Chapter 3 (บทที่ 3)
An Era of Spiritual Darkness
ยุคมืดทางจิตวิญญาณ

The apostle Paul, in his second letter to the Thessalonians, foretold the great apostasy which would result in the establishment of the papal power.

ในจดหมายฉบับที่สองที่เขียนไปยัง ชาวเมืองเธสะโลนิกานั้น อัครทูตเปาโล พยากรณ์ถึงการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ ที่จะมีผลก่อให้เกิดอำนาจของระบอบ เปปาซี [papacy เปปาซีหมายถึงระบอบ การปกครองที่มีพระสันตะปาปาทรงเป็น องค์ประมุข]

He declared that the day of Christ should not come, “except there come a falling away first, and that man of sin be revealed, the son of perdition; who opposeth and exalteth himself above all that is called God, or that is worshiped; so that he as God sitteth in the temple of God, showing himself that he is God.”

ท่านประกาศว่าวันของ พระคริสต์จะยังมาไม่ถึง “จนกว่าจะมีการ กบฏเสียก่อน และคนนอกกฎหมายนั้น จะปรากฏตัว คือลูกแห่งความพินาศ ผู้ กีดกั้นขัดขวาง และยกตัวขึ้นต่อสู้ทุกสิ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระ หรือสิ่งที่เขาไหว้ นมัสการนั้น แล้วมันก็จะนั่งในพระวิหาร ของพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า”

And furthermore, the apostle warns his brethren that “the mystery of iniquity doth already work.” 2 Thessalonians 2:3, 4, 7. Even at that early date he saw, creeping into the church, errors that would prepare the way for the development of the papacy. {GC 49.1}

และยิ่งกว่านั้น ท่านอัครทูตยังเตือนพี่น้อง ของตนว่า “เพราะว่าอำนาจลึกลับนอก กฎหมายนั้นก็เริ่มทำ งานอยู่แล้ว” 2 เธสะโลนิกา 2:3, 4, 7 แม้กระทั่งใน สมัยยุคแรกเริ่มนั้น ท่านยังมองเห็นว่า หลักคำสอนผิดๆ กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ คริสตจักรแล้ว ซึ่งเตรียมทางให้เกิดการ พัฒนาไปสู่ระบอบเปปาซี {GC 49.1}

Little by little, at first in stealth and silence, and then more openly as it increased in strength and gained control of the minds of men, “the mystery of iniquity” carried forward its deceptive and blasphemous work. Almost imperceptibly the customs of heathenism found their way into the Christian church.

ในช่วงแรกเป็นไปอย่างลับๆ และอย่าง เงียบๆ ทีละเล็กทีละน้อย และจากนั้น ก็ค่อยๆ แผ่อิทธิพลมากยิ่งขึ้นและเข้า ครอบงำจิตใจของผู้คน “อำนาจลึกลับ นอกกฎหมาย” ดำเนินงานที่หลอกลวง และหมิ่นประมาทพระเจ้านี้อย่างก้าวหน้า ต่อไป ขนบธรรมเนียมประเพณีของลัทธิ นอกศาสนาค่อยๆ คืบคลานเข้ามาสู่ คริสตจักรอย่างแทบไม่ทันรู้ตัว

The spirit of compromise and conformity was restrained for a time by the fierce persecutions which the church endured under paganism. But as persecution ceased, and Christianity entered the courts and palaces of kings, she laid aside the humble simplicity of Christ and His apostles for the pomp and pride of pagan priests and rulers; and in place of the requirements of God, she substituted human theories and traditions.

วิญญาณแห่งการประนีประนอมและการคล้อยตาม กันถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ชั่วขณะหนึ่งด้วย การกดขี่ข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายซึ่ง คริสตจักรต้องทนอยู่ภายใต้ลัทธินอก ศาสนา แต่เมื่อการกดขี่ข่มเหงยุติลงและ คริสต์ศาสนาเข้าไปสู่ราชสำ นักและ พระราชวังของบรรดากษัตริย์ทั้งหลาย คริสตจักรละทิ้งความเรียบง่ายอันถ่อมตน ของพระคริสต์และของอัครทูตทั้งหลาย ของพระองค์เพื่อรับความโอ่อ่าและความ ทะนงตนของบรรดานักบวชและผู้ปกครอง ของคนนอกศาสนา และคริสตจักรนำ ทฤษฎีและขนบธรรมเนียมของมนุษย์เข้า มาแทนที่ข้อกำหนดต่างๆ ของพระเจ้า

The nominal conversion of Constantine, in the early part of the fourth century, caused great rejoicing; and the world, cloaked with a form of righteousness, walked into the church. Now the work of corruption rapidly progressed. Paganism, while appearing to be vanquished, became the conqueror. Her spirit controlled the church. Her doctrines, ceremonies, and superstitions were incorporated into the faith and worship of the professed followers of Christ. {GC 49.2}

ใน ช่วงต้นศตวรรษที่สี่ การกลับใจมาเป็น คริสเตียนแต่ในนามของจักรพรรดิ คอนสแตนตินสร้างความชื่นชมยินดี อันยิ่งใหญ่ให้กับคริสตจักร และวิถีทาง ของโลกซึ่งถูกคลุมด้วยรูปแบบแห่งความ ชอบธรรมก็ก้าวเข้ามาในคริสตจักร บัดนี้ การงานแห่งความเสื่อมทรามพัฒนาขึ้น อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดูเหมือนว่าลัทธิ นอกศาสนาหายสาบสูญไป แต่แท้จริง แล้ว มันกำลังเป็นผู้มีชัยต่างหาก วิญญาณ ของเธอเข้ามาควบคุมคริสตจักร มีการนำหลักคำสอน พิธีกรรม และความเชื่อ เรื่องโชคลางต่างๆ เข้ามาผสมผสานกับ ความเชื่อและการนมัสการของพวกที่ ประกาศว่าเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ {GC 49.2}

This compromise between paganism and Christianity resulted in the development of “the man of sin” foretold in prophecy as opposing and exalting himself above God. That gigantic system of false religion is a masterpiece of Satan’s power–a monument of his efforts to seat himself upon the throne to rule the earth according to his will. {GC 50.1}

การประนีประนอมระหว่างลัทธินอก ศาสนาและคริสต์ศาสนานี้ส่งผลทำให้เกิด การพัฒนา “คนนอกกฎหมาย” ขึ้น ซึ่งถูก ทำนายไว้ในคำพยากรณ์แล้วว่าจะเป็น ผู้ต่อต้านและยกตนขึ้นเหนือพระเจ้า ระบอบศาสนาเทียมเท็จที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็น ผลงานชิ้นเอกของอำนาจซาตาน ซึ่งเป็น อนุสรณ์แห่งความพยายามของมันในการ ยกตัวเองขึ้นนั่งบนบัลลังก์เพื่อปกครอง โลกตามที่มันต้องการ {GC 50.1}

Satan once endeavored to form a compromise with Christ. He came to the Son of God in the wilderness of temptation, and showing Him all the kingdoms of the world and the glory of them, offered to give all into His hands if He would but acknowledge the supremacy of the prince of darkness.

ครั้งหนึ่งซาตานเคยพยายามที่จะ ประนีประนอมกับพระคริสต์ มันมาหา พระบุตรของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารแห่ง การทดลองนั้น และแสดงให้พระองค์ ทอดพระเนตรอาณาจักรและความยิ่งใหญ่ ทั้งหมดของโลกนี้ มันเสนอที่จะมอบ ทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์หาก พระองค์จะทรงยอมรับอำนาจสูงสุดของ เจ้าชายแห่งความมืด

Christ rebuked the presumptuous tempter and forced him to depart. But Satan meets with greater success in presenting the same temptations to man. To secure worldly gains and honors, the church was led to seek the favor and support of the great men of earth; and having thus rejected Christ, she was induced to yield allegiance to the representative of Satan–the bishop of Rome. {GC 50.2}

พระคริสต์ทรงตำหนิ ผู้ล่อลวงที่อวดดีและทรงขับไล่มันไปเสีย แต่เมื่อซาตานนำเสนอการทดลองเดียวกัน นี้ให้แก่มนุษย์ มันประสบผลสำเร็จที่ ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อที่จะได้มาซึ่งสมบัติและ เกียรติยศทางโลกคริสตจักรถูกชักนำให้ แสวงหาความพอใจและการสนับสนุน จากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และด้วยการ ทำเช่นนี้ คริสตจักรปฏิเสธพระคริสต์และถูกชักชวนให้แสดงความจงรักภักดีต่อ ตัวแทนของซาตาน ซึ่งก็คือบิชอปแห่ง กรุงโรม [bishop บิชอปหมายถึงสังฆราช หรือมุขนายกเป็นผู้ปกครองดูแล] {GC 50.2}

It is one of the leading doctrines of Romanism that the pope is the visible head of the universal church of Christ, invested with supreme authority over bishops and pastors in all parts of the world. More than this, the pope has been given the very titles of Deity. He has been styled “Lord God the Pope” (see Appendix),

หนึ่งในบรรดาหลักคำสอนสำคัญของ ลัทธิโรมันคือพระสันตะปาปาทรงเป็น ประมุขที่ประจักษ์แก่ตาของคริสตจักร สากลของพระคริสต์ ทรงมีอำนาจสูงสุด เหนือบิชอปและศิษยาภิบาลทั่วทุกมุมโลก นอกเหนือจากนี้แล้ว พระสันตะปาปายัง ทรงได้รับตำแหน่งของเทพเจ้าอีกด้วย คือ “องค์พระสันตะปาปาพระผู้เป็นเจ้า” (โปรดดูภาคผนวก)

and has been declared infallible. He demands the homage of all men. The same claim urged by Satan in the wilderness of temptation is still urged by him through the Church of Rome, and vast numbers are ready to yield him homage. {GC 50.3}

และได้รับการเทิดทูน ให้เป็นผู้ไม่รู้พลั้ง มนุษย์ทุกคนต้องแสดง ความจงรักภักดี ข้อกล่าวอ้างเดียวกันที่ ซาตานเรียกร้องในถิ่นทุรกันดารแห่งการ ทดลองนั้นก็ยังคงถูกเรียกร้องโดยผ่าน คริสตจักรแห่งโรม และคนจำนวนมหาศาล ก็พร้อมที่จะมอบถวายการนมัสการแก่มัน {GC 50.3}

But those who fear and reverence God meet this heaven-daring assumption as Christ met the solicitations of the wily foe: “Thou shalt worship the Lord thy God, and Him only shalt thou serve.” Luke 4:8.

แต่ผู้ที่ยำเกรงและถวายเกียรติพระเจ้า เผชิญหน้ากับการอ้างสิทธิ์อย่างกล้า ท้าทายสวรรค์นี้เหมือนเช่นที่พระคริสต์ ทรงเผชิญหน้ากับการชักชวนของศัตรูเจ้า เล่ห์นั้นด้วยพระดำรัสที่ว่า “จงกราบ นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้า ของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” ลูกา 4:8

God has never given a hint in His word that He has appointed any man to be the head of the church. The doctrine of papal supremacy is directly opposed to the teachings of the Scriptures. The pope can have no power over Christ’s church except by usurpation. {GC 51.1}

พระเจ้าไม่ทรงเคยเปรยไว้ใน พระวจนะของพระองค์ว่าพระองค์ทรงแต่ง ตั้งมนุษย์คนใดให้เป็นผู้นำในคริสตจักร หลักคำสอนเรื่องอำนาจสูงสุดของระบอบเปปาซีนั้นตรงกันข้ามกับคำสอนของ พระคัมภีร์ พระสันตะปาปาไม่อาจมี อำนาจเหนือคริสตจักรของพระคริสต์ ได้นอกจากจะได้มาด้วยการฉกชิงเท่านั้น {GC 51.1}

Romanists have persisted in bringing against Protestants the charge of heresy and willful separation from the true church. But these accusations apply rather to themselves. They are the ones who laid down the banner of Christ and departed from “the faith which was once delivered unto the saints.” Jude 3. {GC 51.2}

บรรดาผู้นิยมลัทธิโรมันยืนกรานกล่าว หาชาวโปรเตสแตนต์ว่าเป็นพวกนอกรีต และจงใจแยกตัวออกจากคริสตจักรแท้ แต่ คำกล่าวหาเหล่านี้น่าจะใช้ได้ดีกับตัวพวก เขาเองมากกว่า พวกเขาเป็นผู้ที่รื้อธง ของพระคริสต์ลงและตีตัวออกห่างจาก “หลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กับพวก ธรรมิกชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป” ยูดา 3 {GC 51.2}

Satan well knew that the Holy Scriptures would enable men to discern his deceptions and withstand his power. It was by the word that even the Saviour of the world had resisted his attacks. At every assault, Christ presented the shield of eternal truth, saying, “It is written.”

ซาตานรู้ดีแก่ใจว่าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้มนุษย์มองเห็นการหลอกลวงและ ต้านทานอำนาจของมันได้ แม้กระทั่ง พระผู้ช่วยให้รอดของโลกก็ยังทรงต่อต้าน การโจมตีของมันด้วยพระวจนะ พระคริสต์ ทรงยกโล่แห่งความจริงนิรันดร์ขึ้นป้องกัน การจู่โจมในทุกๆ รูปแบบ ด้วยตรัสว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า”

To every suggestion of the adversary, He opposed the wisdom and power of the word. In order for Satan to maintain his sway over men, and establish the authority of the papal usurper, he must keep them in ignorance of the Scriptures.

พระองค์ทรงต้าน ทุกข้อเสนอของศัตรูคู่อริด้วยพระปัญญา และอำนาจของพระวจนะ เพื่อที่ซาตาน จะยังคงมีอิทธิพลอยู่เหนือมนุษย์และ สร้างอำนาจให้แก่ผู้ช่วงชิงอย่างระบอบ เปปาซีนั้น มันต้องควบคุมให้ขาดความรู้ ในพระคัมภีร์

The Bible would exalt God and place finite men in their true position; therefore its sacred truths must be concealed and suppressed. This logic was adopted by the Roman Church. For hundreds of years the circulation of the Bible was prohibited.

พระคัมภีร์จะยกชูพระเจ้า และจัดวางมนุษย์ผู้มีขีดจำกัดไว้ให้อยู่ใน สถานภาพที่แท้จริงของเขา ด้วยเหตุนี้ มันจึงต้องปกปิดและปราบปรามความจริง อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในพระคัมภีร์คริสตจักรแห่งโรมนำตรรกศาสตร์นี้มาใช้ นับเป็นเวลาหลายร้อยปีมีคำสั่งห้ามแจก จ่ายพระคัมภีร์

The people were forbidden to read it or to have it in their houses, and unprincipled priests and prelates interpreted its teachings to sustain their pretensions. Thus the pope came to be almost universally acknowledged as the vicegerent of God on earth, endowed with authority over church and state. {GC 51.3}

ห้ามประชาชนอ่านหรือมี พระคัมภีร์ไว้ในบ้านและมีเพียงพวก นักบวชกับพระราชาคณะผู้ไม่มีหลักธรรม เท่านั้นที่ตีความคำ สอนต่างๆ ของ พระคัมภีร์เพื่อสนับสนุนการแอบอ้างของ พวกเขา ด้วยเหตุนี้พระสันตะปาปาจึงทรง เป็นที่ยอมรับกันแทบทั่วทั้งโลกในฐานะ ตัวแทนของพระเจ้าในโลกนี้ซึ่งมีอำนาจ เหนือคริสตจักรและรัฐ {GC 51.3}

The detector of error having been removed, Satan worked according to his will. Prophecy had declared that the papacy was to “think to change times and laws.” Daniel 7:25.

เมื่อเครื่องจับเท็จถูกนำออกไปแล้ว ซาตานก็ทำงานตามความต้องการของ มัน คำพยากรณ์กล่าวไว้แล้วว่าระบอบ เปปาซี “จะคิดเปลี่ยนแปลงวาระและธรรม บัญญัติต่างๆ” ดาเนียล 7:25

This work it was not slow to attempt. To afford converts from heathenism a substitute for the worship of idols, and thus to promote their nominal acceptance of Christianity, the adoration of images and relics was gradually introduced into the Christian worship. The decree of a general council (see Appendix) ระบอบ

เปปาซีไม่รอช้าที่จะพยายามเริ่มทำงานนี้ เพื่อจะทำให้มีคนกลับใจจากลัทธินอก ศาสนาเข้ามานั้น มีการนำบางสิ่งมา ทดแทนรูปเคารพเพื่อให้พวกเขากราบ ไหว้บูชา และด้วยการการทำเช่นนั้นจะ เป็นการสนับสนุนการยอมรับคริสต์ศาสนา แต่เพียงในนาม การกราบไหว้บูชา รูปปั้นและวัตถุมงคลต่างๆ ค่อยๆ ทยอย เข้ามาสู่การนมัสการของคริสเตียน ใน ที่สุด มีคำสั่งจากที่ประชุมสภา (โปรดดู ภาคผนวก)

finally established this system of idolatry. To complete the sacrilegious work, Rome presumed to expunge from the law of God the second commandment, forbidding image worship, and to divide the tenth commandment, in order to preserve the number. {GC 51.4}

จัดตั้งให้มีระเบียบการกราบ ไหว้บูชารูปเคารพขึ้น เพื่อให้งานแห่ง การลบหลู่พระเจ้าสมบูรณ์แบบ โรมจึง ถือสิทธิ์เปลี่ยนแปลงพระบัญญัติของ พระเจ้าโดยลบพระบัญญัติข้อที่สองที่ ห้ามการกราบไหว้รูปเคารพออกจากพระบัญญัติของพระเจ้าเสีย และแบ่ง พระบัญญัติข้อที่สิบออกเป็นสองข้อเพื่อ ให้คงจำนวนข้อในพระบัญญัติไว้เหมือน เดิม {GC 51.4}

The spirit of concession to paganism opened the way for a still further disregard of Heaven’s authority. Satan, working through unconsecrated leaders of the church, tampered with the fourth commandment also, and essayed to set aside the ancient Sabbath, the day which God had blessed and sanctified (Genesis 2:2, 3),

จิตใจที่ยอมต่อลัทธินอกศาสนานั้นเปิด ทางให้กับการละเลยอำนาจของสวรรค์ มากยิ่งขึ้น ซาตานทำงานผ่านพวกผู้นำ คริสตจักรที่ไม่อุทิศตน ทั้งยังเหยียบยํ่า พระบัญญัติข้อสี่อีกด้วย และพยายามนำ วันสะบาโตอันเก่าแก่ วันที่พระเจ้าทรง อวยพระพรและทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ (ปฐมกาล 2:2, 3)

and in its stead to exalt the festival observed by the heathen as “the venerable day of the sun.” This change was not at first attempted openly. In the first centuries the true Sabbath had been kept by all Christians. They were jealous for the honor of God, and, believing that His law is immutable, they zealously guarded the sacredness of its precepts.

นั้นออกไป และแทนที่ วันนั้นด้วยการยกชูวันฉลองเทศกาลที่ คนนอกศาสนาถือรักษาในฐานะ “วันแห่ง การเคารพยกย่องพระอาทิตย์” นั้นขึ้น ใน ช่วงเริ่มแรก การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ทำ อย่างเปิดเผย ในศตวรรษต้นๆ คริสเตียน ทั้งหมดก็ยังถือรักษาวันสะบาโตที่แท้จริง อยู่ พวกเขาระวังหวงแหนเพื่อถวายเกียรติ พระเจ้าและเชื่อว่าพระบัญญัติของพระองค์ นั้นปรับเปลี่ยนไม่ได้ พวกเขาปกป้องความ ศักดิ์สิทธิ์แห่งข้อบัญญัติอย่างกระตือรือร้น

But with great subtlety Satan worked through his agents to bring about his object. That the attention of the people might be called to the Sunday, it was made a festival in honor of the resurrection of Christ. Religious services were held upon it; yet it was regarded as a day of recreation, the Sabbath being still sacredly observed. {GC 52.1}

แต่ซาตานทำงานผ่านตัวแทนทั้งหลาย ของมันด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ สำเร็จตามที่มันตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อว่า ความสนใจของประชาชนจะถูกหันเหไป ยังวันอาทิตย์ วันอาทิตย์ถูกตั้งให้เป็น เทศกาลเพื่อเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นมาจาก ความตายของพระคริสต์ มีการประกอบ พิธีกรรมทางศาสนาในวันนั้น แต่กระนั้น ก็ยังถือวันนั้นเป็นวันแห่งการพักผ่อน หย่อนใจ ส่วนวันสะบาโตก็ยังมีการถือรักษาอย่างบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ {GC 52.1}

To prepare the way for the work which he designed to accomplish, Satan had led the Jews, before the advent of Christ, to load down the Sabbath with the most rigorous exactions, making its observance a burden. Now, taking advantage of the false light in which he had thus caused it to be regarded, he cast contempt upon it as a Jewish institution. While Christians generally continued to observe the Sunday as a joyous festival, he led them, in order to show their hatred of Judaism, to make the Sabbath a fast, a day of sadness and gloom. {GC 52.2}

ซาตานเตรียมทางสำหรับทำงานตาม แผนให้สำเร็จด้วยการชักนำชาวยิวสมัย ก่อนการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ ให้แบกภาระของวันสะบาโตด้วยกฎเกณฑ์ ต่างๆ ที่เข้มงวดที่สุด จนทำให้การถือ รักษาวันสะบาโตกลายเป็นภาระหนัก บัดนี้ มันฉวยโอกาสโดยการใช้แสงสว่างจอม ปลอมซึ่งโดยวิธีนี้มันทำให้ทุกคนมองวัน สะบาโตว่าเป็นภาระ มันโยนความเหยียด หยามใส่วันสะบาโตว่าเป็นสถาบันของ พวกยิว ขณะที่คริสเตียนทั่วไปยังคงถือ รักษาวันอาทิตย์เป็นวันฉลองที่มีความสุข ต่อไป มันชักนำพวกเขาด้วยการทำให้วัน สะบาโตเป็นวันอดอาหารและวันแห่งความ โศกเศร้าและความสิ้นหวังเพื่อแสดงความ เกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อศาสนายิว {GC 52.2}

In the early part of the fourth century the emperor Constantine issued a decree making Sunday a public festival throughout the Roman Empire. (See Appendix.) The day of the sun was reverenced by his pagan subjects and was honored by Christians; it was the emperor’s policy to unite the conflicting interests of heathenism and Christianity.

ในช่วงต้นของศตวรรษที่สี่ จักรพรรดิ คอนสแตนตินตราพระราชกฤษฎีกาฉบับ หนึ่งขึ้นเพื่อตั้งวันอาทิตย์ให้เป็นวันนักขัต- ฤกษ์ของรัฐตลอดทั่วทั้งจักรวรรดิโรม (โปรดดูภาคผนวก) วันของดวงอาทิตย์ เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนลัทธินอก ศาสนาของพระองค์และเป็นวันที่พวก คริสเตียนถวายเกียรติ เป็นนโยบายของ จักรพรรดิที่จะประสานผลประโยชน์ที่ไม่ ลงตัวระหว่างลัทธินอกศาสนากับคริสต์ ศาสนา

He was urged to do this by the bishops of the church, who, inspired by ambition and thirst for power, perceived that if the same day was observed by both Christians and heathen, it would promote the nominal acceptance of Christianity by pagans and thus advance the power and glory of the church. But while many God-fearing Christians were gradually led to regard Sunday as possessing a degree of sacredness, they still held the true Sabbath as the holy of the Lord and observed it in obedience to the fourth commandment. {GC 53.1}

พระองค์ได้รับแรงกระตุ้นให้ดำเนิน เรื่องนี้จากบรรดาบิชอปของคริสตจักร ผู้ถูกขับเคลื่อนด้วยความทะเยอทะยาน และการกระหายอำนาจ โดยคิดว่าหากทั้งคริสเตียนและคนนอกศาสนาจะถือรักษา วันเดียวกันแล้ว ก็จะเป็นการสนับสนุน ให้คนนอกศาสนายอมรับคริสต์ศาสนาแต่ เพียงในนาม และด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้ อำนาจและเกียรติยศของคริสตจักรเจริญ รุ่งเรืองยิ่งขึ้น แต่ขณะที่คริสเตียนมากมาย ที่เกรงกลัวพระเจ้าถูกชักนำให้มองวัน อาทิตย์ว่าเป็นวันที่มีความศักดิ์สิทธิ์ใน ระดับหนึ่งนั้น พวกเขาก็ยังคงถือรักษา วันสะบาโตที่แท้จริงเป็นวันบริสุทธิ์ของ พระเจ้า และถือรักษาวันนั้นด้วยความเชื่อ ฟังตามพระบัญญัติข้อที่สี่ {GC 53.1}

The archdeceiver had not completed his work. He was resolved to gather the Christian world under his banner and to exercise his power through his vicegerent, the proud pontiff who claimed to be the representative of Christ. Through half-converted pagans, ambitious prelates, and world-loving churchmen he accomplished his purpose.

จอมหลอกลวงยังทำงานของมันไม่ เสร็จ มันตั้งใจที่จะรวบรวมโลกคริสเตียน ให้เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มธงของมันและใช้ อำนาจของมันผ่านทางตัวแทนของมันคือ พระสันตะปาปาผู้ทรงถือว่าตนเป็นตัวแทน ของพระคริสต์ มันทำงานนี้สำเร็จโดย อาศัยคนนอกศาสนาที่กลับใจเพียงครึ่งๆ กลางๆ พระราชาคณะที่ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง และพวกสมาชิกคริสตจักรที่ฝักใฝ่ ทางโลก

Vast councils were held from time to time, in which the dignitaries of the church were convened from all the world. In nearly every council the Sabbath which God had instituted was pressed down a little lower, while the Sunday was correspondingly exalted. Thus the pagan festival came finally to be honored as a divine institution, while the Bible Sabbath was pronounced a relic of Judaism, and its observers were declared to be accursed. {GC 53.2}

มีการจัดประชุมสภาอยู่บ่อยครั้ง เป็นระยะๆ ซึ่งมีการเรียกบรรดาผู้มี อำนาจในคริสตจักรจากทั่วทุกมุมโลกมา ชุมนุมกัน ในการประชุมสภาแทบทุก ครั้งจะเหยียบยํ่าวันสะบาโตที่พระเจ้าทรง สถาปนาไว้นั้นให้ตํ่าลงทีละเล็กทีละน้อย ขณะที่วันอาทิตย์ได้รับการยกชูให้สูงมาก ยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดวันเฉลิมฉลอง ของพวกนอกศาสนาจึงได้รับเกียรติให้ เป็นสถาบันหนึ่งของพระเจ้า ขณะที่วัน สะบาโตของพระคัมภีร์กลับถูกประกาศว่าเป็นเครื่องหมายของศาสนายิว และผู้ที่ ถือรักษาวันนั้นจะถูกประณามว่าเป็นผู้ที่ ถูกแช่งสาป {GC 53.2}

The great apostate had succeeded in exalting himself “above all that is called God, or that is worshiped.” 2 Thessalonians 2:4.

ผู้ละทิ้งความเชื่อคนสำคัญนั้นทำงาน สำเร็จด้วยการยกตัวขึ้น “ต่อสู้ทุกสิ่งที่ได้ ชื่อว่าเป็นพระ หรือสิ่งที่เขาไหว้นมัสการ นั้น” 2 เธสะโลนิกา 2:4

He had dared to change the only precept of the divine law that unmistakably points all mankind to the true and living God. In the fourth commandment, God is revealed as the Creator of the heavens and the earth, and is thereby distinguished from all false gods.

จนเป็นผลสำเร็จ เขากล้าเปลี่ยนกฎเพียงข้อเดียวในพระ บัญญัติของพระเจ้าที่ชี้บอกมนุษย์ทุกคน อย่างไม่ผิดพลาดถึงพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระบัญญัติข้อที่สี่ เปิดเผยให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ สร้างฟ้าและแผ่นดินโลก และด้วยเหตุ ฉะนั้นจึงทรงแตกต่างจากพระเทียมเท็จ ทั้งหมด

It was as a memorial of the work of creation that the seventh day was sanctified as a rest day for man. It was designed to keep the living God ever before the minds of men as the source of being and the object of reverence and worship. Satan strives to turn men from their allegiance to God, and from rendering obedience to His law; therefore he directs his efforts especially against that commandment which points to God as the Creator. {GC 53.3}

วันสะบาโตเป็นดั่งอนุสรณ์ถึง พระราชกิจแห่งการทรงสร้างว่าวันที่เจ็ด ได้รับการทรงตั้งไว้ให้เป็นวันบริสุทธิ์เป็น วันพักผ่อนสำหรับมนุษย์ เป็นวันที่ทรง ออกแบบไว้ให้จดจำพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ อยู่ไว้ในจิตใจของมนุษย์อยู่เสมอในฐานะ ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและ เป็นผู้ที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ ซาตาน มุ่งมั่นที่จะหันมนุษย์ออกไปจากความจงรัก ภักดีต่อพระเจ้า และจากการเชื่อฟังพระ บัญญัติของพระองค์ เพราะฉะนั้นมันจึง หันความพยายามของมันมาต่อสู้โดยเฉพาะ กับพระบัญญัติข้อนั้นที่ชี้ไปยังพระเจ้า ในฐานะพระผู้สร้าง {GC 53.3}

Protestants now urge that the resurrection of Christ on Sunday made it the Christian Sabbath. But Scripture evidence is lacking. No such honor was given to the day by Christ or His apostles. The observance of Sunday as a Christian institution had its origin in that “mystery of lawlessness” (2 Thessalonians 2:7, R.V.)

บัดนี้ชาวโปรเตสแตนต์ผลักดันว่า การกลับเป็นขึ้นมาจากความตายของ พระคริสต์ในวันอาทิตย์ทำให้วันนั้นเป็นวัน สะบาโตของคริสเตียน แต่ไม่มีหลักฐานดังกล่าวในพระคัมภีร์ พระคริสต์หรือ อัครทูตของพระองค์ไม่เคยให้เกียรติเช่น นี้แก่วันดังกล่าว การถือรักษาวันอาทิตย์ ในฐานะเป็นสถาบันหนึ่งของคริสเตียนมี แหล่งกำเนิดมาจาก “อำนาจลึกลับนอก กฎหมาย” 2 เธสะโลนิกา 2:7

which, even in Paul’s day, had begun its work. Where and when did the Lord adopt this child of the papacy? What valid reason can be given for a change which the Scriptures do not sanction? {GC 54.1}

ซึ่งแม้ ในสมัยของเปาโลเอง มันก็เริ่มทำงาน ของมันแล้ว พระยาห์เวห์ทรงรับระบอบ เปปาซีให้เป็นบุตรตั้งแต่เมื่อใดและที่ไหน มีเหตุผลอะไรที่ฟังขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักฐาน สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่พระคัมภีร์ไม่ได้ รับรอง {GC 54.1}

In the sixth century the papacy had become firmly established. Its seat of power was fixed in the imperial city, and the bishop of Rome was declared to be the head over the entire church. Paganism had given place to the papacy. The dragon had given to the beast “his power, and his seat, and great authority.” Revelation 13:2.

ในศตวรรษที่หก ระบอบเปปาซีถูก จัดตั้งขึ้นมาอย่างมั่นคงแล้ว เป็นฐาน อำนาจที่ปักหลักอยู่ในนครของจักรพรรดิ และบิชอปแห่งกรุงโรมได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็นประมุขเหนือคริสตจักรทั้งหมด ลัทธินอกรีตมอบตำแหน่งให้กับระบอบ เปปาซี พญานาคให้ “ฤทธิ์เดช บัลลังก์ และสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ของมันแก่สัตว์ร้าย นั้น” วิวรณ์ 13:2

And now began the 1260 years of papal oppression foretold in the prophecies of Daniel and the Revelation. Daniel 7:25; Revelation 13:5-7. (See Appendix.) Christians were forced to choose either to yield their integrity and accept the papal ceremonies and worship, or to wear away their lives in dungeons or suffer death by the rack, the fagot, or the headsman’s ax. Now were fulfilled the words of Jesus:

และบัดนี้ ช่วงเวลา 1,260 ปีแห่งการกดขี่ข่มเหงของระบอบ เปปาซีตามที่พระธรรมดาเนียลและ พระธรรมวิวรณ์พยากรณ์ไว้นั้นก็เริ่มต้น ขึ้นแล้ว (ดาเนียล 7:25 วิวรณ์ 13:5-7) (โปรดดูภาคผนวก) คริสเตียนถูกบังคับ ให้เลือกที่จะยอมทิ้งความสัตย์ซื่อของ พวกเขาหรือยอมรับพิธีกรรมต่างๆ และ การนมัสการของระบอบเปปาซีหรือที่จะ ค่อยๆ ตายในคุกมืดหรือจะยอมตายด้วย เครื่องทรมาน เผาทั้งเป็นหรือคมขวาน ของเพชฌฆาต

“Ye shall be betrayed both by parents, and brethren, and kinsfolks, and friends; and some of you shall they cause to be put to death. And ye shall be hated of all men for My name’s sake.” Luke 21:16, 17.

บัดนี้พระดำ รัสของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่า “แม้แต่บิดามารดา ญาติพี่น้องและมิตรสหายก็จะมอบตัว พวกท่านไว้ และพวกเขาจะฆ่าพวกท่าน บางคน ทุกคนจะเกลียดชังพวกท่าน เพราะนามของเรา” ลูกา 21:16, 17

Persecution opened upon the faithful with greater fury than ever before, and the world became a vast battlefield. For hundreds of years the church of Christ found refuge in seclusion and obscurity. Thus says the prophet: “The woman fled into the wilderness, where she hath a place prepared of God, that they should feed her there a thousand two hundred and three-score days.” Revelation 12:6. {GC 54.2}

ได้ สำเร็จจริงตามนั้น การกดขี่ข่มเหงโหม กระหนํ่าลงใส่ผู้ที่สัตย์ซื่อด้วยความโกรธ แค้นที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดๆ มาก่อน และ โลกกลายเป็นสนามรบอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นเวลาหลายร้อยปีที่คริสตจักรของ พระคริสต์ต้องลี้ภัยอยู่ในที่ที่ห่างไกลจาก ผู้คนและในที่มืด ผู้เผยพระวจนะกล่าว ไว้ดังนี้ว่า “หญิงนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่น ทุรกันดาร ที่นั่นนางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้า ทรงจัดเตรียมไว้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยง ดูตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน” วิวรณ์ 12:6 {GC 54.2}

The accession of the Roman Church to power marked the beginning of the Dark Ages. As her power increased, the darkness deepened. Faith was transferred from Christ, the true foundation, to the pope of Rome. Instead of trusting in the Son of God for forgiveness of sins and for eternal salvation, the people looked to the pope, and to the priests and prelates to whom he delegated authority.

การเรืองอำนาจของคริสตจักรโรมัน เป็นเครื่องหมายชี้บอกจุดเริ่มต้นของยุค มืด ขณะที่อำนาจของคริสตจักรโรมันเพิ่ม ขึ้น ความมืดมิดก็ยิ่งหนาทึบยิ่งขึ้น พวก เขาโยกย้ายความเชื่อจากพระคริสต์ผู้ทรง เป็นรากฐานที่แท้จริงไปยังพระสันตะปาปา แห่งโรม แทนที่จะวางใจในพระบุตรของ พระเจ้าเพื่อรับการอภัยบาปและเพื่อความ รอดนิรันดร์ ประชาชนกลับมองไปที่พระ สันตะปาปา และที่บรรดาบาทหลวงกับ พระราชาคณะทั้งหลายผู้ซึ่งพระสันตะปาปา ทรงมอบอำนาจให้ทำแทนนั้น

They were taught that the pope was their earthly mediator and that none could approach God except through him; and, further, that he stood in the place of God to them and was therefore to be implicitly obeyed. A deviation from his requirements was sufficient cause for the severest punishment to be visited upon the bodies and souls of the offenders.

พวกเขาถูก สอนว่าพระสันตะปาปาทรงเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ของพวกเขาในโลกนี้ และถูกสอนว่าไม่มี ผู้ใดเข้าถึงพระเจ้าได้นอกจากจะผ่านทางพระสันตะปาปาและนอกจากนี้พระ สันตะปาปายังทรงเป็นพระเจ้าสำหรับคน ทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงต้องเชื่อฟังโดย ไม่มีข้อโต้แย้ง การเบี่ยงเบนไปจากข้อ บังคับที่พระสันตะปาปาทรงกำหนดไว้จะ เป็นเหตุเพียงพอที่ผู้กระทำผิดจะต้องรับ โทษรุนแรงที่สุด ทั้งฝ่ายกายและฝ่าย วิญญาณจิต

Thus the minds of the people were turned away from God to fallible, erring, and cruel men, nay, more, to the prince of darkness himself, who exercised his power through them.

ด้วยเหตุนี้ จิตใจของประชาชน จึงถูกหันเหจากพระเจ้าไปยังมนุษย์ที่โหด เหี้ยม ที่ทำผิด และที่พลั้งพลาดได้ ไม่เพียง เท่านั้น แต่จิตใจของพวกเขายังถูกหันไป ยังเจ้าชายแห่งความมืด ผู้ใช้อำนาจของ มันผ่านคนเหล่านั้นอีกด้วย

Sin was disguised in a garb of sanctity. When the Scriptures are suppressed, and man comes to regard himself as supreme, we need look only for fraud, deception, and debasing iniquity. With the elevation of human laws and traditions was manifest the corruption that ever results from setting aside the law of God. {GC 55.1}

บาปปลอมตัว เข้ามาในคราบของความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ พระคัมภีร์ถูกปราบและมนุษย์ถือว่าตน เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เราจึงเห็นแต่เพียง ความฉ้อฉล ความหลอกลวง และความ ผิดบาปอันตํ่าช้า ด้วยการยกชูกฎหมาย และธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์ขึ้นมา นั้น ความเสื่อมทรามซึ่งเป็นผลจากการ ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าเสมอมานั้น ก็ปรากฏขึ้นชัด {GC 55.1}

Those were days of peril for the church of Christ. The faithful standard-bearers were few indeed. Though the truth was not left without witnesses, yet at times it seemed that error and superstition would wholly prevail, and true religion would be banished from the earth. The gospel was lost sight of, but the forms of religion were multiplied, and the people were burdened with rigorous exactions. {GC 55.2}

สมัยนั้นเป็นช่วงเวลาอันตรายสำหรับ คริสตจักรของพระคริสต์ ผู้ถือธงที่สัตย์ซื่อ มีหลงเหลืออยู่น้อยเหลือเกิน ถึงแม้ว่า ความจริงไม่ถูกทอดทิ้งโดยไม่มีพยาน ถึง กระนั้น ในบางครั้งดูเหมือนว่าหลักคำสอน ที่ผิดและการเชื่อเรื่องโชคลางจะมีชัยชนะ และศาสนาที่แท้จริงจะถูกกวาดเรียบไป จากโลก ข่าวประเสริฐถูกเมินเสีย แต่ ธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนากลับเพิ่มมาก ขึ้นและประชาชนต้องแบกภาระของการขูดรีดอย่างแสนสาหัส {GC 55.2}

They were taught not only to look to the pope as their mediator, but to trust to works of their own to atone for sin. Long pilgrimages, acts of penance, the worship of relics, the erection of churches, shrines, and altars, the payment of large sums to the church–these and many similar acts were enjoined to appease the wrath of God or to secure His favor; as if God were like men, to be angered at trifles, or pacified by gifts or acts of penance! {GC 55.3}

พวกเขาถูกสอนไม่เพียงให้หมายพึ่ง พระสันตะปาปาในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยเท่านั้น แต่ยังถูกสอนให้พึ่งผลงานของตนเอง เพื่อลบมลทินบาปอีกด้วย มีการเชิญชวน ให้เข้าร่วมการปฏิบัติกิจเหล่านี้และอีก มากมายในลักษณะเดียวกัน อาทิ การ เดินทางไกลเพื่อแสวงบุญ พิธีกรรม แก้บาป การบูชาวัตถุมงคล การสร้าง โบสถ์ ศาลเจ้าและแท่นบูชาต่างๆ การ จ่ายเงินก้อนใหญ่ให้คริสตจักรเพื่อระงับ พระพิโรธของพระเจ้าหรือเพื่อจะได้รับ ความโปรดปรานจากพระองค์ ทำราวกับ ว่าพระเจ้าทรงมีลักษณะเหมือนมนุษย์ที่ จะโกรธเคืองในเรื่องเล็กน้อยหรือที่จะทำให้ หายโกรธได้ด้วยของถวายหรือพิธีกรรม แก้บาป {GC 55.3}

Notwithstanding that vice prevailed, even among the leaders of the Roman Church, her influence seemed steadily to increase. About the close of the eighth century, papists put forth the claim that in the first ages of the church the bishops of Rome had possessed the same spiritual power which they now assumed.

ทั้งๆ ที่ความชั่วเลวทรามได้แพร่ กระจายอยู่ทั่วไปแม้กระทั่งในท่ามกลาง ผู้นำของคริสตจักรโรมันด้วยก็ตามที อิทธิพลของคริสตจักรนั้นก็ยังดูเหมือนจะ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในราวๆ ช่วงท้าย ของศตวรรษที่แปด ผู้นิยมระบอบเปปาซี ทั้งหลายต่างอ้างว่าในช่วงยุคเริ่มแรกของ คริสตจักรนั้น บรรดาบิชอปแห่งโรมครอง อำนาจทางศาสนาเท่าเทียมกับอำนาจของ ที่พวกเขาอ้างว่ามีอยู่ในเวลานี้

To establish this claim, some means must be employed to give it a show of authority; and this was readily suggested by the father of lies. Ancient writings were forged by monks. Decrees of councils before unheard of were discovered, establishing the universal supremacy of the pope from the earliest times. And a church that had rejected the truth greedily accepted these deceptions. (See Appendix.) {GC 56.1}

เพื่อทำให้ข้ออ้างนี้เป็นที่ยอมรับ จึงต้องมีการใช้วิธี การบางอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจ นั้น และบิดาแห่งการมุสาก็ยื่นข้อเสนอได้ อย่างรวดเร็ว พวกนักบวชปลอมแปลง เอกสารโบราณต่างๆ ขึ้นมา มีการค้นพบคำสั่งต่างๆ ของการประชุมสภาที่ไม่เคย มีใครได้ยินมาก่อน ซึ่งรับรองการมีอำนาจ สากลสูงสุดของพระสันตะปาปาตั้งแต่ ยุคแรกเริ่มที่สุด และคริสตจักรที่ปฏิเสธ ความจริงก็ยอมรับการหลอกลวงเหล่านี้ ด้วยความละโมบ (โปรดดูภาคผนวก) {GC 56.1}

The few faithful builders upon the true foundation (1 Corinthians 3:10, 11) were perplexed and hindered as the rubbish of false doctrine obstructed the work.

นายช่างผู้สัตย์ซื่อจำนวนน้อยนิดที่ได้ ก่อความเชื่อของพวกเขาขึ้นบนรากฐาน ที่แท้จริงนั้น (1 โครินธ์ 3:10, 11) ต่างรู้สึก งงงวยและถูกขัดขวางเมื่อกองขยะแห่ง หลักคำสอนเทียมเท็จกีดขวางงานของ พวกเขา

Like the builders upon the wall of Jerusalem in Nehemiah’s day, some were ready to say: “The strength of the bearers of burdens is decayed, and there is much rubbish; so that we are not able to build.” Nehemiah 4:10.

เช่นเดียวกับพวกคนงานซ่อมแซม กำแพงกรุงเยรูซาเล็มในสมัยของผู้เผย พระวจนะเนหะมีย์ มีบางคนพร้อมที่จะพูด ว่า “เรี่ยวแรงของคนที่ขนของก็กำลังทรุด ลง และมีสิ่งปรักหักพังมาก เราไม่สามารถ ซ่อมกำแพงได้” เนหะมีย์ 4:10

Wearied with the constant struggle against persecution, fraud, iniquity, and every other obstacle that Satan could devise to hinder their progress, some who had been faithful builders became disheartened; and for the sake of peace and security for their property and their lives, they turned away from the true foundation.

ด้วยความ เหนื่อยล้ากับการต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ต่อการกดขี่ข่มเหง การฉ้อฉล ความชั่วช้า และอุปสรรคอื่นๆ ที่ซาตานคิดขึ้นมาเพื่อ ขัดขวางความก้าวหน้าของงานของพวก เขา บางคนที่เคยเป็นนายช่างที่สัตย์ซื่อก็ ท้อใจ และเพื่อเห็นแก่ความสงบและความ ปลอดภัยในทรัพย์สินและชีวิตของตน พวกเขาได้หันออกไปเสียจากรากฐานที่ แท้จริง

Others, undaunted by the opposition of their enemies, fearlessly declared: “Be not ye afraid of them: remember the Lord, which is great and terrible” (verse 14); and they proceeded with the work, everyone with his sword girded by his side. Ephesians 6:17. {GC 56.2}

ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ย่อท้อต่อการ ขัดขวางของศัตรูก็ประกาศอย่างไม่เกรง กลัวว่า “อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงองค์ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่และน่ายำเกรง” เนหะมีย์ 4:14 และพวกเขาก็ดำเนินงานต่อไป ทุก คนที่มีดาบก็แนบติดกายไว้ (เอเฟซัส 6:17) {GC 56.2}

The same spirit of hatred and opposition to the truth has inspired the enemies of God in every age, and the same vigilance and fidelity have been required in His servants. The words of Christ to the first disciples are applicable to His followers to the close of time: “What I say unto you I say unto all, Watch.” Mark 13:37. {GC 56.3}

วิญญาณเดียวกันที่เป็นวิญญาณแห่ง ความเกลียดชังและการต่อต้านความจริง นั้นดลใจพวกศัตรูของพระเจ้าในทุกยุค ทุกสมัย บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จึง จำเป็นต้องเฝ้าระวังและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ในระดับเดียวกับยุคก่อนๆ ด้วยเช่นกัน พระดำรัสของพระคริสต์ที่ตรัสให้แก่พวก สาวกรุ่นแรกที่ว่า “สิ่งที่เราบอกพวกท่าน นั้น เราก็บอกคนทั้งหลายด้วยว่า จงเฝ้า ระวังอยู่เถิด” มาระโก 13:37 นั้นยังคงใช้ได้ กับบรรดาผู้ติดตามของพระองค์ในยุค สุดท้าย {GC 56.3}

The darkness seemed to grow more dense. Image worship became more general. Candles were burned before images, and prayers were offered to them. The most absurd and superstitious customs prevailed.

ดูเหมือนว่าความมืดนั้นเพิ่มทวีมาก ขึ้น การบูชารูปเคารพกลายเป็นเรื่อง ธรรมดาไป มีการจุดเทียนไว้ตรงหน้ารูป ปั้นต่างๆ และอธิษฐานต่อรูปเคารพ ธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่เชื่อเรื่อง โชคลางและที่ไร้สาระที่สุดมีให้เห็นทั่วไป

The minds of men were so completely controlled by superstition that reason itself seemed to have lost its sway. While priests and bishops were themselves pleasure-loving, sensual, and corrupt, it could only be expected that the people who looked to them for guidance would be sunken in ignorance and vice. {GC 57.1}

จิตใจของผู้คนถูกครอบงำอย่างสิ้นเชิงโดย ความเชื่อเรื่องโชคลางจนดูเหมือนว่าความ มีเหตุมีผลสิ้นฤทธิ์ไปเสียแล้ว ขณะที่ พวกนักบวชและสังฆราชเองก็ฝักใฝ่อยู่ กับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ราคะ ตัณหา และเสื่อมทราม เราคาดหมายได้ เพียงแต่ว่าประชาชนผู้ที่มองไปยังพวก เขาเพื่อรับคำแนะนำนั้นก็คงจะจมลึกอยู่ ในความโง่เขลาและความชั่วช้าแล้วเป็น แน่ {GC 57.1}

Another step in papal assumption was taken, when, in the eleventh century, Pope Gregory VII proclaimed the perfection of the Roman Church. Among the propositions which he put forth was one declaring that the church had never erred, nor would it ever err, according to the Scriptures.

ในศตวรรษที่สิบเอ็ดนั้น การแอบอ้าง ของระบอบเปปาซีก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง เมื่อ พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ทรงประกาศความสมบูรณ์ดีพร้อมของคริสตจักรโรมัน ในบรรดาข้ออ้างที่พระสันตะปาปาทรง ประกาศออกไปนั้น มีอยู่ข้อหนึ่งประกาศ ว่า ตามพระคัมภีร์แล้ว คริสตจักรไม่เคย ทำผิดและจะไม่มีวันทำผิด

But the Scripture proofs did not accompany the assertion. The proud pontiff also claimed the power to depose emperors, and declared that no sentence which he pronounced could be reversed by anyone, but that it was his prerogative to reverse the decisions of all others. (See Appendix.) {GC 57.2}

แต่หลักฐานที่ มีในพระคัมภีร์ไม่ได้สนับสนุนคำกล่าวอ้าง นั้นแต่อย่างใด พระสันตะปาปายังทรง ประกาศว่าตนมีอำนาจปลดจักรพรรดิ และยังประกาศว่า ไม่มีผู้ใดสามารถถอน คำตัดสินที่ทรงประกาศไปแล้วได้ แต่ เป็นสิทธิพิเศษของพระองค์ที่จะทรงกลับ คำตัดสินของคนอื่นๆ ทั้งหมด (โปรดดู ภาคผนวก) {GC 57.2}

A striking illustration of the tyrannical character of this advocate of infallibility was given in his treatment of the German emperor, Henry IV. For presuming to disregard the pope’s authority, this monarch was declared to be excommunicated and dethroned. Terrified by the desertion and threats of his own princes, who were encouraged in rebellion against him by the papal mandate, Henry felt the necessity of making his peace with Rome.

ตัวอย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่แสดงให้ เห็นถึงลักษณะความโหดเหี้ยมของ ผู้ช่วยทูลผู้ไม่รู้พลั้งนี้เห็นได้จากวิธีที่ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระเจ้าเฮนรีที่ 4 จักรพรรดิแห่งเยอรมนี พระเจ้าเฮนรี ไม่ทรงสนพระทัยต่ออำนาจของพระ สันตะปาปา พระองค์จึงถูกประกาศควํ่า บาตรและถูกโค่นล้มราชบัลลังก์ ด้วยความ หวาดกลัวต่อการถูกทอดทิ้งและการข่มขู่ จากเหล่าเจ้าชายของพระองค์เอง ผู้ถูกยุยงโดยคำบัญชาของระบอบเปปาซีให้ แข็งข้อต่อพระองค์ พระเจ้าเฮนรีจึงทรง ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะทำสันถวไมตรี กับโรม

In company with his wife and a faithful servant he crossed the Alps in midwinter, that he might humble himself before the pope. Upon reaching the castle whither Gregory had withdrawn, he was conducted, without his guards, into an outer court, and there, in the severe cold of winter, with uncovered head and naked feet, and in a miserable dress, he awaited the pope’s permission to come into his presence. Not until he had continued three days fasting and making confession, did the pontiff condescend to grant him pardon.

พระองค์จึงทรงออกเดินทาง พร้อมกับพระมเหสีและคนรับใช้ที่จงรักภักดีของพระองค์ข้ามเทือกเขาแอลป์ ในช่วงกลางฤดูหนาวเพื่อว่าพระองค์จะ ทรงถ่อมพระองค์ลงต่อองค์สันตะปาปา เมื่อเสด็จมาถึงปราสาทที่พระสันตะปาปาเกรกอรีพำนักอยู่ พระองค์ทรงถูกนำไป ยังลานชั้นนอกโดยไม่มีทหารคุ้มกันและ ให้คอยที่นั่นท่ามกลางความหนาวเหน็บ ของฤดูหนาวโดยให้สวมใส่แต่เครื่องแต่ง กายที่น่าสังเวช ไม่มีอะไรปกปิดพระเศียร และไม่ได้ทรงฉลองพระบาท พระองค์ทรง เฝ้าคอยคำอนุญาตจากพระสันตะปาปา ให้เข้าเฝ้า พระสันตะปาปาไม่ทรงยอม อภัยให้จนกระทั่งพระองค์ทรงอด พระกระยาหารและสารภาพบาปติดต่อกัน เป็นเวลาถึงสามวัน

Even then it was only upon condition that the emperor should await the sanction of the pope before resuming the insignia or exercising the power of royalty. And Gregory, elated with his triumph, boasted that it was his duty to pull down the pride of kings. {GC 57.3}

แล้วพระสันตะปาปา จึงทรงยอมอภัยโทษให้แม้กระทั่งตอนนั้น การอภัยโทษให้ของพระสันตะปาปาก็ยัง อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าจักรพรรดิเฮนรีจะต้อง ทรงรอคอยคำยินยอมจากพระสันตะปาปา ก่อน แล้วพระองค์จึงจะกลับมาใช้ยศศักดิ์ หรือใช้อำนาจของตำแหน่งจักรพรรดิได้ และพระสันตะปาปาเกรกอรีทรงภาคภูมิใจ ในชัยชนะของพระองค์ ทรงประกาศว่า เป็นหน้าที่ที่จะกำจัดความเย่อหยิ่งจองหอง ของพวกกษัตริย์ทั้งหลายเสีย {GC 57.3}

How striking the contrast between the overbearing pride of this haughty pontiff and the meekness and gentleness of Christ, who represents Himself as pleading at the door of the heart for admittance, that He may come in to bring pardon and peace, and who taught His disciples: “Whosoever will be chief among you, let him be your servant.” Matthew 20:27. {GC 58.1}

ช่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง การวางตัวของพระสันตะปาปากับความ ถ่อมตนและความอ่อนสุภาพของพระคริสต์ ผู้ทรงสำแดงพระองค์เองว่ากำลังทรง ร้องขออยู่ที่ประตูใจเพื่อจะได้รับการ ยินยอมให้เข้าไปข้างใน เพื่อว่าพระองค์ จะเสด็จเข้ามาประทานการอภัยและ สันติสุขให้และทรงสอนสาวกทั้งหลายว่า “ถ้าใครต้องการจะเป็นนาย คนนั้นจะต้อง เป็นทาสของพวกท่าน” มัทธิว 20:27 {GC 58.1}

The advancing centuries witnessed a constant increase of error in the doctrines put forth from Rome. Even before the establishment of the papacy the teachings of heathen philosophers had received attention and exerted an influence in the church.

ในศตวรรษต่อๆ มา เรามองเห็น จำนวนหลักคำสอนผิดๆ เพิ่มมากขึ้นอย่าง ต่อเนื่องที่ออกมาจากโรม แม้กระทั่งก่อน ที่จะมีการตั้งระบอบเปปาซี คำสอนต่างๆ ของพวกนักปราชญ์จากศาสนานอกรีต ก็ได้รับความสนใจและมีอิทธิพลต่อ คริสตจักรมาแล้ว

Many who professed conversion still clung to the tenets of their pagan philosophy, and not only continued its study themselves, but urged it upon others as a means of extending their influence among the heathen. Serious errors were thus introduced into the Christian faith.

คนมากมายที่อ้างว่า กลับใจแล้วยังคงยึดติดอยู่กับหลักปรัชญา ของศาสนานอกรีตของพวกเขา พวกเขา ไม่เพียงแต่ยึดหลักปรัชญาเหล่านั้นไว้กับ ตนเองเท่านั้น แต่ยังผลักดันปรัชญานั้น ให้แก่ผู้อื่นเพื่อเป็นวิธีการแผ่อิทธิพลของ พวกเขาท่ามกลางคนนอกศาสนาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ คำสอนที่ผิดอย่างรุนแรง ทั้งหลายจึงถูกนำเข้ามาสู่ความเชื่อของ คริสเตียน คำสอนโดดเด่นจากท่ามกลาง ความเชื่อที่ผิดๆ

Prominent among these was the belief in man’s natural immortality and his consciousness in death. This doctrine laid the foundation upon which Rome established the invocation of saints and the adoration of the Virgin Mary. From this sprang also the heresy of eternal torment for the finally impenitent, which was early incorporated into the papal faith. {GC 58.2}

เหล่านี้ก็คือความเชื่อ เรื่องความเป็นอมตะตามธรรมชาติของ มนุษย์และเรื่องการมีสติรับรู้ได้ของคนตาย หลักคำสอนนี้ปูพื้นฐานให้โรมตั้งเรื่องการ ทูลขอความช่วยเหลือจากพวกนักบุญ ทั้งหลาย และการเทิดทูนพระแม่มารีย์ผู้ เป็นหญิงพรหมจรรย์นั้นขึ้นมา จากหลัก คำสอนนี้ยังเกิดมีคำสอนนอกรีตเรื่องการ ทรมานนิรันดร์สำหรับคนที่ไม่ยอมกลับใจ ในที่สุดนั้นด้วย ซึ่งเป็นคำสอนที่ถูกรวม เข้าในความเชื่อของระบอบเปปาซีมา ตั้งแต่ต้น {GC 58.2}

Then the way was prepared for the introduction of still another invention of paganism, which Rome named purgatory, and employed to terrify the credulous and superstitious multitudes. By this heresy is affirmed the existence of a place of torment, in which the souls of such as have not merited eternal damnation are to suffer punishment for their sins, and from which, when freed from impurity, they are admitted to heaven. (See Appendix.) {GC 58.3}

จากนั้นยังมีการปูทางให้กับการนำคำ สอนของลัทธินอกรีตเข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งโรมเรียกว่า “แดนชำระ” [Purgatory] และถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความหวาดกลัว ให้กับฝูงชนที่หลงเชื่อง่ายและที่เชื่อในเรื่อง โชคลางงมงาย โดยคำสอนนอกรีตนี้ให้การ รับรองถึงสถานที่ทรมานแห่งหนึ่งซึ่งใน นั้นพวกวิญญาณที่ยังมีความผิดไม่ถึงขั้น ตกนรกนิรันดร์ต้องไปรับโทษสำหรับบาป ของพวกเขาและเมื่อวิญญาณเหล่านั้น หลุดพ้นจากความไม่บริสุทธิ์แล้ว เขาก็จะ ถูกรับเข้าไปในสวรรค์ (โปรดดูภาคผนวก) {GC 58.3}

Still another fabrication was needed to enable Rome to profit by the fears and the vices of her adherents. This was supplied by the doctrine of indulgences. Full remission of sins, past, present, and future, and release from all the pains and penalties incurred, were promised to all who would enlist in the pontiff’s wars to extend his temporal dominion, to punish his enemies, or to exterminate those who dared deny his spiritual supremacy.

ยังมีเรื่องปั้นแต่งอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็น ต้องแต่งขึ้นมาเพื่อทำให้โรมมีผลกำไร จากความกลัวและความชั่วต่างๆ ของผู้ที่ เลื่อมใสโรม นี่เป็นผลประโยชน์ที่ได้จาก หลักคำสอนเรื่อง “ใบลบมลทินบาป” พระสันตะปาปาทรงสัญญากับทุกคนที่ เข้าร่วมกับพระองค์ในการทำสงครามเพื่อ แผ่ขยายอำนาจในการลงโทษศัตรูหรือใน การทำลายล้างผู้ที่กล้าปฏิเสธการมีอำนาจ สูงสุดฝ่ายจิตวิญญาณของพระองค์ว่า เขาทั้งหลายจะได้รับการอภัยบาปอย่าง บริบูรณ์คือบาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต และจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวด ทั้งปวงและโทษที่จะต้องรับ

The people were also taught that by the payment of money to the church they might free themselves from sin, and also release the souls of their deceased friends who were confined in the tormenting flames. By such means did Rome fill her coffers and sustain the magnificence, luxury, and vice of the pretended representatives of Him who had not where to lay His head. (See Appendix.) {GC 59.1}

ประชาชนยัง ถูกสอนว่าโดยการจ่ายเงินให้คริสตจักร พวกเขาจะช่วยตัวเองให้พ้นจากบาป และ ยังปลดปล่อยวิญญาณของมิตรสหายที่ ตายไปแล้วซึ่งถูกกักขังอยู่ในเปลวไฟแห่ง การทรมานนั้นได้ ด้วยวิธีเช่นนี้โรมเติม เงินลงในคลังต่างๆ ของเธอจนเต็มและคง ความสง่างาม ความฟุ้งเฟ้อ และความชั่ว ช้าของการทำตัวเป็นผู้แทนของพระองค์ ผู้ทรงไม่มีที่แม้แต่จะวางพระเศียรของพระองค์ (โปรดดูภาคผนวก) {GC 59.1}

The Scriptural ordinance of the Lord’s Supper had been supplanted by the idolatrous sacrifice of the mass. Papal priests pretended, by their senseless mummery, to convert the simple bread and wine into the actual “body and blood of Christ.”–Cardinal Wiseman, The Real Presence of the Body and Blood of Our Lord Jesus Christ in the Blessed Eucharist, Proved From Scripture, lecture 8, sec. 3, par. 26.

พิธีศีลมหาสนิทตามพระคัมภีร์ได้ถูก แทนที่ด้วยพิธีมิสซาที่ถวายบูชารูปเคารพ พวกบาทหลวงของระบอบเปปาซีประกอบ พิธีของพวกเขาโดยอ้างว่าเปลี่ยนขนมปัง และเหล้าองุ่นธรรมดาให้เป็น “พระกาย และพระโลหิตจริงของพระคริสต์” Cardinal Wiseman, The Real Presence of the Body and Blood of Our Lord Jesus Christ in the Blessed Eucharist, Proved From Scripture, lecture 8, sec. 3 ย่อหน้า ที่ 26

With blasphemous presumption, they openly claimed the power of creating God, the Creator of all things. Christians were required, on pain of death, to avow their faith in this horrible, Heaven-insulting heresy. Multitudes who refused were given to the flames. (See Appendix.) {GC 59.2}

ด้วยการทึกทักเอาเอง พวกเขาอวด อ้างอย่างเปิดเผยว่ามีอำนาจสร้างพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงนั้น คริสเตียน ถูกบังคับด้วยความเจ็บปวดถึงตายให้ ปฏิญาณยอมรับในหลักคำสอนนอกรีตอัน ร้ายกาจและลบหลู่สวรรค์นี้ ฝูงชนมากมาย ที่ปฏิเสธคำสอนนี้ถูกโยนทิ้งเข้าไปในเปลว เพลิง (โปรดดูภาคผนวก) {GC 59.2}

In the thirteenth century was established that most terrible of all the engines of the papacy–the Inquisition. The prince of darkness wrought with the leaders of the papal hierarchy.

ในศตวรรษที่สิบสาม มีการตั้ง เครื่องจักรที่น่ากลัวที่สุดจากเครื่องจักร ทั้งหมดของระบอบเปปาซีขึ้น นั่นก็คือ ศาสนศาล [Inquisition] เจ้าชายแห่ง ความมืดทำงานกับพวกผู้นำของสภา ปกครองสงฆ์ของระบอบเปปาซี

In their secret councils Satan and his angels controlled the minds of evil men, while unseen in the midst stood an angel of God, taking the fearful record of their iniquitous decrees and writing the history of deeds too horrible to appear to human eyes. “Babylon the great” was “drunken with the blood of the saints.” The mangled forms of millions of martyrs cried to God for vengeance upon that apostate power. {GC 59.3}

ในการ ประชุมลับของพวกเขา ซาตานและทูต ของมันควบคุมจิตใจของคนชั่วเหล่านี้ ใน ท่ามกลางพวกเขานั้นมีทูตองค์หนึ่งของ พระเจ้าที่ตามองไม่เห็นกำลังจดบันทึก อันน่ากลัวของคำสั่งที่ชั่วร้ายต่างๆ ของ พวกเขาและเขียนประวัติศาสตร์ของการ กระทำที่น่าสยดสยองเกินกว่าที่จะปรากฏต่อสายตามนุษย์ “บาบิโลนมหานคร” นั้น “เมามายด้วยโลหิตของพวกธรรมิกชน” วิวรณ์ 17:15, 16 ร่างที่ถูกบดขยี้จน บิดเบี้ยวของผู้พลีชีพนับล้านร้องขึ้นต่อ พระเจ้าเพื่อการแก้แค้นอำนาจที่ละทิ้ง ความเชื่อนั้น {GC 59.3}

Popery had become the world’s despot. Kings and emperors bowed to the decrees of the Roman pontiff. The destinies of men, both for time and for eternity, seemed under his control.

หลักคำสอนและพิธีกรรมของเปปาซี กลายเป็นผู้ปกครองโลกที่มีอำนาจสิทธิ์ ขาด บรรดากษัตริย์และจักรพรรดิ ทั้งหลายต่างโค้งคำนับให้กับคำสั่งของ พระสันตะปาปาแห่งกรุงโรม ชะตากรรม ของมนุษย์สำหรับยุคนี้และตลอดนิรันดร์ กาลดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุม ของพระองค์

For hundreds of years the doctrines of Rome had been extensively and implicitly received, its rites reverently performed, its festivals generally observed. Its clergy were honored and liberally sustained. Never since has the Roman Church attained to greater dignity, magnificence, or power. {GC 60.1}

เป็นเวลาหลายร้อยปีที่หลัก คำสอนต่างๆ ของโรมได้รับการยอมรับ อย่างไม่มีข้อสงสัยและอย่างแพร่หลาย มีการประกอบพิธีต่างๆ ด้วยความเคารพ และเทศกาลของโรมได้รับการถือรักษา ทั่วไป นักบวชทั้งหลายของโรมได้รับ เกียรติและเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ คริสตจักร โรมไม่เคยได้รับศักดิ์ศรี ความยิ่งใหญ่ หรือ อำนาจเลอเลิศมากเท่านี้มาก่อน {GC 60.1}

But “the noon of the papacy was the midnight of the world.”–J. A. Wylie, The History of Protestantism, b. 1, ch. 4. The Holy Scriptures were almost unknown, not only to the people, but to the priests. Like the Pharisees of old, the papal leaders hated the light which would reveal their sins.

แต่ “เวลาเที่ยงวันของการปกครอง ตามระบอบเปปาซีเป็นเวลาเที่ยงคืนของ โลก” J. A. Wylie, The History of Protestantism, เล่มที่ 1 บทที่ 4 แทบ ไม่มีใครรู้จักพระคัมภีร์ ไม่ใช่แค่เพียง ประชาชนเท่านั้น แม้แต่พวกบาทหลวง ด้วย เหมือนเช่นพวกฟาริสีในอดีต บรรดา ผู้นำของเปปาซีเกลียดชังแสงสว่างที่ส่อง ให้เห็นถึงความผิดบาป

God’s law, the standard of righteousness, having been removed, they exercised power without limit, and practiced vice without restraint. Fraud, avarice, and profligacy prevailed. Men shrank from no crime by which they could gain wealth or position. The palaces of popes and prelates were scenes of the vilest debauchery. Some of the reigning pontiffs were guilty of crimes so revolting that secular rulers endeavored to depose these dignitaries of the church as monsters too vile to be tolerated. For centuries Europe had made no progress in learning, arts, or civilization. A moral and intellectual paralysis had fallen upon Christendom. {GC 60.2}

พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเป็นมาตรฐานของความชอบ ธรรมถูกกำจัดออกไปเสีย พวกเขาใช้ อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด และกระทำการ ชั่วโดยไม่มีอะไรจะมาเหนี่ยวรั้งได้ การ ฉ้อฉล ความโลภ และความเสเพล สุรุ่ยสุร่ายพบเห็นได้อย่างแพร่หลาย มนุษย์ใช้ทุกอาชญากรรมเพื่อจะได้มาซึ่ง ความมั่งคั่งและตำแหน่ง ปราสาทต่างๆ ของพระสันตะปาปาและพระราชาคณะ ทั้งหลายมีแต่ภาพของความลามกตํ่าที่สุด พระสันตะปาปาบางองค์ที่ครองตำแหน่ง อยู่ได้ก่ออาชญากรรมต่างๆ ที่น่าขยะแขยง มากจนพวกผู้ปกครองบ้านเมืองต้อง พยายามขับไล่เหล่าผู้มีเกียรติทั้งหลายนี้ ของคริสตจักรในฐานะเป็นสัตว์ประหลาด ที่ชั่วช้าเลวทรามเกินกว่าที่จะยอมทนได้ เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ยุโรปไม่เจริญ ก้าวหน้าในด้านการศึกษา ศิลปะ หรืออารยธรรมเลย โรคอัมพาตทางศีลธรรม และด้านสติปัญญาเกิดขึ้นกับคริสตอาณา- จักร {GC 60.2}

The condition of the world under the Romish power presented a fearful and striking fulfillment of the words of the prophet Hosea: “My people are destroyed for lack of knowledge: because thou hast rejected knowledge, I will also reject thee: . . . seeing thou hast forgotten the law of thy God, I will also forget thy children.”

สภาพของโลกภายใต้อำนาจของโรม ทำให้คำกล่าวของผู้เผยพระวจนะโฮเชยา สำเร็จอย่างน่ากลัวและอย่างถูกต้องว่า “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาด ความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธความรู้ เราก็ ปฏิเสธเจ้า…เพราะเจ้าลืมธรรมบัญญัติแห่ง พระเจ้าของเจ้า เราเองก็ลืมพงศ์พันธุ์ของ เจ้าด้วย”

“There is no truth, nor mercy, nor knowledge of God in the land. By swearing, and lying, and killing, and stealing, and committing adultery, they break out, and blood toucheth blood.” Hosea 4:6, 1, 2. Such were the results of banishing the word of God. {GC 60.3}

“ในแผ่นดินนั้นไม่มีความซื่อสัตย์ สุจริต ความเมตตา หรือความรู้จักพระเจ้า มีแต่การสบถสาบาน การโกหก การฆ่า คน การลักขโมยและการล่วงประเวณี สิ่ง เหล่านี้แพร่ไปทั่ว มีการฆาตกรรมซ้อน การฆาตกรรม” โฮเชยา 4:6, 1, 2 สภาพ เช่นนี้เป็นผลต่างๆ ของการละทิ้งพระวจนะ ของพระเจ้า {GC 60.3}