Chapter 28 (บทที่ 28)
“The Reward of Grace”
“บำเหน็จแห่งพระคุณ” อ้างอิงจากมัทธิว 19:16–30, 20:1–16, มาระโก 10:17–31, ลูกา 18:18–30
The truth of God’s free grace had been almost lost sight of by the Jews. The rabbis taught that God’s favor must be earned. The reward of the righteous they hoped to gain by their own works. Thus their worship was prompted by a grasping, mercenary spirit. From this spirit even the disciples of Christ were not wholly free, and the Saviour sought every opportunity of showing them their error. Just before He gave the parable of the laborers, an event occurred that opened the way for Him to present the right principles. {COL 390.1}
ความจริงเรื่องพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่านั้นแทบจะหายไปจากสายตาของชาวยิว พวกอาจารย์สอนว่าความเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้านั้นจะได้มาโดยการกระทำ บำเหน็จรางวัลของความชอบธรรมที่พวกเขาหวังจะได้นั้นอยู่ที่การกระทำด้วยตนเอง ดังนั้นการนมัสการของพวกเขาจึงได้รับการกระตุ้นด้วยวิญญาณแห่งความโลภและเห็นแก่ได้ สาวกของพระคริสต์ก็ไม่ได้หลุดพ้นจากความคิดเช่นเดียวกันนี้ และพระผู้ช่วยทรงพยายามฉวยโอกาสที่จะสำแดงให้เห็นถึงความผิดของพวกเขาเอง ไม่นานนักก่อนที่พระคริสต์จะตรัสอุปมาเรื่องคนทำงาน มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่เปิดโอกาสให้พระองค์เสนอหลักการที่ถูกต้อง {COL 390.1}
As He was walking by the way, a young ruler came running to Him, and kneeling, reverently saluted Him. “Good Master,” he said, “what good thing shall I do, that I may have eternal life?” {COL 390.2}
ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปนั้นก็มีขุนนางหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้าหาพระองค์และคุกเข่าลง คำนับพระองค์อย่างสุภาพ พูดว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” มาระโก 10:17 {COL 390.2}
The ruler had addressed Christ merely as an honored rabbi, not discerning in Him the Son of God. The Saviour said, “Why callest thou Me good? There is none good but one, that is, God.” On what ground do you call Me good? God is the one good. If you recognize Me as such, you must receive Me as His Son and representative. {COL 390.3}
ขุนนางผู้นี้ทักทายพระคริสต์เป็นเพียงอาจารย์ที่ประเสริฐโดยไม่ได้มองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยจึงตรัสว่า “ท่านใช้คำว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว” มาระโก 10:18 พระองค์ตรัสในทำนองนี้ว่า ท่านใช้หลักการใดในการเรียกเราเป็นอาจารย์ผู้ประเสริฐ พระเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐแต่ผู้เดียว หากเจ้ามองเห็นว่าเราประเสริฐเจ้าจะต้องยอมรับว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นผู้แทนของพระองค์ {COL 390.3}
“If thou wilt enter into life,” He added, “keep the commandments.” The character of God is expressed in His law; and in order for you to be in harmony with God, the principles of His law must be the spring of your every action. {COL 391.1}
พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ถ้าท่านต้องการจะเข้าสู่ชีวิตก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” มัทธิว 19:17 พระลักษณะนิสัยของพระเจ้าสำแดงออกในบัญญัติของพระเจ้าและเพื่อที่จะให้ท่านมีความเป็นหนึ่งกับพระเจ้าหลักการของบัญญัติของพระเจ้าจะต้องเป็นสิ่งที่กระตุ้นการกระทำทุกอย่างของท่าน {COL 391.1}
Christ does not lessen the claims of the law. In unmistakable language He presents obedience to it as the condition of eternal life–the same condition that was required of Adam before his fall. The Lord expects no less of the soul now than He expected of man in Paradise, perfect obedience, unblemished righteousness. The requirement under the covenant of grace is just as broad as the requirement made in Eden–harmony with God’s law, which is holy, just, and good. {COL 391.2}
พระคริสต์ไม่ได้ทรงลดข้อเรียกร้องของพระบัญญัติ พระองค์ทรงเสนอด้วยคำพูดที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการเชื่อฟังเป็นเงื่อนไขของชีวิตนิรันดร์ เป็นเงื่อนไขเดียวกันกับที่เสนอไว้ให้แก่อาดัมก่อนที่เขาจะล้มลงในความบาป พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงตั้งความหวังในจิตวิญญาณในระดับที่ต่ำกว่าที่พระองค์ทรงตั้งไว้สำหรับมนุษย์ในอุทยานสวรรค์ คือการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แบบไม่มีด่างพร้อยและชอบธรรม ข้อกำหนดภายใต้พระบัญญัติแห่งพระคุณมีความกว้างเท่าเทียมกับข้อเรียกร้องที่ทรงจัดตั้งไว้ในสวนเอเดน คือการสอดประสานเข้ากับพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์ ยุติธรรมและดี {COL 391.2}
To the words, “Keep the commandments,” the young man answered, “Which?” He supposed that some ceremonial precept was meant, but Christ was speaking of the law given from Sinai. He mentioned several commandments from the second table of the Decalogue, then summed them all up in the precept, “Thou shalt love thy neighbour as thyself.” {COL 391.3}
เมื่อได้รับคำสั่ง “ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” ชายหนุ่มได้ถามขึ้นว่า “พระบัญญัติข้อไหนบ้าง” มัทธิว 19:18 เขาคาดเดาว่าคงหมายถึงพระบัญญัติเกี่ยวกับการถวายบูชาข้อใดข้อหนึ่ง แต่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงพระบัญญัติที่ทรงโปรดประทานให้จากภูเขาซีนาย พระองค์ตรัสถึงพระบัญญัติหลายข้อของพระบัญญัติสิบประการจากศิลาแผ่นที่สอง แล้วทรงสรุปเป็นข้อความเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” มัทธิว 19:19 {COL 391.3}
The young man answered without hesitation, “All these things have I kept from my youth up; what lack I yet?” His conception of the law was external and superficial. Judged by a human standard, he had preserved an unblemished character. To a great degree his outward life had been free from guilt; he verily thought that his obedience had been without a flaw. Yet he had a secret fear that all was not right between his soul and God. This prompted the question, “What lack I yet?” {COL 391.4}
ชายหนุ่มตอบอย่างไม่รีรอ “ข้าพเจ้ารักษาข้อเหล่านั้นทุกข้ออยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง” มัทธิว 19:20 เขาเข้าใจพระบัญญัติเพียงแต่ภายนอกและผิวเผิน โดยมาตรฐานของมนุษย์แล้ว เขารักษาอุปนิสัยได้ดีไม่มีด่างพร้อย จะว่าไปแล้วจากลักษณะทั่วไป ชีวิตภายนอกของเขานั้นไม่มีความบาปผิดใด เขามีความคิดว่าการเชื่อฟังของตนเองนั้นไม่มีที่ติ ถึงกระนั้นเขายังมีความกลัวลึกๆ อยู่ภายในว่ายังมีบางสิ่งไม่ถูกต้องระหว่างจิตวิญญาณของเขากับพระเจ้า นี่คือสิ่งที่กระตุ้นให้เขาถามขึ้นว่า “ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง” {COL 391.4}
“If thou wilt be perfect,” Christ said, “go and sell that thou hast, and give to the poor, and thou shalt have treasure in heaven, and come and follow Me. But when the young man heard that saying, he went away sorrowful; for he had great possessions.” {COL 391.5}
พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์และจงตามเรามา เมื่อชายหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก” มัทธิว 19:21, 22 {COL 391.5}
The lover of self is a transgressor of the law. This Jesus desired to reveal to the young man, and He gave him a test that would make manifest the selfishness of his heart. He showed him the plague spot in his character. The young man desired no further enlightenment. He had cherished an idol in the soul; the world was his god. He professed to have kept the commandments, but he was destitute of the principle which is the very spirit and life of them all. He did not possess true love for God or man. This want was the want of everything that would qualify him to enter the kingdom of heaven. In his love of self and worldly gain he was out of harmony with the principles of heaven. {COL 392.1}
ผู้ที่รักตนเองเป็นผู้ที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติ พระเยซูทรงปรารถนาที่จะเปิดเผยให้ชายหนุ่มได้เห็น และพระองค์ทรงทดสอบเขาเพื่อจะเปิดเผยความเห็นแก่ตัวในใจของเขา พระองค์ทรงแสดงให้เขาเห็นจุดชั่วร้ายในอุปนิสัยของเขา ชายหนุ่มไม่ต้องการที่จะรู้แจ้งเห็นจริงเพิ่มเติม เขาเก็บถนอมรูปเคารพตนหนึ่งไว้ในจิตใจ โลกเป็นพระของเขา เขาอ้างว่าตนเป็นผู้ที่ถือรักษาพระบัญญัติ แต่เขาขาดแคลนหลักการซึ่งเป็นหัวใจและชีวิตของทุกสิ่งทั้งหมด เขาไม่มีความรักแท้จริงให้กับพระเจ้าหรือมนุษย์ การขาดแคลนนี้เป็นการขาดแคลนทุกสิ่งที่จะทำให้เขามีความเหมาะสมเพื่อเข้าไปยังแผ่นดินสวรรค์ ความรักตนเองและการได้มาซึ่งสมบัติทางโลก ทำให้เขาดำเนินชีวิตไม่สอดคล้องกับหลักการของสวรรค์ {COL 392.1}
When this young ruler came to Jesus, his sincerity and earnestness won the Saviour’s heart. He “beholding him loved him.” In this young man He saw one who might do service as a preacher of righteousness. He would have received this talented and noble youth as readily as He received the poor fishermen who followed Him. Had the young man devoted his ability to the work of saving souls, he might have become a diligent and successful laborer for Christ. {COL 392.2}
ในขณะที่ขุนนางผู้นี้มาหาพระเยซู ความจริงใจและความตั้งใจของเขาได้ชนะพระทัยของพระผู้ช่วย พระองค์ “ทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา” มาระโก 10: 21 TBS1971 ในตัวของชายหนุ่มคนนี้ พระองค์ทรงเห็นคนหนึ่งซึ่งจะทำงานรับใช้พระเจ้าในฐานะผู้ประกาศแห่งความชอบธรรมได้ พระองค์ทรงพร้อมที่จะต้อนรับขุนนางหนุ่มและประทานความสามารถเหมือนกับที่พระองค์ทรงต้อนรับชาวประมงยากจนที่ได้ติดตามพระองค์ หากชายหนุ่มอุทิศความสามารถของเขาเพื่อการช่วยจิตวิญญาณให้รอด เขาก็อาจจะเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ที่ขยันขันแข็งและประสบความสำเร็จ {COL 392.2}
But first he must accept the conditions of discipleship. He must give himself unreservedly to God. At the Saviour’s call, John, Peter, Matthew, and their companions “left all, rose up, and followed Him.” Luke 5:28. The same consecration was required of the young ruler. And in this Christ did not ask a greater sacrifice than He Himself had made. “He was rich, yet for your sakes He became poor, that ye through His poverty might be rich.” 2 Corinthians 8:9. The young man had only to follow where Christ led the way. {COL 393.1}
แต่ก่อนอื่น เขาจะต้องยอมรับเงื่อนไขของการเป็นสาวก เขาจะต้องถวายตัวแก่พระเจ้าโดยไม่มีข้อแม้ เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียก ยอห์น มัทธิวและเพื่อนของเขา พวกเขา “ก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง ลุกขึ้นตามพระองค์ไป” ลูกา 5:28 ขุนนางหนุ่มคนนี้ก็ต้องมีใจที่อุทิศตนแบบเดียวกัน การอุทิศตนเช่นนี้พระคริสต์ไม่ได้เรียกร้องการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าที่พระองค์ทรงยอมสละมาแล้ว “แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่งเนื่องจากความยากจนของพระองค์” 2 โครินธ์ 8:9 ชายหนุ่มคนนี้เพียงแต่ต้องเดินตามในทางที่พระคริสต์ทรงนำไป {COL 393.1}
Christ looked upon the young man and longed after his soul. He longed to send him forth as a messenger of blessing to men. In the place of that which He called upon him to surrender, Christ offered him the privilege of companionship with Himself. “Follow Me,” He said. This privilege had been counted a joy by Peter, James, and John. The young man himself looked upon Christ with admiration. His heart was drawn toward the Saviour. But he was not ready to accept the Saviour’s principle of self-sacrifice. He chose his riches before Jesus. He wanted eternal life, but would not receive into the soul that unselfish love which alone is life, and with a sorrowful heart he turned away from Christ. {COL 393.2}
พระคริสต์ทอดพระเนตรชายหนุ่มและทรงต้องการจิตวิญญาณของเขา พระองค์ทรงหวังที่จะส่งเขาไปเป็นผู้สื่อข่าวแห่งพระพรแก่เพื่อนมนุษย์ พระองค์ทรงทดแทนความเสียสละที่เรียกร้องจากเขา ด้วยการเสนอสิทธิพิเศษคือการเป็นมิตรกับพระองค์ให้แก่เขา พระองค์ตรัสว่า “จงตามเรามา” เป็นสิทธิพิเศษที่เปโตร ยากอบ และยอห์นถือว่าเป็นความชื่นชมยินดี ชายหนุ่มเองมองพระคริสต์ด้วยความยกย่องนับถือ หัวใจของเขาถูกนำเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอด แต่เขาไม่พร้อมที่จะรับหลักการเสียสละของพระผู้ช่วยให้รอด เขาเลือกสมบัติของตนก่อนการเลือกพระเยซู เขาต้องการชีวิตนิรันดร์ แต่ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวซึ่งเป็นชีวิตนั้นเขากลับไม่ยอมรับไว้ในจิตวิญญาณ และด้วยจิตใจที่ทุกข์โศกได้เดินจากพระคริสต์ไป {COL 393.2}
As the young man turned away, Jesus said to His disciples, “How hardly shall they that have riches enter into the kingdom of God.” These words astonished the disciples. They had been taught to look upon the rich as the favorites of heaven; worldly power and riches they themselves hoped to receive in the Messiah’s kingdom; if the rich were to fail of entering the kingdom, what hope could there be for the rest of men? {COL 393.3}
ขณะที่ชายหนุ่มหันหลังไป พระเยซูตรัสกับสาวกว่า “คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ ” มาระโก 10:23 ถ้อยคำนี้ทำให้สาวกต่างตกตะลึง พวกเขาได้รับการสอนว่าคนร่ำรวยเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ พวกเขาหวังที่จะได้รับอำนาจและความมั่งคั่งของทางโลกในอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ หากคนร่ำรวยเข้าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ จะมีความหวังใดเล่า {COL 393.3}
“Jesus answereth again, and saith unto them, Children, how hard is it for them that trust in riches to enter into the kingdom of God! It is easier for a camel to go through the eye of a needle, than for a rich man to enter into the kingdom of God. And they were astonished out of measure.” Now they realized that they themselves were included in the solemn warning. In the light of the Saviour’s words, their own secret longing for power and riches was revealed. With misgivings for themselves they exclaimed, “Who then can be saved?” {COL 394.1}
“พระเยซูตรัสแก่พวกเขาอีกว่า ลูกเอ๋ย สำหรับคนที่วางใจในทรัพย์สมบัติ การเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า เหล่าสาวกก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง” บัดนี้พวกเขารู้ตัวแล้วว่า ตนเองก็รวมอยู่ในคำเตือนสำคัญนี้ ในแสงสว่างของคำพูดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ความต้องการอำนาจและทรัพย์สมบัติที่แอบซ่อนอยู่ภายในได้ถูกเปิดเผย ด้วยความหวั่นหวาดใจตนเอง พวกเขาจึงร้องขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้” มาระโก 10:24-26 {COL 394.1}
“Jesus looking upon them saith, With men it is impossible, but not with God; for with God all things are possible.” {COL 394.2}
“พระเยซูทอดพระเนตรพวกเขาแล้วตรัสว่า ส่วนมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” มาระโก 10:27 {COL 394.2}
A rich man, as such, cannot enter heaven. His wealth gives him no title to the inheritance of the saints in light. It is only through the unmerited grace of Christ that any man can find entrance into the city of God. {COL 394.3}
คนที่ร่ำรวยในสภาพเช่นชายคนนี้เข้าสวรรค์ไม่ได้ สมบัติของเขาให้สิทธิเพื่อรับมรดกของธรรมมิกชนแห่งความสว่างไม่ได้ โดยอาศัยพระคุณอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระคริสต์เท่านั้นที่มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นใครก็เข้าไปยังนครของพระเจ้าได้ {COL 394.3}
To the rich no less than to the poor are the words of the Holy Spirit spoken, “Ye are not your own; for ye are bought with a price.” 1 Corinthians 6:19, 20. When men believe this, their possessions will be held as a trust, to be used as God shall direct, for the saving of the lost, and the comfort of the suffering and the poor. With man this is impossible, for the heart clings to its earthly treasure. The soul that is bound in service to mammon is deaf to the cry of human need. But with God all things are possible. By beholding the matchless love of Christ, the selfish heart will be melted and subdued. The rich man will be led, as was Saul the Pharisee, to say, “What things were gain to me, those I counted loss for Christ. Yea doubtless, and I count all things but loss for the excellency of the knowledge of Christ Jesus my Lord.” Philippians 3:7, 8. Then they will not count anything their own. They will joy to regard themselves as stewards of the manifold grace of God, and for His sake servants of all men. {COL 394.4}
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าตรัสกับคนร่ำรวยไม่ด้อยไปกว่ากับคนยากจนว่า “ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้ว” 1โครินธ์ 6:19 , 20 เมื่อมนุษย์เชื่ออย่างนี้ ทุกสิ่งที่เขาครอบครองอยู่ก็จะถือว่าได้รับฝากไว้เพื่อใช้ตามที่พระเจ้าทรงชี้แนะ สำหรับช่วยผู้ที่หลงหายและสงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยากและผู้ยากไร้ สำหรับมนุษย์ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะใจยึดติดกับสมบัติทางโลก จิตวิญญาณที่ผูกพันกับการรับใช้ทรัพย์สมบัติจะไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า การมองไปยังความรักอันไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ของพระคริสต์ทำให้จิตใจที่เห็นแก่ตัวละลายไปและยอมจำนนต่อพระองค์ เศรษฐีคนนี้จะถูกนำให้พูดเช่นเดียวกับเซาโลคนฟาริสีว่า “อะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุนเพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” ฟีลิปปี 3:7, 8 แล้วเขาจะไม่นับสิ่งใดว่าเป็นของตน พวกเขาจะชื่นชมที่ถือว่าตนเป็นผู้อารักขาพระคุณอันใหญ่หลวงของพระเจ้าและเป็นผู้รับใช้มนุษย์ทุกคนเพื่อเห็นแก่พระองค์ {COL 394.4}
Peter was the first to rally from the secret conviction wrought by the Saviour’s words. He thought with satisfaction of what he and his brethren had given up for Christ. “Behold,” he said, “we have forsaken all, and followed Thee.” Remembering the conditional promise to the young ruler, “Thou shalt have treasure in heaven,” he now asked what he and his companions were to receive as a reward for their sacrifices. {COL 395.1}
เปโตรเป็นคนแรกที่แสดงออกถึงความคิดอันลึกล้ำ ซึ่งเป็นผลจากพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด เขาคิดด้วยความภูมิใจในสิ่งที่เขาและน้องชายยอมเสียสละเพื่อพระผู้ช่วยให้รอด เขาพูดว่า “นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายยอมสละสิ่งสารพัดและติดตามพระองค์มา” เขาคิดถึงคำสัญญาอันมีข้อแม้ที่ขุนนางหนุ่มได้รับที่กล่าวว่า “ท่านจึงมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์” และเขาก็ถามว่าเขาและเพื่อนๆ จะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทนสำหรับการเสียสละของพวกเขา มาระโก 10:27, 21 {COL 395.1}
The Saviour’s answer thrilled the hearts of those Galilean fishermen. It pictured honors that fulfilled their highest dreams: “Verily I say unto you, That ye which have followed Me, in the regeneration when the Son of man shall sit in the throne of His glory, ye also shall sit upon twelve thrones, judging the twelve tribes of Israel.” And He added, “There is no man that hath left house, or brethren, or sisters, or father, or mother, or wife, or children, or lands, for My sake, and the gospel’s, but he shall receive an hundredfold now in this time, houses, and brethren, and sisters, and mothers, and children, and lands, with persecutions; and in the world to come eternal life.” {COL 395.2}
คำตอบของพระผู้ช่วยให้รอดสร้างความตื่นเต้นให้แก่ชาวประมงชาวกาลิลีเหล่านี้ เพราะเป็นภาพของเกียรติยศที่จะทำให้ความฝันอันสูงสุดของพวกเขาสำเร็จ “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์นั้น พวกท่านที่ติดตามเราจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า” และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “ใครก็ตามที่สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา คนนั้นจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้คือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา พร้อมการข่มเหงด้วย และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์” มาระโก 10:28-30 {COL 395.2}
But Peter’s question, “What shall we have therefore?” had revealed a spirit that uncorrected would unfit the disciples to be messengers for Christ; for it was the spirit of a hireling. While they had been attracted by the love of Jesus, the disciples were not wholly free from Pharisaism. They still worked with the thought of meriting a reward in proportion to their labor. They cherished a spirit of self-exaltation and self-complacency, and made comparisons among themselves. When one of them failed in any particular, the others indulged feelings of superiority. {COL 396.1}
แต่คำถามของเปโตรที่ว่า “พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง” มัทธิว 10:27 แสดงออกถึงจิตใจที่หากไม่ได้รับการแก้ไขจะทำให้พวกสาวกไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สื่อข่าวของพระคริสต์ เพราะเป็นจิตใจของคนรับจ้าง ในขณะที่ความรักของพระเยซูดึงดูดใจของสาวกทั้งหลาย พวกเขายังไม่ได้หลุดพ้นจากความคิดแบบฟาริสี พวกเขายังทำงานด้วยความคิดที่จะได้รับสิ่งตอบแทนตามแรงงานที่ทุ่มเทไป พวกเขายังรักจิตใจที่ยกย่องตนเองและพอใจในตนเอง และเปรียบเทียบระหว่างพวกเดียวกันเอง เมื่อคนหนึ่งในพวกเขาล้มลงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนอื่นก็จะหมกมุ่นกลับความรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น {COL 396.1}
Lest the disciples should lose sight of the principles of the gospel, Christ related to them a parable illustrating the manner in which God deals with His servants, and the spirit in which He desires them to labor for Him. {COL 396.2}
เพื่อป้องกันสาวกทั้งหลายที่จะมองพลาดหลักการของข่าวประเสริฐ พระคริสต์ตรัสอุปมาเพื่ออธิบายถึงวิธีปฏิบัติของพระเจ้าต่อผู้รับใช้และลักษณะวิญญาณแห่งการรับใช้ที่พระองค์ทรงปรารถนา {COL 396.2} “The kingdom of heaven,” He said, “is like unto a man that is an householder, which went out early in the morning to hire labourers into his vineyard.” It was the custom for men seeking employment to wait in the market places, and thither the employers went to find servants. The man in the parable is represented as going out at different hours to engage workmen. Those who are hired at the earliest hours agree to work for a stated sum; those hired later leave their wages to the discretion of the householder. {COL 396.3}
พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเจ้าของสวนคนหนึ่ง ที่ออกไปจ้างคนงานเพื่อสวนองุ่นของตนตั้งแต่เวลาเช้าตรู่” มัทธิว 20:1 ตามธรรมเนียม คนหางานจะไปรอคอยในตลาด และนายจ้างจะมาหาคนทำงาน นายจ้างในอุปมานี้ออกมาหาคนงานในเวลาต่างๆ กัน ผู้ที่จ้างมาในเวลาเช้าตรู่ตกลงรับค่าจ้างตามที่บอกไว้ คนรับจ้างในเวลาต่อมาปล่อยให้ผู้จ้างพิจารณาค่าจ้างตอบแทนตามความพอใจ {COL 396.3}
“So when even was come, the lord of the vineyard saith unto his steward, Call the labourers, and give them their hire, beginning from the last unto the first. And when they came that were hired about the eleventh hour, they received every man a penny. But when the first came, they supposed that they should have received more; and they likewise received every man a penny.” {COL 396.4}
“เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เจ้าของสวนสั่งผู้จัดการว่า ไปเรียกพวกคนงานมา แล้วให้ค่าจ้างแก่พวกเขา เริ่มจากพวกสุดท้ายจนถึงพวกแรก พวกที่มาทำงานเวลาประมาณห้าโมงเย็นนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน พวกแรกจึงคิดว่าเขาจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน” มัทธิว 20:8-10 {COL 396.4}
The householder’s dealing with the workers in his vineyard represents God’s dealing with the human family. It is contrary to the customs that prevail among men. In worldly business, compensation is given according to the work accomplished. The laborer expects to be paid only that which he earns. But in the parable, Christ was illustrating the principles of His kingdom–a kingdom not of this world. He is not controlled by any human standard. The Lord says, “My thoughts are not your thoughts, neither are your ways My ways. . . . For as the heavens are higher than the earth, so are My ways higher than your ways, and My thoughts than your thoughts.” Isaiah 55:8, 9. {COL 396.5}
เจ้าของสวนที่ปฏิบัติต่อคนงานในสวนองุ่นเปรียบได้กับการปฏิบัติของพระเจ้าต่อครอบครัวมนุษยชาติ เป็นการกระทำที่ค้านกับธรรมเนียมการปฏิบัติของมนุษย์ ในธุรกิจทางโลก การตอบแทนจะให้ตามงานที่ทำ คนงานหวังที่จะได้ค่าจ้างเท่ากับงานที่ทำ แต่ในอุปมานี้พระคริสต์ทรงแสดงให้เห็นถึงหลักการของแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ เป็นแผ่นดินที่ไม่ใช่ของโลกนี้ พระองค์ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมาตรฐานมนุษย์ พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา…เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้าและความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น” อิสยาห์ 55:8, 9 {COL 396.5}
In the parable the first laborers agreed to work for a stipulated sum, and they received the amount specified, nothing more. Those later hired believed the master’s promise, “Whatsoever is right, that shall ye receive.” They showed their confidence in him by asking no question in regard to wages. They trusted to his justice and equity. They were rewarded, not according to the amount of their labor, but according to the generosity of his purpose. {COL 397.1}
ในอุปมานี้ คนงานคนแรกตกลงทำงานเพื่อค่าจ้างที่กำหนดไว้และพวกเขาก็ได้ค่าจ้างเท่ากับที่กำหนดไว้โดยไม่ได้ส่วนเพิ่มมากไปกว่านี้ ส่วนผู้ที่รับจ้างมาทีหลังเชื่อตามสัญญาของนายจ้างที่ว่า “ท่านจะได้รับค่าจ้างที่สมควร” Thai KJV พวกเขาแสดงออกถึงความไว้ใจในนายจ้างโดยไม่ถามเรื่องค่าตอบแทน ไม่ใช่โดยปริมาณงานที่ทำแต่ได้รับการตอบแทนตามความตั้งใจอันเต็มด้วยความกรุณาของนายจ้าง {COL 397.1}
So God desires us to trust in Him who justifieth the ungodly. His reward is given not according to our merit but according to His own purpose, “which He purposed in Christ Jesus our Lord.” Ephesians 3:11. “Not by works of righteousness which we have done, but according to His mercy He saved us.” Titus 3:5. And for those who trust in Him He will do “exceeding abundantly above all that we ask or think.” Ephesians 3:20. {COL 397.2}
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราวางใจพระองค์ผู้ทรงชำระคนอธรรม พระองค์ไม่ได้ประทานการตอบแทนตามความดีของเรา แต่ประทานให้ตามพระประสงค์ของพระองค์เอง “ที่พระองค์ทรงทำแล้วในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” เอเฟซัส 3:11 “ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่” ทิตัส 3:5 และสำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ พระองค์จะทรง “สามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด” เอเฟซัส 3:20 {COL 397.2}
Not the amount of labor performed or its visible results but the spirit in which the work is done makes it of value with God. Those who came into the vineyard at the eleventh hour were thankful for an opportunity to work. Their hearts were full of gratitude to the one who had accepted them; and when at the close of the day the householder paid them for a full day’s work, they were greatly surprised. They knew they had not earned such wages. And the kindness expressed in the countenance of their employer filled them with joy. They never forgot the goodness of the householder or the generous compensation they had received. Thus it is with the sinner who, knowing his unworthiness, has entered the Master’s vineyard at the eleventh hour. His time of service seems so short, he feels that he is undeserving of reward; but he is filled with joy that God has accepted him at all. He works with a humble, trusting spirit, thankful for the privilege of being a co-worker with Christ. This spirit God delights to honor. {COL 397.3}
งานที่มีคุณค่าสำหรับพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณแรงงานที่ทุ่มลงไปหรือผลของงานที่มองเห็นได้ แต่ขึ้นกับความตั้งใจของวิญญาณที่ทุ่มเทกับการทำงานนั้น ผู้ที่เข้ามายังสวนในเวลาห้าโมงนั้น มีจิตใจแห่งการขอบคุณที่ได้งานทำ หัวใจของพวกเขาเต็มล้นด้วยความซาบซึ้งใจต่อผู้ที่ยอมรับพวกเขาและเมื่อถึงเวลาเย็นเจ้าของสวนได้จ่ายเงินค่าแรงเต็มวัน พวกเขาแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาทราบดีว่าตนเองไม่สมควรที่จะได้ค่าจ้างเช่นนี้ และความเมตตาที่แสดงออกมาให้เห็นในสีหน้าของนายจ้างทำให้พวกเขามีความสุข พวกเขาจะไม่มีวันลืมความดีของเจ้าของสวนหรือค่าแรงที่ให้มาด้วยความเอื้อเฟื้อ ด้วยประการเช่นนี้ คนบาปผู้ที่ทราบดีถึงความไม่เหมาะสมของตนเอง เมื่อเข้าไปทำงานในสวนของพระผู้ทรงเป็นเจ้านายในเวลาบ่ายห้าโมง เวลาในการรับใช้นั้นสั้นเหลือเกิน เขารู้ว่าค่าตอบแทนนั้นไม่เหมาะสมกับตนเอง แต่เขาก็มีใจเปี่ยมล้นด้วยความสุขที่พระเจ้าทรงรับเขา เขาทำงานด้วยจิตวิญญาณที่ถ่อมตนและไว้วางใจ สำนึกถึงพระคุณที่ได้เข้าเป็นผู้ร่วมงานกับพระคริสต์ จิตใจแห่งการรับใช้เช่นนี้พระเจ้าทรงยอมรับด้วยความพอพระทัย {COL 397.3}
The Lord desires us to rest in Him without a question as to our measure of reward. When Christ abides in the soul, the thought of reward is not uppermost. This is not the motive that actuates our service. It is true that in a subordinate sense we should have respect to the recompense of reward. God desires us to appreciate His promised blessings. But He would not have us eager for rewards nor feel that for every duty we must receive compensation. We should not be so anxious to gain the reward as to do what is right, irrespective of all gain. Love to God and to our fellow men should be our motive. {COL 398.1}
พระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะให้เราวางใจในพระองค์โดยไม่ต้องถามถึงขนาดของค่าตอบแทน เมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในใจ เรื่องบำเหน็จตอบแทนจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด นี่ไม่ใช่สิ่งจูงใจที่กระตุ้นการทำงานรับใช้ของเรา จริงอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเรา เราสมควรที่จะให้ความเคารพต่อการให้ค่าตอบแทน พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรารู้สำนึกบุญคุณถึงพระพรแห่งพระสัญญา แต่พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการให้เราเอาใจจดจ่อต่อการจะได้รับค่าตอบแทนหรือรู้สึกว่าจะต้องได้รับค่าตอบแทนสำหรับทุกงานที่ทำ เราไม่ควรวิตกห่วงใยกับค่าตอบแทนมากไปนัก แต่ควรใส่ใจกับการกระทำที่ถูกต้องไม่ว่าจะได้การตอบแทนมากเท่าไรก็ตาม ความรักที่ถวายให้กับพระเจ้าและรักที่ให้กับเพื่อนมนุษย์จะต้องเป็นแรงจูงใจของเรา {COL 398.1}
This parable does not excuse those who hear the first call to labor but who neglect to enter the Lord’s vineyard. When the householder went to the market place at the eleventh hour and found men unemployed he said, “Why stand ye here all the day idle?” The answer was, “Because no man hath hired us.” None of those called later in the day were there in the morning. They had not refused the call. Those who refuse and afterward repent, do well to repent; but it is not safe to trifle with the first call of mercy. {COL 399.1}
อุปมานี้ไม่ให้โอกาสแก้ตัวแก่ผู้ที่ถูกเรียกเข้าทำงานกลุ่มแรกแต่ให้โอกาสคนที่ละเลยที่จะเข้าสู่สวนองุ่นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเจ้าของสวนไปตลาดตอนบ่ายห้าโมง และพบคนว่างงาน ท่านจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านยืนอยู่ว่างๆ ที่นี่ทั้งวันทำไม” คำตอบที่ได้รับก็คือ “เพราะว่าไม่มีใครจ้างเรา” มัทธิว 20:6, 7 คนที่ได้รับการเรียกในเวลาเย็น ไม่ได้อยู่ที่นั่นในช่วงเช้า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธการเชิญชวน คนที่ปฏิเสธและต่อมาภายหลังได้กลับใจก็ดีแล้ว แต่เป็นเรื่องไม่ปลอดภัยที่จะไม่เอาจริงกับการทรงเรียกแห่งพระเมตตาคุณครั้งแรก {COL 399.1}
When the laborers in the vineyard received “every man a penny,” those who had begun work early in the day were offended. Had they not worked for twelve hours? they reasoned, and was it not right that they should receive more than those who had worked for only one hour in the cooler part of the day? “These last have wrought but one hour,” they said, “and thou hast made them equal unto us, which have borne the burden and heat of the day.” {COL 399.2}
เมื่อผู้ที่ทำงานทั้งหลายในสวนได้รับ “คนละหนึ่งเดนาริอัน” แล้ว มัทธิว 20:10 คนที่ทำงานตั้งแต่เช้าก็ไม่พอใจ พวกเขาทำงานนานถึงสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ จึงพากันให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องถูกต้องไม่ใช่หรือที่พวกเขาจะต้องได้รับมากกว่าผู้ที่ได้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวในเวลาที่อากาศเย็นสบายแล้ว จึงต่างพูดว่า “พวกสุดท้ายทำงานแค่ชั่วโมงเดียว แต่ท่านกลับให้ค่าจ้างพวกเขาเท่ากับเราที่ทำงานตรากตรำกลางแดดตลอดวัน” มัทธิว 20:12 {COL 399.2}
“Friend,” the householder replied to one of them, “I do thee no wrong; didst not thou agree with me for a penny? Take that thine is, and go thy way; I will give unto this last, even as unto thee. Is it not lawful for me to do what I will with mine own? Is thine eye evil, because I am good? {COL 399.3}
เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า “เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงท่านเลย ท่านตกลงกับเราวันละหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ รับค่าจ้างของท่านไปเถิด เราต้องการจะให้กับคนสุดท้ายนี้เท่ากับท่าน เราจะใช้เงินทองของเราตามใจตัวเองไม่ได้หรือ ทำไมท่านอิจฉาเมื่อเห็นเราใจดี {COL 399.3}
“So the last shall be first, and the first last; for many be called, but few chosen.” {COL 399.4}
“อย่างนั้นแหละ คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรกและคนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย [ด้วยว่าผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย Thai KJV]” มัทธิว 20:13-16 {COL 399.4}
The first laborers of the parable represent those who, because of their services, claim preference above others. They take up their work in a self-gratulatory spirit, and do not bring into it self-denial and sacrifice. They may have professed to serve God all their lives; they may have been foremost in enduring hardship, privation, and trial, and they therefore think themselves entitled to a large reward. They think more of the reward than of the privilege of being servants of Christ. In their view their labors and sacrifices entitle them to receive honor above others, and because this claim is not recognized, they are offended. Did they bring into their work a loving, trusting spirit, they would continue to be first; but their querulous, complaining disposition is un-Christlike, and proves them to be untrustworthy. It reveals their desire for self-advancement, their distrust of God, and their jealous, grudging spirit toward their brethren. The Lord’s goodness and liberality is to them only an occasion of murmuring. Thus they show that there is no connection between their souls and God. They do not know the joy of co-operation with the Master Worker. {COL 399.5}
ผู้ที่เข้าทำงานกลุ่มแรกตามอุปมาเป็นตัวแทนของผู้ที่อ้างตนว่ามีสิทธิเหนือผู้อื่นอันเนื่องจากหน้าที่การงาน พวกเขาทำงานด้วยจิตใจที่ชื่นชมยกย่องตัวเอง หาได้ทำงานด้วยความเสียสละและควบคุมตัวเองไม่ พวกเขาอาจจะแสดงตนว่ารับใช้พระเจ้าตลอดชีวิตของตน อาจจะเป็นคนแรกที่ต้องทนทุกข์ ขัดสนและเผชิญการทดลอง ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าตนน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับบำเหน็จรางวัลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาคิดถึงค่าตอบแทนมากกว่าโอกาสการเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ ในทัศนะของพวกเขา การทำงานและการเสียสละของพวกเขาจะต้องได้รับเกียรติยศมากกว่าผู้อื่น และเนื่องจากการเรียกร้องนี้ไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาจึงขุ่นเคืองใจ หากพวกเขาเอาจิตใจที่มีความรักและวิญญาณแห่งความไว้วางใจใส่เข้าไปในการทำงานแล้ว พวกเขาก็จะได้เป็นหนึ่งอย่างต่อเนื่องตลอดไป แต่เพราะจิตใจที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้งมีแต่การบ่นติเตียนซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเหมาะสม เป็นการแสดงให้เห็นถึงความต้องการให้ตัวเองก้าวขึ้นไปข้างหน้า แสดงถึงการไม่วางใจในพระเจ้าและจิตใจที่มีแต่ความอิจฉาริษยาพี่น้องของตน สำหรับคนอย่างนี้ความดีและน้ำพระทัยที่กว้างขวางของพระเป็นเจ้า เป็นเพียงให้โอกาสแก่เขาในการบ่นติเตียน การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจิตใจของพวกเขาหาได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ พวกเขาไม่เข้าใจถึงความสุขแห่งการได้ร่วมมือกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นนายงาน {COL 399.5}
There is nothing more offensive to God than this narrow, self-caring spirit. He cannot work with any who manifest these attributes. They are insensible to the working of His Spirit. {COL 400.1}
ไม่มีสิ่งใดสร้างความขุ่นเคืองต่อพระเจ้ามากไปกว่าจิตใจที่คับแคบและเห็นแก่ตัว พระองค์ทำงานร่วมกับผู้ที่แสดงตัวลักษณะแบบนี้ไม่ได้ พวกเขาจะไม่มีความรู้สึกไวต่อการทำงานของพระวิญญาณของพระองค์ {COL 400.1}
The Jews had been first called into the Lord’s vineyard, and because of this they were proud and self-righteous. Their long years of service they regarded as entitling them to receive a larger reward than others. Nothing was more exasperating to them than an intimation that the Gentiles were to be admitted to equal privileges with themselves in the things of God. {COL 400.2}
ชาวยิวถูกเรียกให้เข้าไปทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้าก่อนผู้อื่น และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเย่อหยิ่งและเข้าใจว่าตนเองดีพร้อม เวลาแห่งการรับใช้นานหลายปีทำให้พวกเขาคิดว่าจะต้องได้บำเหน็จตอบแทนมากกว่าผู้อื่น ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พวกเขาโมโหโกรธามากไปกว่าการให้คนต่างชาติเข้าร่วมรับสิทธิที่เท่าเทียมกับพวกตนในเรื่องของพระเจ้า {COL 400.2}
Christ warned the disciples who had been first called to follow Him, lest the same evil should be cherished among them. He saw that the weakness, the curse of the church, would be a spirit of self-righteousness. Men would think they could do something toward earning a place in the kingdom of heaven. They would imagine that when they had made certain advancement, the Lord would come in to help them. Thus there would be an abundance of self and little of Jesus. Many who had made a little advancement would be puffed up and think themselves superior to others. They would be eager for flattery, jealous if not thought most important. Against this danger Christ seeks to guard His disciples. {COL 400.3}
พระคริสต์ทรงเตือนสาวกที่ได้รับการทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ก่อนผู้อื่น หาไม่แล้วความชั่วร้ายชนิดเดียวกันจะเกิดขึ้นในพวกเขา พระองค์ทรงเห็นว่าจิตใจที่คิดว่าตนเองเป็นคนชอบธรรมจะนำความอ่อนแอ คำสาปแช่งมาสู่คริสตจักร มนุษย์คิดว่าเขาสามารถทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อจะมีที่อยู่ในแผ่นดินสวรรค์ พวกเขาคิดว่าเมื่อก้าวหน้าขึ้นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาช่วยพวกตน ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยอัตตาแต่ไม่มีพระเยซู หลายคนที่ได้ก้าวขึ้นไปเพียงเล็กน้อยจะเย่อหยิ่งและคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น พวกเขาพร้อมที่จะรับคำยกยอปอปั้น เมื่อไม่ได้รับการยกย่องว่ามีความสำคัญก็จะเกิดความอิจฉา พระคริสต์ทรงพยายามหาทางปกป้องสาวกจากภัยอันตรายเหล่านี้ {COL 400.3}
All boasting of merit in ourselves is out of place. “Let not the wise man glory in his wisdom, neither let the mighty man glory in his might, let not the rich man glory in his riches; but let him that glorieth, glory in this, that he understandeth and knoweth Me, that I am the Lord which exercise loving kindness, judgment, and righteousness in the earth; for in these things I delight, saith the Lord.” Jeremiah 9:23, 24. {COL 401.1}
ในตัวเราต้องไม่มีการอวดอ้างถึงคุณงามความดีของตนเอง “อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์อวดความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมีอวดความมั่งคั่งของตน แต่ให้ผู้อวด อวดสิ่งนี้คือการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระยาห์เวห์ผู้สำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรมและความชอบธรรมในโลกเพราะเราพอใจในสิ่งเหล่านี้ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” เยเรมีย์ 9:23 , 24 {COL 401.1}
The reward is not of works, lest any man should boast; but it is all of grace. “What shall we say then that Abraham our father, as pertaining to the flesh, hath found? For if Abraham were justified by works, he hath whereof to glory; but not before God. For what saith the scripture? Abraham believed God, and it was counted unto him for righteousness. Now to him that worketh is the reward not reckoned of grace, but of debt. But to him that worketh not, but believeth on Him that justifieth the ungodly, his faith is counted for righteousness.” Romans 4:1-5. Therefore there is no occasion for one to glory over another or to grudge against another. No one is privileged above another, nor can anyone claim the reward as a right. {COL 401.2}
บำเหน็จตอบแทนที่ได้รับไม่ใช่เป็นเพราะการกระทำเพื่อจะไม่ให้มีผู้ใดอวดได้ ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลของพระคุณทั้งสิ้น “ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไรในเรื่องอับราฮัมบรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต ถ้าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า อับราฮัมเชื่อในพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม ส่วนคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้นพระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม” โรม 4:1-5 ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีโอกาสที่จะอวดตัวเองเหนือผู้อื่นหรือโกรธเคืองผู้อื่น ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น หรือยึดเอาการตอบแทนว่าเป็นสิทธิของตน {COL 401.2}
The first and the last are to be sharers in the great, eternal reward, and the first should gladly welcome the last. He who grudges the reward to another forgets that he himself is saved by grace alone. The parable of the laborers rebukes all jealousy and suspicion. Love rejoices in the truth and institutes no envious comparisons. He who possesses love compares only the loveliness of Christ and his own imperfect character. {COL 402.1}
ทั้งคนแรกและคนสุดท้ายจะมีส่วนร่วมรับบำเหน็จตอบแทนนิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มาก่อนจะต้องต้อนรับผู้ที่มาสุดท้ายด้วยความยินดี ผู้ที่มีใจขุ่นเคืองคนอื่นที่ได้รับบำเหน็จตอบแทนนั้น ลืมไปว่าตนเองก็รอดโดยพระคุณเหมือนกัน อุปมาของคนทำงานในสวนเรื่องนี้ตำหนิความอิจฉาและความสงสัยทุกประการ ความรักชื่นชมยินดีในความจริงและไม่สร้างการเปรียบเทียบที่เป็นความอิจฉาริษยา ผู้ที่มีความรักอยู่ในตัวจะเปรียบเทียบความรักอันดีงามของพระคริสต์กับอุปนิสัยอันไม่สมบูรณ์แบบของตนเองเท่านั้น {COL 402.1}
This parable is a warning to all laborers, however long their service, however abundant their labors, that without love to their brethren, without humility before God, they are nothing. There is no religion in the enthronement of self. He who makes self-glorification his aim will find himself destitute of that grace which alone can make him efficient in Christ’s service. Whenever pride and self-complacency are indulged, the work is marred. {COL 402.2}
อุปมานี้เป็นคำตักเตือนผู้ทำงานรับใช้ทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุงานการรับใช้นานเพียงใด ไม่ว่าจะมีงานหนักมากเพียงไร หากไม่มีความรักต่อพี่น้อง หากเขาไม่มีการถ่อมตนต่อพระพักตร์พระเจ้า การรับใช้เหล่านั้นก็ไม่มีคุณค่าใดเลย ผู้ที่ยกตัวเองขึ้นเป็นใหญ่เป็นคนที่ไม่มีศาสนา คนที่มีเป้าหมายทำตนให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญจะพบว่าตัวเขาตกอยู่ในสภาพที่ขาดพระคุณ เพราะพระคุณนี้เท่านั้นที่จะทำให้การรับใช้พระคริสต์ของเขาบังเกิดผล เมื่อใดที่ปล่อยให้ความหยิ่งยโสและความพอใจในตนเองเกิดขึ้น การงานนั้นก็ไร้ประโยชน์ {COL 402.2}
It is not the length of time we labor but our willingness and fidelity in the work that makes it acceptable to God. In all our service a full surrender of self is demanded. The smallest duty done in sincerity and self-forgetfulness is more pleasing to God than the greatest work when marred with self-seeking. He looks to see how much of the spirit of Christ we cherish, and how much of the likeness of Christ our work reveals. He regards more the love and faithfulness with which we work than the amount we do. {COL 402.3}
การรับใช้ที่พระเจ้าทรงยอมรับนั้น ไม่ขึ้นอยู่ที่ระยะเวลาของการทำงานแต่ขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความซื่อสัตย์ในการงาน สิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องก็คือการถวายตัวรับใช้ด้วยความเสียสละ หน้าที่อันเล็กน้อยที่สุดแต่ทำด้วยความจริงใจ และเสียสละโดยไม่คำนึงถึงตนเองนั้นเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามากยิ่งกว่างานใหญ่โตที่มุ่งทำเพื่อให้ตนเองได้รับเกียรติ พระเจ้าทรงทอดพระเนตรดูว่าเรามีจิตใจแบบพระคริสต์มากเพียงใด และงานของเราสำแดงพระคริสต์มากเพียงใด พระองค์ทรงสนพระทัยในความรักและความซื่อสัตย์ต่องานที่เราทำมากกว่าปริมาณของงานที่เราทำ {COL 402.3}
Only when selfishness is dead, when strife for supremacy is banished, when gratitude fills the heart, and love makes fragrant the life–it is only then that Christ is abiding in the soul, and we are recognized as laborers together with God. {COL 402.4}
เมื่อใดที่ความเห็นแก่ตัวตายจากไป เมื่อใดที่การแย่งชิงความเป็นใหญ่ถูกทำลายไป เมื่อใดที่ความสำนึกในพระคุณเต็มล้นอยู่ในใจและความรักส่งกลิ่นหอมให้กับชีวิต เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระคริสต์จะสถิตอยู่ในจิตใจและเราจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า {COL 402.4}
However trying their labor, the true workers do not regard it as drudgery. They are ready to spend and to be spent; but it is a cheerful work, done with a glad heart. Joy in God is expressed through Jesus Christ. Their joy is the joy set before Christ–“to do the will of Him that sent Me, and to finish His work.” John 4:34. They are in co-operation with the Lord of glory. This thought sweetens all toil, it braces the will, it nerves the spirit for whatever may befall. Working with unselfish heart, ennobled by being partakers of Christ’s sufferings, sharing His sympathies, and co-operating with Him in His labor, they help to swell the tide of His joy and bring honor and praise to His exalted name. {COL 402.5}
ไม่ว่างานของพวกเขาจะยากลำบากเพียงไร ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์จะไม่ถือว่างานนั้นน่าเบื่อหน่าย พวกเขาพร้อมที่จะเสียสละทำงานและพร้อมที่จะรับใช้เพราะงานที่ทำนั้นเป็นที่น่าชื่นชม เขารับใช้ด้วยจิตใจที่ยินดี ความชื่นชมยินดีในพระเจ้าแสดงออกผ่านทางพระเยซูคริสต์ ความสุขของเขาเป็นความสุขที่ถูกจัดวางไว้ต่อหน้าพระคริสต์ผู้ทรง “กระทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ” ยอห์น 4:34 พวกเขาร่วมมือกับพระเป็นเจ้าแห่งพระสิริ ความคิดเช่นนี้ทำให้การตรากตรำทำงานบรรเทาลง ช่วยค้ำจุนความตั้งใจ กระตุ้นจิตวิญญาณให้เข้มแข็งไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น การทำงานด้วยจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจที่สูงส่งขึ้นจากการมีส่วนร่วมในการทนทุกข์ของพระคริสต์ การมีส่วนร่วมในความเห็นอกเห็นใจกับพระองค์และมีส่วนทำงานร่วมกับพระองค์ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีส่วนช่วยเพิ่มพูนกระแสแห่งความสุขและนำเกียรติยศและคำสรรเสริญมาสู่พระนามยิ่งใหญ่อันเป็นที่ยกย่องของพระองค์ {COL 402.5}
This is the spirit of all true service for God. Through a lack of this spirit, many who appear to be first will become last, while those who possess it, though accounted last, will become first. {COL 403.1}
นี่คือจิตใจของการทำงานรับใช้พระเจ้าที่แท้จริง มีคนจำนวนมากที่จิตใจขาดความรู้สึกเช่นนี้ คนที่น่าจะเป็นคนต้นแต่กลับไปเป็นคนสุดท้าย แต่คนที่มีจิตใจดังที่ว่านี้แม้จะถูกนับว่าเป็นคนสุดท้ายจะกลับกลายมาเป็นคนต้น {COL 403.1}
There are many who have given themselves to Christ, yet who see no opportunity of doing a large work or making great sacrifices in His service. These may find comfort in the thought that it is not necessarily the martyr’s self-surrender which is most acceptable to God; it may not be the missionary who has daily faced danger and death that stands highest in heaven’s records. The Christian who is such in his private life, in the daily surrender of self, in sincerity of purpose and purity of thought, in meekness under provocation, in faith and piety, in fidelity in that which is least, the one who in the home life represents the character of Christ–such a one may in the sight of God be more precious than even the world-renowned missionary or martyr. {COL 403.2}
มีคนจำนวนมากถวายตัวให้พระคริสต์แล้ว ถึงกระนั้นกลับมองไม่เห็นโอกาสที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่หรือเสียสละในการรับใช้พระองค์ คนเหล่านี้จะปลอบใจตนเองด้วยความคิดที่ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมอบถวายชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พอพระทัยมากที่สุดของพระเจ้า พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นศาสนทูตที่ต้องเผชิญกับภัยอันตรายและความตายทุกวัน เพื่อบันทึกไว้ในที่สูงสุดของสมุดบันทึกแห่งสวรรค์ คริสเตียนที่ดำรงชีวิตส่วนตัวอย่างจริงใจ ถวายตัวทุกวัน มีความมุ่งมั่นที่จริงใจและมีความคิดที่บริสุทธิ์ มีความถ่อมตนแม้จะอยู่ในสภาวะที่ถูกทำให้โกรธ มีความเชื่อและความกตัญญู ความจงรักภักดีในสิ่งเล็กน้อยที่สุด ผู้ที่เป็นตัวแทนของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์แม้ขณะอยู่ภายในบ้าน บุคคลเหล่านี้มีค่าในสายพระเนตรพระเจ้ามากยิ่งกว่าคนที่โลกยกย่องว่าเป็นศาสนทูตหรือผู้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อศาสนาเสียอีก {COL 403.2}
Oh, how different are the standards by which God and men measure character. God sees many temptations resisted of which the world and even near friends never know–temptations in the home, in the heart. He sees the soul’s humility in view of its own weakness; the sincere repentance over even a thought that is evil. He sees the wholehearted devotion to His service. He has noted the hours of hard battle with self–battle that won the victory. All this God and angels know. A book of remembrance is written before Him for them that fear the Lord and that think upon His name. {COL 403.3}
โอ มาตรฐานของพระเจ้าและมาตรฐานของมนุษย์ที่ใช้วัดอุปนิสัยนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก พระเจ้าทรงเห็นวิธีต่อสู้เอาชนะการทดลองจำนวนมากที่โลกและแม้แต่มิตรสหายผู้ใกล้ชิดมองไม่เห็น คือการทดลองในบ้านและการทดลองในจิตใจ พระองค์ทรงเห็นจิตวิญญาณที่ถ่อมใจในสภาพของความอ่อนแอ ทรงเห็นการกลับใจอย่างจริงจังจากความคิดชั่วแม้เพียงความคิดเดียว พระองค์ทรงเห็นการทุ่มเทใจอุทิศตนอย่างแท้จริงเพื่อการรับใช้ในงานของพระองค์ พระองค์ทรงสังเกตช่วงเวลาการต่อสู้กับตนเองอย่างแสนสาหัส เป็นการต่อสู้จนสามารถเอาชนะได้ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้พระเจ้าและทูตของพระองค์ทรงทราบ สำหรับผู้ที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและใคร่ครวญถึงพระนามของพระองค์ หนังสือบันทึกความทรงจำที่มีอยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์บันทึกชื่อของพวกเขาไว้แล้ว {COL 403.3}
Not in our learning, not in our position, not in our numbers or entrusted talents, not in the will of man, is to be found the secret of success. Feeling our inefficiency we are to contemplate Christ, and through Him who is the strength of all strength, the thought of all thought, the willing and obedient will gain victory after victory. {COL 404.1}
ความลับที่นำไปสู่ความสำเร็จของเราไม่ได้อยู่ที่ความรู้ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช่อยู่ที่จำนวนหรือของประทานที่เราได้รับ ไม่ได้อยู่ที่ความตั้งใจของมนุษย์ เมื่อตระหนักถึงความไร้ประสิทธิภาพของเรา เราต้องใคร่ครวญถึงพระคริสต์ และโดยทางพระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังเหนือกำลังทั้งหลาย ผู้ทรงเป็นความคิดเหนือความคิดทั้งหลายที่จะทำให้ผู้ที่เชื่อและยอมกระทำตามได้รับชัยชนะติดต่อกันไปไม่มีสิ้นสุด {COL 404.1}
And however short our service or humble our work, if in simple faith we follow Christ, we shall not be disappointed of the reward. That which even the greatest and wisest cannot earn, the weakest and most humble may receive. Heaven’s golden gate opens not to the self-exalted. It is not lifted up to the proud in spirit. But the everlasting portals will open wide to the trembling touch of a little child. Blessed will be the recompense of grace to those who have wrought for God in the simplicity of faith and love. {COL 404.2}
ไม่ว่าหน้าที่การงานที่เรารับใช้จะสั้นหรือต่ำต้อยเพียงไรก็ตาม หากเราติดตามพระคริสต์ด้วยความเชื่อที่เรียบง่าย เราจะไม่ผิดหวังในบำเหน็จตอบแทนของพระองค์ สิ่งที่แม้ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและฉลาดที่สุดไม่สามารถจะหามาได้แต่ผู้ที่อ่อนแอและถ่อมตนมากที่สุดจะได้รับ ประตูทองคำแห่งสวรรค์จะไม่เปิดออกสำหรับคนที่ยกย่องตนเอง ประตูนี้จะไม่เปิดออกสำหรับจิตใจที่หยิ่งยโส แต่ประตูอันเป็นนิรันดร์นี้จะเปิดกว้างแก่การสัมผัสของมืออันสั่นเทาของเด็กเล็กๆ ความสุขแห่งการตอบแทนแห่งพระคุณจะมีไว้สำหรับผู้ที่รับใช้พระเจ้าด้วยความเชื่อและความรักที่บริสุทธิ์เรียบง่าย {COL 404.2}