Chapter 29 (บทที่ 29)
“To Meet the Bridegroom”
“เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”

Christ with His disciples is seated upon the Mount of Olives. The sun has set behind the mountains, and the heavens are curtained with the shades of evening. In full view is a dwelling house lighted up brilliantly as if for some festive scene.

พระคริสต์กับอัครสาวกทั้งหลายของพระองค์นั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว และม่านของความมืดยามราตรีปกคลุมทั่วท้องฟ้าภาพของบ้านเรือนที่มีแสงตะเกียงสว่างไสวราวกับว่ามีงานรื่นเริงปรากฏให้เห็นเด่นชัด

The light streams from the openings, and an expectant company wait around, indicating that a marriage procession is soon to appear. In many parts of the East, wedding festivities are held in the evening.

มีแสงสว่างจากลานกว้างแห่งหนึ่งที่นั่น มีกลุ่มคนยืนคอยบ่งบอกให้รู้ว่าขบวนแห่สมรสกำลังจะมาถึงหลายแห่งในซีกโลกตะวันออกจะมีพิธีฉลองแต่งงานในตอนค่ำ

The bridegroom goes forth to meet his bride and bring her to his home. By torchlight the bridal party proceed from her father’s house to his own, where a feast is provided for the invited guests. In the scene upon which Christ looks, a company are awaiting the appearance of the bridal party, intending to join the procession. {COL 405.1}

เจ้าบ่าวจะไปรับเจ้าสาวมาที่บ้านของเขา ด้วยแสงคบเพลิงส่องนำทาง ขบวนนำจะเดินทางจากบ้านเจ้าสาวไปยังบ้านเจ้าบ่าวที่ซึ่งมีงานเลี้ยงรับรอง ในภาพที่พระคริสต์กำลังทอดพระเนตรอยู่นั้นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรอคอยการมาของขบวนเจ้าสาวและพร้อมเข้าร่วมขบวน {COL 405.1}

Lingering near the bride’s house are ten young women robed in white. Each carries a lighted lamp and a small flagon for oil. All are anxiously watching for the appearance of the bridegroom. But there is a delay. Hour after hour passes; the watchers become weary and fall asleep.

ใกล้บ้านเจ้าสาวมีหญิงสาวพรหมจารีสิบคนใส่เสื้อขาวเดินอ้อยอิ่งไปมา ในมือของแต่ละคนถือตะเกียงที่มีไฟจุดอยู่คนละอัน และถือขวดสำหรับใส่น้ำมันคนละใบทุกคนกำลังรอคอยการมาของเจ้าบ่าวด้วยใจจดจ่อ แต่มีความล่าช้าเกิดขึ้น ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ผู้ที่เฝ้ารอคอยิเริ่มอ่อนเพลียและหลับไป

At midnight the cry is heard, “Behold, the bridegroom cometh; go ye out to meet him.” The sleepers, suddenly awaking, spring to their feet. They see the procession moving on, bright with torches and glad with music. They hear the voice of the bridegroom and the voice of the bride.

จนถึงเวลาเที่ยงคืนมีเสียงร้องดังขึ้นว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” มัทธิว 25:6 ทันใดนั้นคนที่นอนตื่นรีบลุกขึ้นยืน พวกเธอเห็นขบวนเคลื่อนไป เป็นขบวนที่สว่างด้วยแสงจากโคมไฟและรื่นเริงด้วยเสียงดนตรี พวกเธอได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวเจ้าสาว

The ten maidens seize their lamps and begin to trim them, in haste to go forth. But five have neglected to fill their flasks with oil. They did not anticipate so long a delay, and they have not prepared for the emergency. In distress they appeal to their wiser companions saying, “Give us of your oil; for our lamps are going out.” Matthew 25:8

สาวพรหมจารีทั้งสิบคนรีบคว้าตะเกียงของตน และรีบตกแต่งตะเกียงเพื่อให้ทันเข้าร่วมขบวน แต่มีห้าคนที่ไม่เติมน้ำมันให้เต็มเพราะ พวกเธอไม่คิดว่าการรอคอยจะเนิ่นนานเช่นนี้ จึงไม่ได้เตรียมพร้อมเผื่อยามฉุกเฉิน พวกเธอหันไปยังเพื่อนที่ฉลาดกว่าและกล่าวด้วยความทุกข์ใจว่า “ขอแบ่งน้ำมันของพวกท่านบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว” มัทธิว 25:8

But the waiting five, with their freshly trimmed lamps, have emptied their flagons. They have no oil to spare, and they answer, “Not so; lest there be not enough for us and you: but go ye rather to them that sell, and buy for yourselves.” Matthew 25:8 {COL 405.2}

แต่ผู้ที่รอคอยอีกห้าคนพร้อมตะเกียงที่ตกแต่งแล้วนั้นได้เทน้ำมันจากขวดจนหมด พวกเธอจึงไม่มีน้ำมันเหลือเพื่อแบ่งปันให้ จึงตอบไปว่า “น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและพวกท่าน จงไปหาคนขาย แล้วซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า” มัทธิว 25:9 {COL 405.2}

While they went to buy, the procession moved on, and left them behind. The five with lighted lamps joined the throng and entered the house with the bridal train, and the door was shut.

ขณะที่พวกเธอเหล่านั้นออกไปหาซื้อน้ำมัน ขบวนเดินต่อไปและทิ้งพวกเธอไว้ อีกห้าคนที่เหลือมีตะเกียงสว่างได้ร่วมขบวนและเข้าไปในบ้านพร้อมขบวนบ่าวสาวก่อนที่ประตูจะปิด

When the foolish virgins reached the banqueting hall, they received an unexpected denial. The master of the feast declared, “I know you not.” Matthew 25:12. They were left standing without, in the empty street, in the blackness of the night. {COL 406.1}

เมื่อสาวพรหมจารีโง่มาถึงบ้านที่จัดงาน พวกเธอพบกับคำปฏิเสธที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เจ้าภาพของงานประกาศว่า “เราไม่รู้จักท่าน” มัทธิว 25:12 พวกเธอถูกทอดทิ้งอยู่ข้างนอก บนถนนเปลี่ยวในความมืดยามค่ำคืน {COL 406.1}

As Christ sat looking upon the party that waited for the bridegroom, He told His disciples the story of the ten virgins, by their experience illustrating the experience of the church that shall live just before His second coming. {COL 406.2}

ขณะที่พระคริสต์ทรงนั่งทอดพระเนตรกลุ่มคนที่กำลังคอยเจ้าบ่าวอยู่นั้นพระองค์ทรงเล่าเรื่องสาวพรหมจารีสิบคนให้สาวกของพระองค์ฟังโดยใช้ประสบการณ์ของพวกเขาเพื่อให้เห็นถึงประสบการณ์ของคริสตจักรที่จะคงอยู่ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ {COL 406.2}

The two classes of watchers represent the two classes who profess to be waiting for their Lord. They are called virgins because they profess a pure faith. By the lamps is represented the word of God. The psalmist says, “Thy word is a lamp unto my feet, and a light unto may path.” Psalm 119:105.

ผู้รอคอยสองกลุ่มเป็นตัวแทนของกลุ่มคนสองกลุ่มผู้เฝ้ารอคอยพระเจ้าพวกเขาได้รับการขนานนามว่าเป็นสาวพรหมจารีเนื่องจากว่าพวกเขามีความเชื่อที่บริสุทธิ์ ตะเกียงหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์” สดุดี 119:105

The oil is a symbol of the Holy Spirit. Thus the Spirit is represented in the prophecy of Zechariah. “The angel that talked with me came again,” he says, “and waked me, as a man that is wakened out of his sleep, and said unto me, What seest thou?

น้ำมันเป็นสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำพยากรณ์ของเศคาริยาห์ให้ความหมายของพระวิญญาณไว้เช่นนี้ ท่านกล่าวว่า “ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ามาอีกและปลุกข้าพเจ้าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขา และท่านถามข้าพเจ้าว่า เจ้าเห็นอะไร

And I said, I have looked, and behold a candlestick all of gold, with a bowl upon the top of it, and his seven lamps thereon, and seven pipes to the seven lamps, which are upon the top thereof; and two olive trees by it, one upon the right side of the bowl, and the other upon the left side thereof. So I answered and spake to the angel that talked with me, saying, What are these, my lord? . . .

ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นเชิงตะเกียงทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่ง มีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้น 7 ดวงและมีท่อ 7 ท่อนำไปยังตะเกียงซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ และมีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ อยู่เบื้องขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่ข้างซ้ายต้นหนึ่ง และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า นายเจ้าข้า นี่คืออะไร…..

Then he answered and spake unto me, saying, This is the word of the Lord unto Zerubbabel, saying, Not by might, nor by power, but by My Spirit, saith the Lord of hosts. . . .

ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า นี่เป็นพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพแต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ….

And I answered again, and said unto him, What be these two olive branches which through the two golden pipes empty the golden oil out of themselves? . . . Then said he, These are the two anointed ones, that stand by the Lord of the whole earth.” Zechariah 4:1-14. {COL 406.3}

และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร..…แล้วท่านจึงกล่าวว่า ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างองค์เจ้านายของพิภพทั้งสิ้น’” เศคาริยาห์ 4:1-14 {COL 406.3}

From the two olive trees the golden oil was emptied through the golden pipes into the bowl of the candlestick, and thence into the golden lamps that gave light to the sanctuary. So from the holy ones that stand in God’s presence His Spirit is imparted to the human instrumentalities who are consecrated to His service.

จากกิ่งทั้งสองของต้นมะกอกมีน้ำมันทองคำไหลผ่านออกมาจากท่อทองคำเข้าไปยังชามของเชิงตะกียงและเข้าไปยังตะเกียงทองคำที่ส่องแสงแก่พระวิหาร ดังนั้นพระวิญญาณของพระองค์จะหลั่งจากผู้บริสุทธิ์ที่ยืนต่อพระพักตร์ของพระเจ้าไปยังบรรดามนุษย์ผู้ถวายตัวรับใช้พระองค์

The mission of the two anointed ones is to communicate to God’s people that heavenly grace which alone can make His word a lamp to the feet and a light to the path. “Not by might, nor by power, but by My Spirit, saith the Lord of hosts.” Zechariah 4:6. {COL 408.1}

ภารกิจของผู้ได้รับการเจิมทั้งสองคือการสื่อกับประชากรของพระเจ้าในเรื่องพระคุณแห่งสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าและความสว่างสำหรับมรรคา “ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพแต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ” เศคาริยาห์ 4:6 {COL 408.1}

In the parable, all the ten virgins went out to meet the bridegroom. All had lamps and vessels for oil. For a time there was seen no difference between them. So with the church that lives just before Christ’s second coming. All have a knowledge of the Scriptures.

ในอุปมานี้ สาวพรหมจารีทั้งสิบออกไปต้อนรับเจ้าบ่าว ทุกคนมีตะเกียงและภาชนะที่ใส่น้ำมัน ในชั่วขณะหนึ่งจะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม คริสตจักรที่อยู่ก่อนหน้าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันทุกคนมีความรู้พระคัมภีร์

All have heard the message of Christ’s near approach, and confidently expect His appearing. But as in the parable, so it is now. A time of waiting intervenes, faith is tried; and when the cry is heard, “Behold, the Bridegroom cometh; go ye out to meet Him,” many are unready. They have no oil in their vessels with their lamps. They are destitute of the Holy Spirit. {COL 408.2}

ทุกคนได้ยินเรื่องการเสด็จมาในอีกไม่นานของพระคริสต์และรอคอยการเสด็จมาด้วยความเชื่อมั่น และปัจจุบันเป็นเหมือนในอุปมา ระหว่างที่เฝ้ารอคอยนั้นความเชื่อถูกทดลองและเมื่อเสียงร้องดังขึ้น “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” คนจำนวนมากยังไม่พร้อมพวกเขาไม่มีน้ำมันในภาชนะสำหรับใส่ตะเกียง พวกเขาขัดสนพระวิญญาณบริสุทธิ์ {COL 408.2}

Without the Spirit of God a knowledge of His word is of no avail. The theory of truth, unaccompanied by the Holy Spirit, cannot quicken the soul or sanctify the heart.

หากไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้า ความรู้ในพระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีประโยชน์อันใดทฤษฏีแห่งความจริงที่ไม่ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้จิตวิญญาณสำนึกในบาปและทำให้จิตใจได้รับการชำระไม่ได้

One may be familiar with the commands and promises of the Bible; but unless the Spirit of God sets the truth home, the character will not be transformed. Without the enlightenment of the Spirit, men will not be able to distinguish truth from error, and they will fall under the masterful temptations of Satan. {COL 408.3}

คนเราอาจจะคุ้นเคยกับคำสั่งสอนและคำสัญญาต่างๆของพระคัมภีร์แต่หากไม่มีวิญญาณของพระเจ้าเพื่อช่วยให้เข้าใจในพระวจนะนั้นอุปนิสัยจะไม่เปลี่ยนแปลง หากไม่ได้รับความสว่างจากพระวิญญาณ มนุษย์จะแยกแยะความจริงออกจากความผิดไม่ได้และพวกเขาจะตกลงสู่การทดลองที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน {COL 408.3}

The class represented by the foolish virgins are not hypocrites. They have a regard for the truth, they have advocated the truth, they are attracted to those who believe the truth; but they have not yielded themselves to the Holy Spirit’s working. They have not fallen upon the Rock, Christ Jesus, and permitted their old nature to be broken up.

กลุ่มคนที่เปรียบได้กับหญิงพรหมจารีโง่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่คนหลอกลวง เขาเหล่านั้นฝักใฝ่ในความจริง พวกเขาสนับสนุนความจริงและเข้าร่วมกับคนทั้งหลายที่เชื่อในความจริงแต่ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มอบถวายตัวเพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประกอบกิจในชีวิต พวกเขาไม่ได้ล้มตัวลงบนพระศิลา คือพระเยซูคริสต์และยอมให้ธรรมชาติเก่าแตกสลายไป

This class are represented also by the stony-ground hearers. They receive the word with readiness, but they fail of assimilating its principles. Its influence is not abiding. The Spirit works upon man’s heart, according to his desire and consent implanting in him a new nature; but the class represented by the foolish virgins have been content with a superficial work.

คนกลุ่มนี้ยังหมายถึงผู้ฟังประเภทพื้นดินที่มีหิน พวกเขาต้อนรับพระธรรมด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ทั้งหลายแทรกซึมเข้าไปในตัวของพวกเขา อิทธิพลของพระธรรมไม่ได้เข้าสนิทในตัวของพวกเขาพระวิญญาณทรงทำงานในจิตใจของมนุษย์ตามความประสงค์และความต้องการของพวกเขาและทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์คนใหม่ แต่กลุ่มคนที่เปรียบได้กับหญิงพรหมจารีโง่นั้นมีความพอใจกับกับการกระทำอย่างผิวเผิน

They do not know God. They have not studied His character; they have not held communion with Him; therefore they do not know how to trust, how to look and live.

พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้ศึกษาพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ไม่ได้สนทนากับพระองค์ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักวิธีการไว้วางใจ วิธีวางตัวและวิธีดำเนินชีวิต

Their service to God degenerates into a form. “They come unto thee as the people cometh, and they sit before thee as My people, and they hear thy words, but they will not do them; for with their mouth they show much love, but their heart goeth after their covetousness.” Ezekiel 33:31.

งานการรับใช้ของพวกเขาถดถอยจนเป็นแต่เพียงพิธีการเท่านั้น “และพวกเขามาหาเจ้าอย่างที่คนทั้งหลายมา และเขามานั่งข้างหน้าเจ้าอย่างประชากรของเราพวกเขาฟังสิ่งที่เจ้าพูดแต่เขาไม่ยอมทำตามเพราะว่าเขาแสดงความรักด้วยปากของเขา แต่จิตใจของเขามุ่งอยู่ที่ผลกำไรมิชอบของเขา” เอเสเคียล 33:31

The apostle Paul points out that this will be the special characteristic of those who live just before Christ’s second coming. He says, “In the last days perilous times shall come: for men shall be lovers of their own selves; . . . lovers of pleasures more than lovers of God; having a form of godliness, but denying the power thereof.” 2 Timothy 3:1-5. {COL 411.1}

อัครทูตเปาโลชี้ให้เห็นว่านี่คือลักษณะพิเศษของผู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อนการเสด็จมาของพระเยซูในอีกไม่นานนัก ท่านกล่าวว่า “วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว..…รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้นส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ” 2 ทิโมธี 3:1-5 {COL 411.1}

This is the class that in time of peril are found crying, Peace and safety. They lull their hearts into security, and dream not of danger. When startled from their lethargy, they discern their destitution, and entreat others to supply their lack; but in spiritual things no man can make up another’s deficiency.

นี่คือกลุ่มคนที่จะร้องขึ้นแม้ในยามที่มีอันตรายว่าสงบสุขและปลอดภัยแล้ว พวกเขาหลอกลวงจิตใจตนเองว่าปลอดภัยและไม่คิดฝันว่ามีอันตรายใดๆ เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากความง่วงเหงา พวกเขาจะพบเห็นแต่ความสิ้นเนื้อประดาตัวและขอร้องผู้อื่นให้เติมในสิ่งที่เขาขาด แต่ในเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณไม่มีผู้ใดสามารถเติมส่วนที่ผู้อื่นขาดได้

The grace of God has been freely offered to every soul. The message of the gospel has been heralded, “Let him that is athirst come. And whosoever will, let him take the water of life freely.” Revelation 22:17.

พระคุณของพระเจ้ายื่นให้จิตวิญญาณของทุกคนโดยไม่คิดมูลค่า ข่าวสารของข่าวประเสริฐประกาศว่า “คนที่กระหายเชิญเข้ามา ใครที่มีใจปรารถนา จงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” วิวรณ์ 22:17

But character is not transferable. No man can believe for another. No man can receive the Spirit for another. No man can impart to another the character which is the fruit of the Spirit’s working. “Though Noah, Daniel, and Job were in it [the land], as I live, saith the Lord God, they shall deliver neither son nor daughter; they shall but deliver their own souls by their righteousness.” Ezekiel 14:20. {COL 411.2}

แต่อุปนิสัยไม่อาจโอนกันได้ ไม่มีใครเชื่อแทนคนอื่นได้ ไม่มีใครรับพระวิญญาณแทนคนอื่นได้ ไม่มีผู้ใดแบ่งปันอุปนิสัยซึ่งเป็นผลแห่งการกระทำของพระวิญญาณแก่ผู้อื่นได้ “ถึงแม้ว่าโนอาห์ ดาเนียลและโยบอยู่ในนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่อย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจช่วยบุตรชายและบุตรสาวให้รอดได้ พวกเขาจะช่วยเฉพาะชีวิตของเขาได้ด้วยความชอบธรรมของเขา” เอเสเคียล 14:20 {COL 411.2}

It is in a crisis that character is revealed. When the earnest voice proclaimed at midnight, “Behold, the bridegroom cometh; go ye out to meet him,” and the sleeping virgins were roused from their slumbers, it was seen who had made preparation for the event.

ในห้วงเวลาวิกฤตที่อุปนิสัยจะแสดงออกมา เมื่อเสียงร้องประกาศขึ้นอย่างจริงจังในยามเที่ยงคืนว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” และสาวพรหมจารีถูกปลุกให้ตื่นจากหลับ ทำให้เห็นว่าผู้ใดพร้อมสำหรับงานนี้

Both parties were taken unawares; but one was prepared for the emergency, and the other was found without preparation. So now, a sudden and unlooked-for calamity, something that brings the soul face to face with death, will show whether there is any real faith in the promises of God.

คนทั้งสองกลุ่มตกอยู่ในสภาพไม่รู้ตัว แต่ฝ่ายหนึ่งมีการเตรียมสำหรับเหตุฉุกเฉินแต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เตรียมพร้อม ปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน เหตุหายนะที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นสิ่งที่จะนำจิตวิญญาณให้เผชิญหน้ากับความตายจะทำให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้นมีความเชื่อที่แท้จริงในพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่

It will show whether the soul is sustained by grace. The great final test comes at the close of human probation, when it will be too late for the soul’s need to be supplied. {COL 412.1}

จะแสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณนั้นได้รับการค้ำจุนด้วยพระคุณหรือไม่ การทดสอบครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่จะมาถึงเมื่อใกล้หมดเวลาของมนุษย์และจะสายเกินไปในการเติมความต้องการให้จิตวิญญาณ {COL 412.1}

The ten virgins are watching in the evening of this earth’s history. All claim to be Christians. All have a call, a name, a lamp, and all profess to be doing God’s service. All apparently wait for Christ’s appearing. But five are unready. Five will be found surprised, dismayed, outside the banquet hall. {COL 412.2}

สาวพรหมจารีสิบคนกำลังเฝ้ารอในยามค่ำคืนประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ทุกคนอ้างตนเป็นคริสเตียน ทุกคนได้รับการทรงเรียก มีชื่อ มีตะเกียงและทุกคนต่างแสดงตนรับใช้พระเจ้า ทุกคนต่างรอคอยการเสด็จมาของพระคริสต์ แต่มีห้าคนที่ไม่พร้อม ห้าคนนี้จะตกตะลึง เศร้าโศกและอยู่นอกห้องจัดงานเลี้ยง {COL 412.2}

At the final day, many will claim admission to Christ’s kingdom, saying, “We have eaten and drunk in Thy presence, and Thou hast taught in our streets.” “Lord, Lord, have we not prophesied in Thy name? and in Thy name have cast out devils? and in Thy name done many wonderful works?” But the answer is, “I tell you, I know you not whence ye are; depart from Me.” Luke 13:26; Matthew 7:22; Luke 13:27.

ในวันสุดท้าย คนจำนวนมากจะอ้างตนเพื่อขอเข้าไปยังแผ่นดินของพระเจ้าโดยกล่าวว่า “เราเคยกินดื่มกับนาย และนายก็เคยสั่งสอนที่ถนนของเรา” “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ” แต่คำตอบที่จะตามมาคือ “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่ทำความชั่วมาจากไหน จงไปให้พ้นหน้าเรา” ลูกา 13:26 มัทธิว 7:22 ลูกา 13:27

In this life they have not entered into fellowship with Christ; therefore they know not the language of heaven, they are strangers to its joy. “What man knoweth the things of a man, save the spirit of man which is in him? even so the things of God knoweth no man, but the Spirit of God.” 1 Corinthians 2:11. {COL 412.3}

ในชีวิตนี้ พวกเขาไม่ได้ติดสนิทกับพระคริสต์ ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้จักภาษาแห่งสวรรค์ และพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าในความชื่นชมยินดีของสวรรค์ “อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน” 1โครินธ์ 2:11 {COL 412.3}

Saddest of all words that ever fell on mortal ear are those words of doom, “I know you not.” The fellowship of the Spirit, which you have slighted, could alone make you one with the joyous throng at the marriage feast.

ประโยคเศร้าสลดที่สุดที่หูมนุษย์จะพึงได้ยินคือถ้อยคำแห่งความพินาศที่กล่าวว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” ความสนิทสนมกับพระวิญญาณซึ่งท่านดูแคลนนั้น เป็นสิ่งเดียวที่นำท่านเข้าสู่ความสุขของงานเลี้ยงพิธีสมรสได้

In that scene you cannot participate. Its light would fall on blinded eyes, its melody upon deaf ears. Its love and joy could awake no chord of gladness in the world-benumbed heart. You are shut out from heaven by your own unfitness for its companionship. {COL 413.1}

เป็นภาพเหตุการณ์ที่ท่านไม่อาจเข้าร่วมได้ แสงสว่างนั้นส่องถูกตาที่มืดบอด เสียงเพลงดังเข้าไปในหูที่หนวก ความรักและความสุขไม่อาจปลุกเสียงแห่งความชื่นชมออกมาจากหัวใจที่ทำให้ชาด้านด้วยการฝักใฝ่ในทางโลกได้ ท่านถูกขับออกไปจากสวรรค์เพราะความไม่เหมาะสมของตัวท่านที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม {COL 413.1}

We cannot be ready to meet the Lord by waking when the cry is heard, “Behold, the Bridegroom!” and then gathering up our empty lamps to have them replenished. We cannot keep Christ apart from our lives here, and yet be fitted for His companionship in heaven. {COL 413.2}

เราเตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับพระเจ้าโดยการตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” ไม่ได้ และเอาตะเกียงว่างเปล่าไปเติมน้ำมัน เราแยกพระคริสต์จากชีวิตของเราที่นี่และยังเป็นคนที่พร้อมไปอยู่ร่วมกับพระองค์บนสรวงสวรรค์ไม่ได้ {COL 413.2}

In the parable the wise virgins had oil in their vessels with their lamps. Their light burned with undimmed flame through the night of watching. It helped to swell the illumination for the bridegroom’s honor. Shining out in the darkness, it helped to illuminate the way to the home of the bridegroom, to the marriage feast. {COL 414.1}

ในอุปมาสาวพรหมจารีผู้ฉลาดจะมีน้ำมันอยู่ในภาชนะพร้อมตะเกียง แสงสว่างจ้าจากเปลวไฟที่ไม่มีการหรี่ลงตลอดคืนแห่งการรอคอยเป็นความสว่างที่ให้เกียรติแก่เจ้าบ่าวเป็นแสงสว่างในความมืดที่ช่วยนำทางไปสู่บ้านของเจ้าบ่าวและเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ {COL 414.1}

So the followers of Christ are to shed light into the darkness of the world. Through the Holy Spirit, God’s word is a light as it becomes a transforming power in the life of the receiver.

ด้วยเหตุนี้ ผู้ติดตามพระคริสต์ต้องส่องแสงสว่างกลบความมืดของโลก พระธรรมของพระเจ้าเป็นแสงสว่างเป็นฤทธิ์เดชเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้รับเชื่อโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

By implanting in their hearts the principles of His word, the Holy Spirit develops in men the attributes of God. The light of His glory–His character–is to shine forth in His followers. Thus they are to glorify God, to lighten the path to the Bridegroom’s home, to the city of God, to the marriage supper of the Lamb. {COL 414.2}

เมื่อปลูกฝังกฎเกณฑ์แห่งพระธรรมของพระเจ้าไว้ในจิตใจของเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพัฒนาคุณงามความดีของพระเจ้าในมนุษย์ แสงแห่งพระสง่าราศรีของพระองค์คือพระลักษณะนิสัยของพระองค์ที่จะฉายแสงบรรดาผู้ติดตามพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงถวายพระสง่าราศรีแด่พระเจ้าเพื่อส่องสว่างตามทางไปสู่บ้านของเจ้าบ่าว ซึ่งเป็นเมืองของพระเจ้า สู่งานเลี้ยงสมรสของพระเมษโปดก{COL 414.2}

The coming of the bridegroom was at midnight–the darkest hour. So the coming of Christ will take place in the darkest period of this earth’s history.

เจ้าบ่าวมาถึงเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่มืดที่สุดดังนั้นการเสด็จมาของพระคริสต์จะเกิดขึ้นในขณะที่โลกตกอยู่ในความมืดมนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา

The days of Noah and Lot pictured the condition of the world just before the coming of the Son of man. The Scriptures pointing forward to this time declare that Satan will work with all power and “with all deceivableness of unrighteousness.” 2 Thessalonians 2:9, 10.

สมัยของโนอาห์และโลทเป็นภาพแสดงถึงสภาพของโลกเพียงชั่วครู่ก่อนการเสด็จมาของพระบุตรของมนุษย์ พระธรรมบันทึกล่วงหน้าในเวลาเช่นนี้ว่า ซาตานจะทุ่มทำงานสุดตัวและด้วย “อุบายชั่วทุกอย่าง” 2 เธสะโลนิกา 2:9, 10

His working is plainly revealed by the rapidly increasing darkness, the multitudinous errors, heresies, and delusions of these last days. Not only is Satan leading the world captive, but his deceptions are leavening the professed churches of our Lord Jesus Christ.

ผลงานของซาตานแสดงออกง่ายๆให้เห็นถึงความมืดมนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความผิดเพี้ยนอย่างมากมายหลายรูปแบบ ความเชื่อผิดๆ ในศาสนาและความหลอกลวงต่างๆ ของวาระสุดท้าย ซาตานไม่เพียงแต่จะครอบงำโลกนี้เท่านั้น แต่การหลอกลวงของมันส่งผลต่อคริสตจักรที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์อีกด้วย

The great apostasy will develop into darkness deep as midnight, impenetrable as sackcloth of hair. To God’s people it will be a night of trial, a night of weeping, a night of persecution for the truth’s sake. But out of that night of darkness God’s light will shine. {COL 414.3}

การละทิ้งศาสนาครั้งที่ยิ่งใหญ่จะพัฒนาขึ้นเป็นความมืดมนเหมือนความมืดยามเที่ยงคืน เหมือนผ้ากระสอบดำที่แสงผ่านไม่ได้ สำหรับประชากรของพระเจ้าแล้วจะเป็นค่ำคืนแห่งการทดลอง ค่ำคืนแห่งการร่ำไห้ ค่ำคืนแห่งการกดขี่ข่มเหงเพื่อให้เห็นความจริง แต่แสงสว่างของพระเจ้าจะส่องสว่างผ่านความมืดมิดยามค่ำคืนเช่นนี้ได้ {COL 414.3}

He causes “the light to shine out of darkness.” 2 Corinthians 4:6. When “the earth was without form, and void, and darkness was upon the face of the deep,” “the Spirit of God moved upon the face of the waters. And God said, Let there be light; and there was light.” Genesis 1:2, 3.

พระองค์ทรงดลบันดาลให้ “ความสว่างออกมาจากความมืด” 2 โครินธ์ 4:6 เมื่อ “แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น พระเจ้าตรัสว่า จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น” ปฐมกาล 1:2 , 3

So in the night of spiritual darkness, God’s word goes forth, “Let there be light.” To His people He says, “Arise, shine; for thy light is come, and the glory of the Lord is risen upon thee.” Isaiah 60:1. {COL 415.1}

ดังนั้นในค่ำคืนที่มืดแห่งฝ่ายวิญญาณ พระวจนะของพระเจ้าจะประกาศออกมาว่า “จงเกิดความสว่าง” พระองค์ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “จงลุกขึ้นฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้วและพระสิริของพระยาห์เวห์ขึ้นมาเหนือเจ้า” อิสยาห์ 60:1 {COL 415.1}

“Behold,” says the Scripture, “the darkness shall cover the earth, and gross darkness the people; but the Lord shall arise upon thee, and His glory shall be seen upon thee.” Isaiah 60:2. {COL 415.2}

พระวจนะกล่าวว่า “ดูสิ ความมืดจะปกคลุมแผ่นดินโลกและความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระยาห์เวห์จะทรงขึ้นมาเหนือเจ้าและพระสิริของพระองค์จะปรากฎเหนือเจ้า” อิสยาห์ 60:2 {COL 415.2}

It is the darkness of misapprehension of God that is enshrouding the world. Men are losing their knowledge of His character. It has been misunderstood and misinterpreted.

ความมืดมนแห่งการเข้าใจพระเจ้าผิดกำลังครอบงำโลกไว้ มนุษย์กำลังสูญเสียความรู้ในพระลักษณะของพระองค์ มีการเข้าใจผิดและอธิบายผิดๆ

At this time a message from God is to be proclaimed, a message illuminating in its influence and saving in its power. His character is to be made known. Into the darkness of the world is to be shed the light of His glory, the light of His goodness, mercy, and truth. {COL 415.3}

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เวลานี้เราจะต้องประกาศข่าวที่มาจากพระเจ้า เป็นข่าวสารที่มีอำนาจชักจูงและมีฤทธิ์แห่งการช่วยให้รอด จะต้องให้คนรับรู้เรื่องพระลักษณะของพระองค์ จะต้องส่องแสงสว่างแห่งพระสิริ แสงสว่างแห่งความดี พระกรุณาคุณและความจริงเข้าไปในความมืดมนของโลก {COL 415.3}

This is the work outlined by the prophet Isaiah in the words, “O Jerusalem, that bringest good tidings, lift up thy voice with strength; lift it up, be not afraid; say unto the cities of Judah, Behold your God! Behold, the Lord God will come with strong hand, and His arm shall rule for Him; behold, His reward is with Him, and His work before Him.” Isaiah 40:9,10. {COL 415.4}

ภารกิจนี้ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บันทึกไว้ว่า “โอ เยรูซาเล็มผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย จงพูดกับเมืองทั้งหลายของยูดาห์ว่า ‘ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า’ ดูสิ พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายเสด็จมาด้วยอานุภาพและพระกรของพระองค์ครอบครองเพื่อพระองค์ นี่แน่ะ รางวัลของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์ และค่าตอบแทนของพระองค์ก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์” อิสยาห์ 40:9, 10 {COL 415.4}

Those who wait for the Bridegroom’s coming are to say to the people, “Behold your God.” The last rays of merciful light, the last message of mercy to be given to the world, is a revelation of His character of love. The children of God are to manifest His glory. In their own life and character they are to reveal what the grace of God has done for them. {COL 415.5}

ผู้ที่กำลังรอคอยการเสด็จมาของเจ้าบ่าวจะต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ว่า “ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า” ลำแสงสุดท้ายของแสงแห่งความเมตตา ข่าวสุดท้ายแห่งความเมตตาที่จะต้องประกาศแก่ชาวโลกนั้น เป็นการเปิดเผยถึงพระลักษณะนิสัยแห่งรักของพระองค์ บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องแสดงออกถึงพระสิริของพระองค์ ด้วยชีวิตและอุปนิสัยของเขาเอง พวกเขาจะต้องแสดงออกให้เห็นว่าพระคุณของพระเจ้าทรงประกอบกิจอันใดให้แก่พวกเขา{COL 415.5}

The light of the Sun of Righteousness is to shine forth in good works–in words of truth and deeds of holiness. {COL 416.1}

แสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะต้องฉายออกมาด้วยการทำคุณประโยชน์ ทั้งในคำพูดแห่งความจริงและการกระทำที่บริสุทธิ์ {COL 416.1}

Christ, the outshining of the Father’s glory, came to the world as its light. He came to represent God to men, and of Him it is written that He was anointed “with the Holy Ghost and with power,” and “went about doing good.” Acts 10:38.

พระคริสต์ผู้ทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระบิดาเสด็จมาเพื่อเป็นแสงสว่างแก่โลก พระองค์เสด็จมาเพื่อเปิดเผยพระบิดาให้มนุษย์รู้จักและพระวจนะบันทึกถึงพระองค์ว่า พระองค์ทรงรับการเจิม “ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ” และ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์” กิจการ 10:38

In the synagogue at Nazareth He said, “The Spirit of the Lord is upon Me, because He hath anointed Me to preach the gospel to the poor; He hath sent Me to heal the brokenhearted, to preach deliverance to the captives, and recovering of sight to the blind, to set at liberty them that are bruised, to preach the acceptable year of the Lord.” Luke 4:18, 19.

พระองค์ตรัสในธรรมศาลาเมืองนาซาเร็ธว่า“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ลูกา 4:18, 19

This was the work He commissioned His disciples to do. “Ye are the light of the world,” He said. “Let your light so shine before men, that they may see your good works, and glorify your Father which is in heaven.” Matthew 5:14, 16. {COL 416.2}

นี่คือภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้อัครสาวกทำ พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” มัทธิว 5:14 , 16 {COL 416.2}

This is the work which the prophet Isaiah describes when he says, “Is it not to deal thy bread to the hungry, and that thou bring the poor that are cast out to thy house? when thou seest the naked, that thou cover him; and that thou hide not thyself from thine own flesh? Then shall thy light break forth as the morning, and thine health shall spring forth speedily; and thy righteousness shall go before thee; the glory of the Lord shall be thy rereward.” Isaiah 58:7, 8. {COL 417.1}

นี่คือภารกิจซึ่งผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บรรยายไว้ว่า “คือการแบ่งอาหารของเจ้ากับคนหิว การนำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้านไม่ใช่หรือ และเมื่อเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้ ทั้งไม่ซ่อนตัวเจ้าจากญาติของเจ้าไม่ใช่หรือ แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าเหมือนรุ่งอรุณและการรักษาแผลของเจ้าจะมีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้าและพระสิริของพระยาห์เวห์จะระวังหลังเจ้า” อิสยาห์ 58:7, 8 {COL 417.1}

Thus in the night of spiritual darkness God’s glory is to shine forth through His church in lifting up the bowed down and comforting those that mourn. {COL 417.2}

พระสิริของพระเจ้าจะฉายแสงผ่านคริสตจักรของพระองค์ในคืนที่มืดมนฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อยกชูผู้ที่เป็นทุกข์และปลอบประโลมใจผู้ที่โศกเศร้า {COL 417.2}

All around us are heard the wails of a world’s sorrow. On every hand are the needy and distressed. It is ours to aid in relieving and softening life’s hardships and misery. {COL 417.3}

มีเสียงร้องคร่ำครวญของชาวโลกอยู่รอบๆ ตัวเรา มีผู้ขัดสนและทุกข์ยากทั่วทุกแห่ง เป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยบรรเทาและทำให้ความทุกข์ระทมเบาบางลง {COL 417.3}

Practical work will have far more effect than mere sermonizing. We are to give food to the hungry, clothing to the naked, and shelter to the homeless. And we are called to do more than this.

การลงมือทำงานจะให้ผลมากยิ่งกว่าการเทศนาเราจะต้องให้อาหารแก่ผู้ที่หิว ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่เปลือยกายและให้ที่อยู่อาศัยแก่ผู้ที่ไม่มีบ้าน และเราได้รับการทรงเรียกให้ทำมากกว่านี้

The wants of the soul, only the love of Christ can satisfy. If Christ is abiding in us, our hearts will be full of divine sympathy. The sealed fountains of earnest, Christlike love will be unsealed. {COL 417.4}

ความรักของพระคริสต์เท่านั้นที่จะประทานความพึงพอใจให้กับผู้ขัดสนทางฝ่ายจิตวิญญาณได้ หากพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ใจของเราจะเต็มเปี่ยมด้วยความเห็นใจจากสวรรค์บ่อน้ำพุที่เต็มด้วยรักอย่างจริงใจแบบพระคริสต์จะสำแดงออกมา {COL 417.4}

God calls not only for our gifts for the needy, but for our cheerful countenance, our hopeful words, our kindly handclasp. When Christ healed the sick, He laid His hands upon them. So should we come in close touch with those whom we seek to benefit. {COL 418.1}

พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกให้เราเพียงแค่แบ่งปันสิ่งของแก่ผู้ที่ต้องการ แต่ยังทรงเรียกให้เราแบ่งปันสีหน้าที่ร่าเริงสดใส คำพูดที่ให้ความหวังและการสัมผัสที่อ่อนโยน เมื่อพระคริสต์ทรงรักษาผู้ป่วย พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ลงบนพวกเขา เราจึงต้องเข้ามาใกล้ผู้ที่เราต้องการให้เขาได้รับประโยชน์ {COL 418.1}

There are many from whom hope has departed. Bring back the sunshine to them. Many have lost their courage. Speak to them words of cheer. Pray for them. There are those who need the bread of life.

ความหวังของคนจำนวนมากสูญหายไปขอให้นำแสงสว่างกลับคืนมายังพวกเขา หลายคนสูญเสียกำลังใจ ขอให้พูดหนุนใจพวกเขา อธิษฐานเผื่อเขา ยังมีคนที่ต้องการอาหารแห่งชีวิต

Read to them from the word of God. Upon many is a soul sickness which no earthly balm can reach nor physician heal. Pray for these souls, bring them to Jesus. Tell them that there is a balm in Gilead and a Physician there. {COL 418.2}

ขอให้อ่านพระคำของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง มีคนจำนวนมากป่วยด้วยโรคฝ่ายวิญญาณที่ไม่มียาจะเข้าถึงหรือแพทย์คนใดที่จะรักษาได้ อธิษฐานเผื่อจิตวิญญาณเหล่านี้ นำพวกเขามายังพระเยซู บอกให้พวกเขาทราบว่ามีพิมเสนในกิเลอาดและมีพระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นั่น {COL 418.2}

Light is a blessing, a universal blessing, pouring forth its treasures on a world unthankful, unholy, demoralized. So it is with the light of the Sun of Righteousness. The whole earth, wrapped as it is in the darkness of sin, and sorrow, and pain, is to be lighted with the knowledge of God’s love. From no sect, rank, or class of people is the light shining from heaven’s throne to be excluded. {COL 418.3}

แสงสว่างเป็นพระพร เป็นพระพรครอบจักรวาล ซึ่งเทสมบัติล้ำค่าลงมายังบรรดาผู้ที่ไม่รู้ซึ้งในพระคุณ ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์และผู้ไร้ศีลธรรม แสงสว่างจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ความมืดของบาป ความทุกข์และความเจ็บปวดห่อหุ้มโลกทั้งใบนี้ไว้ โลกจะต้องได้รับความสว่างจากความรู้ในความรักของพระเจ้า ไม่มีนิกายศาสนา ยศศักดิ์หรือชนชั้นใดๆ จะมากีดกันแสงสว่างที่ฉายมาจากพระที่นั่งบนสรวงสวรรค์ของพระเจ้าได้ {COL 418.3}

The message of hope and mercy is to be carried to the ends of the earth. Whosoever will, may reach forth and take hold of God’s strength and make peace with Him, and he shall make peace. No longer are the heathen to be wrapped in midnight darkness. The gloom is to disappear before the bright beams of the Sun of Righteousness. The power of hell has been overcome. {COL 418.4}

เราจะต้องประกาศข่าวสารแห่งความหวังและพระคุณไปยังที่สุดปลายแผ่นดินโลก คนที่ต้องการจะยื่นมือมารับพระกำลังของพระเจ้าและสร้างสันติภาพกับพระองค์ ความมืดยามเที่ยงคืนจะไม่ห่อหุ้มคนนอกศาสนาอีกต่อไป ความมืดมนจะหายไปเมื่อความสว่างของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมส่องมา และมีชัยชนะเหนืออำนาจแดนนรก {COL 418.4}

But no man can impart that which he himself has not received. In the work of God, humanity can originate nothing. No man can by his own effort make himself a light bearer for God.

ไม่มีใครแบ่งปันได้ถ้าเขายังไม่ได้รับ ในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์สร้างสิ่งใดไม่ได้เลย ไม่มีผู้ใดเป็นแสงสว่างของพระเจ้าได้ด้วยความสามารถของเขาเอง

It was the golden oil emptied by the heavenly messengers into the golden tubes, to be conducted from the golden bowl into the lamps of the sanctuary, that produced a continuous bright and shining light.

แต่เกิดจากน้ำมันทองคำที่ผู้สื่อข่าวจากสวรรค์เทไหลผ่านท่อทองคำไปยังชามทองคำและไหลต่อไปยังตะเกียงในวิหาร ซึ่งจะฉายแสงให้สว่างอย่างต่อเนื่อง

It is the love of God continually transferred to man that enables him to impart light. Into the hearts of all who are united to God by faith the golden oil of love flows freely, to shine out again in good works, in real, heartfelt service for God. {COL 418.5}

นั่นคือความรักของพระเจ้าที่ส่งผ่านมายังมนุษย์อย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยให้เขาฉายแสงได้น้ำมันทองคำแห่งความรักของพระเจ้าจะไหลต่อเนื่องไปสู่ดวงใจทุกคนที่ติดสนิทกับพระเจ้าโดยความเชื่อเพื่อให้เขาฉายแสงในการประพฤติดี เป็นการรับใช้พระเจ้าสุดจิตสุดใจอย่างแท้จริง {COL 418.5}

In the great and measureless gift of the Holy Spirit are contained all of heaven’s resources. It is not because of any restriction on the part of God that the riches of His grace do not flow earthward to men. If all were willing to receive, all would become filled with His Spirit. {COL 419.1}

ทรัพย์สินทั้งหมดในสวรรค์สำแดงในของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่และมีมากมายเหลือล้น ไม่ใช่ว่าจะมีส่วนใดของพระเจ้าที่จะคอยกีดกั้นความมั่งคั่งของพระสิริของพระองค์ไว้ไม่ให้ไหลผ่านมายังโลกไปสู่มนุษย์ แต่หากทุกคนยินดีรับ เขาเหล่านั้นจะเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณของพระองค์ {COL 419.1}

It is the privilege of every soul to be a living channel through which God can communicate to the world the treasures of His grace, the unsearchable riches of Christ. There is nothing that Christ desires so much as agents who will represent to the world His Spirit and character.

เป็นอภิสิทธิ์พิเศษสำหรับจิตวิญญาณทุกดวงในการเป็นท่อพระพรอันมีชีวิตที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งขุมทรัพย์แห่งพระคุณที่เป็นความมั่งคั่งในพระคริสต์ผ่านไปยังโลกได้ ไม่มีสิ่งใดที่พระคริสต์ทรงหวังไปมากกว่าผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระองค์ ในการเป็นตัวแทนของพระวิญญาณและพระลักษณะของพระองค์

There is nothing that the world needs so much as the manifestation through humanity of the Saviour’s love. All heaven is waiting for channels through which can be poured the holy oil to be a joy and blessing to human hearts. {COL 419.2}

ไม่มีสิ่งใดที่โลกต้องการมากไปกว่าการสำแดงความรักของพระผู้ช่วยผ่านมายังมนุษย์ทั้งหลาย สวรรค์กำลังรอคอยผู้ที่จะเป็นท่อที่สามารถรับน้ำมันอันบริสุทธิ์ไหลไปเพื่อให้ความสุขและพระพรแก่จิตใจของมนุษย์ {COL 419.2}

Christ has made every provision that His church shall be a transformed body, illumined with the Light of the world, possessing the glory of Emmanuel. It is His purpose that every Christian shall be surrounded with a spiritual atmosphere of light and peace. He desires that we shall reveal His own joy in our lives. {COL 419.3}

พระคริสต์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้เพื่อให้คริสตจักรของพระองค์เป็นกลุ่มชนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง สว่างไสวไปด้วยความสว่างของพระองค์และมีพระสิริของอิมมานูเอล พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้บรรยากาศแห่งความสว่างและสันติสุขของพระองค์ล้อมรอบคริสเตียนทุกคน พระองค์ทรงหวังให้เราเปิดเผยความสุขของพระองค์ในชีวิตของเรา {COL 419.3}

The indwelling of the Spirit will be shown by the outflowing of heavenly love. The divine fullness will flow through the consecrated human agent, to be given forth to others. {COL 419.4}

เมื่อพระวิญญาณสถิตอยู่ในเรา เราจะแสดงออกด้วยความรักแห่งสวรรค์ที่หลั่งลงมาจากเบื้องบน ความบริบูรณ์แห่งพระเจ้าจะไหลผ่านมนุษย์ผู้ได้รับการชำระแล้วผ่านไปยังคนอื่น {COL 419.4}

The Sun of Righteousness has “healing in His wings.” Malachi 4:2. So from every true disciple is to be diffused an influence for life, courage, helpfulness, and true healing. {COL 419.5}

ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมมี “ปีกรักษาโรคภัย” มาลาคี 4:2 ดังนั้นอิทธิพลที่มีต่อชีวิต ความกล้าหาญ ความช่วยเหลือผู้อื่นและการรักษาที่ได้ผลจะแพร่กระจายออกจากสาวกที่ซื่อสัตย์ทุกคน {COL 419.5}

The religion of Christ means more than the forgiveness of sin; it means taking away our sins, and filling the vacuum with the graces of the Holy Spirit. It means divine illumination, rejoicing in God. It means a heart emptied of self, and blessed with the abiding presence of Christ.

ศาสนาของพระคริสต์มีความหมายมากยิ่งกว่าการอภัยจากบาป เรื่องนี้หมายถึงการนำบาปออกไป และเติมช่องว่างให้เต็มด้วยพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงการรับแสงสว่างจากพระเจ้าและมีความชื่นชมยินดีในพระองค์ หมายถึงหัวใจที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว และเต็มล้นด้วยพระพรของการสถิตอยู่ของพระคริสต์

When Christ reigns in the soul, there is purity, freedom from sin. The glory, the fullness, the completeness of the gospel plan is fulfilled in the life. The acceptance of the Saviour brings a glow of perfect peace, perfect love, perfect assurance. The beauty and fragrance of the character of Christ revealed in the life testifies that God has indeed sent His Son into the world to be its Saviour. {COL 419.6}

เมื่อพระคริสต์ทรงครอบครองจิตวิญญาณ จะมีแต่ความบริสุทธิ์และอิสรภาพจากบาป พระสิริ ความบริบูรณ์ ความสมบูรณ์ของแผนการของข่าวประเสริฐจะสำเร็จในชีวิต การยอมรับพระผู้ช่วยให้รอดจะเปล่งแสงแห่งสันติสุข ความรักและความมั่นใจที่สมบูรณ์แบบ ความงดงามและกลิ่นหอมของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ที่แสดงออกในชีวิตจะเป็นพยานว่าพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเป็นพระผู้ช่วยของโลกอย่างแท้จริง {COL 419.6}

Christ does not bid His followers strive to shine. He says, Let your light shine. If you have received the grace of God, the light is in you. Remove the obstructions, and the Lord’s glory will be revealed. The light will shine forth to penetrate and dispel the darkness. You cannot help shining within the range of your influence. {COL 420.1}

พระคริสต์ไม่ได้เชิญชวนผู้ติดตามให้พยายามส่องแสงสว่าง พระองค์ตรัสว่าหากท่านได้รับพระคุณของพระเจ้า แสงสว่างจะอยู่ในตัวท่าน จงขจัดสิ่งกีดขวางไปเสียแล้วสง่าราศรีของพระเจ้าจะถูกเปิดเผยออกมา แสงนั้นจะส่องสว่างทะลุและขับไล่ความมืดออกไป ท่านหยุดยั้งแสงสว่างที่ส่องออกมาจากแวดวงอิทธิพลของท่านไม่ได้ {COL 420.1}

The revelation of His own glory in the form of humanity will bring heaven so near to men that the beauty adorning the inner temple will be seen in every soul in whom the Saviour dwells. Men will be captivated by the glory of an abiding Christ. And in currents of praise and thanksgiving from the many souls thus won to God, glory will flow back to the great Giver. {COL 420.2}

การเปิดเผยพระสิริของพระองค์ในสภาพมนุษย์จะนำสวรรค์ลงมาอยู่ใกล้มนุษย์มากจนความงดงามที่ครอบครองจิตใจจะแสดงออกจากจิตวิญญาณทุกดวงที่มีพระผู้ช่วยสถิตอยู่ พระสิริของการร่วมสถิตของพระคริสต์จะควบคุมมนุษย์ และในกระแสแห่งการสรรเสริญและการขอบพระคุณจากผู้ที่กลับมาหาพระเจ้า พระสิริจะไหลกลับสู่พระผู้ประทานยิ่งใหญ่ {COL 420.2}

“Arise, shine; for thy light is come, and the glory of the Lord is risen upon thee.” Isaiah 60:1. To those who go out to meet the Bridegroom is this message given. Christ is coming with power and great glory. He is coming with His own glory and with the glory of the Father.

“จงลุกขึ้น ฉายแสงเพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว” อิสยาห์ 60:1 ข่าวนี้มีไว้สำหรับผู้ที่ออกไปต้อนรับเจ้าบ่าว พระคริสต์จะเสด็จมาด้วยอำนาจและสง่าราศรีอันยิ่งใหญ่ พระองค์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศรีของพระองค์และพระสิริของพระบิดา

He is coming with all the holy angels with Him. While all the world is plunged in darkness, there will be light in every dwelling of the saints. They will catch the first light of His second appearing.

พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ในขณะที่โลกตกอยู่ในสภาพมืดมน จะมีแสงอยู่ในผู้ชอบธรรมทุกคน พวกเขาจะมองเห็นแสงสว่างแรกของการปรากฏของพระองค์

The unsullied light will shine from His splendor, and Christ the Redeemer will be admired by all who have served Him. While the wicked flee from His presence, Christ’s followers will rejoice. The patriarch Job, looking down to the time of Christ’s second advent, said, “Whom I shall see for myself, and mine eyes shall behold, and not a stranger.” Job 19:27.

แสงที่ไม่มีมลทินจะส่องออกมาด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดจะได้รับการเยินยอจากผู้ที่ปรนนิบัติพระองค์ ในขณะที่คนชั่ววิ่งหนีจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ติดตามของพระคริสต์จะชื่นชมยินดี โยบบรรพบุรุษในอดีต ขณะที่มองไปสู่ยุคของการเสด็จมาของพระคริสต์กล่าวว่า “ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเองและดวงตาของข้าจะได้เห็นไม่ใช่คนอื่น” โยบ 19:27

To His faithful followers Christ has been a daily companion and familiar friend. They have lived in close contact, in constant communion with God. Upon them the glory of the Lord has risen. In them the light of the knowledge of the glory of God in the face of Jesus Christ has been reflected.

สำหรับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นมิตรร่วมเดินทางและสหายที่คุ้นเคยพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์เสมอ รัศมีของพระเจ้าฉายขึ้นเหนือเขา แสงสว่างแห่งความรู้ของพระสิริของพระเจ้าสะท้อนจากพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขา

Now they rejoice in the undimmed rays of the brightness and glory of the King in His majesty. They are prepared for the communion of heaven; for they have heaven in their hearts. {COL 420.3}

บัดนี้พวกเขาชื่นชอบกับแสงสว่างอันสว่างไสวแห่งความสว่าง และพระสิริของจอมราชัน พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การชุมนุมของสวรรค์ เพราะพวกเขามีสวรรค์อยู่ในใจ {COL 420.3}

With uplifted heads, with the bright beams of the Sun of Righteousness shining upon them, with rejoicing that their redemption draweth nigh, they go forth to meet the Bridegroom, saying, “Lo, this is our God; we have waited for Him, and He will save us.” Isaiah 25:9. {COL 421.1}

ด้วยศีรษะที่ผงกขึ้นด้วยลำแสงจ้าของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมที่ส่องสว่างอยู่บนพวกเขา ด้วยการชื่นชมที่ความรอดเข้ามาใกล้ ทุกคนจะมุ่งหน้าไปต้อนรับเจ้าบ่าวและพูดว่า “ดูสิ นี่คือพระเจ้าของเรา เรารอคอยพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด” อิสยาห์ 25:9 {COL 421.1}

“And I heard as it were the voice of a great multitude, and as the voice of many waters, and as the voice of mighty thunderings, saying, Alleluia; for the Lord God omnipotent reigneth. Let us be glad and rejoice, and give honour to Him; for the marriage of the Lamb is come, and His wife hath made herself ready. . . .

“แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลายและเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า ‘อาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว’…….

And he saith unto me, Write, Blessed are they which are called unto the marriage supper of the Lamb.” “He is Lord of lords, and King of kings; and they that are with Him are called, and chosen, and faithful.” Revelation 19:6-9; 17:14. {COL 421.2}

และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่าจง ‘เขียนลงไปว่า ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก’”“พระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลายและทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและพวกที่อยู่กับพระองค์นั้นก็เป็นพวกที่ได้รับการทรงเรียกและได้รับการทรงเลือก และเป็นพวกที่ซื่อสัตย์” วิวรณ์ 19:6-9,17:14 {COL 421.2}