Chapter 26 (บทที่ 26)
“Friends by the Mammon of Unrighteousness”
“จงทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยเงินทองอธรรม” อ้างอิงจาก ลูกา 16:1-9
Christ’s coming was at a time of intense worldliness. Men were subordinating the eternal to the temporal, the claims of the future to the affairs of the present. They were mistaking phantoms for realities, and realities for phantoms. They did not by faith behold the unseen world. Satan presented before them the things of this life as all-attractive and all-absorbing, and they gave heed to his temptations. {COL 366.1}
ช่วงเวลาที่พระคริสต์เสด็จมานั้นเป็นเวลาที่ทางฝ่ายโลกครอบงำอย่างมาก มนุษย์ถือสิ่งอันเป็นนิรันดร์รองจากสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลก สิ่งที่จะได้รับในอนาคตเป็นรองของกิจธุระในปัจจุบัน พวกเขาสำคัญผิดด้วยการเอาสิ่งหลอกลวงเป็นความจริงและความจริงเป็นสิ่งหลอกลวง พวกเขาไม่ได้มองโลกที่มองไม่เห็นภายภาคหน้าด้วยความเชื่อ ซาตานทำให้พวกเขาเห็นว่าสิ่งของในโลกนี้น่าสนใจและน่าให้ความสำคัญและคนเหล่านี้ก็ตกลงสู่การทดลองของมัน {COL 366.1}
Christ came to change this order of things. He sought to break the spell by which men were infatuated and ensnared. In His teaching He sought to adjust the claims of heaven and earth, to turn men’s thoughts from the present to the future. From their pursuit of the things of time, He called them to make provision for eternity. {COL 366.2}
พระคริสต์เสด็จมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระองค์ทรงมุ่งที่จะทำลายเสน่ห์ที่ทำให้มนุษย์หลงใหลและติดกับดัก ในการสอนของพระองค์ พระองค์ทรงหาทางที่จะปรับเปลี่ยนการอ้างสิทธิของสวรรค์และโลก เพื่อหันเหความคิดของมนุษย์จากการคิดถึงสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันไปเป็นการคิดถึงอนาคต พระองค์ทรงเรียกให้พวกเขาหันจากการเฝ้าเสาะหาสิ่งของในเวลานี้มาเป็นการเตรียมการเพื่อชีวิตนิรันดร์ {COL 366.2}
“There was a certain rich man,” He said, “which had a steward; and the same was accused unto him that he had wasted his goods.” The rich man had left all his possessions in the hands of this servant; but the servant was unfaithful, and the master was convinced that he was being systematically robbed. He determined to retain him no longer in his service, and he called for an investigation of his accounts. “How is it,” he said, “that I hear this of thee? Give an account of thy stewardship; for thou mayest be no longer steward.” {COL 366.3}
พระองค์ตรัสว่า “เศรษฐีคนหนึ่งมีพ่อบ้าน มีคนมาฟ้องเศรษฐีว่าพ่อบ้านคนนั้นกำลังผลาญสมบัติของท่าน” เศรษฐีฝากสมบัติทั้งหมดไว้ในความดูแลของคนรับใช้คนนี้ แต่คนใช้คนนี้ไม่ซื่อสัตย์ และผู้เป็นนายเชื่อแน่ว่าตนเองถูกหลอกอย่างเป็นระบบ เขาจึงตัดสินใจไม่จ้างคนใช้คนนี้ทำงานให้เขาอีกต่อไป และสั่งให้ตรวจสอบบัญชี เศรษฐีถามว่า “เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้านั้นเป็นอย่างไร เอาบัญชีพ่อบ้านของเจ้ามา เพราะว่าเจ้าจะเป็นพ่อบ้านต่อไปไม่ได้” ลูกา 16:1-2 {COL 366.3}
With the prospect of discharge before him, the steward saw three paths open to his choice. He must labor, beg, or starve. And he said within himself, “What shall I do? for my lord taketh away from me the stewardship: I cannot dig; to beg I am ashamed. I am resolved what to do, that, when I am put out of the stewardship, they may receive me into their houses. So he called every one of his lord’s debtors unto him, and said unto the first, How much owest thou unto my lord? And he said, An hundred measures of oil. And he said unto him, Take thy bill, and sit down quickly, and write fifty. Then said he to another, And how much owest thou? And he said, An hundred measures of wheat. And he said unto him, Take thy bill, and write fourscore.” {COL 367.1}
เมื่อคาดว่าตัวเองจะถูกปลดในไม่ช้า พ่อบ้านคนนี้มองเห็นทางออกที่มีไว้ให้เขาเลือกอยู่สามทาง เขาจะต้องทำงานตรากตรำ ขอทาน หรืออดอยาก และเขาบอกกับตัวเองว่า “ข้าจะทำอะไรดี เพราะข้ากำลังจะถูกนายถอดออกจากหน้าที่แล้ว จะไปขุดดินก็ไม่มีแรง จะไปขอทานก็อายเขา ข้ารู้แล้วจะทำอะไรดีเพื่อว่าเมื่อข้าถูกถอดจากหน้าที่แล้ว คนอื่นๆ จะยังรับข้าไว้ในบ้านของเขา คนนั้นจึงเรียกลูกหนี้ของนายมาทีละคน แล้วถามคนแรกว่า ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไหร่ เขาตอบว่าน้ำมันร้อยถัง พ่อบ้านจึงบอกเขาว่า ไปเอาบัญชีของท่านมา นั่งลงแล้วแก้เป็นห้าสิบถังเร็วๆ เข้า แล้วเขาก็ถามอีกคนหนึ่งว่า ท่านเป็นหนี้เท่าไร เขาตอบว่า ข้าวสาลีร้อยกระสอบ พ่อบ้านจึงบอกว่า เอาบัญชีของท่านแก้เป็นแปดสิบ” ลูกา 16:3-7 {COL 367.1}
This unfaithful servant made others sharers with him in his dishonesty. He defrauded his master to advantage them, and by accepting this advantage they placed themselves under obligation to receive him as a friend into their homes. {COL 367.2}
พ่อบ้านอสัตย์คนนี้ทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในความไม่ซื่อสัตย์ของเขาด้วย เขาฉ้อฉลนายของตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นรับประโยชน์และโดยการกระทำเช่นนี้เป็นผลดีกับเขา ลูกหนี้ทั้งหลายเป็นหนี้บุญคุณที่ต้องต้อนรับเขาเข้าบ้านในฐานะมิตรสหาย {COL 367.2}
“And the lord commended the unjust steward, because he had done wisely.” The worldly man praised the sharpness of the man who had defrauded him. But the rich man’s commendation was not the commendation of God. {COL 367.3}
“แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด” ลูกา 16:8 คนทางฝ่ายโลกคนนี้เยินยอความเฉียบแหลมของคนที่ฉ้อโกงเขา แต่คำชมเชยของเศรษฐีไม่ใช่คำชมเชยของพระเจ้า {COL 367.3}
Christ did not commend the unjust steward, but He made use of a well-known occurrence to illustrate the lesson He desired to teach. “Make to yourselves friends by means of the mammon of unrighteousness,” He said, “that when it shall fail, they may receive you into the eternal tabernacles.” R.V. {COL 367.4}
พระคริสต์ไม่ได้ชมพ่อบ้านอสัตย์ แต่พระองค์ทรงใช้เหตุการณ์ที่คนรู้จักดีมาเป็นบทเรียนที่พระองค์ประสงค์ที่จะสอน พระองค์ตรัสว่า “จงทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยเงินทองอธรรม เพื่อที่ว่าเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยตลอดไป” ลูกา 16:9 {COL 367.4}
The Saviour had been censured by the Pharisees for mingling with publicans and sinners. But His interest in them was not lessened, nor did His efforts for them cease. He saw that their employment brought them into temptation. They were surrounded by enticements to evil. The first wrong step was easy, and the descent was rapid to greater dishonesty and increased crimes. Christ was seeking by every means to win them to higher aims and nobler principles. This purpose He had in mind in the story of the unfaithful steward. There had been among the publicans just such a case as that represented in the parable, and in Christ’s description they recognized their own practices. Their attention was arrested, and from the picture of their own dishonest practices many of them learned a lesson of spiritual truth. {COL 368.1}
ฟาริสีทั้งหลายตำหนิพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงคลุกคลีอยู่กับคนเก็บภาษีและคนบาป แต่ความสนใจของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาไม่ได้ลดลงหรือทรงเลิกที่จะทำงานเผื่อพวกเขา พระองค์ทรงเห็นว่าหน้าที่การงานของพวกเขานำไปสู่การทดลอง พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งล่อลวงที่นำไปสู่ความชั่ว ก้าวผิดก้าวแรกทำได้ง่าย และจะก้าวลงอย่างรวดเร็วไปสู่การทุจริตที่เลวร้ายและอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้น พระคริสต์ทรงใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยพวกเขาให้มีเป้าหมายที่สูงขึ้นและมีหลักการที่สูงส่งยิ่งขึ้น นี่คือจุดประสงค์ที่พระองค์ทรงเล่าเรื่องของพ่อบ้านอสัตย์ เหตุการณ์ที่กล่าวในอุปมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหมู่คนเก็บภาษีและในคำพรรณนาของพระคริสต์ พวกเขามองเห็นถึงการกระทำของตนเอง ความสนใจของพวกเขาหยุดนิ่งที่นั่นและจากภาพของความไม่สุจริตที่กระทำกันอยู่เสมอ มีหลายคนได้รับบทเรียนแห่งความจริงฝ่ายวิญญาณ {COL 368.1}
The parable was, however, spoken directly to the disciples. To them first the leaven of truth was imparted, and through them it was to reach others. Much of Christ’s teaching the disciples did not at first understand, and often His lessons seemed to be almost forgotten. But under the influence of the Holy Spirit these truths were afterward revived with distinctness, and through the disciples they were brought vividly before the new converts who were added to the church. {COL 368.2}
อย่างไรก็ดีอุปมานี้พูดกับสาวกโดยตรง เชื้อแห่งความจริงฝากไว้ให้กับพวกเขาเป็นกลุ่มแรกและส่งผ่านพวกเขาต่อไปยังคนอื่น ในช่วงแรกๆ พวกสาวกไม่เข้าใจคำสอนส่วนใหญ่ของพระคริสต์ บ่อยครั้งดูเหมือนว่าบทเรียนของพระองค์จะถูกลืมไป แต่ภายใต้อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สาวกฟื้นความจริงเหล่านี้กลับคืนมานำเสนอให้ผู้เชื่อใหม่ที่เข้าร่วมคริสตจักรฟังได้อย่างเด่นชัด {COL 368.2}
And the Saviour was speaking also to the Pharisees. He did not relinquish the hope that they would perceive the force of His words. Many had been deeply convicted, and as they should hear the truth under the dictation of the Holy Spirit, not a few would become believers in Christ. {COL 369.1}
พระผู้ช่วยให้รอดยังตรัสกับฟาริสีทั้งหลายด้วย พระองค์ไม่ทรงละทิ้งความหวังที่พวกเขาจะเรียนรู้อำนาจของพระวจนะของพระองค์ มีหลายคนรู้สำนึกในบาป และหากพวกเขาตั้งใจฟังความจริงภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่จะกลับใจเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ {COL 369.1}
The Pharisees had tried to bring Christ into disrepute by accusing Him of mingling with publicans and sinners. Now He turns the rebuke on these accusers. The scene known to have taken place among the publicans He holds up before the Pharisees both as representing their course of action and as showing the only way in which they can redeem their errors. {COL 369.2}
ฟาริสีทั้งหลายพยายามทำให้พระคริสต์เสียเกียรติภูมิด้วยการกล่าวหาว่าพระองค์ทรงคลุกคลีกับพวกเก็บภาษีและคนบาป บัดนี้พระองค์ทรงย้อนคำตำหนิไปยังคนที่กล่าวหาเหล่านี้ ภาพเหตุการณ์ที่รู้กันทั่วไปในหมู่คนเก็บภาษีนั้น พระองค์ทรงยกขึ้นมาไว้ต่อหน้าฟาริสีเพื่อแสดงให้เห็นถึงการกระทำของพวกเขาและเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีเดียวที่สามารถกู้ความผิดพลาดของพวกเขากลับคืนมาได้ {COL 369.2}
To the unfaithful steward his lord’s goods had been entrusted for benevolent purposes; but he had used them for himself. So with Israel. God had chosen the seed of Abraham. With a high arm He had delivered them from bondage in Egypt. He had made them the depositaries of sacred truth for the blessing of the world. He had entrusted to them the living oracles that they might communicate the light to others. But His stewards had used these gifts to enrich and exalt themselves. {COL 369.3}
พ่อบ้านอสัตย์ที่ได้รับมอบความไว้วางใจดูแลทรัพย์สินของเจ้านายเพื่อใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้อื่น แต่เขากลับใช้ทรัพย์เหล่านั้นเพื่อตนเอง ชนชาติอิสราเอลก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พระเจ้าทรงเลือกพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์พระองค์ทรงช่วยพวกเขาออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงฝากความจริงศักดิ์สิทธิ์ไว้กับพวกเขา เพื่อให้เป็นพระพรแก่ชาวโลก พระองค์ทรงมอบหมายคำเผยพระวจนะอันมีชีวิตเพื่อสื่อความสว่างให้แก่คนอื่นๆ แต่พ่อบ้านของพระองค์ใช้ของประทานเหล่านี้เพื่อสร้างความร่ำรวยและยกชูตนเองให้สูงขึ้น {COL 369.3}
The Pharisees, filled with self-importance and self-righteousness, were misapplying the goods lent them by God to use for His glory. {COL 369.4}
ฟาริสีมีจิตใจเต็มล้นด้วยความทะนงตนและความชอบธรรมในตนเอง พวกเขานำทรัพย์สินที่พระเจ้าทรงมอบให้ยืมเพื่อใช้ถวายเกียรติพระองค์ไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง {COL 369.4}
The servant in the parable had made no provision for the future. The goods entrusted to him for the benefit of others he had used for himself; but he had thought only of the present. When the stewardship should be taken from him, he would have nothing to call his own. But his master’s goods were still in his hands, and he determined to use them so as to secure himself against future want. To accomplish this he must work on a new plan. Instead of gathering for himself, he must impart to others. Thus he might secure friends, who, when he should be cast out, would receive him. So with the Pharisees. The stewardship was soon to be taken from them, and they were called upon to provide for the future. Only by seeking the good of others could they benefit themselves. Only by imparting God’s gifts in the present life could they provide for eternity. {COL 369.5}
After relating the parable, Christ said, “The children of this world are in their generation wiser than the children of light.” That is, worldly-wise men display more wisdom and earnestness in serving themselves than do the professed children of God in their service to Him. So it was in Christ’s day. So it is now. Look at the life of many who claim to be Christians. The Lord has endowed them with capabilities, and power, and influence; He has entrusted them with money, that they may be co-workers with Him in the great redemption. All His gifts are to be used in blessing humanity, in relieving the suffering and the needy. We are to feed the hungry, to clothe the naked, to care for the widow and the fatherless, to minister to the distressed and downtrodden. God never meant that the widespread misery in the world should exist. He never meant that one man should have an abundance of the luxuries of life, while the children of others should cry for bread. The means over and above the actual necessities of life are entrusted to man to do good, to bless humanity. The Lord says, “Sell that ye have, and give alms.” Luke 12:33. Be “ready to distribute, willing to communicate.” 1 Timothy 6:18. “When thou makest a feast, call the poor, the maimed, the lame, the blind.” Luke 14:13. “Loose the bands of wickedness,” “undo the heavy burdens,” “let the oppressed go free,” “break every yoke.” “Deal thy bread to the hungry,” “bring the poor that are cast out to thy house.” “When thou seest the naked, . . . cover him.” “Satisfy the afflicted soul.” Isaiah 58:6, 7, 10. “Go ye into all the world, and preach the gospel to every creature.” Mark 16:15. These are the Lord’s commands. Are the great body of professed Christians doing this work? {COL 370.1}
หลังจากที่พระคริสต์ทรงเล่าอุปมานี้แล้ว พระองค์ตรัสว่า “ลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง” ลูกา 16:8 นี่หมายความว่า คนฝ่ายโลกที่มีปัญญาแสดงความฉลาดและความจริงจังในการทำงานเพื่อตนเองมากยิ่งกว่าผู้ที่แสดงตนว่าเป็นบุตรของพระเจ้าที่ทำงานรับใช้พระองค์ ในยุคของพระคริสต์เป็นอย่างไร ยุคนี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น จงมองดูชีวิตของคนหลายคนที่แสดงตนว่าเป็นคริสเตียน พระยาห์เวห์ประทานความสามารถ อำนาจและอิทธิพลให้แก่พวกเขา พระองค์ทรงฝากมอบเงินทองไว้กับพวกเขาเพื่อให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ในพระราชกิจแห่งการอันยิ่งใหญ่แห่งการไถ่ให้รอด ของประทานของพระองค์ทั้งหมดจะต้องใช้เพื่อเป็นพรแก่มนุษยชาติ ช่วยปลดปล่อยความทุกข์และความขัดสน เราควรที่จะให้อาหารแก่ผู้หิวโหย ให้เสื้อผ้าแก่ผู้เปลือยกาย ให้ความช่วยเหลือหญิงหม้ายและลูกกำพร้า เพื่อคนทุกข์โศกและถูกกดขี่ พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นทั่วโลกคงอยู่ พระองค์ไม่เคยมุ่งหมายให้คนหนึ่งคนใดมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยในขณะที่บุตรคนอื่นๆ ร้องหาอาหาร ทรัพย์สินเงินทองส่วนที่เกินความต้องการเพื่อการยังชีพ พระองค์ทรงมอบหมายให้มนุษย์นำไปใช้เพื่อประโยชน์และเป็นพรแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน” ลูกา 12:33 จง “เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน” 1 ทิโมธี 6:18 “เมื่อท่านจัดการเลี้ยงนั้น จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด” ลูกา14:13 “การแก้พันธนะอธรรม” “แก้สายรัดของแอก” “ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ” “หักแอกทั้งหมดเสีย” “แบ่งอาหารของเจ้ากับคนหิว” “นำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้าน” “เมื่อเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้” “ให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มเอิบ” อิสยาห์ 58:6, 7, 10 “พวกท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” มาระโก 16:15 นี่คือพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่มีชื่อว่าเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่กำลังทำหน้าที่นี้อยู่หรือไม่ {COL 370.1}
Alas, how many are appropriating to themselves the gifts of God! How many are adding house to house and land to land. How many are spending their money for pleasure, for the gratification of appetite, for extravagant houses, furniture, and dress. Their fellow beings are left to misery and crime, to disease and death. Multitudes are perishing without one pitying look, one word or deed of sympathy. {COL 371.1}
แต่อนิจจามีสักกี่คนกำลังใช้ของประทานของพระเจ้าสำหรับตัวเอง มีสักกี่คนกำลังสร้างบ้านหลังแล้วหลังเล่า ซื้อที่ดินเพิ่มมากขึ้น มีสักกี่คนกำลังใช้เงินเพื่อความสนุกสนานเพื่อสนองความอยาก เพื่อสร้างบ้านที่ใหญ่โตเกินจำเป็น ซื้อหาของตกแต่งบ้านและเครื่องนุ่งห่มที่ฟุ่มเฟือย ในขณะที่เพื่อนร่วมโลกของเขาถูกปล่อยให้อยู่ในความทุกข์และตกอยู่ในความชั่ว อยู่กับโรคภัยและความตาย คนจำนวนมากกำลังพินาศไปโดยปราศจากการมองดูด้วยความเมตตา ไม่มีแม้แต่คำพูดสักคำหรือการช่วยเหลือด้วยความเห็นใจ {COL 371.1}
Men are guilty of robbery toward God. Their selfish use of means robs the Lord of the glory that should be reflected back to Him in the relief of suffering humanity and the salvation of souls. They are embezzling His entrusted goods. The Lord declares, “I will come near to you to judgment; and I will be a swift witness against . . . those that oppress the hireling in his wages, the widow, and the fatherless, and that turn aside the stranger from his right.” “Will a man rob God? Yet ye have robbed Me. But ye say, Wherein have we robbed Thee? In tithes and offerings. Ye are cursed with a curse; for ye have robbed Me, even this whole nation.” Malachi 3:5, 8, 9. “Go to now, ye rich men, . . . your riches are corrupted, and your garments are motheaten. Your gold and silver is cankered, and the rust of them shall be a witness against you. . . . Ye have heaped treasure together for the last days.” “Ye have lived in pleasure on the earth, and been wanton.” “Behold, the hire of the laborers who have reaped down your fields, which is of you kept back by fraud, crieth: and the cries of them which have reaped are entered into the ears of the Lord of sabaoth.” James 5:1-3, 5, 4. {COL 371.2}
มนุษย์ทำผิดฐานฉ้อโกงพระเจ้า ด้วยการใช้ทรัพย์สินเงินทองอย่างเห็นแก่ตัว พวกเขาปล้นสง่าราศีของพระเจ้าไป ซึ่งควรสะท้อนกลับไปหาพระองค์ในการช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์และช่วยจิตวิญญาณให้รอด พวกเขากำลังยักยอกสินทรัพย์ที่พระเจ้าฝากไว้ พระเจ้าทรงประกาศว่า “เราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษ…ผู้บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง ผู้บีบบังคับแม่ม่ายและลูกกำพร้า ผู้ผลักไสคนต่างด้าวให้ไปเสีย” “มนุษย์จะฉ้อโกลพระเจ้าหรือ ที่จริงเจ้าทั้งหลายได้ฉ้อโกงเรา แต่เจ้ากล่าวว่า ‘ พวกเราฉ้อโกงพระเจ้าอย่างไร’ ก็ฉ้อโกงในเรื่องทศางค์และเครื่องบูชานั่นซิ เจ้าทั้งหลายต้องถูกสาปแช่งด้วยคำสาปแช่ง เพราะเจ้าฉ้อโกงเราทั้งชาติ” มาลาคี 3:5, 8, 9 “ฟังให้ดีนะ พวกคนมั่งมี…ทรัพย์สมบัติของท่านก็ผุพัง เสื้อผ้าของพวกท่านก็ถูกแมลงกัดกิน ทองและเงินของท่านก็ขึ้นสนิม และสนิมนั้นก็จะเป็นพยานปรักปรำท่าน…ท่านสะสมสมบัติไว้สำหรับวาระสุดท้าย” “ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือยและปล่อยตัว” “นี่แน่ะค่าจ้างของคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้าวในนาของพวกท่าน ที่ท่านฉ้อโกงไว้นั้นก็ฟ้องร้องขึ้นและเสียงร้องทุกข์ของคนงานเหล่านั้นที่เกี่ยวข้าวก็ดังไปถึงพระกรรณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมทัพแล้ว” ยากอบ 5:1-3, 5, 4 {COL 371.2}
Everyone will be required to render up his entrusted gifts. In the day of final judgment men’s hoarded wealth will be worthless to them. They have nothing they can call their own. {COL 372.1}
ทุกคนจะต้องมอบคืนของประทานที่ได้รับฝากไว้ ในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย ทรัพย์สินที่มนุษย์กักตุนไว้จะไม่มีค่าสำหรับเขาอีกต่อไป พวกเขาไม่มีสิ่งใดที่จะเรียกได้ว่าเป็นของตนเอง {COL 372.1}
Those who spend their lives in laying up worldly treasure show less wisdom, less thought and care for their eternal well-being, than did the unjust steward for his earthly support. Less wise than the children of this world in their generation are these professed children of the light. These are they of whom the prophet declared, in his vision of the great judgment day, “A man shall cast the idols of his silver, and the idols of his gold [margin]; which they made each one for himself to worship, to the moles and to the bats; to go into the clefts of the rocks, and into the tops of the ragged rocks, for fear of the Lord, and for the glory of His majesty, when He ariseth to shake terribly the earth.” Isaiah 2:20, 21. {COL 372.2}
ผู้ที่ใช้ชีวิตสะสมทรัพย์สมบัติทางโลกได้แสดงออกว่ามีสติปัญญา ความคิดและสนใจความสุขนิรันดร์น้อยกว่าพ่อบ้านอธรรมที่แสวงหาการจุนเจือทางโลก บุตรแห่งความสว่างเหล่านี้มีความฉลาดน้อยกว่าบุตรของโลกยุคนี้ ในนิมิตของเรื่องวันพิพากษายิ่งใหญ่ผู้เผยพระวจนะกล่าวถึงคนเหล่านี้ว่า “คนจะเหวี่ยงรูปเคารพของเขาที่ทำด้วยเงินและรูปเคารพที่ทำด้วยทองคำซึ่งพวกเขาทำให้กับตัวเองเพื่อใช้กราบไหว้นั้นออกไปยังตัวตุ่นและตัวค้างคาว เพื่อจะเข้าถ้ำหินและเข้าซอกผาให้พ้นจากความน่าเกรงกลัวของพระยาห์เวห์และพ้นจากรัศมีแห่งความโอ่อ่าตระการของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นทำให้โลกสั่นสะเทือน” อิสยาห์ 2:20, 21 {COL 372.2}
“Make to yourselves friends by means of the mammon of unrighteousness,” Christ says, “that when it shall fail, they may receive you into the eternal tabernacles.” R.V. God and Christ and angels are all ministering to the afflicted, the suffering, and the sinful. Give yourself to God for this work, use His gifts for this purpose, and you enter into partnership with heavenly beings. Your heart will throb in sympathy with theirs. You will be assimilated to them in character. To you these dwellers in the eternal tabernacles will not be strangers. When earthly things shall have passed away, the watchers at heaven’s gates will bid you welcome. {COL 373.1}
พระคริสต์ตรัสว่า “จงทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยเงินทองอธรรม เพื่อที่ว่าเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยตลอดไป” ลูกา 16:9 พระเจ้าและพระคริสต์และทูตสวรรค์ทรงทำงานร่วมกันเพื่อคนที่ได้รับความลำบาก คนที่ตกทุกข์ได้ยากและคนบาปหนา จงถวายตัวท่านให้กับพระเจ้าเพื่องานนี้ จงใช้ของประทานของพระเจ้าเพื่อพระประสงค์นี้ แล้วท่านจะได้เข้าร่วมงานกับชาวสวรรค์ จิตใจของท่านจะเต้นประสานกับจิตใจของชาวสวรรค์ ท่านจะทำให้พวกเขาซึมซับให้มีอุปนิสัยเหมือนของท่าน สำหรับท่านแล้ว ผู้ที่อยู่ในสถานศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่เป็นแขกแปลกหน้าอีกต่อไป เมื่อสรรพสิ่งในโลกนี้ล่วงไป ผู้เฝ้าประตูสวรรค์จะโบกมือต้อนรับท่านด้วยความยินดี {COL 373.1}
And the means used to bless others will bring returns. Riches rightly employed will accomplish great good. Souls will be won to Christ. He who follows Christ’s plan of life will see in the courts of God those for whom he has labored and sacrificed on earth. Gratefully will the ransomed ones remember those who have been instrumental in their salvation. Precious will heaven be to those who have been faithful in the work of saving souls. {COL 373.2}
เงินทองที่ท่านใช้เพื่อเป็นพรแก่ผู้อื่นจะได้กลับคืนมายังท่านอีก เงินทองที่ใช้ไปอย่างถูกต้องจะช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่ จะชักนำจิตวิญญาณกลับมาหาพระคริสต์ ผู้ที่ปฏิบัติตามแผนการแห่งชีวิตของพระคริสต์จะได้เห็นคนที่เขาช่วยเหลือและเสียสละขณะที่อยู่ในโลกนี้ในพระราชวังของพระเจ้า ผู้ที่ได้รับการไถ่จะจดจำผู้ที่เป็นสื่อนำความรอดไปให้พวกเขาด้วยความขอบคุณ สวรรค์จะมีค่ามากยิ่งสำหรับผู้ซื่อสัตย์ที่ทำงานรับใช้เพื่อช่วยจิตวิญญาณให้รอด {COL 373.2}
The lesson of this parable is for all. Everyone will be held responsible for the grace given him through Christ. Life is too solemn to be absorbed in temporal or earthly matters. The Lord desires that we shall communicate to others that which the eternal and unseen communicates to us. {COL 373.3}
บทเรียนของอุปมานี้มีไว้สำหรับคนทั้งหลาย ทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อพระคุณที่ประทานแก่เขาผ่านทางพระคริสต์ ชีวิตมีค่าเกินกว่าที่จะสนใจเรื่องต่างๆ ในโลก พระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะให้เราเป็นสื่อให้แก่ผู้อื่นถึงสิ่งที่พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์และตามองไม่เห็นได้สื่อให้เรารับรู้ {COL 373.3}
Every year millions upon millions of human souls are passing into eternity unwarned and unsaved. From hour to hour in our varied life opportunities to reach and save souls are opened to us. These opportunities are continually coming and going. God desires us to make the most of them. Days, weeks, and months are passing; we have one day, one week, one month less in which to do our work. A few more years at the longest, and the voice which we cannot refuse to answer will be heard saying, “Give an account of thy stewardship.” {COL 373.4}
ทุกปีมีจิตวิญญาณของมนุษย์ชาตินับล้านๆ ดวงที่กาวเข้าสู่นิรันดร์กาลโดยไม่ได้รับคำเตือนและไม่ได้รับความรอด ทุกๆ ชั่วโมงในชีวิตอันหลากหลายของเรามีโอกาสที่เปิดออกเพื่อเข้าถึงและช่วยเหลือจิตวิญญาณให้รอด โอกาสเหล่านี้เกิดขึ้นและจากเราไปอย่างต่อเนื่อง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราฉวยโอกาสนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด หลายวัน หลายสัปดาห์ และหลายเดือนผ่านไป เรามีหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือนลดน้อยลงที่จะทำงานของเรา เรามีเวลาที่เหลืออยู่อย่างมากที่สุดคืออีกไม่กี่ปี เสียงที่เราปฏิเสธที่จะตอบก็ดังขึ้นมาว่า “เอาบัญชีพ่อบ้านของเจ้ามา” ลูกา 16:2 {COL 373.4}
Christ calls upon every one to consider. Make an honest reckoning. Put into one scale Jesus, which means eternal treasure, life, truth, heaven, and the joy of Christ in souls redeemed; put into the other every attraction the world can offer. Into one scale put the loss of your own soul, and the souls of those whom you might have been instrumental in saving; into the other, for yourself and for them, a life that measures with the life of God. Weigh for time and for eternity. While you are thus engaged, Christ speaks: “What shall it profit a man, if he shall gain the whole world, and lose his own soul?” Mark 8:36. {COL 374.1}
พระคริสต์ทรงเชิญชวนให้ทุกคนคิดบัญชีด้วยความจริงใจสัตย์ซื่อ จงวางพระเยซูบนจานตาชั่งด้านหนึ่งซึ่งหมายถึงสมบัติ ชีวิต ความจริงนิรันดร์ สวรรค์และความชื่นชมยินดีของจิตวิญญาณที่ได้รับการไถ่ในพระคริสต์ ส่วนอีกด้านหนึ่งให้ใส่สิ่งที่น่าสนใจทุกอย่างที่โลกนี้จะมอบให้ คราวนี้ให้เอาจิตวิญญาณที่หลงหายของท่าน และจิตวิญญาณของคนอื่นที่ท่านน่าจะมีส่วนช่วยเหลือให้ปลอดภัยวางไว้บนจานตาชั่งอีกด้านหนึ่งและส่วนอีกด้านหนึ่งให้เอาชีวิตของท่านและชีวิตของคนอื่นๆ เทียบกับชีวิตของพระเจ้า จงชั่งสำหรับเวลานี้และสำหรับเวลาอันเป็นนิรันดร์ ขณะที่ท่านกำลังกระทำสิ่งเหล่านี้อยู่ พระคริสต์ตรัสว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน” มาระโก 8:36 {COL 374.1}
God desires us to choose the heavenly in place of the earthly. He opens before us the possibilities of a heavenly investment. He would give encouragement to our loftiest aims, security to our choicest treasure. He declares, “I will make a man more precious than fine gold; even a man than the golden wedge of Ophir.” Isaiah 13:12. When the riches that moth devours and rust corrupts shall be swept away, Christ’s followers can rejoice in their heavenly treasure, the riches that are imperishable. {COL 374.2}
พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราเลือกสิ่งของในสวรรค์แทนสิ่งของในโลกนี้ พระองค์ทรงเปิดทางให้เราลงทุนเพื่อกิจการในสวรรค์ ทรงปรารถนาให้การหนุนใจสำหรับเป้าหมายชีวิตที่สูงส่ง พระองค์ประทานหลักประกันสำหรับสมบัติที่มีค่ามากที่สุด พระองค์ตรัสว่า “เราจะทำให้หาคนนั้นยากกว่าการหาทองคำนพคุณและการหามนุษย์ยากกว่าการหาทองคำแห่งโอฟีร์” อิสยาห์ 13:12 ในขณะที่ทรัพย์สมบัติซึ่งมอดกินได้และสนิมกัดกร่อนถูกกวาดทิ้งไปแล้วนั้น ผู้ติดตามตามพระคริสต์จะชื่นชมยินดีในสมบัติสวรรค์ของพวกเขาซึ่งเป็นทรัพย์ที่ไม่เสื่อมสลาย {COL 374.2}
Better than all the friendship of the world is the friendship of Christ’s redeemed. Better than a title to the noblest palace on earth is a title to the mansions our Lord has gone to prepare. And better than all the words of earthly praise will be the Saviour’s words to His faithful servants, “Come, ye blessed of My Father, inherit the kingdom prepared for you from the foundation of the world.” Matthew 25:34. {COL 374.3}
การเป็นมิตรกับผู้ที่พระคริสต์ทรงไถ่ให้รอดแล้วดียิ่งกว่ามิตรภาพทั้งหลายของโลก การเป็นเจ้าของปราสาทที่พระเป็นเจ้าทรงไปจัดเตรียมให้เรานั้นจะดียิ่งกว่าการเป็นเจ้าของราชวังที่สวยงามที่สุดของโลกนี้ และคำชมของพระผู้ช่วยให้รอดที่ให้ไว้กับผู้รับใช้ซื่อสัตย์เมื่อพระองค์ทรงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก” มัทธิว 25:34 ก็ดียิ่งกว่าคำเยินยอใดๆ ของโลก {COL 374.3}
To those who have squandered His goods, Christ still gives opportunity to secure lasting riches. He says, “Give, and it shall be given unto you.” “Provide yourselves bags which wax not old, a treasure in the heavens that faileth not, where no thief approacheth, neither moth corrupteth.” Luke 6:38; 12:33. “Charge them that are rich in this world, . . . that they do good, that they be rich in good works, ready to distribute, willing to communicate; laying up in store for themselves a good foundation against the time to come, that they may lay hold on eternal life.” 1 Timothy 6:17-19. {COL 374.4}
สำหรับคนที่ใช้ทรัพย์สินเงินทองของพระองค์ไปอย่างสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย พระคริสต์ก็ยังประทานโอกาสที่จะให้เขาได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ยั่งยืนนิรันดร์ พระองค์ตรัสว่า “จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วย” “จงทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือมีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้หมดสิ้น ที่ขโมยไม่ได้เข้ามาใกล้และที่ตัวแมลงไม่ได้ทำลาย” ลูกา 6:38 , 12:33 “ส่วนพวกที่มั่งคั่งในชีวิตนี้…..จงกำชับพวกเขาให้ทำการดี ให้ทำการดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน การทำเช่นนี้เป็นการสะสมทรัพย์ที่เป็นรากฐานอันดีสำหรับตนในภายหน้า เพื่อพวกเขาจะยึดมั่นในชีวิตคือชีวิตที่แท้จริงนั้น” 1 ทิโมธี 6:17-19 {COL 374.4}
Then let your property go beforehand to heaven. Lay up your treasures beside the throne of God. Make sure your title to the unsearchable riches of Christ. “Make to yourselves friends by means of the mammon of unrighteousness, that when it shall fail, they may receive you into the eternal tabernacles.” R.V. {COL 375.1}
ดังนั้นจงให้สมบัติของท่านไปสวรรค์ก่อนตัวท่าน จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ข้างพระบัลลังก์ของพระเจ้า จงมั่นใจว่าท่านมีชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติอันหาค่าเปรียบไม่ได้ของพระคริสต์ “จงทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยเงินทองอธรรม เพื่อที่ว่าเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยตลอดไป” ลูกา 16:9 {COL 375.1}