ทันสมัย

They surround them with influences that encourage worldliness and pride. In this atmosphere the mind and soul are dwarfed. The high and noble aims of life are lost sight of. The privilege of being sons of God, heirs of eternity, is bartered for worldly gain. {COL 53.4}

เขาปล่อยให้บุตรของตนถูกห้อมล้อมด้วยอิทธิพลที่สนับสนุนทางฝ่ายโลก และความหยิ่งยโส ในสภาพของบรรยากาศเช่นนี้ ความคิดและจิตวิญญาณถดถอย เป้าหมายอันสูงและมีคุณค่าในชีวิตจึงหลุดไปจากสายตา สิทธิพิเศษในการเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นทายาทแห่งชีวิตนิรันดร์จึงถูกแลกกับสิ่งของทางโลก {COL 53.4}

Many parents seek to promote the happiness of their children by gratifying their love of amusement. They allow them to engage in sports, and to attend parties of pleasure, and provide them with money to use freely in display and self-gratification.

บิดามารดาจำนวนมากไขว่คว้าที่จะส่งเสริมความสุขของบุตรของตนโดยการตามใจบุตรให้ชอบความสนุกบันเทิง พวกเขาอนุญาตให้บุตรเข้าเล่นในกีฬาและร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์และให้ใช้เงินอย่างเต็มที่เพื่ออวดเพื่อนและทำตามอำเภอใจ

The more the desire for pleasure is indulged, the stronger it becomes. The interest of these youth is more and more absorbed in amusement, until they come to look upon it as the great object of life. They form habits of idleness and self-indulgence that make it almost impossible for them ever to become steadfast Christians. {COL 54.1}

การปล่อยตามใจปรารถนาให้มีความสนุกสนานมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้พวกเขาอยากใช้ชีวิตอย่างนี้มากยิ่งขึ้น ความสนใจของวัยรุ่นเหล่านี้จึงหลงอยู่กับความสนุกสนานจนกระทั่งยกสิ่งนี้ให้เป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิต พวกเขาเพาะนิสัยความเกียจคร้านและทำตามใจตนเองจนกระทั่งไม่มีทางที่จะเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อมั่นคงได้ {COL 54.1}

Even the church, which should be the pillar and ground of the truth, is found encouraging the selfish love of pleasure. When money is to be raised for religious purposes, to what means do many churches resort? To bazaars, suppers, fancy fairs, even to lotteries, and like devices.

แม้ในคริสตจักรซึ่งควรเป็นเสาหลักและแหล่งของความจริงยังพบว่าให้การสนับสนุนการรักความสนุกสนานที่เห็นแก่ตัว ยามที่ต้องการจัดหาเงินทุนเพื่อกิจการด้านศาสนา คริสตจักรหันไปพึ่งพาวิธีใดบ้าง พวกเขาจัดตลาดนัดขายของ จัดเลี้ยงอาหาร งานรื่นเริง แม้กระทั่งสลากกินแบ่งและวิธีอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน

Often the place set apart for God’s worship is desecrated by feasting and drinking, buying, selling, and merrymaking. Respect for the house of God and reverence for His worship are lessened in the minds of the youth.

บ่อยครั้งสถานที่ซึ่งได้รับการจัดไว้สำหรับการนมัสการพระเจ้า โดยเฉพาะ ต้องหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยงานเลี้ยงและการกินดื่ม การซื้อ การขาย และงานบันเทิง ในความคิดของเยาวชน

The barriers of self-restraint are weakened. Selfishness, appetite, the love of display, are appealed to, and they strengthen as they are indulged. {COL 54.2}

ความเคารพต่อวิหารของพระเจ้าและการถวายเกียรติต่อที่ประชุมนมัสการพระองค์ก็ลดความสำคัญลง ป้อมปราการแห่งการยับยั้งตนอ่อนกำลังลง ความเห็นแก่ตัว ความกระหาย การอวดตัวกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจ และเมื่อยิ่งทำสิ่งนี้มากเท่าใดก็ยิ่งปล่อยตัวปล่อยใจมากขึ้นเท่านั้น {COL 54.2}

The pursuit of pleasure and amusement centers in the cities. Many parents who choose a city home for their children, thinking to give them greater advantages, meet with disappointment, and too late repent their terrible mistake. The cities of today are fast becoming like Sodom and Gomorrah.

แหล่งของความสนุกสนานและความบันเทิงมีศูนย์กลางในเมืองใหญ่ บิดามารดาหลายท่านเลือกอาศัยอยู่ในเมือง โดยคิดว่าจะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับบุตรของตน พวกเขากลับต้องพบกับความผิดหวังและสายเกินไปที่จะกลับใจจากความผิดพลาดอันเลวร้ายนี้ เมืองต่างๆ ในปัจจุบันกำลังกลายเป็นเสมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์อย่างรวดเร็ว

The many holidays encourage idleness. The exciting sports–theatergoing, horse racing, gambling, liquor-drinking, and reveling–stimulate every passion to intense activity. The youth are swept away by the popular current.

วันหยุดราชการที่มีอยู่มากมายช่วยส่งเสริมความเกียจคร้าน กีฬาที่น่าตื่นเต้น เช่น การชมภาพยนตร์ การแข่งม้า การพนัน การดื่มสุรา และความบันเทิงล้วนกระตุ้นตัณหาให้ทำในกิจกรรมที่รุนแรงขึ้น เยาวชนจึงถูกพัดไปตามกระแสแห่งสมัยนิยม

Those who learn to love amusement for its own sake open the door to a flood of temptations. They give themselves up to social gaiety and thoughtless mirth, and their intercourse with pleasure lovers has an intoxicating effect upon the mind.

ผู้ที่เรียนรู้การรักความสนุกสนานเปิดประตูให้คลื่นแห่งการทดลองไหลบ่าเข้ามา พวกเขาปล่อยตัวเองไปกับงานสังคมและงานสังสรรค์ และการคบค้าสมาคมกับผู้ที่รักความสนุกสนานมีผลทำให้มอมเมาความคิด

They are led on from one form of dissipation to another, until they lose both the desire and the capacity for a life of usefulness. Their religious aspirations are chilled; their spiritual life is darkened. All the nobler faculties of the soul, all that link man with the spiritual world, are debased. {COL 54.3}

พวกเขาถูกชักจูงให้เป็นคนสำมะเลเทเมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งสูญเสียความปรารถนา และกำลังความสามารถที่จะใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ ความหวังใจฝ่ายศาสนาเย็นชาไป ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมืดไป สิ่งที่มีค่าในจิตวิญญาณ สิ่งที่เชื่อมโยงมนุษย์กับโลกฝ่ายจิตวิญญาณเสื่อมไป {COL 54.3}

It is true that some may see their folly and repent. God may pardon them. But they have wounded their own souls, and brought upon themselves a lifelong peril.

จริงอยู่ที่มีบางคนมองเห็นความผิดพลาดของตนและกลับใจ พระเจ้าทรงอภัยเขาได้ แต่เขาทำร้ายจิตวิญญาณของตนไปแล้ว และนำหายนะที่มีผลต่อตนเองไปตลอดชีวิต

The power of discernment, which ought ever to be kept keen and sensitive to distinguish between right and wrong, is in a great measure destroyed. They are not quick to recognize the guiding voice of the Holy Spirit, or to discern the devices of Satan.

อำนาจในการแยกแยะซึ่งควรถนอมไว้อย่างขะมักเขม้นและไวต่อความผิด ความถูก ถูกทำลายไปเสียส่วนใหญ่ พวกเขาขาดความว่องไวในการรับฟังเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือมองไม่เห็นกลลวงของซาตาน

Too often in time of danger they fall under temptation, and are led away from God. The end of their pleasure-loving life is ruin for this world and for the world to come. {COL 55.1}

บ่อยครั้งในภาวะอันตราย พวกเขาก็ตกอยู่ในการทดลองและถูกชักนำไปจากพระเจ้า ผลลัพธ์สุดท้ายของชีวิตที่รักความเพลิดเพลินสนุกสนานก็คือความหายนะทั้งในโลกนี้และโลกหน้า {COL 55.1}

Cares, riches, pleasures, all are used by Satan in playing the game of life for the human soul. The warning is given, “Love not the world, neither the things that are in the world. If any man love the world, the love of the Father is not in him. For all that is in the world, the lust of the flesh, and the lust of the eyes, and the pride of life, is not of the Father, but is of the world.” 1 John 2:15, 16.

ความวิตกกังวล ความร่ำรวย ความสนุกสนาน ล้วนเป็นสิ่งที่ซาตานนำมาใช้ในเกมส์ชีวิตของจิตวิญญาณมนุษย์ มีคำตักเตือนกล่าวไว้ว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก” 1 ยอห์น 2:15-16

He who reads the hearts of men as an open book says, “Take heed to yourselves, lest at any time your hearts be overcharged with surfeiting and drunkenness and cares of this life.” Luke 21:34.

พระองค์ผู้ทรงอ่านจิตใจของมนุษย์เหมือนอ่านหนังสือที่เปิดออกตรัสว่า “จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้า และการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้” ลูกา 21:34

And the apostle Paul by the Holy Spirit writes, “They that will be rich fall into temptation and a snare, and into many foolish and hurtful lusts, which drown men in destruction and perdition. For the love of money is the root of all evil; which, while some coveted after, they have erred from the faith, and pierced themselves through with many sorrows.” 1 Timothy 6:9, 10. {COL 55.2}

และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้อัครทูตเปาโลเขียนว่า “ส่วนพวกที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการล่อลวงและกับดักของความอยากมากมายที่โง่เขลาและอันตราย ซึ่งฉุดคนเราให้ลงไปพินาศและความย่อยยับ เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย” 1 ทิโมธี 6:9, 10 {COL 55.2}

Preparation of the Soil

การเตรียมดิน

Throughout the parable of the sower, Christ represents the different results of the sowing as depending upon the soil. In every case the sower and the seed are the same. Thus He teaches that if the word of God fails of accomplishing its work in our hearts and lives, the reason is to be found in ourselves.

ในอุปมาผู้หว่านพืชทั้งเรื่อง พระคริสต์ทรงอธิบายให้เห็นว่าผลของการหว่านนั้นขึ้นอยู่กับดิน ในทุกกรณี ผู้หว่านพืชและเมล็ดที่หว่านไปนั้นเหมือนกัน ด้วยประการฉะนี้ พระองค์ทรงสอนว่าหากพระวจนะไม่เกิดผลในจิตใจและชีวิตของเรา เหตุผลอยู่ที่ตัวของเราเอง

But the result is not beyond our control. True, we cannot change ourselves; but the power of choice is ours, and it rests with us to determine what we will become. The wayside, the stony-ground, the thorny-ground hearers need not remain such.

แต่ผลนั้นไม่ได้อยู่เหนือการควบคุมของเรา จริงอยู่เราเปลี่ยนตัวเราเองไม่ได้ แต่อำนาจของการเลือกเป็นของเรา และเราเองเป็นผู้ตัดสินว่าตัวเองจะเป็นเช่นไร ผู้ฟังแบบดินริมทางเดินที่มีหินหรือมีหนามปกคลุม ไม่จำเป็นต้องอยู่เช่นนั้นตลอดไป

The Spirit of God is ever seeking to break the spell of infatuation that holds men absorbed in worldly things, and to awaken a desire for the imperishable treasure. It is by resisting the Spirit that men become inattentive to or neglectful of God’s word. พระวิญญาณของพระเจ้าทรงแสวงหาทางที่จะทำลายเสน่ห์เย้ายวนที่ทำให้มนุษย์หมกมุ่นแต่สิ่งของในโลก และกระตุ้นเขาให้มีใจปรารถนาทรัพย์สมบัติอันไม่รู้จักเสื่อมสูญ การที่มนุษย์ขัดขืนพระวิญญาณทำให้เขาขาดความสนใจ หรือละเลยพระวจนะของพระเจ้า

They are themselves responsible for the hardness of heart that prevents the good seed from taking root, and for the evil growths that check its development. {COL 56.1}

ตัวเขาเองเป็นผู้รับผิดชอบต่อความแข็งกระด้างของจิตใจที่ขัดขวางไม่ให้เมล็ดที่ดีหยั่งรากลง และการเจริญขึ้นของเมล็ดของความชั่วที่หยุดยั้งการพัฒนาของเมล็ดที่ดี {COL 56.1}

The garden of the heart must be cultivated. The soil must be broken up by deep repentance for sin. Poisonous, Satanic plants must be uprooted. The soil once overgrown by thorns can be reclaimed only by diligent labor.

สวนของจิตใจจะต้องเตรียม ดินเพื่อการเพาะปลูกจะต้องทุบให้แตกโดยการกลับใจจากบาปอย่างแท้จริง วัชพืชที่มีพิษของซาตานจะต้องถูกถอนรากถอนโคน พื้นดินที่เคยมีต้นหนามปกคลุมจะนำกลับมาใช้ได้อีกด้วยการทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร

So the evil tendencies of the natural heart can be overcome only by earnest effort in the name and strength of Jesus. The Lord bids us by His prophet, “Break up your fallow ground, and sow not among thorns.”

ด้วยเหตุนี้จะเอาชนะความโน้มเอียงของจิตใจที่จะทำบาปได้ด้วยความเพียรในพระนาม และพระกำลังของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเราโดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ว่า “จงทุบดินที่ไถไว้แล้วนั้น และอย่าหว่านลงกลางพงหนาม”

“Sow to yourselves in righteousness; reap in mercy.” Jeremiah 4:3; Hosea 10:12. This work He desires to accomplish for us, and He asks us to co-operate with Him. {COL 56.2}

“จงหว่านความชอบธรรมไว้สำหรับตัว จงเกี่ยวผลของความรักมั่นคง” เยเรมีย์ 4:3 โฮเชยา 10:12 พระองค์ทรงปรารถนาที่จะประกอบกิจนี้ให้สำเร็จเพื่อเรา และพระองค์ทรงเรียกร้องให้เราร่วมมือกับพระองค์ {COL 56.2}

The sowers of the seed have a work to do in preparing hearts to receive the gospel. In the ministry of the word there is too much sermonizing, and too little of real heart-to-heart work. There is need of personal labor for the souls of the lost.

ผู้หว่านเมล็ดพืชมีงานของการเตรียมจิตใจไว้เพื่อรับข่าวประเสริฐ ในพันธกิจนั้นมีการเทศนามากเกินไป และการทำงานด้วยความเห็นใจผู้อื่นอย่างแท้จริงมีน้อยเหลือเกิน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสนใจเป็นการส่วนตัวต่อจิตวิญญาณที่หลงหาย

In Christlike sympathy we should come close to men individually, and seek to awaken their interest in the great things of eternal life.

ด้วยความเห็นอกเห็นใจเหมือนพระคริสต์ เราจะต้องเข้าใกล้เพื่อนมนุษย์เป็นการส่วนตัว และหาวิธีกระตุ้นความสนใจของเขาในสิ่งยิ่งใหญ่แห่งชีวิตนิรันดร์

Their hearts may be as hard as the beaten highway, and apparently it may be a useless effort to present the Saviour to them; but while logic may fail to move, and argument be powerless to convince, the love of Christ, revealed in personal ministry, may soften the stony heart, so that the seed of truth can take root. {COL 57.1}

จิตใจของเขาอาจแข็งกระด้างเหมือนกับถนนหลวงที่ถูกเหยียบย่ำจนกระด้าง และดูอย่างผิวเผินแล้วการเสนอพระผู้ช่วยให้เขาคงไม่เกิดประโยชน์ แต่ในขณะที่ตรรกทางความคิดอาจล้มเหลวและการถกเถียงเรื่องนี้ไร้พลังที่จะทำให้เขาเชื่อได้ ความรักของพระคริสต์ซึ่งปรากฏอยู่ในการประกาศแบบส่วนตัว อาจทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างอ่อนลง เพื่อให้เมล็ดแห่งความจริงหยั่งรากลงได้ {COL 57.1}

So the sowers have something to do that the seed may not be choked with thorns or perish because of shallowness of soil. At the very outset of the Christian life every believer should be taught its foundation principles.

ดังนั้นผู้หว่านมีหน้าที่บางสิ่งที่ต้องทำเพื่อไม่ให้พงหนามรัดต้นพืช หรือพินาศไปเพราะชั้นดินตื้น ณ จุดเริ่มต้นของชีวิตคริสเตียน จะต้องสอนผู้เชื่อทุกคนในเรื่องของหลักการขั้นพื้นฐาน

He should be taught that he is not merely to be saved by Christ’s sacrifice, but that he is to make the life of Christ his life and the character of Christ his character.

จะต้องสอนให้เขาทราบว่าเขาไม่เพียงแต่ได้รับความรอดด้วยการยอมสละพระชนม์ของพระคริสต์ แต่ควรจะให้ชีวิตของพระคริสต์เป็นชีวิตของเขาด้วย และให้พระลักษณะนิสัยของพระองค์เป็นอุปนิสัยของเขา

Let all be taught that they are to bear burdens and to deny natural inclination. Let them learn the blessedness of working for Christ, following Him in self-denial, and enduring hardness as good soldiers.

ควรให้ทุกคนเรียนรู้ว่าเขาควรจะแบกภาระและปฏิเสธความโน้นเอียงตามธรรมชาติ ควรให้เขาเรียนรู้ถึงพระพรที่จะได้รับจากการทำงานเพื่อพระคริสต์ ติดตามพระองค์ด้วยการละทิ้งตนเองและเพียรอดทนต่อความลำบากดังเช่นทหารที่ดี

Let them learn to trust His love and to cast on Him their cares. Let them taste the joy of winning souls for Him. In their love and interest for the lost, they will lose sight of self.

ควรให้เขารู้จักวางใจในความรักของพระองค์และมอบภาระของเขาให้กับพระองค์ ให้เขาลิ้มรสแห่งความสุของการนำจิตวิญญาณมาหาพระองค์ ด้วยความรักและเอาใจใส่ต่อผู้หลงหาย เขาจะลืมความปรารถนาของตนเองไป

The pleasures of the world will lose their power to attract and its burdens to dishearten. The plowshare of truth will do its work. It will break up the fallow ground. It will not merely cut off the tops of the thorns, but will take them out by the roots. {COL 57.2}

ความสนุกสนานของโลกนี้จะไม่มีอำนาจที่จะดึงดูดเขา และภาระต่างๆ ที่จะทำให้ละเหี่ยใจก็จะหมดไป ใบมีดคันไถแห่งความจริงจะทำหน้าที่ของมัน และจะไถคราดพื้นดินนั้นได้ ไม่ใช่ตัดส่วนบนของต้นหนามเท่านั้นแต่จะถอนรากถอนโคนออกไปด้วย {COL 57.2}

In Good Ground

ในดินดี

The sower is not always to meet with disappointment. Of the seed that fell into good ground the Saviour said, This “is he that heareth the word, and understandeth it; which also beareth fruit, and bringeth forth, some an hundredfold, some sixty, some thirty.” Matthew 13:23

ผู้หว่านหาใช่จะพบแต่ความผิดหวังเสมอไปไม่ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถึงเมล็ดที่ตกลงดินดีว่า “ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” มัทธิว 13:23

“That on the good ground are they, which, in an honest and good heart, having heard the word, keep it, and bring forth fruit with patience.” Luke 8:15 {COL 58.1}

“ที่ตกในดินดีหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะแล้วจดจำไว้ด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม จึงเกิดผลโดยความทรหดอดทน” ลูกา 8:15 {COL 58.1}

The “honest and good heart” Luke 8:15 of which the parable speaks, is not a heart without sin; for the gospel is to be preached to the lost. Christ said, “I came not to call the righteous, but sinners to repentance.” Mark 2:17.

“จดจำไว้ด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม” ลูกา 8:15 ที่กล่าวถึงในอุปมาไม่ใช่จิตใจที่ปราศจากบาปเพราะพระวจนะนั้นประกาศไปยังผู้ที่หลงหาย พระคริสต์ตรัสว่า “เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” มาระโก 2: 17

He has an honest heart who yields to the conviction of the Holy Spirit. He confesses his guilt, and feels his need of the mercy and love of God. He has a sincere desire to know the truth, that he may obey it.

ผู้ที่มีใจเลื่อมใสสัตย์ซื่อคือผู้ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในจิตใจ เขาสารภาพบาปของตนและรู้สึกถึงความต้องการในพระกรุณาคุณและความรักของพระเจ้า เขามีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะทราบความจริงเพื่อจะเชื่อฟัง

The good heart is a believing heart, one that has faith in the word of God. Without faith it is impossible to receive the word. “He that cometh to God must believe that He is, and that He is a rewarder of them that diligently seek Him.” Hebrews 11:6. {COL 58.2}

จิตใจที่ดีคือจิตใจที่เชื่อ จิตใจที่มีความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า หากไม่มีความเชื่อก็ไม่สามารถที่จะรับพระวจนะได้ “เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ฮีบรู 11:6 {COL 58.2}

This “is he that heareth the word, and understandeth it.” The Pharisees of Christ’s day closed their eyes lest they should see, and their ears lest they should hear; therefore the truth could not reach their hearts.

นี่คือ “บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ” มัทธิว 13:23 พวกฟาริสีในยุคของพระคริสต์หลับตาของพวกเขาด้วยเกรงว่าจะได้เห็นและปิดหูของพวกเขาเกรงว่าจะได้ยิน ดังนั้นความจริงจึงแทรกเข้าถึงจิตใจของพวกเขาไม่ได้

They were to suffer retribution for their willful ignorance and self-imposed blindness. But Christ taught His disciples that they were to open their minds to instruction, and be ready to believe. He pronounced a blessing upon them because they saw and heard with eyes and ears that believed. {COL 59.1} พวกเขาจะได้รับผลอันเกิดจากการตั้งใจไม่รับรู้และเจตนาปิดตาของตัวเอง แต่พระคริสต์ทรงสั่งสอนสาวกของพระองค์ว่าพวกเขาควรจะเปิดจิตใจออกมารับฟังคำชี้แนะ และเตรียมพร้อมที่จะรับเชื่อ พระองค์ประทานพระพรแก่ผู้เชื่อเพราะเขาได้ดูด้วยตาและฟังด้วยหูจึงได้เชื่อ {COL 59.1}

The good-ground hearer receives the word “not as the word of men, but as it is in truth, the word of God.” 1 Thessalonians 2:13. Only he who receives the Scriptures as the voice of God speaking to himself is a true learner.

ผู้ฟังที่เป็นดินดีรับพระวจนะ “ไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า” 1 เธสะโลนิกา 2:13 มีเพียงผู้ที่รับฟังพระคัมภีร์ว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับเขาเท่านั้นคือผู้ฟังที่แท้จริง

He trembles at the word; for to him it is a living reality. He opens his understanding and his heart to receive it. Such hearers were Cornelius and his friends, who said to the apostle Peter, “Now therefore are we all here present before God, to hear all things that are commanded thee of God.” Acts 10:33. {COL 59.2}

พวกเขากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินพระวจนะ เพราะสำหรับพวกเขาแล้วพระวจนะเป็นจริงในชีวิต พวกเขาเปิดความคิดและจิตใจเพื่อรับฟังพระวจนะ โครเนลิอัสและสหายของเขาเป็นผู้ฟังเช่นนั้น พวกเขากล่าวกับอัครทูตเปโตรว่า “เวลานี้เราอยู่กันพร้อมหน้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อฟังสิ่งสารพัดที่พระองค์ตรัสสั่งท่านไว้” กิจการ 10:33 {COL 59.2}

A knowledge of the truth depends not so much upon strength of intellect as upon pureness of purpose, the simplicity of an earnest, dependent faith. To those who in humility of heart seek for divine guidance, angels of God draw near.

การรู้ความจริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเฉลียวฉลาด แต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่บริสุทธิ์ ความศรัทธาที่ประกอบด้วยความจริงใจและการวางใจ สำหรับผู้ที่แสวงหาการทรงนำจากเบื้องบนด้วยจิตใจถ่อมลง ทูตของพระเจ้าจำนวนมากจะมาอยู่ใกล้

The Holy Spirit is given to open to them the rich treasures of the truth. {COL 59.3}

จะทรงโปรดประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่เขาเพื่อเปิดคลังทรัพย์สมบัติแห่งความจริงอันมหาศาล {COL 59.3}

The good-ground hearers, having heard the word, keep it. Satan with all his agencies of evil is not able to catch it away. {COL 59.4}

ผู้ฟังที่เป็นดินดีเมื่อได้ฟังพระวจนะก็ถือรักษาไว้ ซาตานและพรรคพวกอันชั่วร้ายของมันจึงชิงเอาไปไม่ได้ {COL 59.4}

Merely to hear or to read the word is not enough. He who desires to be profited by the Scriptures must meditate upon the truth that has been presented to him.

การฟังหรืออ่านพระวจนะเพียงอย่างเดียวนั้นหาได้เพียงพอไม่ ผู้ที่ปรารถนาจะได้รับประโยชน์จากพระคัมภีร์ต้องตรึกตรองใคร่ครวญถึงความจริงที่นำเสนอให้แก่เขา

By earnest attention and prayerful thought he must learn the meaning of the words of truth, and drink deep of the spirit of the holy oracles. {COL 59.5}

เขาจะต้องเรียนรู้ถึงความหมายของพระธรรมแห่งความจริง และดื่มด่ำในพระวิญญาณถึงพระดำรัสอันบริสุทธิ์ด้วยความพากเพียรเอาใจใส่และคิดคำนึงโดยการอธิษฐาน {COL 59.5}

God bids us fill the mind with great thoughts, pure thoughts. He desires us to meditate upon His love and mercy, to study His wonderful work in the great plan of redemption.

พระเจ้าทรงเรียกเราให้เพิ่มเติมความนึกคิดอันยิ่งใหญ่ และความนึกคิดอันบริสุทธิ์ไว้ในสมอง พระองค์ทรงปรารถนาให้เราใคร่คราญถึงความรักและพระกรุณาคุณของพระองค์ ให้ศึกษาถึงราชกิจอันมหัศจรรย์ของแผนการไถ่ให้รอด

Then clearer and still clearer will be our perception of truth, higher, holier, our desire for purity of heart and clearness of thought. The soul dwelling in the pure atmosphere of holy thought will be transformed by communion with God through the study of Scriptures. {COL 60.1}

ประสาทการรับรู้ความจริงของเราจะปลอดโปร่ง เราจะสูงขึ้นและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น จิตใจที่อาศัยอยู่ในบรรยากาศแห่งความคิดที่บริสุทธิ์จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยการสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยผ่านการศึกษาพระคัมภีร์ {COL 60.1}

“And bring forth fruit.” Luke 8:15 Those who, having heard the word, keep it, will bring forth fruit in obedience. The word of God, received into the soul, will be manifest in good works. Its results will be seen in a Christlike character and life.

“จึงเกิดผล” ลูกา 8:15 ผู้ที่รับฟังพระวจนะและรักษาไว้จะเกิดผลในความเชื่อฟัง เมื่อรับพระวจนะของพระเจ้าไว้ในจิตใจ การประพฤติที่ดีจะปรากฏออกมาให้เห็น จะเห็นผลได้จากอุปนิสัยและชีวิตที่เหมือนกับพระคริสต์

Christ said of Himself, “I delight to do Thy will, O My God; yea, Thy law is within My heart.” Psalm 40:8.

พระคริสต์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “ข้าพระองค์ยินดีทำตามน้ำพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์” สดุดี 40:8

“I seek not Mine own will, but the will of the Father which hath sent Me.” John 5:30. And the Scripture says, “He that saith he abideth in Him ought himself also so to walk, even as He walked.” 1 John 2:6. {COL 60.2}

“เราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา” ยอห์น 5:30 และพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้ว่า “ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์” 1 ยอห์น 2:6 {COL 60.2}

The word of God often comes in collision with man’s hereditary and cultivated traits of character and his habits of life. But the good-ground hearer, in receiving the word, accepts all its conditions and requirements.

บ่อยครั้งพระวจนะคำของพระเจ้ามักไปกระทบลักษณะนิสัยของมนุษย์ที่ได้รับมาทั้งโดยทางพันธุกรรมและที่สั่งสมมาในภายหลัง แต่สำหรับผู้ฟังที่เป็นดินดีนั้นเมื่อได้รับพระวจนะแล้วก็ยอมรับเงื่อนไขและข้อบังคับทั้งสิ้น

His habits, customs, and practices are brought into submission to God’s word. In his view the commands of finite, erring man sink into insignificance beside the word of the infinite God.

อุปนิสัย ประเพณีและการปฏิบัติของเขาก็ถูกนำมาอยู่ภายใต้ข้อบังคับของพระวจนะของพระเจ้า ในทัศนะของเขาแล้ว ข้อบังคับของมนุษย์ผู้กระทำผิดและมีขอบเขตจำกัดกลายเป็นสิ่งด้อยความสำคัญไป เมื่อเปรียบเทียบกับพระธรรมของพระเจ้าผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด

With the whole heart, with undivided purpose, he is seeking the life eternal, and at the cost of loss, persecution, or death itself, he will obey the truth. {COL 60.3}

เขาแสวงหาชีวิตนิรันดร์จนหมดจิตใจ และด้วยจุดมุ่งหมายที่เด็ดเดี่ยว และเขายอมเชื่อฟังความจริงนั้นถึงแม้จะต้องเผชิญกับความสูญเสีย การข่มเหงหรือแม้กระทั่งต้องสละชีพก็ตาม {COL 60.3}

And he brings forth fruit “with patience.” Luke 8:15 None who receive God’s word are exempt from difficulty and trial; but when affliction comes, the true Christian does not become restless, distrustful, or despondent.

แล้วเขาก็เกิดผล “โดยความทรหดอดทน” ลูกา 8:15 ไม่มีผู้ใดที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าจะได้รับการยกเว้นจากความยากลำบากและการทดลอง แต่เมื่อความทุกข์ยากมาถึง คริสเตียนแท้จริงจะไม่วิตกกังวล ขาดความวางใจ หรือทุกข์ระทม

Though we can not see the definite outcome of affairs, or discern the purpose of God’s providences, we are not to cast away our confidence. Remembering the tender mercies of the Lord, we should cast our care upon Him, and with patience wait for His salvation. {COL 60.4}

แม้เราจะไม่ทราบถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างแน่นอนหรือทราบพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็ไม่ละความเชื่อมั่นของเราไป ให้ระลึกถึงพระกรุณาคุณของพระผู้เป็นเจ้า เราควรมอบภาระไว้กับพระองค์และตั้งใจรอคอยความรอดจากพระองค์ด้วยความอดทน {COL 60.4}

Through conflict the spiritual life is strengthened. Trials well borne will develop steadfastness of character and precious spiritual graces. The perfect fruit of faith, meekness, and love often matures best amid storm clouds and darkness. {COL 61.1}

ด้วยการต่อสู้ ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณจะเข้มแข็งขึ้น ความยากลำบากที่แบกไว้ได้อย่างอดทนจะช่วยพัฒนาให้เกิดอุปนิสัยที่แข็งแกร่งและพระคุณแห่งจิตวิญญาณอันล้ำค่า บ่อยครั้ง ผลอันสมบูรณ์แห่งความเชื่อ ความถ่อมใจและความรักจะเติบโตขึ้นท่ามกลางเมฆหมอกพายุร้ายและความมืดมิด {COL 61.1}

“The husbandman waiteth for the precious fruit of the earth, and hath long patience for it, until he receive the early and latter rain.” James 5:7. So the Christian is to wait with patience for the fruition in his life of the word of God.

“ดูซิ ชาวนายังรอคอยพืชผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน อดทนรอคอยจนกว่าฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดูจะมา” ยากอบ 5:7 ดังนั้นคริสเตียนควรเฝ้ารอผลแห่งชีวิตของเราในพระวจนะของพระเจ้าด้วยความเพียร

Often when we pray for the graces of the Spirit, God works to answer our prayers by placing us in circumstances to develop these fruits; but we do not understand His purpose, and wonder, and are dismayed. Yet none can develop these graces except through the process of growth and fruit bearing.

บ่อยครั้งเมื่อเราอธิษฐานทูลขอพระคุณของพระวิญญาณ พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราโดยมอบเราไว้ในสถานการณ์ที่จะทำให้เกิดผลเหล่านี้ เรากลับไม่เข้าใจถึงพระประสงค์ แต่กลับฉงนใจและท้อใจ ถึงกระนั้นก็หามีผู้ใดรับพระคุณเหล่านี้ได้เว้นเสียแต่ผ่านกระบวนการแห่งการเติบโตและเกิดผล

Our part is to receive God’s word and to hold it fast, yielding ourselves fully to its control, and its purpose in us will be accomplished. {COL 61.2}

หน้าที่ของเราคือการรับพระดำรัสของพระเจ้าและยึดมั่นไว้ ยอมจำนนอยู่ใต้บังคับแห่งพระธรรมนั้นจนหมดสิ้นและเมื่อนั้นพระประสงค์ของพระเจ้าในเราก็จะถึงที่สำเร็จ {COL 61.2}

“If a man love Me,” Christ said, “he will keep My words; and My Father will love him, and we will come unto him, and make our abode with him.” John 14:23.

พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเราและพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสองจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา” ยอห์น 14:23

The spell of a stronger, a perfect mind will be over us; for we have a living connection with the source of all-enduring strength. In our divine life we shall be brought into captivity to Jesus Christ. We shall no longer live the common life of selfishness, but Christ will live in us.

แรงดึงดูดแห่งความคิดดีรอบคอบที่เข้มแข็งยิ่งกว่าเก่าจะอยู่เหนือเราเพราะเรามีความสัมพันธ์อันแนบสนิทกับแหล่งกำเนิดแห่งพลังอันเข้มแข็งของสิ่งทั้งหลาย ชีวิตฝ่ายพระเจ้าของเราจะเข้ามาเป็นทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ เราจะไม่ดำเนินชีวิตที่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป แต่พระคริสต์จะดำรงอยู่ในเรา

His character will be reproduced in our nature. Thus shall we bring forth the fruits of the Holy Spirit–“some thirty, and some sixty, and some an hundred.” Mark 4:8 {COL 61.3}

พระลักษณะนิสัยของพระองค์จะบังเกิดขึ้นในธรรมชาติของเรา ด้วยเหตุนี้เองเราจะบังเกิดผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ “สามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” มาระโก 4:8 {COL 61.3}