Chapter 3 (บทที่ 3)
“First the Blade, Then the Ear”
“ลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง”
The parable of the sower excited much questioning. Some of the hearers gathered from it that Christ was not to establish an earthly kingdom, and many were curious and perplexed. Seeing their perplexity, Christ used other illustrations, still seeking to turn their thoughts from the hope of a worldly kingdom to the work of God’s grace in the soul. {COL 62.1}
อุปมาเรื่องผู้หว่านกระตุ้นให้เกิดคำถามมากมาย ผู้ฟังบางคนจับใจความได้ว่าพระคริสต์จะไม่จัดตั้งอาณาจักรบนโลกนี้ และอีกหลายคนมีความอยากรู้อยากเห็นและฉงนสนเท่ห์ เมื่อพระคริสต์ทรงทราบถึงความฉงนใจของเขาเหล่านั้น พระองค์ทรงใช้ภาพอธิบายอื่นๆ เพื่อหวังจะหันเหความคิดของพวกเขาจากความหวังในอาณาจักรบนโลกนี้ไปยังการประกอบกิจของพระคุณของพระเจ้าในจิตวิญญาณ {COL 62.1}
“And He said, So is the kingdom of God, as if a man should cast seed into the ground; and should sleep, and rise night and day, and the seed should spring and grow up, he knoweth not how. For the earth bringeth forth fruit of herself; first the blade, then the ear, after that the full corn in the ear. But when the fruit is brought forth, immediately he putteth in the sickle, because the harvest is come.” {COL 62.2}
“พระองค์ตรัสว่า แผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน กลางคืนเขาก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาก็ไม่รู้ เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกงามโดยขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง เมื่อสุกแล้วเขาก็เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันทีเพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” มาระโก 4:26–29 {COL 62.2}
The husbandman who “putteth in the sickle, because the harvest is come,” can be no other than Christ. It is He who at the last great day will reap the harvest of the earth. But the sower of the seed represents those who labor in Christ’s stead. The seed is said to “spring and grow up, he knoweth not how,” and this is not true of the Son of God. Christ does not sleep over His charge, but watches it day and night. He is not ignorant of how the seed grows. {COL 62.3}
ชาวนาที่ “เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันทีเพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” นั้นหาใช่ใครอื่นนอกจากพระคริสต์ พระองค์คือผู้ที่จะเก็บเกี่ยวโลกนี้เมื่อวันอันยิ่งใหญ่นั้นมาถึง แต่ผู้หว่านเมล็ดนั้นได้แก่ผู้ซึ่งทำการแทนพระคริสต์ มีการกล่าวถึงเมล็ดไว้ว่า “พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาก็ไม่รู้” แต่สำหรับพระบุตรของพระเจ้าสิ่งนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พระคริสต์ไม่ได้บรรทม แต่ทรงทำหน้าที่ของพระองค์ ทรงเฝ้าระวังทั้งกลางวันและกลางคืน พระองค์ไม่ได้ทรงละเลยที่จะคอยดูว่าเมล็ดนั้นเจริญขึ้นอย่างไร {COL 62.3}
The parable of the seed reveals that God is at work in nature. The seed has in itself a germinating principle, a principle that God Himself has implanted; yet if left to itself the seed would have no power to spring up. Man has his part to act in promoting the growth of the grain. He must prepare and enrich the soil and cast in the seed. He must till the fields. But there is a point beyond which he can accomplish nothing. No strength or wisdom of man can bring forth from the seed the living plant. Let man put forth his efforts to the utmost limit, he must still depend upon One who has connected the sowing and the reaping by wonderful links of His own omnipotent power. {COL 63.1}
อุปมาเรื่องเมล็ดพืชเปิดเผยให้ทราบว่าพระเจ้าทรงประกอบกิจของพระองค์ในธรรมชาติ เมล็ดมีกฎแห่งการงอกขึ้นได้อยู่ในตัวมันเอง ซึ่งเป็นกฎที่พระเจ้าทรงจัดตั้ง ถึงกระนั้นหากปล่อยไว้ตามลำพัง เมล็ดก็ไม่งอกขึ้นมาเอง มนุษย์มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเมล็ด เขาจะต้องตระเตรียมบำรุงเนื้อดินและหว่านเมล็ดลงไป เขาจะต้องพรวนดิน แต่จะมาถึงจุดหนึ่งซึ่งเขาจะทำอะไรต่อไปไม่ได้อีก ไม่มีพละกำลังหรือสติปัญญาใดของมนุษย์ที่จะทำให้เมล็ดงอกเป็นต้นพืช แม้ว่าจะทุ่มแรงทุ่มกำลังมากเท่าใดก็ตาม เขายังต้องพึ่งพระองค์ผู้ทรงเชื่อมโยงการหว่านและการเก็บเกี่ยวเข้าด้วยกันโดยฤทธานุภาพอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ {COL 63.1}
There is life in the seed, there is power in the soil; but unless an infinite power is exercised day and night, the seed will yield no returns. The showers of rain must be sent to give moisture to the thirsty fields, the sun must impart heat, electricity must be conveyed to the buried seed. The life which the Creator has implanted, He alone can call forth. Every seed grows, every plant develops, by the power of God. {COL 63.2}
ในเมล็ดมีชีวิต ในดินมีอำนาจ แต่เมล็ดนั้นจะไม่เกิดผลเว้นแต่อำนาจอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้าจะทรงประกอบกิจอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน สายฝนจะต้องหลั่งลงมาให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนดินที่แห้งผาก ดวงอาทิตย์จะต้องให้ความร้อน รังสีแผ่ไปยังเมล็ดที่ฝั่งอยู่ใต้ดิน พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะเรียกชีวิตซึ่งพระผู้สร้างประทานให้นั้นขึ้นมาได้ เมล็ดทุกเมล็ดเจริญขึ้น พืชทุกต้นเติบโตขึ้นก็ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า {COL 63.2}
“As the earth bringeth forth her bud, and as the garden causeth the things that are sown in it to spring forth, so the Lord God will cause righteousness and praise to spring forth.” Isaiah 61:11. As in the natural, so in the spiritual sowing; the teacher of truth must seek to prepare the soil of the heart; he must sow the seed; but the power that alone can produce life is from God.
“เพราแผ่นดินทำให้หน่อของมันงอกขึ้นมา และสวนทำให้สิ่งที่หว่านในนั้นงอกขึ้นมาอย่างไร พระยาห์เวห์องค์เจ้านายจะทรงทำให้ความชอบธรรมและการสรรเสริญงอกขึ้นมาต่อหน้าประชาชาติทั้งหมดอย่างนั้น” อิสยาห์ 61:11 การหว่านในฝ่ายจิตวิญญาณก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ ผู้สอนพระวจนะแห่งความจริงจะต้องเตรียมเนื้อดินแห่งจิตใจ เขาจะต้องหว่านเมล็ดลงไป แต่อำนาจที่จะก่อให้เกิดชีวิตนั้นมาจากพระเจ้า
There is a point beyond which human effort is in vain. While we are to preach the word, we can not impart the power that will quicken the soul, and cause righteousness and praise to spring forth. In the preaching of the word there must be the working of an agency beyond any human power. Only through the divine Spirit will the word be living and powerful to renew the soul unto eternal life. This is what Christ tried to impress upon His disciples. He taught that it was nothing they possessed in themselves which would give success to their labors, but that it is the miracle-working power of God which gives efficiency to His own word. {COL 63.3}
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ความพยายามของมนุษย์จะไร้ผล ในขณะที่เราจำต้องประกาศพระวจนะ เราใช้อำนาจเพื่อเร่งเร้าจิตใจให้เกิดความชอบธรรมและการสรรเสริญไม่ได้ การประกาศพระวจนะนั้นจำต้องมีการทำงานของอีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่เหนืออำนาจใดของมนุษย์ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น พระดำรัสจึงมีชีวิตและอำนาจที่สร้างจิตใจใหม่จนถึงชีวิตนิรันดร์ได้ นี่คือสิ่งที่พระคริสต์ทรงประสงค์ให้อัครสาวกทั้งหลายเข้าใจ พระองค์ทรงสอนว่าไม่มีสิ่งใดที่เขามีอยู่ในตัวที่จะทำให้การงานสำเร็จ แต่เป็นเพราะฤทธิ์อำนาจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าที่ทำให้พระวจนะของพระองค์เองเกิดผล {COL 63.3}
The work of the sower is a work of faith. The mystery of the germination and growth of the seed he cannot understand. But he has confidence in the agencies by which God causes vegetation to flourish. In casting his seed into the ground, he is apparently throwing away the precious grain that might furnish bread for his family. But he is only giving up a present good for a larger return. He casts the seed away, expecting to gather it manyfold in an abundant harvest. So Christ’s servants are to labor, expecting a harvest from the seed they sow. {COL 64.1}
งานของผู้หว่านพืชเป็นงานแห่งความเชื่อ เขาเข้าใจความลึกลับของการงอกและเติบโตของเมล็ดไม่ได้ แต่เขามีความเชื่อมั่นในสื่อตัวแทนซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ต้นพืชนั้นเจริญงอกงาม โดยการหว่านพืชนั้นลงในดิน เขากำลังทิ้งเมล็ดอันมีค่าซึ่งน่าจะนำมาเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเขา แต่เขายอมสูญเสียสิ่งที่ดีในปัจจุบันเพื่อหวังผลตอบแทนที่มากกว่า เขาหว่านเมล็ดนั้นไปโดยคาดหวังที่จะเก็บผลได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าในวันเก็บเกี่ยว ด้วยเหตุนี้ผู้รับใช้ของพระคริสต์ควรทำการ โดยมีความหวังใจในการเก็บเกี่ยวเมล็ดที่เขาหว่านไป {COL 64.1}
The good seed may for a time lie unnoticed in a cold, selfish, worldly heart, giving no evidence that it has taken root; but afterward, as the Spirit of God breathes on the soul, the hidden seed springs up, and at last bears fruit to the glory of God. In our lifework we know not which shall prosper, this or that. This is not a question for us to settle. We are to do our work, and leave the results with God. “In the morning sow thy seed, and in the evening withhold not thine hand.” Ecclesiastes 11:6.
เมล็ดดีอาจนอนนิ่งเงียบอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งในใจที่เย็นชา เห็นแก่ตัวและฝักใฝ่อยู่ฝ่ายโลก โดยไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าหยั่งรากลง แต่ภายหลังเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงระบายลมหายใจลงบนจิตใจ เมล็ดที่ซ่อนอยู่ก็แตกใบและในที่สุดออกผลถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า ในชีวิตการทำงาน เราไม่ทราบว่าเมล็ดใดจะเจริญขึ้น นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เราควรหาคำตอบ เราควรทำการของเราและฝากผลไว้กับพระเจ้า “เวลาเช้าเจ้าจงหว่านพืชของเจ้า และพอเวลาเย็นก็อย่าหดมือเจ้าเลย” ปัญญาจารย์ 11 :6
God’s great covenant declares that “while the earth remaineth, seed-time and harvest . . . shall not cease.” Genesis 8:22. In the confidence of this promise the husbandman tills and sows. Not less confidently are we in the spiritual sowing to labor, trusting His assurance, “So shall My word be that goeth forth out of My mouth; it shall not return unto Me void, but it shall accomplish that which I please, and it shall prosper in the thing whereto I sent it.” Isaiah 55:11. “He that goeth forth and weepeth, bearing precious seed, shall doubtless come again with rejoicing, bringing his sheaves with him.” Psalm 126:6. {COL 65.1}
พระสัญญายิ่งใหญ่ของพระเจ้าประกาศว่า “ตราบที่โลกยังมีอยู่ จะมีฤดูหว่านกับฤดูเกี่ยว…ตลอดไป” ปฐมกาล 8:22 ด้วยความเชื่อมั่นในคำสัญญานี้ ชาวนาพรวนดินและหว่าน เราก็ควรหว่านทางฝ่ายจิตวิญญาณอย่างเดียวกัน ด้วยการวางใจในคำมั่นสัญญาของพระองค์ที่กล่าวว่า “คำของเราที่ออกจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่าๆ แต่จะทำให้สิ่งที่เราพอใจนั้นสำเร็จ และให้สิ่งที่เราใช้ไปทำนั้นเสร็จสิ้น” อิสยาห์ 55:11 “ผู้ที่ร้องไห้ออกไปโดยหอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องยินดี โดยหอบฟ่อนข้าวมาด้วย” สดุดี 126:6 {COL 65.1}
The germination of the seed represents the beginning of spiritual life, and the development of the plant is a beautiful figure of Christian growth. As in nature, so in grace; there can be no life without growth. The plant must either grow or die.
การงอกของเมล็ดหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตฝ่ายวิญญาณจิต และการเติบโตของต้นพืชคือรูปร่างสวยงามของการเจริญเติบโตของคริสเตียน พระคุณก็เป็นดังเช่นสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ คือจะไม่มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีการเติบโต พืชจะต้องเติบโตหรือไม่ก็ตาย
As its growth is silent and imperceptible, but continuous, so is the development of the Christian life. At every stage of development our life may be perfect; yet if God’s purpose for us is fulfilled, there will be continual advancement. Sanctification is the work of a lifetime. As our opportunities multiply, our experience will enlarge, and our knowledge increase. We shall become strong to bear responsibility, and our maturity will be in proportion to our privileges. {COL 65.2}
ต้นพืชเจริญขึ้นอย่างเงียบๆ และมองไม่เห็น แต่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเจริญเติบโตของชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน ในทุกขั้นตอนของการพัฒนาชีวิตของเราอาจสมบูรณ์เต็มที่ได้ ถึงกระนั้นก็ตามหากพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราสัมฤทธิ์ผล ก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ การชำระให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ดำเนินไปตลอดชีวิต ขณะที่โอกาสของเราเพิ่มขึ้นประสบการณ์ของเราก็จะขยายใหญ่ขึ้นและความรู้ของเราก็จะเพิ่มขึ้น เราจะเข้มแข็งขึ้นจนสามารถทำหน้าที่รับผิดชอบ และการเติบโตของเราจะเป็นสัดส่วนกับสิทธิพิเศษของเรา {COL 65.2}
The plant grows by receiving that which God has provided to sustain its life. It sends down its roots into the earth. It drinks in the sunshine, the dew, and the rain. It receives the life-giving properties from the air.
พืชเจริญเติบโตโดยรับสิ่งที่พระเจ้าประทานเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตของมัน มันหยั่งรากลงในพื้นดิน รับแสงอาทิตย์ น้ำค้าง และหยาดฝน มันรับอณูที่ให้ชีวิตจากอากาศ
So the Christian is to grow by co-operating with the divine agencies. Feeling our helplessness, we are to improve all the opportunities granted us to gain a fuller experience. As the plant takes root in the soil, so we are to take deep root in Christ. As the plant receives the sunshine, the dew, and the rain, we are to open our hearts to the Holy Spirit.
ชีวิตคริสเตียนก็เช่นกันที่จะต้องเติบโตขึ้นโดยการร่วมมือกับพระเจ้า โดยสำนึกถึงการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ของเรา เราควรต้องพัฒนาทุกโอกาสเพื่อประสบการณ์ที่เต็มบริบูรณ์ยิ่งขึ้น ดั่งพืชที่หยั่งรากลงในดิน เราควรหยั่งรากลึกลงในพระคริสต์ เหมือนกับพืชที่รับแสงอาทิตย์น้ำค้างและหยาดฝน เราก็ควรจะเปิดใจของเราออกต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์
The work is to be done “not by might, nor by power, but by My Spirit, saith the Lord of hosts.” Zechariah 4:6. If we keep our minds stayed upon Christ, He will come unto us “as the rain, as the latter and former rain unto the earth.” Hosea 6:3.
ภารกิจนี้จะสำเร็จ “ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ” เศคาริยาห์ 4:6 ถ้าเรารักษาความคิดของเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระองค์จะเสด็จมายังเรา “อย่างห่าฝน ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน” โฮเชยา 6:3
As the Sun of Righteousness, He will arise upon us “with healing in His wings.” Malachi 4:2. We shall “grow as the lily.” We shall “revive as the corn, and grow as the vine.” Hosea 14:5, 7. By constantly relying upon Christ as our personal Saviour, we shall grow up into Him in all things who is our head. {COL 66.1}
พระองค์จะเสด็จมาประทับเหนือเราดังเช่นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม “ซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้” มาลาคี 4:2 เราจะ “เบิกบานอย่างดอกลิลลี่” เรา “จะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น” โฮเชยา 14:5, 7 โดยการพึ่งในพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเรา พระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะของเราจะทำให้เราเจริญขึ้นในทุกสิ่ง{COL 66.1}
The wheat develops “first the blade, then the ear, after that the full corn in the ear.” The object of the husbandman in the sowing of the seed and the culture of the growing plant is the production of grain. He desires bread for the hungry, and seed for future harvests. So the divine Husbandman looks for a harvest as the reward of His labor and sacrifice.
พืชนั้นจำเริญขึ้น “เป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” มาระโก 4:29 เป้าหมายของชาวนาผู้หว่านเมล็ดและบำรุงรักษาพืชให้เติบโตนั้นก็คือ ต้นข้าวออกรวง เขาปรารถนาอาหารสำหรับผู้หิวกระหาย และเมล็ดข้าวสำหรับการเก็บเกี่ยวในอนาคต ดังนั้นพระผู้ทรงเป็นเหมือนชาวนาที่เสาะหาการเก็บเกี่ยว เพื่อรับผลตอบแทนสำหรับพระราชกิจและความเสียสละของพระองค์
Christ is seeking to reproduce Himself in the hearts of men; and He does this through those who believe in Him. The object of the Christian life is fruit bearing–the reproduction of Christ’s character in the believer, that it may be reproduced in others. {COL 67.1}
พระคริสต์ทรงกำลังแสวงหาการเกิดผลแห่งพระกายของพระองค์ในจิตใจของมนุษย์และทรงกระทำสิ่งนี้โดยผ่านผู้ที่เชื่อในพระองค์ เป้าหมายของชีวิตคริสเตียนคือการเกิดผล คือการจำลองพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ในผู้ที่เชื่อเพื่อที่จะเกิดผลให้มากขึ้นและเพื่อจะเกิดผลในผู้อื่นด้วย {COL 67.1}
The plant does not germinate, grow, or bring forth fruit for itself, but to “give seed to the sower, and bread to the eater.” Isaiah 55:10. So no man is to live unto himself. The Christian is in the world as a representative of Christ, for the salvation of other souls. {COL 67.2}
พืชนั้นหาได้งอก เติบโตและออกผลเพื่อตัวของมันเองไม่ แต่ “ให้เมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและอาหารแก่คนกิน” อิสยาห์ 55:10 ดังนั้นมนุษย์จึงไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว คริสเตียนดำรงตนอยู่ในโลกนี้ในฐานะผู้แทนของพระคริสต์ เพื่อเป็นผู้นำความรอดไปสู่จิตวิญญาณทั้งหลาย {COL 67.2}
There can be no growth or fruitfulness in the life that is centered in self. If you have accepted Christ as a personal Saviour, you are to forget yourself, and try to help others. Talk of the love of Christ, tell of His goodness. Do every duty that presents itself. Carry the burden of souls upon your heart, and by every means in your power seek to save the lost.
ชีวิตที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวจะไม่เจริญเติบโต หรือเกิดผลใดๆ ถ้าท่านรับองค์พระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวแล้ว ท่านก็ควรละตัวเองเสียและพยายามช่วยเหลือผู้อื่น จงกล่าวถึงความรักของพระคริสต์และประกาศถึงคุณความดีของพระองค์ จงกระทำหน้าที่ทุกประการเมื่อโอกาสเปิดให้ท่าน จงแบกรับภาระของจิตวิญญาณไว้บนจิตใจของท่าน และพยายามทุกวิถีทางเท่าที่ท่านมีอำนาจจะทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่หลงหาย
As you receive the Spirit of Christ–the Spirit of unselfish love and labor for others–you will grow and bring forth fruit. The graces of the Spirit will ripen in your character. Your faith will increase, your convictions deepen, your love be made perfect. More and more you will reflect the likeness of Christ in all that is pure, noble, and lovely. {COL 67.3}
ขณะที่ท่านรับพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวและประกอบกิจเพื่อผู้อื่น ท่านจะเติบโตและเกิดผล ผลแห่งพระคุณของพระวิญญาณจะเจริญขึ้นในอุปนิสัยของท่าน ความเชื่อของท่านจะเพิ่มมากขึ้น ความเชื่อมั่นของท่านจะหยั่งลึก ความรักของท่านจะสมบูรณ์แบบ ท่านจะสะท้อนพระฉายาของพระคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกสิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่ทรงคุณ สิ่งที่น่ารัก {COL 67.3}
“The fruit of the Spirit is love, joy, peace, longsuffering, gentleness, goodness, faith, meekness, temperance.” Galatians 5:22, 23. This fruit can never perish, but will produce after its kind a harvest unto eternal life. {COL 68.1}
“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้นคือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน” กาลาเทีย 5:22, 23 ผลเช่นนี้จะไม่มีวันเสื่อมเสียแต่จะผลิตผลตามชนิดของมันจนถึงชีวิตนิรันดร์ {COL 68.1}
“When the fruit is brought forth, immediately he putteth in the sickle, because the harvest is come.” Christ is waiting with longing desire for the manifestation of Himself in His church. When the character of Christ shall be perfectly reproduced in His people, then He will come to claim them as His own. {COL 69.1}
“เมื่อสุกแล้วเขาเอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” มาระโก 4:29 พระคริสต์ทรงเฝ้าคอยด้วยความปรารถนาที่จะเปิดเผยพระองค์ในคริสตจักรของพระองค์ เมื่อพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์จะสร้างใหม่อย่างสมบูรณ์แบบในประชากรของพระองค์แล้ว เมื่อนั้นพระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับเขาเหล่านั้นให้เป็นของพระองค์ {COL 69.1}
It is the privilege of every Christian not only to look for but to hasten the coming of our Lord Jesus Christ, (2 Peter 3:12, margin). Were all who profess His name bearing fruit to His glory, how quickly the whole world would be sown with the seed of the gospel. Quickly the last great harvest would be ripened, and Christ would come to gather the precious grain. {COL 69.2}
นี่คือสิทธิพิเศษของคริสเตียนทุกคน ไม่เพียงแต่จะรอคอยวันนั้นเท่านั้น แต่ช่วยเร่งให้วันแห่งการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเร็วขึ้น 2 เปโตร 3:12 หากทุกคนที่อ้างตนว่ารับพระนามของพระองค์จะเกิดผลเพื่อถวายสง่าราศีแด่พระองค์แล้ว เมื่อนั้นเมล็ดแห่งข่าวประเสริฐจะกระจายไปทั่วทั้งโลกอย่างรวดเร็วปานใด การเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายจะมาถึงโดยเร็วและพระคริสต์จะเสด็จมาเพื่อรวบรวมเมล็ดอันมีค่า {COL 69.2}