Chapter 25 (บทที่ 25)
“Talents”
“ตะลันต์ของประทานจากพระเจ้า”
Christ on the Mount of Olives had spoken to His disciples of His second advent to the world. He had specified certain signs that were to show when His coming was near, and had bidden His disciples watch and be ready. Again He repeated the warning, “Watch therefore; for ye know neither the day nor the hour wherein the Son of man cometh.” Then He showed what it means to watch for His coming. The time is to be spent, not in idle waiting, but in diligent working. This lesson He taught in the parable of the talents. {COL 325.1}
เมื่อพระคริสต์ประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศ พระองค์ตรัสกับสาวกถึงเรื่องการเสด็จมายังโลกนี้ครั้งที่สอง พระองค์ทรงระบุถึงเครื่องหมายบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเวลาของการเสด็จกลับมาของพระองค์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว และตรัสบอกให้สาวกของพระองค์เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ พระองค์ทรงย้ำเตือนอีกครั้งว่า “เพราะฉะนั้นท่านจงเฝ้าอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน” มัทธิว 24:42 หลังจากนั้นพระองค์ทรงอธิบายความหมายของการเฝ้าระวังการเสด็จมาของพระองค์ จะต้องใช้เวลาไม่ใช่อย่างไร้จุดหมายแต่จะต้องตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น พระองค์ทรงสอนบทเรียนด้วยการใช้อุปมาของเรื่องเงินตะลันต์ {COL 325.1}
“The kingdom of heaven,” He said, “is as a man traveling into a far country, who called his own servants, and delivered unto them his goods. And unto one he gave five talents, to another two, and to another one; to every man according to his several ability; and straightway took his journey.” {COL 325.2}
พระองค์ตรัสว่า “[แผ่นดินสวรรค์จะยังเปรียบเหมือน] ชายคนหนึ่งที่กำลังจะออกเดินทาง เขาจึงเรียกบ่าวทั้งหลายของตนมาและฝากทรัพย์สิ่งของของตนกับพวกเขาไว้ คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วท่านก็ไป” มัทธิว 25:14-15 {COL 325.2}
The man traveling into a far country represents Christ, who, when speaking this parable, was soon to depart from this earth to heaven. The “bondservants” (R.V.), or slaves, of the parable, represent the followers of Christ. We are not our own. We have been “bought with a price” (1 Corinthians 6:20), not “with corruptible things, as silver and gold, . . . but with the precious blood of Christ” (1 Peter 1:18, 19); “that they which live should not henceforth live unto themselves, but unto Him which died for them, and rose again” (2 Corinthians 5:15). {COL 325.3}
ชายที่กำลังจะออกเดินทางไปยังเมืองไกลนั้นหมายถึงพระคริสต์ ขณะที่ตรัสอุปมานี้ พระองค์กำลังจะจากโลกนี้ไปยังสวรรค์ พวก “บ่าว” หรือทาสในอุปมาหมายถึงผู้ติดตามพระองค์ เราทุกคนไม่ได้เป็นเจ้าของตัวเราเอง แต่พระองค์ “ทรงซื้อ…ไว้แล้วด้วยราคาสูง” 1 โครินธ์ 6:20 “ไม่ใช่ไถ่ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่น เงินและทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์” 1 เปโตร1:18, 19 “เพื่อบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ที่สิ้นพระชนม์และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย” 2 โครินธ์ 5:15 {COL 325.3}
All men have been bought with this infinite price. By pouring the whole treasury of heaven into this world, by giving us in Christ all heaven, God has purchased the will, the affections, the mind, the soul, of every human being. Whether believers or unbelievers, all men are the Lord’s property. All are called to do service for Him, and for the manner in which they have met this claim, all will be required to render an account at the great judgment day. {COL 326.1}
มนุษย์ทุกคนได้รับการไถ่ด้วยราคาสูงนี้ โดยเหตุที่พระเจ้าทรงเทคลังสมบัติทั้งหมดลงสู่โลกนี้ และประทานสวรรค์ทั้งหมดโดยผ่านพระคริสต์ พระองค์ทรงซื้อความตั้งใจ ความรัก ความคิด จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นผู้เชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ มนุษย์ทุกคนเป็นสมบัติของพระเจ้า ทุกคนได้รับการทรงเรียกให้มารับใช้พระองค์ และเพื่อสนองตอบการทรงเรียกนี้ เราจะต้องถวายรายงานในวันพิพากษาอันยิ่งใหญ่ {COL 326.1}
But the claims of God are not recognized by all. It is those who profess to have accepted Christ’s service who in the parable are represented as His own servants. {COL 326.2}
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า อุปมานี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่สนองตอบการรับใช้พระคริสต์เท่านั้นที่เป็นบ่าวของพระองค์ {COL 326.2}
Christ’s followers have been redeemed for service. Our Lord teaches that the true object of life is ministry. Christ Himself was a worker, and to all His followers He gives the law of service–service to God and to their fellow men. Here Christ has presented to the world a higher conception of life than they had ever known. By living to minister for others, man is brought into connection with Christ. The law of service becomes the connecting link which binds us to God and to our fellow men. {COL 326.3}
ผู้ติดตามพระคริสต์ได้รับการไถ่บาปเพื่อการรับใช้ พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงสอนว่าเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงคือการรับใช้ พระคริสต์เองทรงเป็นผู้รับใช้และได้ทรงมอบกฎแห่งการรับใช้ให้กับผู้ติดตามทุกคนของพระองค์ คือพันธกิจแห่งการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ด้วยพันธกิจนี้ พระองค์เองทรงแสดงให้ชาวโลกเห็นแนวความคิดของชีวิตที่สูงส่งกว่าที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน โดยการมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น มนุษย์จะเข้าใกล้พระคริสต์ กฎแห่งการรับใช้จึงเป็นโซ่เชื่อมโยงเรากับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน {COL 326.3}
To His servants Christ commits “His goods”–something to be put to use for Him. He gives “to every man his work.” Each has his place in the eternal plan of heaven. Each is to work in co-operation with Christ for the salvation of souls. Not more surely is the place prepared for us in the heavenly mansions than is the special place designated on earth where we are to work for God. {COL 326.4}
พระองค์ทรงมอบ “ทรัพย์” ของพระองค์แก่บ่าวทุกคนและเป็นสิ่งที่นำไปใช้เพื่อพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ “มอบหมายหน้าที่ให้ทาสแต่ละคนทำ” แต่ละคนมีหน้าที่เฉพาะตนในแผนการนิรันดร์ของสวรรค์ ทุกคนต้องทำงานร่วมกับพระคริสต์เพื่อความรอดของจิตวิญญาณของคนทั้งหลาย พระเจ้าทรงเตรียมปราสาทบนสวรรค์เพื่อเราแน่นอนฉันใด บนโลกนี้เราก็มีตำแหน่งพิเศษเพื่อการรับใช้ที่แน่นอนฉันนั้น {COL 326.4}
Gifts of the Holy Spirit
ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
ตะลันต์ที่พระคริสต์มอบไว้กับคริสตจักรของพระองค์นั้น หมายถึงของประทานและพระพรต่างๆ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้โดยเฉพาะ “พระเจ้าประทานโดยทางพระวิญญาณให้คนหนึ่งมีถ้อยคำของปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำของความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกันและให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งมีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งทำการด้วยฤทธานุภาพ ให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะ ให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” 1โครินธ์ 12:8–11 ทุกคนไม่ได้รับของประทานที่เหมือนกันหมด แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะมอบของประทานบางอย่างให้แก่บ่าวของพระองค์ทุกคน {COL 327.1}
Before He left His disciples, Christ “breathed on them, and saith unto them, Receive ye the Holy Ghost.” John 20:22. Again He said, “Behold, I send the promise of My Father upon you.” Luke 24:49. But not until after the ascension was the gift received in its fullness. Not until through faith and prayer the disciples had surrendered themselves fully for His working was the outpouring of the Spirit received. Then in a special sense the goods of heaven were committed to the followers of Christ. “When He ascended up on high, He led captivity captive, and gave gifts unto men.” Ephesians 4:8. “Unto every one of us is given grace, according to the measure of the gift of Christ,” the Spirit “dividing to every man severally as He will.” Ephesians 4:7; 1 Corinthians 12:11. The gifts are already ours in Christ, but their actual possession depends upon our reception of the Spirit of God. {COL 327.2}
ก่อนที่พระคริสต์เสด็จไปจากสาวก พระองค์ “ทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า ‘จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด’” ยอห์น 20:22 และอีกครั้งพระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เราจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญานั้นลงมาเหนือท่าน” ลูกา 24:49 แต่พวกเขาไม่ได้รับของประทานนี้อย่างเต็มล้นจนกว่าพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว จนกว่าโดยความเชื่อและอธิษฐาน เมื่อสาวกถวายตัวเพื่อรับใช้อย่างเต็มที่ ที่พวกเขารับการทรงหลั่งของพระวิญญาณ ด้วยความหมายพิเศษนี้ จึงเป็นการประทานสมบัติอันมีค่าของสวรรค์ให้แก่ผู้ติดตามของพระคริสต์ “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปสู่ที่สูงพระองค์ทรงนำเชลยกลุ่มใหญ่ไปและประทานของประทานแก่มนุษย์” เอเฟซัส 4:8 “ประทานแก่เราแต่ละคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทาน” “พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” เอเฟซัส 4:7 1โครินธ์ 12:11 ของประทานนั้นเป็นของเราแล้วโดยทางพระคริสต์ แต่การจะรับของประทานได้หรือไม่นั้นขึ้นกับการยอมรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า {COL 327.2}
The promise of the Spirit is not appreciated as it should be. Its fulfillment is not realized as it might be. It is the absence of the Spirit that makes the gospel ministry so powerless. Learning, talents, eloquence, every natural or acquired endowment, may be possessed; but without the presence of the Spirit of God, no heart will be touched, no sinner be won to Christ. On the other hand, if they are connected with Christ, if the gifts of the Spirit are theirs, the poorest and most ignorant of His disciples will have a power that will tell upon hearts. God makes them the channel for the outworking of the highest influence in the universe. {COL 328.1}
มนุษย์ไม่ซาบซึ้งในพระสัญญาของพระวิญญาณเท่าที่ควร อีกทั้งไม่ได้ตระหนักถึงการสำเร็จจริงของพระสัญญาอย่างที่ควรจะเป็น การขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเหตุทำให้การประกาศข่าวประเสริฐไม่มีกำลัง การเรียนรู้ ความสามารถ การพูดที่คล่องแคล่ว ทุกสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติหรือที่เราสั่งสมมานั้นเป็นของเราได้ แต่หากไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่มีจิตใจของผู้ใดที่จะได้รับการสัมผัส และจะไม่มีคนบาปกลับใจมาหาพระเยซู ในทางตรงกันข้าม หากผู้รับใช้จะติดสนิทกับพระคริสต์ และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในชีวิตแล้ว ผู้รับใช้ที่ยากจนที่สุด เบาปัญญาที่สุดก็จะมีพลังในการประกาศ พระเจ้าทรงทำให้เขาเป็นสื่อสร้างอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในทั้งจักรวาล {COL 328.1}
Other Talents
ความสามารถอื่นๆ
ตะลันต์ในอุปมาไม่ได้หมายถึงของประทานฝ่ายพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ตะลันต์นี้ยังรวมไปถึงของประทานและความสามารถทั้งหมดของเรา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถที่มีอยู่แล้ว หรือได้มาจากการเรียนรู้ที่เพิ่มเข้ามาทั้งของประทานฝ่ายกายหรือฝ่ายวิญญาณ จะต้องนำตะลันต์ทั้งหมดมารับใช้ในพันธกิจของพระคริสต์ เมื่อเราเข้ามาเป็นสาวกของพระองค์แล้ว เราจะมอบถวายตัวเราและสิ่งที่เรามีทั้งหมดให้พระองค์ พระองค์จะทรงส่งของประทานที่ชำระให้บริสุทธิ์และทำให้สูงส่งขึ้นคืนเราเพื่อให้เราใช้ในการถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเป็นพระพรแก่เพื่อนมนุษย์ {COL 328.2}
To every man God has given “according to his several ability.” The talents are not apportioned capriciously. He who has ability to use five talents receives five. He who can improve but two, receives two. He who can wisely use only one, receives one. None need lament that they have not received larger gifts; for He who has apportioned to every man is equally honored by the improvement of each trust, whether it be great or small. The one to whom five talents have been committed is to render the improvement of five; he who has but one, the improvement of one. God expects returns “according to that a man hath, and not according to that he hath not.” 2 Corinthians 8:12. {COL 328.3}
พระเจ้าทรงโปรดมอบของประทานให้แก่มนุษย์ทุกคน “ตามความสามารถของแต่ละคน” มัทธิว 25: 15 พระองค์ไม่ได้ประทานให้ตามอำเภอใจ ผู้ที่มีความสามารถใช้ห้าตะลันต์ ก็ได้รับห้าตะลันต์ ผู้ที่ใช้เงินสองตะลันต์ให้เกิดประโยชน์ ก็จะได้สองตะลันต์ ส่วนผู้ที่ใช้เงินตะลันต์เดียวอย่างฉลาดก็จะได้หนึ่งตะลันต์ ไม่ต้องโอดครวญว่าไม่ได้ของประทานที่มากกว่านี้ เพราะพระผู้จัดสรรให้กับทุกคนนั้นจะทรงรับการถวายเกียรติจากการพัฒนาของประทานตามที่ฝากไว้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ผู้ที่ได้รับห้าตะลันต์ได้รับมอบหมายให้พัฒนาห้าตะลันต์ ส่วนผู้ที่ได้หนึ่งตะลันต์มีหน้าที่ให้พัฒนาหนึ่งตะลันต์ พระเจ้าทรงคาดหวังการถวายคืน “ตามที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี” 2 โครินธ์ 8:12 {COL 328.3}
In the parable he that had “received the five talents went and traded with the same, and made them other five talents; and likewise he that had received two, he also gained other two.” {COL 329.1}
ในอุปมา “คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็ไปทันที เอาเงินนั้นไปค้าขาย ได้กำไรอีกห้าตะลันต์ คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรอีกสองตะลันต์เหมือนกัน” มัทธิว 25:16, 17 {COL 329.1}
The talents, however few, are to be put to use. The question that most concerns us is not, How much have I received? but, What am I doing with that which I have? The development of all our powers is the first duty we owe to God and to our fellow men. No one who is not growing daily in capability and usefulness is fulfilling the purpose of life. In making a profession of faith in Christ we pledge ourselves to become all that it is possible for us to be as workers for the Master, and we should cultivate every faculty to the highest degree of perfection, that we may do the greatest amount of good of which we are capable. {COL 329.2}
ไม่ว่าความสามารถจะมีน้อยเพียงใด เราจะต้องนำความสามารถนั้นมาใช้ เรื่องที่เราต้องใส่ใจให้มากที่สุด ไม่ใช่ติดอยู่กับความคิดว่าเราได้รับมากน้อยเพียงไร แต่ว่าเราจะทำอย่างไรกับความสามารถที่เรามี การพัฒนากำลังความสามารถทั้งหมดของเราให้เกิดประโยชน์เป็นหน้าที่อันดับแรกที่เราเป็นหนี้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเรา ไม่มีคนใดที่ไม่พัฒนาทุกวันในด้านความสามารถและการทำประโยชน์ที่จะทำตามจุดประสงค์ของชีวิต เมื่อเราแสดงว่ามีความเชื่อในพระคริสต์ เรากำลังปฏิญาณตนเองที่จะทำทุกอย่างเพื่อเป็นผู้รับใช้พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และเราจะต้องพัฒนาทุกอวัยวะให้ถึงความบริบูรณ์สูงสุดเพื่อจะสามารถทำในสิ่งที่ดีให้มากที่สุดตามความสามารถที่เราจะทำได้ {COL 329.2}
The Lord has a great work to be done, and He will bequeath the most in the future life to those who do the most faithful, willing service in the present life. The Lord chooses His own agents, and each day under different circumstances He gives them a trial in His plan of operation. In each true-hearted endeavor to work out His plan, He chooses His agents not because they are perfect but because, through a connection with Him, they may gain perfection. {COL 330.1}
พระยาห์เวห์ทรงมีงานใหญ่ที่จะต้องทำให้สำเร็จ และพระองค์จะทรงยกมรดกส่วนที่ดีที่สุดในชีวิตภายหน้าให้กับผู้ที่มีความสัตย์ซื่อที่สุดและมีความเต็มใจในการรับใช้มากที่สุดในชีวิตปัจจุบัน พระเจ้าทรงเลือกผู้แทนของพระองค์ และในแต่ละวันภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน พระองค์ทรงให้คนเหล่านี้มีส่วนร่วมในแผนการของพระองค์ พระองค์ประทานให้เขาทดลองในแผนของการปฏิบัติ ในทุกความอุตสาหะที่จริงใจเพื่อทำตามแผนของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกตัวแทนเหล่านี้ไม่ใช่เพราะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่เมื่อเขาเข้าสนิทกับพระองค์ก็จะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ {COL 330.1}
God will accept only those who are determined to aim high. He places every human agent under obligation to do his best. Moral perfection is required of all. Never should we lower the standard of righteousness in order to accommodate inherited or cultivated tendencies to wrong-doing. We need to understand that imperfection of character is sin. All righteous attributes of character dwell in God as a perfect, harmonious whole, and every one who receives Christ as a personal Saviour is privileged to possess these attributes. {COL 330.2}
พระเจ้าทรงยอมรับผู้ที่ตั้งเป้าไว้ให้สูง พระองค์ทรงจัดวางผู้รับใช้ทุกคนให้อยู่ภายใต้หน้าที่ของของการทำให้ดีที่สุด ทรงต้องการให้ทุกคนมีจริยธรรมที่ดีรอบคอบ อย่าให้เราลดมาตรฐานความชอบธรรมเพียงเพื่อจะพลิกแพลงให้เข้ากับนิสัยที่ชอบกระทำผิดเป็นอันขาด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นนิสัยที่ติดตัวตามธรรมชาติหรือไม่ก็ตาม เราต้องเข้าใจเสมอว่าอุปนิสัยที่ไม่สมบูรณ์คือบาป คุณสมบัติทั้งปวงของความชอบธรรมในพระเจ้านั้นได้แก่การมีความสามัคคีปรองดองกับทุกคน และทุกคนที่รับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตนก็จะได้สิทธิพิเศษในการรับคุณสมบัติเหล่านี้ {COL 330.2}
And those who would be workers together with God must strive for perfection of every organ of the body and quality of the mind. True education is the preparation of the physical, mental, and moral powers for the performance of every duty; it is the training of body, mind, and soul for divine service. This is the education that will endure unto eternal life. {COL 330.3}
ทุกคนที่ประสงค์จะรับใช้ร่วมกันกับพระเจ้าจะต้องใช้ความพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์ของทุกส่วนของอวัยวะในร่างกาย การศึกษาที่แท้จริงคือการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สมองและจิตวิญญาณเพื่อทำทุกหน้าที่ เป็นการฝึกร่างกาย สมองและจิตวิญญาณเพื่อรับใช้ในพระราชกิจของพระเจ้า นี่คือการศึกษาที่จะยั่งยืนไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ {COL 330.3}
Of every Christian the Lord requires growth in efficiency and capability in every line. Christ has paid us our wages, even His own blood and suffering, to secure our willing service. He came to our world to give us an example of how we should work, and what spirit we should bring into our labor. He desires us to study how we can best advance His work and glorify His name in the world, crowning with honor, with the greatest love and devotion, the Father who “so loved the world, that He gave His only begotten Son, that whosoever believeth in Him should not perish, but have everlasting life.” John 3:16. {COL 330.4}
พระยาห์เวห์ทรงประสงค์ให้คริสเตียนทุกคนเจริญขึ้นในงานทุกด้านด้วยประสิทธิภาพและด้วยความสามารถ พระคริสต์ทรงชำระค่าจ้างให้แก่เราแล้วแม้จะต้องแลกด้วยพระโลหิตและความทุกข์ทรมานของพระองค์เองเพื่อจะได้การรับใช้ด้วยใจยินดีของเรา พระองค์เสด็จมายังโลกนี้เพื่อประทานแบบอย่างให้แก่เราว่าเราจะทำงานและการทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการทำงานอย่างไร พระองค์ทรงประสงค์ให้เราศึกษาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้พันธกิจของพระองค์ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อสรรเสริญและถวายเกียรติในความรักอันยิ่งใหญ่และอุทิศทุกสิ่งแด่พระนามของพระองค์ในโลกนี้ พระบิดา “ทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 3:16 {COL 330.4}
But Christ has given us no assurance that to attain perfection of character is an easy matter. A noble, all-round character is not inherited. It does not come to us by accident. A noble character is earned by individual effort through the merits and grace of Christ. God gives the talents, the powers of the mind; we form the character. It is formed by hard, stern battles with self. Conflict after conflict must be waged against hereditary tendencies. We shall have to criticize ourselves closely, and allow not one unfavorable trait to remain uncorrected. {COL 331.1}
แต่พระคริสต์ไม่ทรงรับประกันว่าอุปนิสัยที่สมบูรณ์นั้นจะได้มาโดยง่าย สิ่งนี้ไม่ได้ถ่ายทอดมาทางสายเลือด ไม่ได้มาโดยบังเอิญ อุปนิสัยดีงามนั้นจะได้มาด้วยความพยายามของเราผ่านทางความดีและพระคุณของพระคริสต์ พระเจ้าประทานความสามารถและพลังแห่งความคิด ส่วนเราเป็นผู้สร้างอุปนิสัยด้วยการต่อสู้อย่างหนักหน่วงกับตนเอง เราต้องต่อสู้กับความขัดแย้งทางอุปนิสัยที่ได้รับการถ่ายทอดมาอย่างไม่หยุดหย่อน ต้องคอยติเตียนตัวเอง ไม่ปล่อยให้มีอุปนิสัยอันไม่พึงประสงค์หลงเหลืออยู่โดยไม่แก้ไข {COL 331.1}
Let no one say, I cannot remedy my defects of character. If you come to this decision, you will certainly fail of obtaining everlasting life. The impossibility lies in your own will. If you will not, then you can not overcome. The real difficulty arises from the corruption of an unsanctified heart, and an unwillingness to submit to the control of God. {COL 331.2}
อย่าให้ผู้ใดกล่าวว่าฉันไม่สามารถแก้ไขความบกพร่องของอุปนิสัยของตนเอง หากท่านสรุปไว้อย่างนี้ ท่านจะไม่ได้ชีวิตนิรันดร์ ความเป็นไปไม่ได้ขึ้นอยู่กับความนึกคิดของตัวท่านเอง หากท่านไม่ต้องการ ท่านก็จะไม่สามารถเอาชนะมันได้ อุปสรรคที่แท้จริงเกิดจากความชั่วร้ายของจิตใจที่ไม่ได้ผ่านการชำระและความไม่เต็มใจที่จะมอบจิตใจให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า {COL 331.2}
Many whom God has qualified to do excellent work accomplish very little, because they attempt little. Thousands pass through life as if they had no definite object for which to live, no standard to reach. Such will obtain a reward proportionate to their works. {COL 331.3}
คนจำนวนมากที่พระเจ้าทรงให้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะทำงานได้อย่างดีเลิศแต่กลับทำได้เพียงเล็กน้อยเพราะพวกเขาไม่ได้พยายามทำอย่างเต็มที่ คนนับพันใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายและไม่มีมาตรฐานที่จะก้าวไปให้ถึง คนเหล่านี้จะได้รับรางวัลตามสัดส่วนของงานของเขา {COL 331.3}
Remember that you will never reach a higher standard than you yourself set. Then set your mark high, and step by step, even though it be by painful effort, by self-denial and sacrifice, ascend the whole length of the ladder of progress. Let nothing hinder you. Fate has not woven its meshes about any human being so firmly that he need remain helpless and in uncertainty. Opposing circumstances should create a firm determination to overcome them. The breaking down of one barrier will give greater ability and courage to go forward. Press with determination in the right direction, and circumstances will be your helpers, not your hindrances. {COL 331.4}
จงจดจำไว้ว่าท่านจะบรรลุเกินเป้าหมายที่ท่านวางไว้ไม่ได้ ฉะนั้นจงตั้งเป้าไว้ให้สูงและจงก้าวไปทีละก้าว แม้ว่าความพยายามจะต้องเจ็บปวดด้วยการบังคับใจตนเอง การเสียสละเพื่อให้ก้าวขึ้นไปจนถึงที่สุด อย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่าน โชคชะตาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของคนใด หรือควบคุมชีวิตจนต้องสิ้นหวังหมดกำลังใจ สภาพแวดล้อมรอบตัวที่ขัดขวางต่อต้านควรเป็นส่วนเสริมสร้างให้เราตั้งใจเอาชนะให้ได้ การเอาชนะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กีดขวางหนทางเราได้ก็จะเสริมความพยายามในการต่อสู้เพื่อความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น จงรุกต่อไปข้างหน้าตามหนทางที่ถูกต้องด้วยความตั้งใจจริง แล้วการต่อต้านจากสิ่งที่อยู่รอบข้างจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ท่านเอาชนะ ไม่เป็นสิ่งต่อต้านของท่าน {COL 331.4}
Be ambitious, for the Master’s glory, to cultivate every grace of character. In every phase of your character building you are to please God. This you may do; for Enoch pleased Him though living in a degenerate age. And there are Enochs in this our day. {COL 332.1}
จงมีความทะเยอทะยานในการปลูกฝังอุปนิสัยทางฝ่ายพระคุณเพื่อถวายพระสิริแด่พระอาจารย์ ในแต่ละขั้นของการเสริมสร้างอุปนิสัย ท่านกำลังทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย นี่คือสิ่งที่ควรกระทำ เพราะเอโนคผู้มีชีวิตอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมที่สุดยุคหนึ่งก็ยังดำเนินชีวิตเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทุกวันนี้ยังมีผู้ประพฤติตนแบบเดียวกับเอโนคอยู่ในโลกเช่นกัน {COL 332.1}
Stand like Daniel, that faithful statesman, a man whom no temptation could corrupt. Do not disappoint Him who so loved you that He gave His own life to cancel your sins. He says, “Without Me ye can do nothing.” John 15:5. Remember this. If you have made mistakes, you certainly gain a victory if you see these mistakes and regard them as beacons of warning. Thus you turn defeat into victory, disappointing the enemy and honoring your Redeemer. {COL 332.2}
จงยืนหยัดเช่นดาเนียล นักปกครองผู้ซื่อสัตย์ ผู้ที่การทดลองทำลายไม่ได้ อย่าทำให้พระองค์ผู้ทรงรักท่านมากจนทรงยอมสละชีวิตเพื่อชำระบาปของท่านต้องเสียพระทัยเพราะความผิดหวังในตัวท่าน พระองค์ตรัสว่า “ถ้าแยกจากเราแล้ว พวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ยอห์น 15:5 จงจำไว้ว่า เมื่อใดที่ท่านทำผิด ท่านจะได้ชัยชนะเมื่อมองเห็นความผิดเหล่านี้และถือว่าความผิดนั้นเป็นเสมือนสัญญาณเตือนภัย ท่านเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ ทำให้ศัตรูของท่านผิดหวังและถวายเกียรติแด่พระผู้ไถ่ของท่าน {COL 332.2}
A character formed according to the divine likeness is the only treasure that we can take from this world to the next. Those who are under the instruction of Christ in this world will take every divine attainment with them to the heavenly mansions. And in heaven we are continually to improve. How important, then, is the development of character in this life. {COL 332.3}
อุปนิสัยที่สร้างตามแบบของพระเจ้า จะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นำติดตัวออกจากโลกนี้ไปยังโลกหน้าได้ ผู้ที่ทำตามคำสั่งสอนของพระคริสต์ในโลกนี้ จะนำความรู้อันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ร่ำเรียนมาไปยังปราสาทบนสวรรค์ด้วย และในสวรรค์เราจะพัฒนาอุปนิสัยที่ดีงามของชีวิตนี้ต่อไป การพัฒนาอุปนิสัยในชีวิตนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพียงไร {COL 332.3}
The heavenly intelligences will work with the human agent who seeks with determined faith that perfection of character which will reach out to perfection in action. To everyone engaged in this work Christ says, I am at your right hand to help you. {COL 332.4}
ชาวสวรรค์พร้อมที่จะร่วมมือกับมนุษย์ที่พยายามแสวงหาความสมบูรณ์ของอุปนิสัยด้วยความเชื่อที่ตั้งใจ อุปนิสัยนี้จะแผ่ขยายออกไปเป็นการกระทำที่สมบูรณ์แบบ พระคริสต์ตรัสกับทุกคนที่เข้าร่วมงานนี้ว่า เราอยู่ข้างมือขวาของท่านเพื่อช่วยเหลือท่าน {COL 332.4}
As the will of man co-operates with the will of God, it becomes omnipotent. Whatever is to be done at His command may be accomplished in His strength. All His biddings are enablings. {COL 333.1}
ขณะที่ความตั้งใจของมนุษย์ร่วมมือกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ความตั้งใจนั้นจะมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่กระทำภายใต้พระบัญชาของพระองค์จะได้รับความสำเร็จด้วยฤทธิ์อำนาจอันไม่จำกัดของพระองค์ พระบัญชาของพระองค์ทั้งหมดมีอำนาจเสริมพลังให้เพิ่มขึ้นได้ {COL 333.1}
Mental Faculties
ความสามารถด้านสติปัญญา
พระเจ้าทรงกำหนดให้มีการฝึกความสามารถทางด้านสติปัญญา พระองค์ทรงวางแผนไว้ว่าผู้รับใช้ของพระองค์ควรมีปัญญาและมีทัศนะในการมองการณ์ไกลที่ชัดเจนกว่าชาวโลก และพระองค์ไม่พอพระทัยต่อผู้ที่ไม่ใส่ใจหรือเกียจคร้านเกินไปที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รับใช้ที่มีสมรรถภาพและรอบรู้เป็นอย่างดี พระยาห์เวห์ทรงเรียกให้เรารักพระองค์ด้วยสุดจิต สุดใจและด้วยสิ้นสุดความคิด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพัฒนาปัญญาให้ถึงที่สุดเพื่อเราจะใช้สติปัญญานั้นในการเรียนรู้และรักพระผู้สร้างของเรา {COL 333.2}
If placed under the control of His Spirit, the more thoroughly the intellect is cultivated, the more effectively it can be used in the service of God. The uneducated man who is consecrated to God and who longs to bless others can be, and is, used by the Lord in His service. But those who, with the same spirit of consecration, have had the benefit of a thorough education, can do a much more extensive work for Christ. They stand on vantage ground. {COL 333.3}
หากให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สมองจะได้รับการพัฒนาอย่างถี่ถ้วนเพื่อรับใช้พระเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนที่ไร้การศึกษาแต่ได้ถวายตัวแก่พระเจ้าและมีความต้องการให้ผู้อื่นได้รับพระพรนั้นเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ในพระราชกิจของพระองค์ได้ แต่สำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงและมีจิตใจแห่งการถวายตัวในทำนองเดียวกันจะสามารถทำงานรับใช้พระเจ้าได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นเพราะเขามีพื้นฐานที่ได้เปรียบกว่ามาก {COL 333.3}
The Lord desires us to obtain all the education possible, with the object in view of imparting our knowledge to others. None can know where or how they may be called to labor or to speak for God. Our heavenly Father alone sees what He can make of men. There are before us possibilities which our feeble faith does not discern. Our minds should be so trained that if necessary we can present the truths of His word before the highest earthly authorities in such a way as to glorify His name. We should not let slip even one opportunity of qualifying ourselves intellectually to work for God. {COL 333.4}
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราได้รับการศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ความสามารถนั้นแบ่งปันความรู้ให้แก่ผู้อื่น ไม่มีผู้ใดสามารถทราบได้ว่าเขาจะมีโอกาสทำงานรับใช้หรือประกาศเพื่อพระเจ้าที่ไหนด้วยวิธีใด พระบิดาผู้สถิตอยู่บนสวรรค์เท่านั้นที่ทรงทอดพระเนตรว่าพระองค์ทรงใช้ผู้ใดได้ โอกาสมีอยู่ต่อหน้าเราที่ความเชื่ออันอ่อนแอของเราไม่อาจรับรู้ได้ สมองของเราจะต้องผ่านการฝึกเพื่อว่าในเวลาจำเป็นเราจะนำเสนอความจริงของพระวจนะต่อหน้าผู้มีอำนาจสูงสุดในโลกเพื่อสรรเสริญพระนามของพระองค์ เราไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้พัฒนาตนเองเพื่อพันธกิจของพระองค์ {COL 333.4}
Let the youth who need an education set to work with a determination to obtain it. Do not wait for an opening; make one for yourselves. Take hold in any small way that presents itself. Practice economy. Do not spend your means for the gratification of appetite, or in pleasure seeking. Be determined to become as useful and efficient as God calls you to be. Be thorough and faithful in whatever you undertake. Procure every advantage within your reach for strengthening the intellect. Let the study of books be combined with useful manual labor, and by faithful endeavor, watchfulness, and prayer secure the wisdom that is from above. This will give you an all-round education. Thus you may rise in character, and gain an influence over other minds, enabling you to lead them in the path of uprightness and holiness. {COL 334.1}
ให้เยาวชนทุกคนที่ต้องการรับการศึกษามุ่งหน้าทำงานอย่างตั้งใจเพื่อได้ตามที่หวังไว้ อย่านั่งรอโอกาส ให้หาโอกาสไว้ให้กับตัวเอง คว้าโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ไว้ ฝึกให้เป็นคนมัธยัสถ์ อย่าใช้เงินเพียงเพื่อสนองความอยากของตนเองหรือเพื่อความเพลิดเพลิน จงตั้งใจที่จะกระทำตนให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากที่สุดตามที่พระเจ้าทรงเรียกท่าน จงรู้จักเป็นคนละเอียดและซื่อสัตย์ต่อการงานที่ท่านทำ รู้จักหาโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา รู้จักศึกษาหาความรู้จากตำราควบคู่ไปกับการทำงานด้วยมือ โดยความอุตสาหะและความซื่อสัตย์ ให้เฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อรับสติปัญญาที่มาจากเบื้องบน การทำเช่นนี้จะทำให้ท่านเป็นผู้รอบรู้ในทุกด้าน ด้วยเหตุนี้ ท่านจะมีอุปนิสัยที่สูงส่งขึ้นและส่งอิทธิพลต่อความคิดของผู้อื่น จนท่านนำพวกเขาในทางเดินที่ซื่อตรงและบริสุทธิ์ {COL 334.1}
Far more might be accomplished in the work of self-education if we were awake to our own opportunities and privileges. True education means more than the colleges can give. While the study of the sciences is not to be neglected, there is a higher training to be obtained through a vital connection with God. Let every student take his Bible and place himself in communion with the great Teacher. Let the mind be trained and disciplined to wrestle with hard problems in the search for divine truth. {COL 334.2}
การศึกษาด้วยตนเองจะได้รับความสำเร็จมากยิ่งขึ้น หากเรามีความตื่นตัวต่อโอกาสและสิทธิพิเศษที่ได้รับ การเรียนที่แท้จริงมีความหมายมากยิ่งกว่าการศึกษาที่ได้จากสถาบันการศึกษา การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ละทิ้งไม่ได้ฉันใด การฝึกฝนที่สูงกว่านั้นที่จะได้รับด้วยการเข้าสนิทกับพระเจ้าก็จะละเลยไม่ได้เป็นอันขาดฉันนั้น ให้นักศึกษาทุกคนยึดพระคัมภีร์ไว้และเรียนรู้จากพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ให้สมองได้รับการอบรมและฝึกด้านวินัยเพื่อจะต่อสู้กับปัญหายุ่งยากในขณะที่แสวงหาความจริงจากพระเจ้า {COL 334.2}
Those who hunger for knowledge that they may bless their fellow men will themselves receive blessing from God. Through the study of His word their mental powers will be aroused to earnest activity. There will be an expansion and development of the faculties, and the mind will acquire power and efficiency. {COL 334.3}
ผู้ที่กระหายความรู้เพื่อจะเป็นพระพรแก่เพื่อนมนุษย์จะเป็นผู้ที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า โดยการศึกษาพระวจนะของพระองค์ พลังสมองของเขาจะได้รับการกระตุ้นให้เอาจริงเอาจังกับการกระทำต่างๆ จะทำให้ความสามารถได้รับการพัฒนาและขยายให้กว้างไกลออกไปมากยิ่งขึ้น สมองจะมีพลังและมีประสิทธิภาพ {COL 334.3}
Self-discipline must be practiced by everyone who would be a worker for God. This will accomplish more than eloquence or the most brilliant talents. An ordinary mind, well disciplined, will accomplish more and higher work than will the most highly educated mind and the greatest talents without self-control. {COL 335.1}
ทุกคนที่ต้องการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องฝึกการควบคุมตนเองให้มีระเบียบวินัย การกระทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์มากยิ่งกว่าความสามารถในการพูดอย่างคล่องแคล่วหรือความสามารถเด่นในด้านอื่นๆ สมองระดับธรรมดาเมื่อได้รับการฝึกเป็นอย่างดี จะทำงานรับใช้ที่สูงส่งกว่า มากยิ่งกว่าผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงและเพียบพร้อมด้วยความสามารถแต่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ {COL 335.1}
Speech
การพูด
อำนาจการพูดเป็นความสามารถที่ควรได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจัง ในบรรดาของประทานที่เราได้รับจากพระเจ้า ไม่มีของประทานใดที่สามารถใช้เป็นสื่อแห่งพระพรได้มากไปกว่าของประทานนี้ เราใช้น้ำเสียงในการชักชวนและเกลี้ยกล่อม เราอธิษฐานและสรรเสริญพระเจ้าและเป็นพยานให้แก่ผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นรู้ถึงความรักของพระผู้ช่วยให้รอด จะเห็นได้ว่าการฝึกฝนใช้ของประทานในการพูดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพียงใด {COL 335.2}
The culture and right use of the voice are greatly neglected, even by persons of intelligence and Christian activity. There are many who read or speak in so low or so rapid a manner that they cannot be readily understood. Some have a thick, indistinct utterance; others speak in a high key, in sharp, shrill tones, that are painful to the hearers. Texts, hymns, and the reports and other papers presented before public assemblies are sometimes read in such a way that they are not understood and often so that their force and impressiveness are destroyed. {COL 335.3}
การรู้จักการใช้และฝึกใช้เสียงอย่างถูกวิธีถูกละเลยไปมาก แม้กระทั่งในแวดวงของผู้มีความรู้และในกิจกรรมต่างๆ ของคริสเตียน มีคนจำนวนมากอ่านและพูดด้วยเสียงต่ำและเร็วจนกระทั่งคนฟังไม่เข้าใจ บ้างก็พูดเสียงหนักและไม่ชัดเจน บ้างก็พูดด้วยเสียงสูง แหลมคม จนสร้างความระคายเคืองต่อผู้ฟัง บางครั้งมีการอ่านข้อพระคัมภีร์ บทเพลงและรายงานในที่ประชุมด้วยวิธีการอ่านที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ ทำให้ประโยชน์ที่ควรจะได้รับสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย {COL 335.3}
This is an evil that can and should be corrected. On this point the Bible gives instruction. Of the Levites who read the Scriptures to the people in the days of Ezra, it is said, “They read in the book in the law of God distinctly, and gave the sense, and caused them to understand the reading.” Nehemiah 8:8. {COL 335.4}
นี่คือผลเลวร้ายหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และจะต้องได้รับการแก้ไข ในเรื่องนี้พระคัมภีร์สอนว่า คนเลวีที่มีหน้าที่อ่านข้อพระคัมภีร์ให้ประชาชนในสมัยของท่านเอสราฟังได้รับการแนะนำว่า “และพวกเขาอ่านจากหนังสือ จากธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน และเขาก็อธิบายความหมาย ประชาชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่านนั้น” เนหะมีย์ 8:8 {COL 335.4}
By diligent effort all may acquire the power to read intelligibly, and to speak in a full, clear, round tone, in a distinct and impressive manner. By doing this we may greatly increase our efficiency as workers for Christ. {COL 335.5}
ด้วยความพยายามอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนมีความสามารถในการอ่านให้เข้าใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นสมบูรณ์ ชัดเจนและเต็มไปด้วยท่าทีที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังได้ การกระทำเช่นนี้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรับใช้พระคริสต์ได้ {COL 335.5}
Every Christian is called to make known to others the unsearchable riches of Christ; therefore he should seek for perfection in speech. He should present the word of God in a way that will commend it to the hearers. God does not design that His human channels shall be uncouth. It is not His will that man shall belittle or degrade the heavenly current that flows through him to the world. {COL 336.1}
คริสเตียนทุกคนได้รับการทรงเรียกให้ประกาศแก่ผู้อื่นให้ทราบถึงความมั่งคั่งไพบูลย์ของพระคริสต์ที่ไม่มีผู้ใดค้นพบได้ ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องแสวงหาการพูดที่สมบูรณ์ เขาควรแนะนำพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีที่สามารถเชิญชวนผู้ฟังให้มอบจิตใจ พระเจ้าไม่ทรงมีพระประสงค์ให้สื่อนี้ถูกละเลยไม่พัฒนา พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์เหยียดหยามดูแคลนกระแสแห่งสวรรค์ที่ไหลผ่านผู้รับใช้ไปยังมวลชนของโลกนี้ {COL 336.1}
We should look to Jesus, the perfect pattern; we should pray for the aid of the Holy Spirit, and in His strength we should seek to train every organ for perfect work. {COL 336.2}
เราควรมองไปยังพระเยซูผู้ทรงเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์แบบ เราควรอธิษฐานทูลขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และโดยกำลังของพระองค์นี้ให้ฝึกอวัยวะทุกส่วนเพื่อพันธกิจนั้นจะสมบูรณ์ {COL 336.2}
Especially is this true of those who are called to public service. Every minister and every teacher should bear in mind that he is giving to the people a message that involves eternal interests. The truth spoken will judge them in the great day of final reckoning. And with some souls the manner of the one delivering the message will determine its reception or rejection. Then let the word be so spoken that it will appeal to the understanding and impress the heart. Slowly, distinctly, and solemnly should it be spoken, yet with all the earnestness which its importance demands. {COL 336.3}
สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อผู้ที่ทำงานรับใช้ในด้านการประกาศแก่ชุมนชน ศาสนาจารย์ทุกคน ครูทุกคนควรจดจำไว้เสมอว่า พวกเขากำลังประกาศให้ทุกคนรับทราบข่าวอันน่าสนใจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นนิรันดร์ ความจริงที่พวกเขาพูดจะตัดสินพวกเขาในวันพิพากษา สำหรับจิตวิญญาณของคนอีกจำนวนมากนั้น วิธีการเสนอข่าวจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าจะได้รับการยอมรับหรือการปฏิเสธ ฉะนั้นจงให้คำพูดทุกคำที่เปล่งออกมานั้นเป็นที่เรียกร้องให้เกิดความเข้าใจและสร้างความประทับใจให้เกิดแก่ผู้ฟัง ความสำคัญของการพูดเรียกร้องให้ต้องพูดอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำและขึงขังด้วยความจริงใจ {COL 336.3}
The right culture and use of the power of speech has to do with every line of Christian work; it enters into the home life, and into all our intercourse with one another. We should accustom ourselves to speak in pleasant tones, to use pure and correct language, and words that are kind and courteous. Sweet, kind words are as dew and gentle showers to the soul. The Scripture says of Christ that grace was poured into His lips that He might “know how to speak a word in season to him that is weary.” Psalm 45:2; Isaiah 50:4. And the Lord bids us, “Let your speech be alway with grace” (Colossians 4:6) “that it may minister grace unto the hearers” (Ephesians 4:29). {COL 336.4}
การฝึกฝนที่ถูกต้อง และการใช้อำนาจของการพูดมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานในทุกด้านของคริสเตียน ทั้งในชีวิตครอบครัวและเมื่อพบปะพูดคุยกับคนอื่นเราควรฝึกให้เกิดความเคยชินกับการพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง การใช้ภาษาที่บริสุทธิ์และถูกต้อง และคำพูดที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา มีมารยาทในการพูด อันความเมตตานั้นเปรียบได้กับน้ำค้างและละอองฝนที่ช่วยประพรมจิตวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวของพระคริสต์ไว้ว่า พระคุณหลั่งจากพระโอษฐ์ของพระองค์เพื่อ “จะรู้จักการค้ำชูคือค้ำชูผู้อิดโรยด้วยถ้อยคำ” สดุดี 45:2 อิสยาห์ 50:4 และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงให้ถ้อยคำของท่านทั้งหลายประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ” โคโลสี 4:6 “เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน” เอเฟซัส 4:29 {COL 336.4}
In seeking to correct or reform others we should be careful of our words. They will be a savor of life unto life or of death unto death. In giving reproof or counsel, many indulge in sharp, severe speech, words not adapted to heal the wounded soul. By these ill-advised expressions the spirit is chafed, and often the erring ones are stirred to rebellion. All who would advocate the principles of truth need to receive the heavenly oil of love. Under all circumstances reproof should be spoken in love. Then our words will reform but not exasperate. Christ by His Holy Spirit will supply the force and the power. This is His work. {COL 337.1}
เมื่อเราต้องการตักเตือนผู้อื่นก็ควรระวังการใช้คำพูดให้ดี คำพูดนั้นจะเป็นเช่นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต มีหลายคนเมื่อตักเตือนหรือให้คำแนะนำมักจะใช้คำพูดที่สร้างความเจ็บปวด วาจาที่รุนแรงเป็นคำพูดที่ไม่ได้ช่วยรักษาแผลทางจิตวิญญาณ โดยการใช้คำพูดที่ไม่ให้กำลังใจเช่นก่อให้เกิดความหดหู่ใจแก่ผู้ฟัง บางครั้งผู้ที่ได้ยินได้ฟังกลับยิ่งต่อต้านมากยิ่งขึ้น ผู้ที่ส่งเสริมหลักการแห่งความจริงจะต้องเป็นผู้ได้รับน้ำมันแห่งความรักจากสวรรค์ ผู้ให้คำแนะนำตักเตือนจะต้องพูดด้วยความรักในทุกสถานการณ์ ทุกกรณี และผลของคำพูดนั้นก็จะก่อให้เกิดการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น จะไม่ทำให้ผู้ฟังโกรธ พระเยซูคริสต์จะประทานกำลังและพลังผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือพระราชกิจของพระองค์ {COL 337.1}
Not one word is to be spoken unadvisedly. No evil speaking, no frivolous talk, no fretful repining or impure suggestion, will escape the lips of him who is following Christ. The apostle Paul, writing by the Holy Spirit, says, “Let no corrupt communication proceed out of your mouth.” Ephesians 4:29. A corrupt communication does not mean only words that are vile. It means any expression contrary to holy principles and pure and undefiled religion. It includes impure hints and covert insinuations of evil. Unless instantly resisted, these lead to great sin. {COL 337.2}
อย่าปล่อยให้คำพูดแม้แต่คำเดียวออกจากปากอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ไม่ควรพูดใส่ร้ายผู้อื่น พูดเล่น ไม่เอาจริงเอาจัง ตลกคะนอง บ่นเสียใจหรือโอดครวญ อาจารย์เปาโลบันทึกภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากท่านทั้งหลาย” เอเฟซัส 4:29 การสนทนาที่ใช้ถ้อยคำหยาบคายไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราพูดในสิ่งที่ต่อต้านกับหลักธรรมที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน รวมทั้งคำพูดที่ส่อไปในทางที่ไม่บริสุทธิ์และชี้ไปยังสิ่งที่ชั่วร้าย หากไม่รีบห้ามปรามให้หยุดการพูดเช่นนี้เสีย ก็จะนำไปสู่บาปที่ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น {COL 337.2}
Upon every family, upon every individual Christian, is laid the duty of barring the way against corrupt speech. When in the company of those who indulge in foolish talk, it is our duty to change the subject of conversation if possible. By the help of the grace of God we should quietly drop words or introduce a subject that will turn the conversation into a profitable channel. {COL 337.3}
ทุกครอบครัว ทุกคนต่างก็ได้รับหน้าที่ในการขัดขวางคำพูดที่นำไปสู่ความชั่ว หากเราอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังสนทนาในเรื่องที่ไร้สาระ เป็นหน้าที่ของเราที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด หากสามารถทำได้โดยพระคุณของพระเจ้า เราควรหยุดพูดเสียหรือหาเรื่องอื่นมาพูดแทนเพื่อให้การสนทนาเป็นสื่อที่ก่อให้เกิดประโยชน์ {COL 337.3}
It is the work of parents to train their children to proper habits of speech. The very best school for this culture is the home life. From the earliest years the children should be taught to speak respectfully and lovingly to their parents and to one another. They should be taught that only words of gentleness, truth, and purity must pass their lips. Let the parents themselves be daily learners in the school of Christ. Then by precept and example they can teach their children the use of “sound speech, that cannot be condemned.” Titus 2:8. This is one of the greatest and most responsible of their duties. {COL 337.4}
พ่อแม่มีหน้าที่ฝึกลูกๆ ให้มีนิสัยและการพูดที่ถูกต้อง โรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะให้การอบรมเรื่องนี้ก็คือบ้าน เด็กควรได้รับการสอนให้พูดกับพ่อแม่และคนอื่นๆ ด้วยวาจาที่แสดงความเคารพและด้วยความรัก เด็กๆ ควรได้รับการสอนให้พูดและใช้คำพูดที่สุภาพจริงใจและบริสุทธิ์เท่านั้น ให้พ่อแม่เรียนรู้จากโรงเรียนของพระคริสต์ทุกวัน ด้วยคำสอนและแบบอย่าง พ่อแม่จะสอนบุตรได้ด้วย “คำพูดอันมีหลักซึ่งไม่มีผู้ใดจะตำหนิได้” ทิตัส 2:8 (TBS1971) นี่คือส่วนหนึ่งของหน้าที่อันสำคัญและยิ่งใหญ่ของพวกเขา {COL 337.4}
As followers of Christ we should make our words such as to be a help and an encouragement to one another in the Christian life. Far more than we do, we need to speak of the precious chapters in our experience. We should speak of the mercy and loving-kindness of God, of the matchless depths of the Saviour’s love. Our words should be words of praise and thanksgiving. If the mind and heart are full of the love of God, this will be revealed in the conversation. It will not be a difficult matter to impart that which enters into our spiritual life. Great thoughts, noble aspirations, clear perceptions of truth, unselfish purposes, yearnings for piety and holiness, will bear fruit in words that reveal the character of the heart treasure. When Christ is thus revealed in our speech, it will have power in winning souls to Him. {COL 338.1}
ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามพระคริสต์ เราควรให้คำพูดของเรามีส่วนช่วยและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันในการดำเนินชีวิตคริสเตียน สิ่งที่สำคัญกว่าการกระทำคือการพูดถึงบทเรียนอันมีคุณค่าจากประสบการณ์ในชีวิตของเรา พูดถึงพระเมตตาและความรัก ความกรุณาของพระเจ้า ความรักอันลึกซึ้งของพระผู้ช่วยให้รอด คำพูดของเราเป็นคำสรรเสริญและคำขอบพระคุณ หากความคิดและหัวใจของเราเต็มไปด้วยความรักของพระเจ้า ก็จะมีการแสดงออกในการสนทนา ไม่เป็นการยากอย่างใดเลยในการแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ความคิดที่ยิ่งใหญ่ ความมุ่งหวังในสิ่งที่สูงส่ง ความเข้าใจในสัจจะที่แจ่มชัด ความตั้งใจที่ไม่เห็นแก่ตัว ความปรารถนาในชีวิตที่เคร่งครัดในฝ่ายธรรมและชีวิตอันบริสุทธิ์จะเกิดผลออกมาทางคำพูด จะกลายเป็นพลังอำนาจในการนำจิตวิญญาณมาหาพระองค์ได้ {COL 338.1}
We should speak of Christ to those who know Him not. We should do as Christ did. Wherever He was, in the synagogue, by the wayside, in the boat thrust out a little from the land, at the Pharisee’s feast or the table of the publican, He spoke to men of the things pertaining to the higher life. The things of nature, the events of daily life, were bound up by Him with the words of truth. The hearts of His hearers were drawn to Him; for He had healed their sick, had comforted their sorrowing ones, and had taken their children in His arms and blessed them. When He opened His lips to speak, their attention was riveted upon Him, and every word was to some soul a savor of life unto life. {COL 338.2}
เราควรพูดถึงพระคริสต์ให้ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ เราควรปฏิบัติตามแบบอย่างของพระคริสต์ ไม่ว่าพระองค์จะประทับอยู่ที่ใดก็ตาม จะเป็นในพระวิหาร ตามถนนหนทาง ในเรือที่ลอยอยู่ริมชายฝั่ง ในงานเลี้ยงของพวกฟาริสี หรือที่โต๊ะของคนเก็บภาษี พระองค์จะตรัสแต่เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตที่สูงส่ง พระองค์ทรงโยงเรื่องของธรรมชาติ เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเข้ากับพระวจนะแห่งความจริง จิตใจของผู้ที่ได้ฟังนั้นมีความโน้มเอียงมาหาพระองค์เพราะพระองค์ทรงรักษาความเจ็บป่วย ปลอบประโลมเขาและทรงอุ้มเด็กๆ ไว้ในพระหัตถ์ ทรงอวยพรเด็กเหล่านั้น เมื่อพระองค์ทรงเริ่มตรัสทุกคนก็จะหันความสนใจมายังพระองค์ และคำพูดทุกคำก็เป็นเช่นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต {COL 338.2}
So it should be with us. Wherever we are, we should watch for opportunities of speaking to others of the Saviour. If we follow Christ’s example in doing good, hearts will open to us as they did to Him. Not abruptly, but with tact born of divine love, we can tell them of Him who is the “Chiefest among ten thousand” and the One “altogether lovely.” Song of Solomon 5:10, 16. This is the very highest work in which we can employ the talent of speech. It was given to us that we might present Christ as the sin-pardoning Saviour. {COL 339.1}
พวกเราก็ต้องทำอย่างนี้เช่นกัน ไม่ว่าเราจะอยู่แห่งใดก็ตาม เราต้องหาโอกาสพูดให้ผู้อื่นฟังถึงพระผู้ช่วยให้รอด หากเราปฏิบัติตามแบบอย่างของพระคริสต์ในการทำความดีแล้ว จิตใจของผู้ฟังก็จะเปิดออกรับพระองค์ อาจจะไม่เกิดขึ้นในทันที แต่ด้วยความรอบคอบ ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความรักที่มาจากเบื้องบน เราจะบอกให้พวกเขาทราบว่าพระองค์ทรง “โดดเด่นท่ามกลางคนนับหมื่น” และทรงเป็นคน “ช่างน่าปรารถนา” เพลงซาโลมอน 5:10 , 16 นี่คืองานสูงส่งที่สุดที่เราสามารถใช้ของประทานในด้านการพูดซึ่งเป็นความสามารถที่ทรงโปรดประทานให้เราใช้ในการแนะนำให้โลกรู้จักพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงไถ่บาปของเราทั้งหลาย {COL 339.1}
Influence
อิทธิพล
ชีวิตของพระคริสต์มีอำนาจชักจูงอย่างกว้างขวางและไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นอิทธิพลในทางดีที่ผูกมัดพระองค์กับพระเจ้าและมนุษยชาติเข้าไว้ด้วยกัน พระเจ้าทรงโปรดประทานอำนาจที่ช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่โดยลำพังตนเองโดยผ่านทางพระคริสต์ เราแต่ละคนต่างก็มีความเกี่ยวดองกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถือว่านี่คือส่วนหนึ่งแห่งความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและเราก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีเพื่อน เพราะความเป็นอยู่ของแต่ละคนมีความเกี่ยวพันอยู่เสมอ พระประสงค์ของพระเจ้าคือการที่เราต่างนึกถึงชีวิตผู้อื่นและคอยหาการช่วยเหลือให้คนเหล่านั้นได้รับความสุขในชีวิต {COL 339.2}
Every soul is surrounded by an atmosphere of its own–an atmosphere, it may be, charged with the life-giving power of faith, courage, and hope, and sweet with the fragrance of love. Or it may be heavy and chill with the gloom of discontent and selfishness, or poisonous with the deadly taint of cherished sin. By the atmosphere surrounding us, every person with whom we come in contact is consciously or unconsciously affected. {COL 339.3}
จิตวิญญาณของเราต่างก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นของตนเอง เป็นสภาพที่ก่อให้เกิดพลังที่ให้ชีวิต มีความกล้าหาญ และมีความหวัง ทำให้ชีวิตหอมหวานด้วยกลิ่นหอมแห่งความรักหรืออาจจะถูกครอบงำด้วยบรรยากาศที่มืดทึบและเย็นชาเพราะความไม่พอใจ ความเห็นแก่ตัวหรือด่างพร้อยด้วยพิษของบาปชั่วที่ซ่อนเร้นอยู่ ด้วยบรรยากาศของสภาพแวดล้อมรอบตัวเรานี่เองที่ทำให้ผู้ที่สัมผัสในชีวิตของเราได้รับผลกระทบจากเราโดยทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว {COL 339.3}
This is a responsibility from which we cannot free ourselves. Our words, our acts, our dress, our deportment, even the expression of the countenance, has an influence. Upon the impression thus made there hang results for good or evil which no man can measure. Every impulse thus imparted is seed sown which will produce its harvest. It is a link in the long chain of human events, extending we know not whither. If by our example we aid others in the development of good principles, we give them power to do good. In their turn they exert the same influence upon others, and they upon still others. Thus by our unconscious influence thousands may be blessed. {COL 339.4}
นี่คือความรับผิดชอบที่เราไม่สามารถหลบหลีกได้ คำพูด การกระทำ การแต่งตัว กิริยามารยาทหรือแม้กระทั่งอาการแสดงออกทางใบหน้าของเราก็มีผลชักจูงผู้อื่น ผลแห่งความประทับใจนี้ก่อให้เกิดผลดีที่ไม่มีใครจะวัดค่าได้ แรงกระตุ้นที่ถูกขับออกมาทุกกระแสเป็นเมล็ดที่หว่านออกไปเพื่อจะเกิดผลในวันเก็บเกี่ยว นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนโซ่ที่คล้องมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน ต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด หากการเป็นแบบอย่างของเราสามารถช่วยให้คนเหล่านั้นได้รับการพัฒนาหลักการที่ดี ก็เท่ากับว่าเราได้ให้พลังเพื่อการกระทำดีแก่คนเหล่านั้น ในการตอบสนองเขาก็จะใช้อิทธิพลในทางดีของเขากับผู้อื่นต่อไป และจะมีผลต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ฉะนั้นโดยอิทธิพลที่เราแสดงออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวอาจจะเป็นสื่อพระพรที่นำไปสู่ผู้คนเป็นจำนวนมาก {COL 339.4}
Throw a pebble into the lake, and a wave is formed, and another and another; and as they increase, the circle widens, until it reaches the very shore. So with our influence. Beyond our knowledge or control it tells upon others in blessing or in cursing. {COL 340.1}
เมื่อโยนก้อนกรวดลงไปในทะเลสาบ ก็จะมีคลื่นเกิดขึ้นขยายออกไปเรื่อยๆ กว้างขึ้นจนไปถึงฝั่ง อิทธิพลของเราก็เป็นเช่นนี้ เหนือความรู้หรือการควบคุมของเรา อิทธิพลของเราจะไปยังผู้อื่นให้เขาได้พระพรหรือการสาปแช่ง {COL 340.1}
Character is power. The silent witness of a true, unselfish, godly life carries an almost irresistible influence. By revealing in our own life the character of Christ we co-operate with Him in the work of saving souls. It is only by revealing in our life His character that we can co-operate with Him. And the wider the sphere of our influence, the more good we may do. When those who profess to serve God follow Christ’s example, practicing the principles of the law in their daily life; when every act bears witness that they love God supremely and their neighbor as themselves, then will the church have power to move the world. {COL 340.2}
อุปนิสัยคือพลัง การเป็นพยานอย่างเงียบๆ ด้วยความจริงใจ อย่างไม่เห็นแก่ตัวและเลื่อมใสในพระเจ้า มีพลังอิทธิพลที่ไม่มีสิ่งใดอาจลบล้างได้ การแสดงถึงอุปนิสัยของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เท่ากับเราได้ร่วมงานกับพระองค์ในการนำจิตวิญญาณ การแสดงออกถึงอุปนิสัยของพระคริสต์ในชีวิตของเราเท่านั้นที่ทำให้เราร่วมมือกับพระองค์ได้และยิ่งแผ่อิทธิพลกว้างออกไปเท่าใดเราก็กระทำดีได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อผู้ที่แสดงตนว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าปฏิบัติตามตัวอย่างของพระคริสต์ โดยการดำเนินชีวิตในแต่ละวันตามหลักการของพระบัญญัติ เมื่อการกระทำทุกอย่างแสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง คริสตจักรก็จะมีอำนาจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อพระเจ้าในโลกนี้ได้ {COL 340.2}
But never should it be forgotten that influence is no less a power for evil. To lose one’s own soul is a terrible thing; but to cause the loss of other souls is still more terrible. That our influence should be a savor of death unto death is a fearful thought; yet this is possible. Many who profess to gather with Christ are scattering from Him. This is why the church is so weak. Many indulge freely in criticism and accusing. By giving expression to suspicion, jealousy, and discontent, they yield themselves as instruments to Satan. Before they realize what they are doing, the adversary has through them accomplished his purpose. The impression of evil has been made, the shadow has been cast, the arrows of Satan have found their mark. Distrust, unbelief, and downright infidelity have fastened upon those who otherwise might have accepted Christ. Meanwhile the workers for Satan look complacently upon those whom they have driven to skepticism, and who are now hardened against reproof and entreaty. They flatter themselves that in comparison with these souls they are virtuous and righteous. They do not realize that these sad wrecks of character are the work of their own unbridled tongues and rebellious hearts. It is through their influence that these tempted ones have fallen. {COL 340.3}
แต่อย่าลืมว่าอิทธิพลมีอำนาจต่อการกระทำชั่วได้เท่ากับการกระทำดี การที่ผู้หนึ่งผู้ใดสูญเสียจิตวิญญาณของตนเองเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด แต่การทำให้จิตวิญญาณของผู้อื่นสูญหายเลวร้ายยิ่งกว่า เป็นไปได้ที่อิทธิพลของเรานั้นจะกลายเป็นผู้ที่ทำให้คนเหล่านั้นกระจัดกระจายหนีหายไปจากพระองค์ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคริสตจักรถึงอ่อนแอเช่นนี้ หลายคนมุ่งแต่จะติเตียนและใส่ความกล่าวหาผู้อื่นด้วยคำพูดสร้างความสังสัย อิจฉาริษยาและความไม่พอใจเกิดขึ้น เขาเหล่านั้นปล่อยตัวให้ซาตานใช้เป็นเครื่องมือ กว่าจะรู้ตัวเองว่าทำอะไรไป ศัตรูก็ใช้เขาเป็นเครื่องมือจนบรรลุเป้าหมายของมันเสียแล้ว รอยประทับแห่งความชั่วเกิดขึ้น เงานั้นทอดลงมา ทำให้ลูกศรของซาตานเห็นเป้าอย่างชัดเจน ความไม่ไว้วางใจ ความไม่เชื่อ ความไร้ศรัทธาเกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่น่าจะยอมรับพระคริสต์กลับปฏิเสธพระองค์ ในขณะเดียวกันผู้ที่ทำงานให้ซาตานมองดูด้วยความพอใจไปยังผู้ที่มารผลักให้ออกไปด้วยความสงสัย แล้วก็เข้าข้างตัวเองว่าการกระทำของตนถูกต้องและเปรียบเทียบกับผู้ที่ล้มลงว่าไม่มีคุณงามความดีและความชอบธรรมเท่ากับตน เขาเหล่านั้นไม่ได้ตระหนักว่าอุปนิสัยอันเหลวแหลกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากลิ้นที่ไร้การควบคุม และจิตใจที่ดื้อรั้น ด้วยอิทธิพลนี้เองที่ทำให้ชีวิตของผู้อื่นต้องล้มลง {COL 340.3}
So frivolity, selfish indulgence, and careless indifference on the part of professed Christians are turning away many souls from the path of life. Many there are who will fear to meet at the bar of God the results of their influence. {COL 341.1}
ดังนั้นการไม่เอาจริงเอาจัง ตามใจตนเองด้วยความเห็นแก่ตัว ใช้ชีวิตด้วยความประมาทเลินเล่อตามใจปรารถนาของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียน ทำให้จิตวิญญาณจำนวนมากหันเหไปจากหนทางแห่งชีวิต คนจำนวนมากหวาดกลัวที่จะเผชิญต่อหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้าอันเนื่องจากผลแห่งอิทธิพลของตนเอง {COL 341.1} It is only through the grace of God that we can make a right use of this endowment. There is nothing in us of ourselves by which we can influence others for good. If we realize our helplessness and our need of divine power, we shall not trust to ourselves. We know not what results a day, an hour, or a moment may determine, and never should we begin the day without committing our ways to our heavenly Father. His angels are appointed to watch over us, and if we put ourselves under their guardianship, then in every time of danger they will be at our right hand. When unconsciously we are in danger of exerting a wrong influence, the angels will be by our side, prompting us to a better course, choosing our words for us, and influencing our actions. Thus our influence may be a silent, unconscious, but mighty power in drawing others to Christ and the heavenly world. {COL 341.2}
โดยพระกรุณาของพระเจ้าเท่านั้น ที่เราใช้ของประทานนี้อย่างถูกต้องได้ ไม่มีสิ่งใดในตัวของคนเราที่จะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นให้ทำดีได้ เมื่อเรายอมรับว่าช่วยตนเองไม่ได้และต้องการฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่วางใจการกระทำของตนเอง เราไม่ทราบว่าผลการกระทำในวันหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งหรือเพียงนาทีหนึ่งจะก่อให้เกิดผลอย่างไรบ้าง จึงไม่ควรเริ่มวันใหม่โดยไม่ถวายการดำเนินชีวิตของเราให้แก่พระบิดาแห่งสวรรค์ ทูตของพระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ดูแล และเมื่อเรายอมให้ทูตเหล่านั้นปกปักรักษาแล้ว ยามใดก็ตามที่อันตรายจะเกิดขึ้น ทูตเหล่านั้นก็จะอยู่ข้างเราทันที เมื่อตกอยู่ในอันตรายของอิทธิพลที่ผิดโดยที่ไม่ได้เจตนา ทูตสวรรค์ก็จะอยู่ข้างเราคอยเร่งเร้าให้หันเข้าทางที่ถูกต้อง ทูตเหล่านี้จะคอยช่วยในการเลือกคำพูดและคอยนำการกระทำของเรา ดังนั้นอิทธิพลของเราจึงเป็นไปอย่างเงียบๆ กระทำไปโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่มีพลังในการชักจูงผู้อื่นให้หันไปหาพระคริสต์และแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ {COL 341.2}
Time
เวลา
เวลาของเราเป็นของพระเจ้า ทุกนาทีเป็นของพระองค์และเราอยู่ภายใต้หน้าที่ที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาเวลาให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ในจำนวนของประทานนั้น ไม่มีตะลันต์ใดที่พระองค์ทรงเรียกตรวจสอบอย่างเข้มงวดเท่ากับเวลาของเรา {COL 342.1}
The value of time is beyond computation. Christ regarded every moment as precious, and it is thus that we should regard it. Life is too short to be trifled away. We have but a few days of probation in which to prepare for eternity. We have no time to waste, no time to devote to selfish pleasure, no time for the indulgence of sin. It is now that we are to form characters for the future, immortal life. It is now that we are to prepare for the searching judgment. {COL 342.2}
เวลามีค่าเหลือคณานับ พระคริสต์ทรงถือว่าเวลาทุกนาทีเป็นของมีค่า และด้วยเหตุผลนี้เราจึงต้องเอาใจใส่ในทำนองนี้เหมือนกัน ชีวิตสั้นเกินไปที่จะปล่อยให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เรามีเวลาไม่มากนักก่อนที่ประตูพระกรุณาจะปิดเพื่อการเตรียมตัวสำหรับชีวิตนิรันดร์ เราไม่มีเวลาที่จะสูญเสียอีกแล้ว ไม่มีเวลาใช้เพื่อความสุขอย่างเห็นแก่ตัว ไม่มีเวลาเพื่อปล่อยตัวทำบาป เดี๋ยวนี้เป็นเวลาเพื่อสร้างอุปนิสัยสำหรับชีวิตอมตะในภายภาคหน้า นี่เป็นเวลาที่เราต้องเตรียมตัวก่อนการพิพากษาตรวจสอบ {COL 342.2}
The human family have scarcely begun to live when they begin to die, and the world’s incessant labor ends in nothingness unless a true knowledge in regard to eternal life is gained. The man who appreciates time as his working day will fit himself for a mansion and for a life that is immortal. It is well that he was born. {COL 342.3}
ครอบครัวของมนุษย์ยังไม่ทันเริ่มใช้ชีวิตเลย เขาก็เข้าสู่ความตายเสียแล้ว และการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนของโลกนี้ก็จะต้องสิ้นสุดในความว่างเปล่า นอกเสียจากว่าได้รับความรู้อย่างแท้จริงในเรื่องของชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่รู้จักคุณค่าของเวลาในการทำงานแต่ละวันจะมีความเหมาะสมที่จะไปอยู่ปราสาทและรับชีวิตอมตะตลอดไป การที่เขาเกิดมาในโลกนี้จึงเป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก {COL 342.3}
We are admonished to redeem the time. But time squandered can never be recovered. We cannot call back even one moment. The only way in which we can redeem our time is by making the most of that which remains, by being co-workers with God in His great plan of redemption. {COL 342.4}
เราได้รับการเตือนให้รู้จักกู้เวลาคืนมา แต่เวลาที่เสียไปอย่างไม่รู้จักคุณค่านั้นไม่สามารถนำกลับคืนมาได้อีกแม้แต่นาทีเดียว วิธีเดียวที่เรากู้คืนเวลาของเราได้คือการใช้เวลาที่เหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยร่วมงานกับพระเจ้าในแผนการแห่งการช่วยให้รอดอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ {COL 342.4}
In him who does this, a transformation of character takes place. He becomes a son of God, a member of the royal family, a child of the heavenly King. He is fitted to be the companion of the angels. {COL 342.5}
สำหรับผู้ที่เข้าร่วมทำงานนี้ อุปนิสัยจะเปลี่ยนไป เขามาเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นสมาชิกครอบครัวแห่งพระราชวงศ์ เป็นบุตรของกษัตริย์แห่งเมืองสวรรค์ จึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นมิตรสหายของทูตสวรรค์ {COL 342.5}
Now is our time to labor for the salvation of our fellow men. There are some who think that if they give money to the cause of Christ, this is all they are required to do; the precious time in which they might do personal service for Him passes unimproved. But it is the privilege and duty of all who have health and strength to render to God active service. All are to labor in winning souls to Christ. Donations of money cannot take the place of this. {COL 343.1}
ขณะนี้เป็นเวลาของการทำงานเพื่อความรอดของเพื่อนมนุษย์ มีบางคนคิดว่าการถวายทรัพย์เพื่องานของพระองค์นั้นก็เพียงพอ และถือว่าครอบคลุมทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้ทำ เวลาอันมีค่าที่เขาเหล่านี้ควรใช้เป็นการส่วนตัวเพื่องานของพระองค์ผ่านไปโดยไม่ได้รับการยอมรับ แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างจริงจัง ทุกคนควรทำงานเพื่อนำจิตวิญญาณของคนทั้งหลายกลับมาหาพระคริสต์ การถวายทรัพย์จึงทดแทนการรับใช้ไม่ได้ {COL 343.1}
Every moment is freighted with eternal consequences. We are to stand as minute men, ready for service at a moment’s notice. The opportunity that is now ours to speak to some needy soul the word of life may never offer again. God may say to that one, “This night thy soul shall be required of thee,” and through our neglect he may not be ready. (Luke 12:20.) In the great judgment day, how shall we render our account to God? {COL 343.2}
เวลาทุกนาทีแบกรับภาระที่มีผลต่อสิ่งอันเป็นนิรันดร์ เราควรยืนคอยเหมือนผู้รับใช้พร้อมเข้ารับงานเมื่อได้รับคำสั่ง โอกาสที่เรารับในขณะนี้มีไว้เพื่อที่จะพูดเรื่องของพระวจนะแห่งชีวิตให้กับจิตวิญญาณที่กำลังรอคอย โอกาสเช่นนี้อาจจะไม่กลับมาหาเราอีก พระเจ้าอาจจะตรัสกับเขาว่า “ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า” ลูกา 12:20 และโดยการละเลยของเราเขาอาจจะไม่พร้อม ในวันแห่งการพิพากษาที่ยิ่งใหญ่ เราจะแก้ตัวกับพระเจ้าอย่างไร {COL 343.2}
Life is too solemn to be absorbed in temporal and earthly matters, in a treadmill of care and anxiety for the things that are but an atom in comparison with the things of eternal interest. Yet God has called us to serve Him in the temporal affairs of life. Diligence in this work is as much a part of true religion as is devotion. The Bible gives no indorsement to idleness. It is the greatest curse that afflicts our world. Every man and woman who is truly converted will be a diligent worker. {COL 343.3}
ชีวิตมีความสำคัญอย่างมากยิ่ง เกินกว่าที่เราจะสนใจแต่ในเรื่องของโลกและสิ่งของในโลก การวนเวียนอยู่ในความกังวลและวุ่นวายอยู่กับสิ่งซึ่งมีความสำคัญน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องที่น่าสนใจที่เป็นนิรันดร์ ถึงกระนั้น พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำงานรับใช้พระองค์ในเรื่องของชีวิตฝ่ายโลก ความขยันในการงานเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาที่แท้จริงเสมอเหมือนการเสียสละอุทิศตน พระคัมภีร์ไม่สนับสนุนการมีชีวิตอยู่อย่างไร้จุดหมาย เป็นคำสาปแช่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเรา ชายและหญิงทุกคนที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริงแล้วจะเป็นผู้รับใช้ขยันที่สุด {COL 343.3}
Upon the right improvement of our time depends our success in acquiring knowledge and mental culture. The cultivation of the intellect need not be prevented by poverty, humble origin, or unfavorable surroundings. Only let the moments be treasured. A few moments here and a few there, that might be frittered away in aimless talk; the morning hours so often wasted in bed; the time spent in traveling on trams or railway cars, or waiting at the station; the moments of waiting for meals, waiting for those who are tardy in keeping an appointment–if a book were kept at hand, and these fragments of time were improved in study, reading, or careful thought, what might not be accomplished. A resolute purpose, persistent industry, and careful economy of time, will enable men to acquire knowledge and mental discipline which will qualify them for almost any position of influence and usefulness. {COL 343.4}
การรู้จักปรับปรุงการใช้เวลาขึ้นกับความสำเร็จของการได้มาซึ่งความรู้และปัญญา ไม่ควรให้ความยากจน ความต่ำต้อยของชาติกำเนิดหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนทางสติปัญญา เวลาทุกนาทีมีค่าที่เราต้องรักษา การใช้เวลาที่นี่นิด ที่นั่นหน่อยในการพูดคุยที่ไร้สาระ การเสียเวลาในตอนเช้าโดยการนอนไม่ลุกจากเตียง เวลาที่ใช้ในการเดินทางโดยรถประจำทางและรถไฟ หรือการยืนคอยที่สถานี การเข้าแถวคอยอาหาร การรอคอยผู้ที่มาไม่ตรงตามเวลานัด ในช่วงเวลาน้อยนิดที่มีนี้ หากเรามีหนังสือติดมือก็จะช่วยในการศึกษาและไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ได้ เป็นการรู้จักใช้เวลาทำสิ่งที่บางครั้งไม่มีเวลาพอที่จะทำ ความตั้งใจที่แน่วแน่ ความขยันที่ไม่หยุดหย่อนและรู้จักระมัดระวังในการประหยัดเวลาจะสามารถทำให้มนุษย์ได้มาซึ่งความรู้และวินัยของความคิด ซึ่งทำให้เรามีคุณสมบัติเข้ารับตำแหน่งการทำงานที่มีอำนาจและเป็นประโยชน์ {COL 343.4}
It is the duty of every Christian to acquire habits of order, thoroughness, and dispatch. There is no excuse for slow bungling at work of any character. When one is always at work and the work is never done, it is because mind and heart are not put into the labor. The one who is slow and who works at a disadvantage should realize that these are faults to be corrected. He needs to exercise his mind in planning how to use the time so as to secure the best results. By tact and method, some will accomplish as much in five hours as others do in ten. Some who are engaged in domestic labor are always at work not because they have so much to do but because they do not plan so as to save time. By their slow, dilatory ways they make much work out of very little. But all who will, may overcome these fussy, lingering habits. In their work let them have a definite aim. Decide how long a time is required for a given task, and then bend every effort toward accomplishing the work in the given time. The exercise of the will power will make the hands move deftly. {COL 344.1}
คริสเตียนทุกคนมีหน้าที่แสวงหานิสัยของความมีระเบียบ มีความละเอียดรอบคอบและว่องไว ไม่มีข้อแก้ตัวใดสำหรับคนที่เชื่องช้าในการทำงานทุกชนิด การมีงานทำอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เคยทำงานเสร็จสักทีนั้นก็เนื่องมาจากความคิดและจิตใจไม่ได้อยู่กับงาน ผู้ที่ทำงานช้าและทำงานที่ไม่เกิดประโยชน์ควรตระหนักว่าจะต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง เขาจะต้องฝึกความคิดในการวางแผนวิธีการใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดด้วยความสามารถและการวางแผนอย่างดี บางคนทำงานในห้าชั่วโมงได้เท่ากับผู้อื่นทำในสิบชั่วโมง บางคนทำงานบ้านได้ทั้งวันไม่ใช่เพราะเขามีงานทำมากแต่เพราะเขาไม่ได้วางแผนเพื่อประหยัดเวลา ความเชื่องช้าและยึดยาดทำให้เสียเวลามากแต่ได้ผลงานน้อย แต่สำหรับทุกคนที่ตั้งใจ เขาเอาชนะนิสัยเถลไถล ยืดยาดได้ ให้เขาตั้งเป้าหมายที่แน่นอนในงานของตน รู้จักการจัดเวลาสำหรับงานนั้นๆ การฝึกพลังแห่งความตั้งใจจะทำให้มือทำงานด้วยความคล่องแคล่ว {COL 344.1}
Through lack of determination to take themselves in hand and reform, persons can become stereotyped in a wrong course of action; or by cultivating their powers they may acquire ability to do the very best of service. Then they will find themselves in demand anywhere and everywhere. They will be appreciated for all that they are worth. {COL 344.2}
ด้วยการขาดความตั้งใจในการควบคุมและปฏิรูปตัวเอง ทำให้คนทำในสิ่งที่ผิดจนเป็นนิสัย แต่หากพวกเขารู้จักพัฒนาพลังของเขาแล้ว พวกก็จะได้มาซึ่งความสามารถเพื่อรับใช้ที่ดีที่สุด แล้วก็จะพบว่าตนเองเป็นที่ต้องการในทุกแห่ง พวกเขาจะเป็นที่ยอมรับของทุกคนในคุณค่าของความสามารถที่เขามี {COL 344.2}
By many children and youth, time is wasted that might be spent in carrying home burdens, and thus showing a loving interest in father and mother. The youth might take upon their strong young shoulders many responsibilities which someone must bear. {COL 345.1}
เด็กและคนหนุ่มสาวมากมายน่าจะใช้เวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ทำงานบ้านและด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาแสดงความรักความเอาใจใส่ต่อคุณพ่อคุณแม่ เยาวชนควรจะใช้กำลังของความเป็นหนุ่มสาวเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของคนในครอบครัว {COL 345.1}
The life of Christ from His earliest years was a life of earnest activity. He lived not to please Himself. He was the Son of the infinite God, yet He worked at the carpenter’s trade with His father Joseph. His trade was significant. He had come into the world as the character builder, and as such all His work was perfect. Into all His secular labor He brought the same perfection as into the characters He was transforming by His divine power. He is our pattern. {COL 345.2}
ชีวิตในวัยเยาว์ของพระคริสต์เป็นชีวิตของการทำงานอย่างจริงจัง พระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อตนเอง พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ถึงกระนั้นก็ตาม พระองค์ทรงประกอบกิจการช่างไม้ร่วมกับโยเซฟผู้เป็นบิดา กิจการที่พระองค์ทรงทำนั้นมีความหมาย พระองค์เสด็จมายังโลกในฐานะเป็นผู้สร้างอุปนิสัยและด้วยการกระทำนี้ ภารกิจของพระองค์สมบูรณ์ ในการทำงานทางฝ่ายโลก พระองค์ทรงนำอำนาจของความเป็นพระเจ้าอันสมบูรณ์พร้อมเช่นเดียวกันกับที่ใช้ในด้านการเปลี่ยนแปลงพระอุปนิสัยมาใช้ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเรา {COL 345.2}
Parents should teach their children the value and right use of time. Teach them that to do something which will honor God and bless humanity is worth striving for. Even in their early years they can be missionaries for God. {COL 345.3}
บิดามารดาจะต้องสอนลูกๆ ทั้งหลายในเรื่องคุณค่าและการใช้เวลาในทางที่ถูก สอนพวกเขาว่าจะต้องพยายามทำสิ่งที่ถวายเกียรติพระเจ้าและเป็นพระพรแก่เพื่อนมนุษย์ แม้ในวัยเด็กพวกเขาทำงานเป็นผู้รับใช้พระเจ้าได้ {COL 345.3}
Parents cannot commit a greater sin than to allow their children to have nothing to do. The children soon learn to love idleness, and they grow up shiftless, useless men and women. When they are old enough to earn their living, and find employment, they work in a lazy, droning way, yet expect to be paid as much as if they were faithful. There is a world-wide difference between this class of workers and those who realize that they must be faithful stewards. {COL 345.4}
ไม่มีบาปใดที่บิดามารดาทำจะยิ่งใหญ่กว่าบาปที่ปล่อยให้ลูกของพวกเขาไม่มีอะไรทำ ในไม่ช้าเด็กๆ เหล่านี้เรียนรู้ที่จะชื่นชอบกับนิสัยของความเกียจคร้าน และจะเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวที่เฉื่อยชาและกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้การไม่ได้ เมื่อเติบโตถึงวัยทำงานเลี้ยงชีพก็จะทำงานอย่างเกียจคร้านและเชื่องช้าคอยแต่หวังที่จะได้ค่าจ้างมากราวกับว่าทำงานอย่างขยันขันแข็ง คนงานจำพวกนี้มีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากผู้ที่ตระหนักว่าตนเป็นผู้อารักขาที่ซื่อสัตย์ {COL 345.4}
Indolent, careless habits indulged in secular work will be brought into the religious life and will unfit one to do any efficient service for God. Many who through diligent labor might have been a blessing to the world, have been ruined through idleness. Lack of employment and of steadfast purpose opens the door to a thousand temptations. Evil companions and vicious habits deprave mind and soul, and the result is ruin for this life and for the life to come. {COL 345.5}
พวกเขาจะนำนิสัยการทำงานทางฝ่ายโลกอย่างเกียจคร้านและขาดการเอาใจใส่เข้ามายังชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ และจะทำให้คนนั้นไม่เหมาะที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพ มีคนเป็นจำนวนมากน่าจะทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเป็นพระพรแก่โลกนี้ได้นั้นกลับถูกทำลายลงด้วยการอยู่อย่างเกียจคร้าน การไม่มีงานทำและการขาดจุดมุ่งหมายชีวิตที่แน่นอนเปิดประตูให้กับการล่อลวงนับพัน มิตรชั่วและนิสัยเลวร้ายทำให้สมองและจิตวิญญาณเสื่อม และส่งผลของการทำลายต่อทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้าที่จะมาถึง {COL 345.5}
Whatever the line of work in which we engage, the word of God teaches us to be “not slothful in business; fervent in spirit; serving the Lord.” “Whatsoever thy hand findeth to do, do it with thy might,” “knowing that of the Lord ye shall receive the reward of the inheritance; for ye serve the Lord Christ.” Romans 12:11; Ecclesiastes 9:10; Colossians 3:24. {COL 346.1}
ไม่ว่าเราจะทำงานใดก็ตามพระวจนะของพระเจ้าสอนเราว่า “อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า” “มือของเจ้าจับงานอะไร ก็จงทำการนั้นด้วยเต็มกำลัง” “ท่านทั้งหลายก็รู้ว่า ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ เพราะท่านกำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่” โรม 12:11 ปัญญาจารย์ 9:10 โคโลสี 3:24 {COL 346.1}
Health
สุขภาพ
สุขภาพเป็นพระพรที่น้อยคนจะสำนึกได้ถึงคุณค่า อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของความคิดและพลังของร่างกายขึ้นกับสุขภาพ แรงกระตุ้นและความลุ่มหลงของเรามีแหล่งกำเนิดอยู่ในร่างกาย และจะต้องรักษาให้อยู่ในสภาพทางกายที่ดีที่สุดและให้อยู่ภายใต้อิทธิพลฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อจะใช้ความสามารถนั้นได้อย่างดีที่สุด {COL 346.2}
Anything that lessens physical strength enfeebles the mind and makes it less capable of discriminating between right and wrong. We become less capable of choosing the good and have less strength of will to do that which we know to be right. {COL 346.3}
สิ่งใดที่ทำให้เรี่ยวแรงทางฝ่ายกายลดลงและจะทำให้ความคิดเสื่อมลง จะทำให้เราพินิจพิจารณาความแตกต่างระหว่างความถูกต้องและความผิดไม่ได้ เรามีความสามารถลดน้อยลงในการเลือกสิ่งดีและกำลังความตั้งใจลดลงในการทำสิ่งที่เรารู้ว่าดี {COL 346.3}
The misuse of our physical powers shortens the period of time in which our lives can be used for the glory of God. And it unfits us to accomplish the work God has given us to do. By allowing ourselves to form wrong habits, by keeping late hours, by gratifying appetite at the expense of health, we lay the foundation for feebleness. By neglecting physical exercise, by overworking mind or body, we unbalance the nervous system. Those who thus shorten their lives and unfit themselves for service by disregarding nature’s laws, are guilty of robbery toward God. And they are robbing their fellow men also. The opportunity of blessing others, the very work for which God sent them into the world, has by their own course of action been cut short. And they have unfitted themselves to do even that which in a briefer period of time they might have accomplished. The Lord holds us guilty when by our injurious habits we thus deprive the world of good. {COL 346.4}
การใช้พลังของร่างกายในทางที่ผิด ทำให้เวลาของชีวิตที่ใช้เพื่อการถวายเกียรติแด่พระเจ้าสั้นลงและทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เหมาะสมเพื่อทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมาย การปล่อยตัวไปกับการสร้างนิสัยผิดๆ ด้วยการนอนดึก ด้วยการสนองความอยากแลกกับสุขภาพเป็นการสร้างความอ่อนแอให้ร่างกาย การละเลยไม่ออกกำลังกาย การให้สมองหรือร่างกายทำงานเกิน ทำให้ระบบประสาทเสียความสมดุล ผู้ที่ทำให้ชีวิตสั้นลงเช่นนี้และปล่อยตัวทำให้ร่างกายไม่เหมาะที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยการละเลยกฎธรรมชาติมีความผิดต่อพระเจ้าในข้อหาลักขโมย และพวกเขาปล้นเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน โอกาสที่จะเป็นพระพรแก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นหน้าที่การงานที่พระเจ้าบัญชาให้เขาทำในโลกถูกตัดขาดไปเพราะการกระทำของเขาเอง พวกเขาทำให้ตัวเองไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่นี้แม้ว่าสิ่งที่ทำน่าจะสำเร็จด้วยเวลาอันสั้นก็ตาม พระเจ้าทรงถือว่าเรามีความผิดในฐานะที่ทำให้โลกนี้ไม่ได้รับสิ่งที่ดีงามเพราะนิสัยที่ให้โทษของเรา {COL 346.4}
Transgression of physical law is transgression of the moral law; for God is as truly the author of physical laws as He is the author of the moral law. His law is written with His own finger upon every nerve, every muscle, every faculty, which has been entrusted to man. And every misuse of any part of our organism is a violation of that law. {COL 347.1}
การละเมิดกฎสุขภาพทางกายคือการละเมิดกฎศีลธรรมด้วยเพราะพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของกฎของร่างกาย เช่นเดียวกับกฎแห่งศีลธรรม พระองค์ทรงจารึกพระบัญญัติของพระองค์ด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์ลงบนประสาททุกเส้น กล้ามเนื้อทุกมัดและทุกความสามารถที่เป็นของประทานที่พระองค์ทรงฝากไว้ให้กับมนุษย์และการใช้อวัยวะส่วนใดไปในทางที่ผิดก็เท่ากับเป็นการละเมิดกฎของพระองค์ {COL 347.1}
All should have an intelligent knowledge of the human frame that they may keep their bodies in the condition necessary to do the work of the Lord. The physical life is to be carefully preserved and developed that through humanity the divine nature may be revealed in its fullness. The relation of the physical organism to the spiritual life is one of the most important branches of education. It should receive careful attention in the home and in the school. All need to become acquainted with their physical structure and the laws that control natural life. He who remains in willing ignorance of the laws of his physical being and who violates them through ignorance is sinning against God. All should place themselves in the best possible relation to life and health. Our habits should be brought under the control of a mind that is itself under the control of God. {COL 348.1}
ทุกคนจะต้องมีความรู้อย่างเฉลียวฉลาดในเรื่องโครงสร้างร่างกายของมนุษย์เพื่อช่วยให้พวกเขารักษาสุขภาพร่างกายให้เหมาะกับการทำงานของพระยาห์เวห์ เราควรถนอมชีวิตฝ่ายกายด้วยความระมัดระวังและพัฒนาให้ดีขึ้น เพื่อให้พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ผ่านทางร่างกายของเราได้อย่างเต็มที ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของร่างกาย และชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเป็นสาขาหนึ่งของการศึกษาที่สำคัญที่สุด จะต้องเอาใจใส่เรื่องนี้ด้วยความพิถีพิถันทั้งในบ้านและที่โรงเรียน ทุกคนควรทำความรู้จักกับโครงสร้างของร่างกายและกฎที่ควบคุมชีวิต ผู้ใดตั้งใจละเลยความรู้เรื่องกฎของร่างกายและละเมิดกฎเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวกำลังทำบาปผิดต่อพระเจ้า ทุกคนควรประพฤติตนเพื่อให้ร่างกายและสุขภาพมีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี เราต้องนำนิสัยของเราให้ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของความคิดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า {COL 348.1}
“Know ye not,” says the apostle Paul, “that your body is the temple of the Holy Ghost which is in you, which ye have of God, and ye are not your own? For ye are bought with a price; therefore glorify God in your body, and in your spirit, which are God’s.” 1 Corinthians 6:19, 20. {COL 348.2}
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง ฉะนั้น จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด” 1โครินธ์ 6:19 , 20 {COL 348.2}
Strength We are to love God, not only with all the heart, mind, and soul, but with all the strength. This covers the full, intelligent use of the physical powers. {COL 348.3}
กำลังกาย
เราจะต้องรักพระเจ้า ไม่ใช่เพียงด้วยสิ้นสุดใจ ความคิด และจิตวิญญาณเท่านั้นแต่ด้วยกำลังกายของเราทั้งหมด อันรวมถึงการใช้พลังของร่างกายทั้งหมดด้วยความเฉลียวฉลาด {COL 348.3}
Christ was a true worker in temporal as well as in spiritual things, and into all His work He brought a determination to do His Father’s will. The things of heaven and earth are more closely connected and are more directly under the supervision of Christ than many realize. It was Christ who planned the arrangement for the first earthly tabernacle. He gave every specification in regard to the building of Solomon’s temple. The One who in His earthly life worked as a carpenter in the village of Nazareth was the heavenly architect who marked out the plan for the sacred building where His name was to be honored. {COL 348.4}
พระคริสต์ทรงเป็นผู้ทำงานฝ่ายโลกและงานฝ่ายจิตวิญญาณที่จริงใจและในพระราชกิจทั้งหมด พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากยิ่งเพื่อปฏิบัติตามพระทัยของพระบิดา สิ่งของในสวรรค์และในโลกมีความใกล้ชิดและอยู่ภายใต้การควบคุมของพระคริสต์มากกว่าที่หลายคนตระหนักถึง พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ที่วางแผนสร้างวิหารหลังแรกบนโลก พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานรายละเอียดทุกอย่างในการสร้างวิหารของซาโลมอน พระองค์ผู้ทรงดำรงชีวิตในโลกเป็นช่างไม้ชาวนาซาเร็ธนั้นทรงเป็นสถาปนิกแห่งสวรรค์ พระองค์ทรงเป็นผู้วางแผนอาคารศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งพระนามของพระองค์จะได้รับเกียรติ {COL 348.4}
It was Christ who gave to the builders of the tabernacle wisdom to execute the most skillful and beautiful workmanship. He said, “See, I have called by name Bezaleel the son of Uri, the son of Hur, of the tribe of Judah; and I have filled him with the Spirit of God, in wisdom, and in understanding, and in knowledge, and in all manner of workmanship. . . . And I, behold, I have given with him Aholiab, the son of Ahisamach, of the tribe of Dan; and in the hearts of all that are wise hearted I have put wisdom, that they may make all that I have commanded thee.” Exodus 31:2-6. {COL 349.1}
พระคริสต์ทรงเป็นผู้ประทานสติปัญญาแก่ผู้สร้างวิหารให้มีฝีมือที่ชำนาญและประณีตที่สุด พระองค์ตรัสว่า “ดูซิ เราได้เลือกเบซาเลลบุตรอุรีผู้เป็นบุตรเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ และเราได้ให้เขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าคือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในงานช่างทุกอย่าง ……และนี่แน่ะ เราได้ตั้งผู้ช่วยคนหนึ่งให้เขา ชื่อโอโฮลีอับบุตรอาหิสะมัคแห่งเผ่าดาน เรายังได้ให้ทักษะแก่ช่างฝีมือทุกคนเพื่อพวกเขาจะทำงานทุกอย่างที่เราได้สั่งเจ้า” อพยพ 31:2-6 {COL 349.1}
God desires that His workers in every line shall look to Him as the Giver of all they possess. All right inventions and improvements have their source in Him who is wonderful in counsel and excellent in working. The skillful touch of the physician’s hand, his power over nerve and muscle, his knowledge of the delicate organism of the body, is the wisdom of divine power, to be used in behalf of the suffering. The skill with which the carpenter uses the hammer, the strength with which the blacksmith makes the anvil ring, comes from God. He has entrusted men with talents, and He expects them to look to Him for counsel. Whatever we do, in whatever department of the work we are placed, He desires to control our minds that we may do perfect work. {COL 349.2}
พระเจ้าทรงประสงค์ให้คนงานในทุกสายงาน มองไปยังพระองค์ผู้ประทานทุกสิ่งที่เขามี ผลผลิตและการพัฒนาทุกอย่างมีแหล่งที่มาในพระองค์ผู้ประทานการแนะนำอันประเสริฐและการทำงานที่เป็นเลิศ การสัมผัสอย่างเชี่ยวชาญของแพทย์ พลังของเขาที่มีต่อประสาทและกล้ามเนื้อ ความรู้อย่างละเอียดในเรื่องของอวัยวะร่างกายเป็นสติปัญญาจากพลังของพระเจ้า นำมาใช้เพื่อเห็นแก่ผู้ที่ทุกข์ยากความสามารถของช่างไม้ในการใช้ฆ้อน และกำลังของช่างตีเหล็กบนทั่งนั้นมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงฝากของประทานไว้ให้กับมนุษย์และพระองค์ทรงหวังให้เขาทั้งหลายขอคำแนะนำจากพระองค์ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนใดของพระราชกิจ พระองค์ทรงประสงค์ให้เราควบคุมความคิดของเราเพื่อให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ {COL 349.2}
Religion and business are not two separate things; they are one. Bible religion is to be interwoven with all we do or say. Divine and human agencies are to combine in temporal as well as in spiritual achievements. They are to be united in all human pursuits, in mechanical and agricultural labors, in mercantile and scientific enterprises. There must be co-operation in everything embraced in Christian activity. {COL 349.3}
ศาสนาและธุรกิจไม่ใช่เป็นของที่แยกจากกัน ศาสนาของพระคัมภีร์จะต้องแทรกเข้าไปอยู่ในทุกสิ่งที่เราทำและพูด สื่อของพระเจ้าและสื่อมนุษย์จะต้องร่วมกันทำงานให้สำเร็จทั้งในเรื่องของฝ่ายโลกและฝ่ายจิตวิญญาณ จะต้องนำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้เข้าไปรวมอยู่ในอาชีพการงานของมนุษย์ ในงานของช่าง งานการเกษตร งานด้านค้าขายและวิทยาศาสตร์ จะต้องร่วมมือทำงานด้วยกันในกิจการทุกด้านที่คริสเตียนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย {COL 349.3}
God has proclaimed the principles on which alone this co-operation is possible. His glory must be the motive of all who are laborers together with Him. All our work is to be done from love of God and in accordance with His will. {COL 350.1}
พระเจ้าทรงประกาศหลักการเดียวที่ความร่วมมือจะเป็นไปได้ พระสิริของพระเจ้าจะต้องเป็นจุดมุ่งหมายของทุกคนที่ทำงานร่วมกับพระองค์ เราจะต้องทำงานทั้งหมดของเราด้วยความรักต่อพระเจ้าและให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ {COL 350.1}
It is just as essential to do the will of God when erecting a building as when taking part in a religious service. And if the workers have brought the right principles into their own character making, then in the erection of every building they will grow in grace and knowledge. {COL 350.2}
การปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในการสร้างอาคารบ้านเรือนมีความสำคัญเทียบเท่ากับการเข้าร่วมการนมัสการทางศาสนา และหากคนงานใช้หลักการที่ถูกต้องในการสร้างอุปนิสัยของตนเองแล้ว ในการสร้างอาคารทุกหลัง เขาจะเจริญขึ้นในพระคุณและความรอบรู้ {COL 350.2}
But God will not accept the greatest talents or the most splendid service unless self is laid upon the altar, a living, consuming sacrifice. The root must be holy, else there can be no fruit acceptable to God. {COL 350.3}
แต่พระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรือการรับใช้ที่เลิศที่สุด นอกจากเราจะยอมถวายตัวบนแท่นบูชาเพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาที่มีชีวิตเสียก่อน รากของต้นจะต้องบริสุทธิ์ ไม่เช่นนั้นผลที่ออกมาก็จะไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า {COL 350.3}
The Lord made Daniel and Joseph shrewd managers. He could work through them because they did not live to please their own inclination but to please God. {COL 350.4}
พระเป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้ดาเนียลและโยเซฟเป็นผู้จัดการที่ชาญฉลาด พระองค์ทรงทำงานผ่านเขาทั้งสองได้เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองแต่เพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า {COL 350.4}
The case of Daniel has a lesson for us. It reveals the fact that a businessman is not necessarily a sharp, policy man. He can be instructed by God at every step. Daniel, while prime minister of the kingdom of Babylon, was a prophet of God, receiving the light of heavenly inspiration. Worldly, ambitious statesmen are represented in the word of God as the grass that groweth up and as the flower of the grass that fadeth. Yet the Lord desires to have in His service intelligent men, men qualified for various lines of work. There is need of businessmen who will weave the grand principles of truth into all their transactions. And their talents should be perfected by most thorough study and training. If men in any line of work need to improve their opportunities to become wise and efficient, it is those who are using their ability in building up the kingdom of God in our world. Of Daniel we learn that in all his business transactions, when subjected to the closest scrutiny, not one fault or error could be found. He was a sample of what every businessman may be. His history shows what may be accomplished by one who consecrates the strength of brain and bone and muscle, of heart and life, to the service of God. {COL 350.5}
เรื่องดาเนียลมีบทเรียนสำหรับเราทุกคน เป็นการแสดงถึงความจริงให้เห็นว่านักธุรกิจไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีนโยบายเฉียบแหลม ในทุกย่างก้าว เขารับการสอนของพระเจ้าได้ ในขณะที่ดาเนียลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรุงบาบิโลนนั้น เขาทำหน้าที่ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เขารับแสงแห่งการดลใจจากสวรรค์ พระวจนะของพระเจ้าเปรียบนักการเมืองฝ่ายโลกที่มีความทะเยอทะยานใฝ่สูง ดังเช่นต้นหญ้าที่เจริญขึ้นและเหมือนเช่นดอกของต้นหญ้าที่ร่วงโรยไป ถึงกระนั้น พระยาห์เวห์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่ทำงานรับใช้พระองค์ประกอบด้วยปัญญา มีคุณสมบัติทำงานทุกด้าน ยังมีความต้องการนักธุรกิจที่สอดแทรกหลักความเชื่ออันยิ่งใหญ่เข้าในทุกส่วนของธุรกิจและความสามารถของเขาจะต้องได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างดี หากผู้ที่อยู่ในงานสาขาใดต้องการพัฒนาโอกาสให้มีความฉลาดและคล่องแคล่วแล้วผู้นั้นคือผู้ที่กำลังใช้ความสามารถในการสร้างแผ่นดินของพระเจ้า ในโลกของเรา เราได้เรียนจากเรื่องของดาเนียลว่าเมื่อธุรกิจของเขาถูกสอบสวน พวกเขาหาจุดอ่อนหรือข้อผิดพลาดไม่ได้ เขาเป็นตัวอย่างที่นักธุรกิจทุกคนทำตามได้ ประวัติของเขาแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่น่าจะได้มาเมื่อผู้นั้นถวายพลังของสมอง และของกระดูก และของกล้ามเนื้อ และของหัวใจและของชีวิตเพื่อการรับใช้พระเจ้า {COL 350.5}
Money
ทรัพย์สินเงินทอง
พระเจ้าทรงฝากทรัพย์สินของพระองค์ไว้กับมนุษย์ พระองค์ประทานกำลังให้เราในการแสวงหาทรัพย์สมบัติ พระองค์ทรงทำให้โลกชุ่มชื่นด้วยน้ำค้างแห่งสวรรค์และด้วยสายฝนอันชุ่มฉ่ำ พระองค์ประทานแสงแดดที่ทำให้โลกอบอุ่น ทำให้ธรรมชาติมีชีวิตชีวาและทำให้เจริญขึ้นและเกิดผล และพระองค์ทรงทวงคืนในส่วนที่เป็นของพระองค์ {COL 351.1}
Our money has not been given us that we might honor and glorify ourselves. As faithful stewards we are to use it for the honor and glory of God. Some think that only a portion of their means is the Lord’s. When they have set apart a portion for religious and charitable purposes, they regard the remainder as their own, to be used as they see fit. But in this they mistake. All we possess is the Lord’s, and we are accountable to Him for the use we make of it. In the use of every penny, it will be seen whether we love God supremely and our neighbor as ourselves. {COL 351.2}
เงินทองของเราที่พระองค์ทรงโปรดประทาน ไม่ได้ให้ไว้เพื่อทำให้เรามีเกียรติและเยินยอตัวเอง เราควรใช้เพื่อถวายเกียรติและสรรเสริญพระเจ้าให้สมกับเป็นผู้อารักขาที่ดี บางคนคิดว่าเงินเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นของพระเจ้า เมื่อเขาได้จัดแบ่งส่วนหนึ่งเพื่อกิจการทางศาสนาและการกุศลแล้ว เขาก็ถือว่าส่วนที่เหลือเป็นของตนเอง เอาไปใช้ตามที่ต้องการ แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทุกสิ่งที่เรามีเป็นของพระยาห์เวห์และเราต้องรับผิดชอบในการใช้จ่าย ในการใช้เงินของเราทุกบาททุกสตางค์ จะแสดงให้เห็นว่าเรารักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองหรือไม่ {COL 351.2}
Money has great value, because it can do great good. In the hands of God’s children it is food for the hungry, drink for the thirsty, and clothing for the naked. It is a defense for the oppressed, and a means of help to the sick. But money is of no more value than sand, only as it is put to use in providing for the necessities of life, in blessing others, and advancing the cause of Christ. {COL 351.3}
เงินเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งเพราะสามารถทำการดีที่ยิ่งใหญ่ เงินในมือบุตรของพระเจ้าคืออาหารสำหรับคนที่หิวโหย น้ำสำหรับผู้กระหายและเสื้อผ้าสำหรับผู้เปลือยกาย ช่วยปกป้องผู้ที่ถูกกดขี่และเป็นความช่วยเหลือแก่ผู้เจ็บป่วย แต่เงินนั้นจะไม่มีค่าเกินค่าของเม็ดทราย หากไม่ได้ใช้เพื่อการช่วยเหลือผู้อื่นในสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเขาเพื่อเป็นพระพรแก่ผู้อื่นและทำให้พระราชกิจของพระคริสต์ก้าวหน้า {COL 351.3}
Hoarded wealth is not merely useless, it is a curse. In this life it is a snare to the soul, drawing the affections away from the heavenly treasure. In the great day of God its witness to unused talents and neglected opportunities will condemn its possessor. The Scripture says, “Go to now, ye rich men, weep and howl for your miseries that shall come upon you. Your riches are corrupted, and your garments are motheaten. Your gold and silver is cankered; and the rust of them shall bear witness against you, and shall eat your flesh as it were fire. Ye have heaped treasure together for the last days. Behold, the hire of the labourers who have reaped down your fields, which is of you kept back by fraud, crieth; and the cries of them which have reaped are entered into the ears of the Lord of sabaoth.” James 5:1-4. {COL 352.1}
ทรัพย์สินเงินทองที่กักตุนไว้ไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ยังเป็นคำสาปแช่ง เป็นบ่วงแร้วสำหรับชีวิตนี้ มันดึงความรักความสนใจของเราออกไปจากทรัพย์สมบัติของสวรรค์ ในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพยานหลักฐานจากตะลันต์ที่ไม่ได้ใช้และโอกาสที่ละเลยไปจะเป็นสิ่งที่ลงโทษผู้เป็นเจ้าของ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “ฟังให้ดีนะ พวกคนมั่งมี จงร้องไห้และโอดครวญเพราะความทุกข์ที่กำลังจะเกิดกับท่านทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติของท่านก็ผุพัง เสื้อผ้าของพวกท่านก็ถูกแมลงกัดกิน ทองและเงินของพวกท่านก็ขึ้นสนิม และสนิมนั้นก็จะเป็นพยานปรักปรำท่านและจะเผาผลาญเลือดเนื้อของพวกท่านเหมือนกับไฟ ท่านสะสมสมบัติไว้แล้วสำหรับวาระสุดท้าย นี่แนะ ค่าจ้างของคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้าวในนาของพวกท่านที่ท่านฉ้อโกงไว้นั้นก็ฟ้องร้องขึ้น และเสียงร้องทุกข์ของคนงานเหล่านั้นที่เกี่ยวข้าวก็ดังไปถึงพระกรรณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมทัพแล้ว” ยากอบ 5:1-4 {COL 352.1}
But Christ sanctions no lavish or careless use of means. His lesson in economy, “Gather up the fragments that remain, that nothing be lost,” is for all His followers. (John 6:12.) He who realizes that his money is a talent from God will use it economically, and will feel it a duty to save that he may give. {COL 352.2}
แต่พระคริสต์ไม่ได้อนุญาตให้ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยและสะเพร่า บทเรียนการประหยัดของพระองค์ที่ตรัสไว้ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” ยอห์น 6:12 เป็นบทเรียนที่ผู้ติดตามของพระองค์ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่มีความสำนึกว่าเงินของเขาเป็นตะลันต์จากพระเจ้าจะต้องใช้อย่างประหยัดและจะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่จะเก็บออมไว้เพื่อจะเป็นผู้ให้ {COL 352.2}
The more means we expend in display and self-indulgence, the less we can have to feed the hungry and clothe the naked. Every penny used unnecessarily deprives the spender of a precious opportunity of doing good. It is robbing God of the honor and glory which should flow back to Him through the improvement of His entrusted talents. {COL 352.3}
เงินที่ใช้ไปเพื่อการแสดงออกในทางโอ้อวด และสนองความต้องการของตัวเองมากเท่าไรก็จะทำให้เงินน้อยลงเพื่อการเลี้ยงผู้หิวโหย และจัดหาเสื้อผ้าแก่ผู้เปลือยกายมากเท่านั้น เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้ไปโดยไม่จำเป็นทำให้ผู้ใช้หมดโอกาสในการทำการดี เป็นการลักขโมยเกียรติและการสรรเสริญที่ควรกลับคืนไปยังพระเจ้าด้วยการรู้จักพัฒนาตะลันต์ที่พระองค์ทรงฝากไว้ให้เกิดประโยชน์ {COL 352.3}
Kindly Impulses and Affections
แรงผลักดันแห่งความรักและความเมตตา
ความรักที่เมตตา แรงผลักดันใจที่กว้างขวาง และการตอบสนองความเข้าใจอย่างรวดเร็วในเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณเป็นของประทานที่มีค่ายิ่งและทำให้ผู้ครอบครองสิ่งนี้เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ของประทานทั้งหมดต้องนำไปใช้ในพระราชกิจของพระเจ้า แต่ในเรื่องนี้มีหลายคนทำผิด พวกเขาพอใจกับการมีคุณสมบัติเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างเต็มที่ พวกเขายกยอตัวเองว่า หากมีโอกาส ถ้าสิ่งแวดล้อมอำนวยให้มากกว่านี้ พวกเขาก็จะทำงานที่ยิ่งใหญ่และดีได้ แต่พวกเขากำลังรอคอยโอกาสนั้นให้มาถึง พวกเขาดูหมิ่นความคับแคบใจของคนขี้เหนียวที่มีต่อคนยากจน พวกเขาไม่เต็มใจแม้แต่การให้บริจาคเงินจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ของตนให้ผู้ขัดสน กล่าวหาคนนั้นว่ากำลังมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และต้องรับผิดชอบต่อของประทานที่ใช้ไปในทางที่ผิด ตามความพอใจของตนเอง พวกเขาดีกว่าเพื่อนบ้านที่ต่ำต้อยที่มีใจแคบคนนั้น แต่พวกเขากำลังหลอกลวงตนเอง การเป็นเจ้าของคุณสมบัติที่ไม่ได้ใช้เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบต่อพระเจ้า คนที่มีความรักมากเป็นหนี้พระเจ้าที่จะเอาไปช่วยเหลือไม่ใช่เพื่อนๆ เท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา ความได้เปรียบทางสังคมเป็นของประทานและควรใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ทุกคนเท่าที่อิทธิพลของเราจะเข้าถึงได้ ความรักที่แสดงความเมตตาต่อเพียงไม่กี่คนนั้นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการเห็นแก่ตัว ไม่เป็นประโยชน์ใดเลยแก่จิตวิญญาณหรือเพื่อถวายเกียรติแก่พระเจ้า ผู้ที่ปล่อยของประทานของพระเจ้าไปโดยไม่ปรับปรุงให้ดีขึ้นจะมีโทษมากยิ่งกว่าผู้ที่พวกเขาดูหมิ่น สำหรับคนกลุ่มนี้จะได้รับการกล่าวว่า เจ้ารู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าแต่ไม่ยอมปฏิบัติตาม {COL 352.4}
Talents Multiplied by Use Talents used are talents multiplied. Success is not the result of chance or of destiny; it is the outworking of God’s own providence, the reward of faith and discretion, of virtue and persevering effort. The Lord desires us to use every gift we have; and if we do this, we shall have greater gifts to use. He does not supernaturally endow us with the qualifications we lack; but while we use that which we have, He will work with us to increase and strengthen every faculty. By every wholehearted, earnest sacrifice for the Master’s service our powers will increase. While we yield ourselves as instruments for the Holy Spirit’s working, the grace of God works in us to deny old inclinations, to overcome powerful propensities, and to form new habits. As we cherish and obey the promptings of the Spirit, our hearts are enlarged to receive more and more of His power, and to do more and better work. Dormant energies are aroused, and palsied faculties receive new life. {COL 353.1}
ตะลันต์เพิ่มขึ้นเมื่อนำไปใช้
ตะลันต์ที่นำไปใช้จะเป็นตะลันต์ที่เพิ่มพูนขึ้น ความสำเร็จไม่ได้มาโดยบังเอิญหรือโดยโชคชะตา แต่เป็นผลของการประกอบกิจของพระเจ้า เป็นการตอบแทนของความเชื่อและการประพฤติชอบ เป็นผลของการพยายามทำดีและมีความมานะอดทน พระยาห์เวห์ทรงมีพระประสงค์ให้ทุกคนใช้ของประทานทุกอย่างที่มี และหากเราทำเช่นนี้ เราก็จะใช้ของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่า พระองค์จะไม่เพิ่มคุณสมบัติที่เราขาดด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ แต่ในขณะที่เราใช้สิ่งที่มีอยู่ พระองค์ก็จะทรงทำงานด้วยเพื่อเพิ่มและให้กำลังแก่ความสามารถทุกอย่าง โดยความเสียสละอย่างเต็มใจและจริงใจต่องานการรับใช้ของพระผู้เป็นนายของเรา พลังของเราจะได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่เรามอบตัวเองเพื่อเป็นเครื่องมือการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเอาชนะความโน้มเอียงเก่าๆ เอาชนะนิสัยที่ฝักใฝ่การชั่วและเพื่อสร้างนิสัยใหม่ ขณะที่เรายึดมั่นและเชื่อฟังการเร่งเร้าของพระวิญญาณ จิตใจของเราจะเปิดกว้างขึ้นเพื่อรับพลังของพระองค์มากยิ่งขึ้น เพื่อทำงานรับใช้ให้มากขึ้นและดียิ่งขึ้นไปอีก พลังงานที่ซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ จะได้รับการกระตุ้น ความสามารถที่ไร้พลังก็จะได้รับชีวิตใหม่ {COL 353.1}
The humble worker who obediently responds to the call of God may be sure of receiving divine assistance. To accept so great and holy a responsibility is itself elevating to the character. It calls into action the highest mental and spiritual powers, and strengthens and purifies the mind and heart. Through faith in the power of God, it is wonderful how strong a weak man may become, how decided his efforts, how prolific of great results. He who begins with a little knowledge, in a humble way, and tells what he knows, while seeking diligently for further knowledge, will find the whole heavenly treasure awaiting his demand. The more he seeks to impart light, the more light he will receive. The more one tries to explain the word of God to others, with a love for souls, the plainer it becomes to himself. The more we use our knowledge and exercise our powers, the more knowledge and power we shall have. {COL 354.1}
ผู้รับใช้ที่ถ่อมใจ ผู้สนองตอบพระเจ้าด้วยความเชื่อฟังการทรงเรียกของพระองค์จะได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน การยอมรับผิดชอบงานใหญ่และศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นการยกระดับอุปนิสัยที่ดีงามให้สูงยิ่งขึ้น เป็นการนำปัญญาอันสูงส่ง พลังฝ่ายวิญญาณให้เข้ามารวมกัน เป็นการเพิ่มพลังและชำระความคิดและจิตใจให้บริสุทธิ์ โดยการวางใจด้วยความเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เป็นการอัศจรรย์อย่างยิ่งเพียงไรที่คนอ่อนแอกลับแข็งแรง ความตั้งใจแน่วแน่เกิดขึ้น และผลงานยิ่งใหญ่เพิ่มพูนขึ้น ผู้ที่เริ่มทำงานด้วยพื้นความรู้เล็กน้อย ด้วยท่าทีถ่อมตนและพูดสิ่งที่เขารู้ ในขณะที่แสวงหาความรู้เพิ่มเติมอย่างขยันขันแข็ง จะค้นพบว่าสมบัติทั้งหมดของคลังแห่งสวรรค์กำลังรอคอยตามที่เขาต้องการ เมื่อเขาลงแรงแสวงหาแสงสว่างเพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่นมากขึ้น เขาก็จะได้รับแสงสว่างมากขึ้น เมื่อเขาพยายามอธิบายพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้อื่นด้วยความรักต่อจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น เขาก็จะยิ่งเข้าใจพระวจนะอย่างถ่องแท้มากยิ่งขึ้น เมื่อเราพยายามใช้ความรู้และฝึกฝนพลังของเรามากขึ้น เราก็จะได้ความรู้และพลังเพิ่มขึ้น {COL 354.1}
Every effort made for Christ will react in blessing upon ourselves. If we use our means for His glory, He will give us more. As we seek to win others to Christ, bearing the burden of souls in our prayers, our own hearts will throb with the quickening influence of God’s grace; our own affections will glow with more divine fervor; our whole Christian life will be more of a reality, more earnest, more prayerful. {COL 354.2}
ทุกความอุตสาหะพากเพียรที่ทำไปเพื่อพระคริสต์จะส่งผลกลับเป็นพรแก่ตัวเราเอง ถ้าเราใช้ปัจจัยที่มีอยู่เพื่อถวายเกียรติพระองค์ พระองค์จะประทานเพิ่มให้เรามากยิ่งขึ้น ขณะที่เราตามหาเพื่อนำคนอื่นให้เข้ามาหาพระคริสต์ แบกภาระของจิตวิญญาณของพวกเขาไว้ในคำอธิษฐานของเรา หัวใจของเราเองจะเต้นด้วยแรงอิทธิพลแห่งพระคุณของพระเจ้า ความรักของเราเองจะเปล่งความสว่างแห่งรักของพระเจ้า ทั้งชีวิตคริสเตียนของเราจะเป็นจริงมากยิ่งขึ้น มุ่งมั่นยิ่งขึ้น และอธิษฐานมากยิ่งขึ้น {COL 354.2}
The value of man is estimated in heaven according to the capacity of the heart to know God. This knowledge is the spring from which flows all power. God created man that every faculty might be the faculty of the divine mind; and He is ever seeking to bring the human mind into association with the divine. He offers us the privilege of co-operation with Christ in revealing His grace to the world, that we may receive increased knowledge of heavenly things. {COL 354.3}
ในสวรรค์คุณค่าของมนุษย์ถูกประเมินตามขนาดของจิตใจที่รู้จักพระเจ้า ความรู้นี้เป็นน้ำพุซึ่งเป็นบ่อเกิดของฤทธิ์อำนาจทั้งหมด พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้ความสามารถทุกอย่างเป็นไปตามพระดำริของพระเจ้า และพระเจ้าทรงหาทางนำความคิดของมนุษย์ให้สัมพันธ์กับของพระองค์เสมอ พระองค์ทรงเสนอโอกาสของการร่วมมือกับพระคริสต์ในการเปิดเผยพระคุณของพระองค์แก่ชาวโลก เพื่อเราจะรับความรู้เรื่องของสวรรค์เพิ่มมากขึ้น {COL 354.3}
Looking unto Jesus we obtain brighter and more distinct views of God, and by beholding we become changed. Goodness, love for our fellow men, becomes our natural instinct. We develop a character which is the counterpart of the divine character. Growing into His likeness, we enlarge our capacity for knowing God. More and more we enter into fellowship with the heavenly world, and we have continually increasing power to receive the riches of the knowledge and wisdom of eternity. {COL 355.1}
เมื่อเรามองไปยังพระเยซู เราจะเห็นภาพของพระเจ้าที่สว่างและชัดเจนมากยิ่งขึ้น และด้วยการเพ่งมองไปยังพระองค์เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์จะเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของเรา เราจะได้รับการพัฒนาอุปนิสัยที่คล้ายคลึงกับพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า เมื่อเราเติบโตขึ้นจนมีลักษณะเหมือนกับพระองค์ เราจะเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น เราจะร่วมสามัคคีธรรมกับฝ่ายสวรรค์มากขึ้น มีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในการรับสมบัติแห่งความรู้และสติปัญญาอันเป็นนิรันดร์ {COL 355.1}
The One Talent
ตะลันต์เดียว
คนที่รับตะลันต์เดียว “ขุดหลุมและซ่อนเงินของนายไว้” มัทธิว 25: 18 {COL 355.2}
It was the one with the smallest gift who left his talent unimproved. In this is given a warning to all who feel that the smallness of their endowments excuses them from service for Christ. If they could do some great thing, how gladly would they undertake it; but because they can serve only in little things, they think themselves justified in doing nothing. In this they err. The Lord in His distribution of gifts is testing character. The man who neglected to improve his talent proved himself an unfaithful servant. Had he received five talents, he would have buried them as he buried the one. His misuse of the one talent showed that he despised the gifts of heaven. {COL 355.3}
คนที่รับของประทานน้อยที่สุด เป็นคนที่ปล่อยให้ของประทานนั้นไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ในเรื่องนี้มีคำเตือนสำหรับทุกคนที่มีความรู้สึกว่าของประทานที่ได้รับมามีเพียงเล็กน้อยจึงใช้เป็นข้ออ้างไม่ทำงานรับใช้พระคริสต์ หากเขาจะรับงานใหญ่โต เขาก็คงจะทำด้วยความยินดี แต่เนื่องจากเขาทำแต่งานเล็กๆ น้อยๆ เขาจึงคิดว่าการไม่ทำอะไรเลยเป็นข้ออ้างที่ถูกต้อง ในเรื่องนี้พวกเขาคิดผิด พระผู้เป็นเจ้าใช้การแจกจ่ายของประทานเพื่อทดสอบอุปนิสัย ผู้ที่ละเลยที่จะพัฒนาความสามารถได้พิสูจน์ตนเองว่าเขาเป็นบ่าวที่ไม่สัตย์ซื่อ หากเขารับห้าตะลันต์ เขาก็คงฝังมันไว้เหมือนกับที่เขาฝังตะลันต์เดียว การใช้ตะลันต์เดียวในทางผิดแสดงให้เห็นว่าเขาหมิ่นของประทานแห่งสวรรค์ {COL 355.3}
“He that is faithful in that which is least is faithful also in much.” Luke 16:10. The importance of the little things is often underrated because they are small; but they supply much of the actual discipline of life. There are really no nonessentials in the Christian’s life. Our character building will be full of peril while we underrate the importance of the little things. {COL 356.1}
“คนที่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อยจะซื่อสัตย์ในของมากด้วย” ลูกา 16: 10 บ่อยครั้งที่ความสำคัญของสิ่งเล็กน้อยได้ถูกประเมินค่าไปในทางต่ำเพราะเป็นของเล็กน้อย แต่เป็นแหล่งที่มาของการฝึกวินัยในชีวิตจริง ในชีวิตคริสเตียนไม่มีสิ่งใดที่เป็นของไม่สำคัญ การสร้างอุปนิสัยของเราจะพบกับภัยอันตรายมากมาย หากเรามองข้ามความสำคัญของสิ่งเล็กน้อย {COL 356.1}
“He that is unjust in the least is unjust also in much.” By unfaithfulness in even the smallest duties, man robs his Maker of the service which is His due. This unfaithfulness reacts upon himself. He fails of gaining the grace, the power, the force of character, which may be received through an unreserved surrender to God. Living apart from Christ he is subject to Satan’s temptations, and he makes mistakes in his work for the Master. Because he is not guided by right principles in little things, he fails to obey God in the great matters which he regards as his special work. The defects cherished in dealing with life’s minor details pass into more important affairs. He acts on the principles to which he has accustomed himself. Thus actions repeated form habits, habits form character, and by the character our destiny for time and for eternity is decided. {COL 356.2}
“คนที่ไม่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะไม่ซื่อสัตย์ในของมากเช่นกัน” ลูกา 16: 10 ด้วยการไม่ซื่อสัตย์แม้แต่ในสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด มนุษย์ลักขโมยการรับใช้ไปจากพระผู้สร้างของเขาซึ่งควรเป็นส่วนที่ต้องถวายแก่พระองค์ ความไม่สัตย์ซื่อนี้จะสะท้อนกลับยังตัวเขาเอง เขาพลาดที่จะรับพระคุณ พลังและอำนาจของอุปนิสัยซึ่งรับได้โดยผ่านการถวายตัวให้พระเจ้าโดยไม่มีข้อแม้ เมื่อคนหนึ่งคนใดดำรงชีวิตอยู่โดยไม่มีพระคริสต์เขาอยู่ภายใต้การล่อลวงของซาตานและงานที่เขาทำเพื่อพระคริสต์จะผิดพลาดเนื่องจากเขาไม่ได้รับการชี้แนะด้วยหลักการที่ถูกต้องในสิ่งเล็กน้อย เขาจึงล้มเหลวในการเชื่อฟังพระเจ้าในเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นงานพิเศษของเขา ความบกพร่องในการปฏิบัติต่อรายละเอียดเล็กน้อยของชีวิต ส่งผลต่อไปยังการกระทำที่สำคัญกว่า เขาทำงานด้วยหลักการที่เขาเคยชิน จากความเคยชินกลายเป็นอุปนิสัยและด้วยอุปนิสัยนี้เองชะตากรรมของเราทั้งในขณะนี้และในอนาคตจนถึงนิรันดร์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว {COL 356.2}
Only by faithfulness in the little things can the soul be trained to act with fidelity under larger responsibilities. God brought Daniel and his fellows into connection with the great men of Babylon, that these heathen men might become acquainted with the principles of true religion. In the midst of a nation of idolaters, Daniel was to represent the character of God. How did he become fitted for a position of so great trust and honor? It was his faithfulness in the little things that gave complexion to his whole life. He honored God in the smallest duties, and the Lord co-operated with him. To Daniel and his companions God gave “knowledge and skill in all learning and wisdom; and Daniel had understanding in all visions and dreams.” Daniel 1:17. {COL 356.3}
ความซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นที่จะฝึกจิตวิญญาณให้มีความจริงใจต่องานการรับผิดชอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้าทรงนำดาเนียลและเพื่อนเข้ามาสัมผัสกับบุรุษยิ่งใหญ่แห่งกรุงบาบิโลนเพื่อให้คนต่างชาติเหล่านั้นรู้จักมักคุ้นกับหลักการศาสนาที่แท้จริง ท่ามกลางประเทศที่กราบไหว้รูปเคารพ ดาเนียลต้องเป็นตัวแทนอุปนิสัยของพระเจ้า เขาทำอย่างไรจึงได้รับตำแหน่งใหญ่โตและได้รับความวางใจเช่นนี้ ก็เนื่องจากความซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อยที่เป็นองค์ประกอบในชีวิตของเขา เขาถวายเกียรติพระเจ้าในหน้าที่เล็กน้อยที่สุดและพระองค์ทรงร่วมมือกับเขา พระเจ้าประทานแก่ดาเนียลและเพื่อนของเขา “ความรู้ ความเข้าใจในวรรณกรรมทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจนิมิตและความฝันทุกประการ” ดาเนียล 1:17 {COL 356.3}
As God called Daniel to witness for Him in Babylon, so He calls us to be His witnesses in the world today. In the smallest as well as the largest affairs of life He desires us to reveal to men the principles of His kingdom. {COL 357.1}
พระเจ้าทรงเรียกดาเนียลให้เป็นพยานเพื่อพระองค์ในกรุงบาบิโลนอย่างไร พระองค์ทรงเรียกเราให้เป็นพยานของพระองค์ในโลกปัจจุบันอย่างนั้นเหมือนกัน พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์เปิดเผยถึงหลักการแห่งแผ่นดินของพระองค์ ทั้งในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจากเล็กที่สุดไปจนถึงสิ่งใหญ่ที่สุด {COL 357.1}
Christ in His life on earth taught the lesson of careful attention to the little things. The great work of redemption weighed continually upon His soul. As He was teaching and healing, all the energies of mind and body were taxed to the utmost; yet He noticed the most simple things in life and in nature. His most instructive lessons were those in which by the simple things of nature He illustrated the great truths of the kingdom of God. He did not overlook the necessities of the humblest of His servants. His ear heard every cry of need. He was awake to the touch of the afflicted woman in the crowd; the very slightest touch of faith brought a response. When He raised from the dead the daughter of Jairus, He reminded her parents that she must have something to eat. When by His own mighty power He rose from the tomb, He did not disdain to fold and put carefully in the proper place the graveclothes in which He had been laid away. {COL 357.2}
ในสมัยที่พระคริสต์ทรงดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงสอนบทเรียนของการเอาใจใส่สิ่งเล็กน้อย มหกิจของการทรงช่วยมนุษย์ให้รอดเป็นภาระที่อยู่ในพระทัยของพระองค์เสมอ ขณะที่ทรงสั่งสอนและทรงรักษา พระองค์ทรงใช้พลังงานทั้งหมดของสมองและร่างกาย กระนั้นก็ตามพระองค์ยังทรงมีเวลาสังเกตสิ่งของง่ายๆ ของชีวิตและธรรมชาติ บทเรียนที่ให้แนวการสอนที่ดีที่สุดเป็นบทที่ได้ยกตัวอย่างจากธรรมชาติเพื่อแสดงถึงความจริงอันยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงเคยมองข้ามความต้องการของผู้รับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุดของพระองค์ พระกรรณของพระองค์ทรงสดับเสียงร้องขอทุกอย่าง พระองค์ทรงตื่นตัวต่อการแตะต้องของหญิงเจ็บป่วยท่ามกลางฝูงชน การแตะต้องที่แผ่วเบาที่สุดแห่งความเชื่อนำมาซึ่งการตอบสนอง เมื่อพระองค์ทรงเรียกลูกสาวของไยรัสให้เป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงเตือนผู้ปกครองของเธอว่าเธอต้องการรับประทานอาหาร เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นจากอุโมงค์ฝังศพด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์เอง พระองค์ไม่ได้ทรงละเลยที่จะพับผ้าคลุมพระศพและจัดให้เข้าที่ {COL 357.2}
The work to which as Christians we are called is to co-operate with Christ for the salvation of souls. This work we have entered into covenant with Him to do. To neglect the work is to prove disloyal to Christ. But in order to accomplish this work we must follow His example of faithful, conscientious attention to the little things. This is the secret of success in every line of Christian effort and influence. {COL 358.1}
คริสเตียนจึงได้รับการเรียกให้ร่วมมือกับพระคริสต์ เพื่อความรอดของจิตวิญญาณทั้งหลาย เราเข้าร่วมในพันธสัญญาที่จะทำงานนี้กับพระองค์ การละเลยต่อหน้าที่นี้พิสูจน์ว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อพระคริสต์ แต่การที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จได้นั้นเราต้องปฏิบัติตามแบบอย่างของพระองค์ ในเรื่องของความซื่อสัตย์และความเอาใจใส่แม้แต่สิ่งเล็กน้อย นี่คือเคล็ดลับของความสำเร็จในทุกด้านของความพยายามและอิทธิพลของคริสเตียน {COL 358.1}
The Lord desires His people to reach the highest round of the ladder that they may glorify Him by possessing the ability He is willing to bestow. Through the grace of God every provision has been made for us to reveal that we act upon better plans than those upon which the world acts. We are to show a superiority in intellect, in understanding, in skill and knowledge, because we believe in God and in His power to work upon human hearts. {COL 358.2}
พระเจ้าทรงประสงค์ให้ประชากรของพระองค์ก้าวให้ถึงบันไดขั้นสูงสุดเพื่อเขาเหล่านั้นจะถวายเกียรติแด่พระองค์โดยการรับความสามารถที่พระองค์ทรงพร้อมที่จะประทานให้ โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงตระเตรียมทุกอย่างเพื่อให้เราเห็นว่าเราปฏิบัติตามแผนการที่ดีกว่าผู้ที่ปฏิบัติตามวิธีการของชาวโลก เราจะต้องแสดงสติปัญญา ความเข้าใจ ทักษะและความรู้ที่เหนือกว่าออกมาให้เห็น เพราะว่าเราเชื่อในพระเจ้าและในอำนาจของพระองค์ที่ประกอบกิจอยู่ในใจของมนุษย์ {COL 358.2}
But those who have not a large endowment of gifts need not become discouraged. Let them use what they have, faithfully guarding every weak point in their characters, seeking by divine grace to make it strong. Into every action of life we are to weave faithfulness and loyalty, cultivating the attributes that will enable us to accomplish the work. {COL 358.3}
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับของประทานที่ใหญ่โตก็อย่าท้อแท้ใจ ขอให้ใช้สิ่งที่เขามีอยู่ คอยปกป้องจุดอ่อนของอุปนิสัยทุกอย่างของตนอย่างเต็มที่ โดยพระคุณของพระเจ้าจงหาทางทำให้ของประทานนั้นเข้มแข็ง เราควรผูกพันความซื่อสัตย์และความจงรักภักดีเข้ากับการทำงานทุกด้านของชีวิต คอยดูแลคุณสมบัติเฉพาะตัวที่จะช่วยทำให้การงานสำเร็จให้ดี {COL 358.3}
Habits of negligence should be resolutely overcome. Many think it a sufficient excuse for the grossest errors to plead forgetfulness. But do they not, as well as others, possess intellectual faculties? Then they should discipline their minds to be retentive. It is a sin to forget, a sin to be negligent. If you form a habit of negligence, you may neglect your own soul’s salvation and at last find that you are unready for the kingdom of God. {COL 358.4}
เราจะต้องเอาชนะนิสัยเพิกเฉยละเลยให้ได้โดยเด็ดขาด บางคนคิดว่าการหลงลืมเป็นข้อแก้ตัวที่เพียงพอต่อการถูกกล่าวหาที่เกินเหตุได้ แต่เขาก็มีความสามารถทางปัญญาเหมือนเช่นผู้อื่นด้วยไม่ใช่หรือ เขาควรฝึกสมองให้มีความจำ การลืมเป็นบาปอย่างหนึ่ง เป็นบาปของการเพิกเฉยละเลยไม่เอาใจใส่ ท่านอาจละเลยต่อความรอดจิตวิญญาณของท่านเองและในที่สุดจะพบว่าตัวท่านเองไม่พร้อมสำหรับแผ่นดินของพระเจ้า {COL 358.4}
Great truths must be brought into little things. Practical religion is to be carried into the lowly duties of daily life. The greatest qualification for any man is to obey implicitly the word of the Lord. {COL 359.1}
ความจริงอันยิ่งใหญ่จะต้องนำไปใช้กับสิ่งเล็กน้อย จะต้องนำศาสนาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันแม้ในงานที่ต่ำต้อยที่สุดของชีวิต คุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแต่ละคนก็คือการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าอย่างสุดชีวิต {COL 359.1}
Because they are not connected with some directly religious work, many feel that their lives are useless; that they are doing nothing for the advancement of God’s kingdom. But this is a mistake. If their work is that which someone must do, they should not accuse themselves of uselessness in the great household of God. The humblest duties are not to be ignored. Any honest work is a blessing, and faithfulness in it may prove a training for higher trusts. {COL 359.2}
เนื่องจากว่ามีหลายคนไม่นำชีวิตเข้าไปผูกพันกับงานด้านศาสนาโดยตรง หลายคนจึงมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้ประโยชน์ พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อทำให้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเจริญขึ้น การคิดเช่นนี้ถือว่าผิด หากงานของเขาเป็นสิ่งที่จะมีสักคนต้องทำแล้ว เขาก็ไม่ควรแก้ตัวว่าเป็นคนไม่มีประโยชน์ในครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เราจะต้องไม่ละเลยแม้งานที่ต่ำต้อยที่สุด งานที่สุจริตทุกอย่างเป็นพระพรและความซื่อสัตย์ต่อการทำงานนั้นเป็นการฝึกฝนตนเองเพื่อสิ่งที่สำคัญกว่าในอนาคต {COL 359.2}
However lowly, any work done for God with a full surrender of self is as acceptable to Him as the highest service. No offering is small that is given with true-heartedness and gladness of soul. {COL 359.3}
ไม่ว่างานนั้นจะต่ำต้อยเพียงใดก็ตาม หากทำเพื่อพระเจ้าด้วยชีวิตที่ถวายแก่พระองค์อย่างเต็มที่ก็จะเป็นงานการรับใช้ที่สูงส่งที่สุด ไม่มีของถวายใดเป็นสิ่งเล็กน้อยหากเราถวายด้วยความจริงใจและด้วยความยินดี {COL 359.3}
Wherever we may be, Christ bids us take up the duty that presents itself. If this is in the home, take hold willingly and earnestly to make home a pleasant place. If you are a mother, train your children for Christ. This is as verily a work for God as is that of the minister in the pulpit. If your duty is in the kitchen, seek to be a perfect cook. Prepare food that will be healthful, nourishing, and appetizing. And as you employ the best ingredients in preparing food remember that you are to give your mind the best thoughts. If it is your work to till the soil or to engage in any other trade or occupation, make a success of the present duty. Put your mind on what you are doing. In all your work represent Christ. Do as He would do in your place. {COL 359.4}
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด พระคริสต์ทรงบัญชาให้เราทำงานที่รออยู่ หากงานนี้อยู่ที่บ้านให้ทำงานนั้นด้วยความยินดีและจริงใจเพื่อให้บ้านเป็นสถานที่น่าอยู่ หากท่านเป็นแม่ก็ให้ฝึกสอนลูกของท่านเพื่อพระคริสต์ นี่เป็นงานที่ทำเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงเหมือนกับงานของศาสนาจารย์บนธรรมาสน์ ถ้าภาระของท่านอยู่ในครัว ก็จงพยายามเป็นแม่ครัวที่สมบูรณ์แบบ ทำอาหารที่ถูกสุขลักษณะเพื่อบำรุงร่างกายและมีรสชาติดี ขณะที่ท่านใช้เครื่องปรุงที่ดีที่สุดในการทำอาหารก็จงให้สมองของท่านคิดในสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าท่านมีหน้าที่ทำไร่ไถนาหรือทำมาค้าขาย จงทำงานนั้นให้ได้รับความสำเร็จ ให้ตั้งสติต่องานที่ท่านทำอยู่ ในงานทุกอย่าง ให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนพระคริสต์ จงทำหน้าที่นั้นเสมือนหนึ่งว่าพระองค์ทรงทำแทนท่าน {COL 359.4}
However small your talent, God has a place for it. That one talent, wisely used, will accomplish its appointed work. By faithfulness in little duties, we are to work on the plan of addition, and God will work for us on the plan of multiplication. These littles will become the most precious influences in His work. {COL 360.1}
ไม่ว่าความสามารถของท่านจะเล็กน้อยเพียงใด พระเจ้าทรงมีแผนสำหรับของประทานนั้น ตะลันต์เดียวนั้นหากใช้อย่างชาญฉลาดก็จะทำประโยชน์ตามที่ประสงค์ไว้ เราควรทำงานตามแผนการเพื่อการเพิ่มพูนขึ้นและพระเจ้าจะทรงกระทำให้ทวีคูณตามแผนการของพระองค์ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะเป็นอิทธิพลที่มีค่าที่สุดในพระราชกิจของพระองค์ {COL 360.1}
Let a living faith run like threads of gold through the performance of even the smallest duties. Then all the daily work will promote Christian growth. There will be a continual looking unto Jesus. Love for Him will give vital force to everything that is undertaken. Thus through the right use of our talents, we may link ourselves by a golden chain to the higher world. This is true sanctification; for sanctification consists in the cheerful performance of daily duties in perfect obedience to the will of God. {COL 360.2}
จงให้ความเชื่อที่มีชีวิตแทรกอยู่เหมือนผ้าที่ทอด้วยเส้นด้ายทองคำ แม้ในหน้าที่เล็กน้อยที่สุด แล้วงานที่ทำในแต่ละวันจะสนับสนุนการเจริญเติบโตของชีวิตคริสเตียน ทำให้เรามองไปยังพระเยซูอยู่เสมอ ความรักที่มีต่อพระองค์จะให้กำลังแห่งชีวิตแก่งานที่ทำทุกอย่าง ฉะนั้นการใช้ความสามารถของเราอย่างถูกต้อง เป็นเสมือนโซ่ทองคำเชื่อมตัวเราเองให้เข้ากับโลกเบื้องบน นี่คือการดำรงชีวิตที่สมกับการชำระให้บริสุทธิ์ เพราะการชำระให้บริสุทธิ์นั้นรวมไปถึงการทำงานประจำวันด้วยความรื่นเริงภายใต้การเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ {COL 360.2}
But many Christians are waiting for some great work to be brought to them. Because they cannot find a place large enough to satisfy their ambition, they fail to perform faithfully the common duties of life. These seem to them uninteresting. Day by day they let slip opportunities for showing their faithfulness to God. While they are waiting for some great work, life passes away, its purposes unfulfilled, its work unaccomplished. {COL 360.3}
แต่คริสเตียนจำนวนมากรอคอยงานใหญ่ที่จะนำมาเสนอให้เขาทำ เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถหาสถานที่ใหญ่พอที่จะสนองความทะเยอทะยานของตนเอง พวกเขาไม่ได้รับผิดชอบภาระหน้าที่อันเล็กน้อยของชีวิตในแต่ละวันให้สำเร็จ พวกเขารู้สึกว่างานนั้นไม่น่าสนใจ แต่ละวันกลับปล่อยให้โอกาสการแสดงความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าผ่านไป ในขณะที่พวกเขารอคอยงานที่ยิ่งใหญ่กว่า ชีวิตก็ผ่านไป โดยไม่ได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จุดประสงค์ไม่ได้รับดังที่หวังไว้ งานก็ทำไม่สำเร็จ {COL 360.3}
The Talents Returned
ตะลันต์ที่ต้องส่งคืน
“หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน นายของบ่าวทั้งหลายก็มาคิดบัญชีกับพวกเขา” มัทธิว 25: 19 เมื่อพระเป็นเจ้าทรงคิดบัญชีกับบ่าวของพระองค์ ตะลันต์ทุกตะลันต์ที่ส่งคืนมาจะผ่านการพิจารณาตรวจสอบ ผลงานจะแสดงออกถึงอุปนิสัยของผู้ปฏิบัติงานนั้น {COL 360.4}
Those who have received the five and the two talents return to the Lord the entrusted gifts with their increase. In doing this they claim no merit for themselves. Their talents are those that have been delivered to them; they have gained other talents, but there could have been no gain without the deposit. They see that they have done only their duty. The capital was the Lord’s; the improvement is His. Had not the Saviour bestowed upon them His love and grace, they would have been bankrupt for eternity. {COL 360.5}
คนที่ได้รับห้าตะลันต์และสองตะลันต์นำของประทานมาคืนพร้อมด้วยส่วนที่เพิ่มเข้ามา การกระทำเช่นนี้พวกเขาไม่ได้อ้างความดีไว้สำหรับตนเอง เป็นตะลันต์ที่เขารับมา พวกเขาก็ยังได้ตะลันต์อื่นเพิ่มขึ้นอีก แต่ถ้าหากไม่มีส่วนที่เคยให้ไว้ก่อนก็คงจะไม่มีส่วนใดเพิ่มขึ้นได้ ต้นทุนเป็นของพระเป็นเจ้า ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นของพระองค์ หากพระผู้ช่วยไม่ประทานความรักและพระคุณของพระองค์ให้แก่พวกเขาแล้ว คนเหล่านั้นก็คงจะล้มละลายไปชั่วนิรันดร์ {COL 360.5}
But when the Master receives the talents, He approves and rewards the workers as though the merit were all their own. His countenance is full of joy and satisfaction. He is filled with delight that He can bestow blessings upon them. For every service and every sacrifice He requites them, not because it is a debt He owes, but because His heart is overflowing with love and tenderness. {COL 361.1}
แต่เมื่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายทรงรับตะลันต์ พระองค์ทรงแสดงความพอใจและประทานรางวัลแก่คนงานเสมือนหนึ่งว่าคุณงามความดีทั้งหมดเป็นของพวกเขาเอง พระพักตร์ของพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความสุขและพอพระทัย พระองค์ทรงชื่นชมที่ทรงสามารถประทานพระพรแก่คนเหล่านั้น สำหรับการรับใช้ทุกอย่างและการเสียสละทุกสิ่ง พระองค์ทรงตอบแทนเขาเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงเป็นหนี้พวกเขาแต่เป็นเพราะพระทัยของพระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยความรักและความห่วงใยต่างหาก {COL 361.1}
“Well done, thou good and faithful servant,” He says; “thou hast been faithful over a few things, I will make thee ruler over many things; enter thou into the joy of thy Lord.” {COL 361.2}
พระองค์ตรัสว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” มัทธิว 25:21 {COL 361.2}
It is the faithfulness, the loyalty to God, the loving service, that wins the divine approval. Every impulse of the Holy Spirit leading men to goodness and to God, is noted in the books of heaven, and in the day of God the workers through whom He has wrought will be commended. {COL 361.3}
เป็นเพราะความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อพระเจ้า การรับใช้ด้วยความรักจึงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย แรงกระตุ้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์นำมนุษย์ไปสู่คุณความดีและนำไปสู่พระเจ้า สิ่งเหล่านี้บันทึกไว้ในหนังสือแห่งสวรรค์และในวันของพระเจ้าผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงใช้งานจะได้รับคำชมเชย {COL 361.3}
They will enter into the joy of the Lord as they see in His kingdom those who have been redeemed through their instrumentality. And they are privileged to participate in His work there, because they have gained a fitness for it by participation in His work here. What we shall be in heaven is the reflection of what we are now in character and holy service. Christ said of Himself, “The Son of man came not to be ministered unto, but to minister.” Matthew 20:28. This, His work on earth, is His work in heaven. And our reward for working with Christ in this world is the greater power and wider privilege of working with Him in the world to come. {COL 361.4}
พวกเขาจะปรีดีร่วมสุขกับองค์พระผู้เป็นเจ้าขณะที่เห็นคนที่รอดที่พวกเขามีส่วนร่วมในการนำเข้ามาในอาณาจักรของพระองค์ และพวกเขามีสิทธิพิเศษเข้าร่วมทำงานของพระองค์ในสวรรค์ พวกเขามีความพร้อมในการทำงานก็เพราะเคยเข้าร่วมทำงานกับพระองค์ในโลกนี้ สภาพชีวิตของเราในสวรรค์จะเป็นอย่างไรนั้นเป็นภาพสะท้อนของสภาพอุปนิสัยและการรับใช้ที่บริสุทธิ์ของเราในขณะนี้ พระคริสต์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น” มัทธิว 20:28 ภารกิจของพระองค์ที่นี่เป็นพระราชกิจของพระองค์ในสวรรค์ และการตอบแทนของเราที่ได้รับเนื่องจากการทำงานร่วมกับพระคริสต์ในโลกนี้คือพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าและสิทธิพิเศษที่กว้างไกลกว่าในการทำงานร่วมกับพระองค์ในโลกที่กำลังจะมาถึง {COL 361.4}
“Then he which had received the one talent came and said, Lord, I knew thee that thou art an hard man, reaping where thou hast not sown, and gathering where thou hast not strewed; and I was afraid, and went and hid thy talent in the earth; lo, there thou hast that is thine.” {COL 362.1}
“คนที่ได้รับตะลันต์เดียวก็มาชี้แจงด้วยว่า นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจตระหนี่ เกี่ยวผลในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน รวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูซิ นี่เงินของท่าน” มัทธิว 25:24, 25 {COL 362.1}
Thus men excuse their neglect of God’s gifts. They look upon God as severe and tyrannical, as watching to spy out their mistakes and visit them with judgments. They charge Him with demanding what He has never given, with reaping where He has not sown. {COL 362.2}
ด้วยประการฉะนี้ มนุษย์แก้ตัวให้กับการละเลยของประทานของพระเจ้า พวกเขาพากันมองดูพระเจ้าว่าเข้มงวดและเกรี้ยวกราด คอยแต่จ้องจับผิดและรอการพิพากษา คนเหล่านั้นกล่าวหาว่าพระองค์ได้แต่เรียกร้องในสิ่งที่ไม่เคยให้ เก็บเกี่ยวทั้งที่ไม่เคยโปรย {COL 362.2}
There are many who in their hearts charge God with being a hard master because He claims their possessions and their service. But we can bring to God nothing that is not already His. “All things come of Thee,” said King David; “and of Thine own have we given Thee.” 1 Chronicles 29:14. All things are God’s, not only by creation, but by redemption. All the blessings of this life and of the life to come are delivered to us stamped with the cross of Calvary. Therefore the charge that God is a hard master, reaping where He has not sown, is false. {COL 362.3}
ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่กล่าวหาพระเจ้าในใจว่าเป็นนายที่มีใจอำมหิต เพราะพระองค์เรียกร้องสิทธิการเป็นเจ้าของในสมบัติและในงานการรับใช้ของพวกเขา แต่เราไม่อาจนำสิ่งใดที่ไม่ใช่ของพระองค์ไปถวายพระเจ้าได้ กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “สิ่งของทุกอย่างมาจากพระองค์ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถวายของที่มาจากพระองค์แด่พระองค์” 1 พงศาวดาร 29:14 ทุกสิ่งเป็นของพระเจ้าไม่เพียงแต่โดยการทรงสร้างเท่านั้นแต่โดยการทรงไถ่ด้วย พระพรทั้งหมดในชีวิตนี้และในชีวิตที่จะมาถึงได้ส่งมอบมายังพวกเราโดยการประทับตราด้วยกางเขนแห่งคาลวารี ฉะนั้นคำกล่าวหาว่าพระเจ้าทรงเป็นนายที่ใจโหดเหี้ยม คอยเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ได้หว่านจึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง {COL 362.3}
The master does not deny the charge of the wicked servant, unjust as it is; but taking him on his own ground he shows that his conduct is without excuse. Ways and means had been provided whereby the talent might have been improved to the owner’s profit. “Thou oughtest,” he said, “to have put my money to the exchangers, and then at my coming I should have received mine own with usury.” {COL 362.4}
นายไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวหาของบ่าวชั่วในเรื่องของความไม่เป็นธรรม แต่อาศัยหลักฐานจากการกระทำของเขา แสดงให้เห็นว่าการกระทำของเขาก็หาได้รับการยกเว้นไม่ เพราะเขาได้รับคำแนะนำและวิธีการเพื่อใช้พัฒนาตะลันต์ให้เกิดประโยชน์แก่เจ้านายของตนแล้ว นายจึงกล่าวว่า “เจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากกับนายธนาคาร เมื่อเรามาก็จะได้รับเงินทั้งดอกเบี้ยด้วย” มัทธิว 25:27 {COL 362.4}
Our heavenly Father requires no more nor less than He has given us ability to do. He lays upon His servants no burdens that they are not able to bear. “He knoweth our frame; He remembereth that we are dust.” Psalm 103:14. All that He claims from us we through divine grace can render. {COL 362.5}
พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรงหวังผลงานที่จะได้จากเรามากหรือน้อยกว่าความสามารถที่พระองค์ประทานให้ พระองค์ไม่ทรงวางภาระบนผู้รับใช้เกินความสามารถที่เขาจะแบก “พระองค์เองทรงรู้จักโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” สดุดี 103 :14 ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากเรา โดยพระคุณของพระเจ้าเราสามารถมอบถวายพระองค์ได้ {COL 362.5}
“Unto whomsoever much is given, of him shall be much required.” Luke 12:48. We shall individually be held responsible for doing one jot less than we have ability to do. The Lord measures with exactness every possibility for service. The unused capabilities are as much brought into account as are those that are improved. For all that we might become through the right use of our talents God holds us responsible. We shall be judged according to what we ought to have done, but did not accomplish because we did not use our powers to glorify God. Even if we do not lose our souls, we shall realize in eternity the result of our unused talents. For all the knowledge and ability that we might have gained and did not, there will be an eternal loss. {COL 362.6}
“คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมาก” ลูกา 12:48 เราทุกคนจะต้องรับผิดชอบเฉพาะบุคคลต่องานที่ทำไปน้อยกว่าความสามารถเพียงขีด ขีดหนึ่ง พระองค์ทรงตรวจทุกงานอย่างแม่นยำที่เราสามารถทำถวายพระองค์ ความสามารถที่ไม่ได้นำไปใช้ก็จะถูกตรวจสอบเช่นเดียวกับความสามารถที่พัฒนาให้ดีขึ้น พระเจ้าทรงถือว่าเราจะต้องรับผิดชอบกับทั้งหมดที่จะเกิดกับเราเมื่อเราใช้ตะลันต์ในทางที่ถูก เราจะถูกพิพากษาตามที่เราควรจะต้องทำแต่ไม่ได้ทำเพราะเราไม่ได้ใช้กำลังของเราเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถึงแม้เราจะไม่สูญเสียจิตวิญญาณของเราก็ตาม แต่เราก็ควรตระหนักถึงผลนิจนิรันดร์ของตะลันต์ที่ไม่ได้ใช้ เราจะสูญเสียไปตลอดกาลสำหรับความรู้และความสามารถทั้งหมดที่เราน่าจะได้แต่ก็ไม่ได้ {COL 362.6}
But when we give ourselves wholly to God and in our work follow His directions, He makes Himself responsible for its accomplishment. He would not have us conjecture as to the success of our honest endeavors. Not once should we even think of failure. We are to co-operate with One who knows no failure. {COL 363.1}
แต่เมื่อเรามอบถวายตัวเราทั้งหมดแก่พระเจ้า และทำงานของเราตามพระบัญชาของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้รับผิดชอบผลสำเร็จของงานนั้น พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เราคาดเดาถึงผลความสำเร็จของงานที่ตั้งใจทำด้วยความซื่อสัตย์ เราไม่ควรคิดถึงความล้มเหลวแม้แต่เพียงครั้งเดียว เราเป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ผู้ไม่รู้จักกับความล้มเหลว {COL 363.1}
We should not talk of our own weakness and inability. This is a manifest distrust of God, a denial of His word. When we murmur because of our burdens, or refuse the responsibilities He calls upon us to bear, we are virtually saying that He is a hard master, that He requires what He has not given us power to do. {COL 363.2}
เราไม่ควรต้องพูดถึงความอ่อนแอและความไร้ความสามารถของตัวเราเอง การกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงความไม่ไว้วางใจในพระเจ้า เป็นการปฏิเสธพระวจนะของพระองค์ เมื่อเราบ่นเพราะภาระของเราหรือปฏิเสธความรับผิดชอบที่พระองค์ทรงเรียกให้แบก เรากำลังกล่าวหาว่าพระองค์ทรงเป็นนายที่ใจร้ายที่เรียกร้องในสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ประทานกำลังให้ทำ {COL 363.2}
The spirit of the slothful servant we are often fain to call humility. But true humility is widely different. To be clothed with humility does not mean that we are to be dwarfs in intellect, deficient in aspiration, and cowardly in our lives, shunning burdens lest we fail to carry them successfully. Real humility fulfills God’s purposes by depending upon His strength. {COL 363.3}
บ่อยครั้งเราเรียกจิตใจที่เกียจคร้านว่าเป็นการถ่อมตัว แต่การถ่อมตัวที่แท้จริงมีความแตกต่างกันมาก การสวมสภาพของการถ่อมตัวไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นคนที่แคระแกร็นทางปัญญา ขาดความทะเยอทะยานและเป็นคนขี้ขลาด หลบหลีกภาระหน้าที่ด้วยกลัวว่าจะล้มเหลวในการทำงานให้สำเร็จ แต่การถ่อมตนที่แท้จริงจะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จโดยพึ่งในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ {COL 363.3}
God works by whom He will. He sometimes selects the humblest instrument to do the greatest work, for His power is revealed through the weakness of men. We have our standard, and by it we pronounce one thing great and another small; but God does not estimate according to our rule. We are not to suppose that what is great to us must be great to God, or that what is small to us must be small to Him. It does not rest with us to pass judgment on our talents or to choose our work. We are to take up the burdens that God appoints, bearing them for His sake, and ever going to Him for rest. Whatever our work, God is honored by wholehearted, cheerful service. He is pleased when we take up our duties with gratitude, rejoicing that we are accounted worthy to be co-laborers with Him. {COL 363.4}
พระเจ้าทรงทำงานผ่านทางผู้ที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ทำ บางครั้งพระองค์ทรงเลือกเครื่องมือที่ต่ำต้อยที่สุดเพื่อทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฤทธิ์อำนาจของพระองค์ทรงสำแดงผ่านมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุด เรามีมาตรฐานของตัวเองและด้วยมาตรฐานนี้เราประเมินค่าสิ่งหนึ่งว่ามีค่ามากและอีกสิ่งหนึ่งมีค่าน้อย แต่พระเจ้าไม่ได้ประเมินคุณค่าตามกฎเกณฑ์ของเรา จึงไม่ควรสมมติว่าสิ่งใดที่ใหญ่โตสำหรับเราจะต้องยิ่งใหญ่สำหรับพระเจ้าด้วย หรือสิ่งที่เล็กน้อยสำหรับเราจะต้องเล็กน้อยสำหรับพระเจ้าด้วย เราไม่มีหน้าที่จะไปตัดสินของประทานที่ได้รับว่าดีหรือไม่ดี หรือเลือกงานที่ตัวเองอยากทำ เราต้องแบกภาระที่พระเจ้าประทานให้แบกไปเพื่อเห็นแก่พระองค์ และไปหาพระองค์เพื่อขอการหยุดพัก ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามที่เราทำ พระเจ้าทรงได้รับเกียรติโดยการรับใช้ที่ทำด้วยความเต็มใจและยินดี พระองค์ทรงพอพระทัยเมื่อเราทำหน้าที่ด้วยความสำนึกในพระคุณ มีความยินดีที่เราได้ถูกนับเข้ามีส่วนสมกับการเป็นผู้ร่วมงานของพระองค์ {COL 363.4}
The Talent Removed
ตะลันต์ถูกเรียกคืน
บ่าวเกียจคร้านได้รับคำบอกกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์” มัทธิว 25:28 นี่คือการให้รางวัลแก่คนทำงานที่ซื่อสัตย์ แสดงให้เห็นไม่เพียงแต่ได้รับการตอบแทนในวันสุดท้ายแต่การตอบแทนอย่างต่อเนื่องเรื่อยไปในชีวิตนี้ด้วย กฎเกณฑ์ทั้งในทางโลกและทางธรรมมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ พลังทุกอย่างที่ไม่ได้ใช้จะอ่อนแอและเสื่อมสูญไป การทำงานเป็นกฎแห่งชีวิต ความเกียจคร้านคือความตาย “การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน” 1 โครินธ์ 12:7 ผู้ใดใช้ของประทานเพื่อเป็นพร ของประทานนั้นจะเพิ่มขึ้น หากเก็บไว้ใช้กับตัวเอง ของประทานจะหดหายไปและในที่สุดจะถูกเรียกคืน ผู้ใดปฏิเสธการแจกจ่ายสิ่งที่ได้รับจะพบว่าในที่สุดเขาไม่มีอะไรที่จะให้ เขากำลังยอมปล่อยเวลาให้ล่วงไปจนทำให้ความสามารถฝ่ายจิตวิญญาณหดเล็กลงและในที่สุดจิตวิญญาณถูกทำลาย {COL 364.1}
Let none suppose that they can live a life of selfishness, and then, having served their own interests, enter into the joy of their Lord. In the joy of unselfish love they could not participate. They would not be fitted for the heavenly courts. They could not appreciate the pure atmosphere of love that pervades heaven. The voices of the angels and the music of their harps would not satisfy them. To their minds the science of heaven would be as an enigma. {COL 364.2}
อย่าให้ผู้ใดคิดว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเห็นแก่ตัว ทำแต่สิ่งที่สนองต่อความต้องการของตนเอง แล้วมีส่วนร่วมยินดีกับนายของเขา เขาจะไปมีส่วนร่วมกับความสุขที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่ได้ พวกเขาไม่เหมาะที่จะเข้าไปยังราชวังแห่งสวรรค์ เพราะเขาจะไม่รู้จักคุณค่าของบรรยากาศแห่งความรักอันบริสุทธิ์ที่แผ่ไปทั่วสวรรค์ เสียงของทูตสวรรค์และดนตรีจากพิณของทูตเหล่านั้นจะไม่เป็นที่พอใจของเขาและความรู้ทั้งปวงแห่งสวรรค์จะกลายเป็นสิ่งที่ลึกลับสำหรับพวกเขา {COL 364.2}
In the great judgment day those who have not worked for Christ, those who have drifted along, carrying no responsibility, thinking of themselves, pleasing themselves, will be placed by the Judge of all the earth with those who did evil. They receive the same condemnation. {COL 365.1}
ในวันพิพากษายิ่งใหญ่ คนที่ไม่ได้ทำงานเพื่อพระคริสต์ คนที่คอยตามหลังผู้อื่นไปโดยไม่ได้แบกความรับผิดชอบใดๆ คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง คนที่คอยแต่หาความสุขใส่ตัว พระผู้ทรงพิพากษาโลกจะนับเขาให้อยู่ในกลุ่มของคนที่ทำชั่ว พวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษอย่างเดียวกัน {COL 365.1}
Many who profess to be Christians neglect the claims of God, and yet they do not feel that in this there is any wrong. They know that the blasphemer, the murderer, the adulterer, deserves punishment; but as for them, they enjoy the services of religion. They love to hear the gospel preached, and therefore they think themselves Christians. Though they have spent their lives in caring for themselves, they will be as much surprised as was the unfaithful servant in the parable to hear the sentence, “Take the talent from him.” Like the Jews, they mistake the enjoyment of their blessings for the use they should make of them. {COL 365.2}
คนมากมายแสดงตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ละเลยต่อการอ้างสิทธิ์ของพระเจ้า อีกทั้งยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิด เขาทราบดีว่าผู้ที่ดูหมิ่นพระเจ้า พวกฆาตกร คนล่วงประเวณีต้องได้รับโทษ แต่สำหรับพวกเขามีความพอใจในการนมัสการทางศาสนา ชอบฟังการเทศนาเรื่องราวของข่าวประเสริฐและคิดว่าตนเองเป็นคริสเตียนแล้ว ถึงแม้ได้ดูแลตนเองเป็นอย่างดีก็ตาม จะต้องตกตะลึงเช่นเดียวกับบ่าวไม่ซื่อสัตย์ในอุปมา เมื่อได้ยินประโยคที่กล่าวว่า “จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไป” มัทธิว 25:28 เขากำลังทำตัวเหมือนกับชาวยิวที่ใช้พระพรเพื่อตนเองแทนที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ {COL 365.2}
Many who excuse themselves from Christian effort plead their inability for the work. But did God make them so incapable? No, never. This inability has been produced by their own inactivity and perpetuated by their deliberate choice. Already, in their own characters, they are realizing the result of the sentence, “Take the talent from him.” The continual misuse of their talents will effectually quench for them the Holy Spirit, which is the only light. The sentence, “Cast ye the unprofitable servant into outer darkness,” sets Heaven’s seal to the choice which they themselves have made for eternity. {COL 365.3}
คนจำนวนมากชอบแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานรับใช้พระคริสต์โดยอ้างว่าไม่มีความสามารถทำงานนั้นได้ พระเจ้าทรงสร้างให้เขาเป็นคนไร้ความสามารถอย่างนั้นเชียวหรือ ก็เปล่าเลย การเป็นคนไร้ความสามารถเกิดจากการไม่ทำงานของตัวเขาเอง และมีชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไม่เกิดประโยชน์ เขาเลือกที่จะทำตามใจตนเองทั้งที่รู้ดีถึงผลของประโยคที่กล่าวว่า “จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไป” การใช้ของประทานในทางผิดอยู่เสมอจะมีผลทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นแสงสว่างเพียงดวงเดียวดับไป ดังนั้นประโยคที่กล่าวว่า “เอาไอ้บ่าวชั่วช้าไปทิ้งเสียยังที่มืดภายนอก” มัทธิว 25:30 ประทับตราของสวรรค์ลงบนหนทางที่เขาเหล่านั้นเลือกกระทำไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์ {COL 365.3} }