Chapter 18(บทที่ 18)
Mind Cure
การบำบัดรักษาด้านจิตใจ
The relation that exists between the mind and the body is very intimate. When one is affected, the other sympathizes. The condition of the mind affects the health to a far greater degree than many realize. Many of the diseases from which men suffer are the result of mental depression. Grief, anxiety, discontent, remorse, guilt, distrust, all tend to break down the life forces and to invite decay and death. {MH 241.1}
จิตใจและร่างกายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่น เมื่อฝ่ายหนึ่งเกิดการเจ็บป่วย อีกฝ่ายหนึ่งจะเกิดความเห็นอกเห็นใจ สภาวะของจิตใจมีผลกระทบต่อสุขภาพในระดับที่มากมายกว่าที่หลายคนจะเข้าใจ โรคหลายชนิดที่ทำให้มนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นั้นมีสาเหตุมาจากสภาพจิตใจที่หดหู่และซึมเศร้า ความโศกเศร้าเสียใจ ความวิตกกังวล ความไม่พึงพอใจ ความรู้สึกผิด ตราบาปและความสงสัยหวาดระแวง ล้วนแล้วแต่มุ่งทำลายพลังของชีวิตและเชื้อเชิญความทรุดโทรมและความตายให้มาเยือน {MH 241.1}
Disease is sometimes produced, and is often greatly aggravated, by the imagination. Many are lifelong invalids who might be well if they only thought so. Many imagine that every slight exposure will cause illness, and the evil effect is produced because it is expected. Many die from disease the cause of which is wholly imaginary. {MH 241.2}
โรคภัยในบางครั้งถูกสร้างขึ้นและบ่อยครั้งกำเริบอย่างรุนแรงรวดเร็วโดยการจิตนาการไปเอง หลายรายต้องเจ็บป่วยตลอดทั้งชีวิต ทั้งที่พวกเขาน่าจะหายจากโรคได้หากเพียงแต่พวกเขาคิดเช่นนั้น หลายคนคิดไปเองว่าการสัมผัสโดนสิ่งที่ไม่สะอาดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เจ็บป่วยได้ และผลร้ายก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะพวกเขาได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง หลายคนเสียชีวิตไปด้วยโรคภัยที่มีสาเหตุมาจากการจินตนาการทั้งสิ้น {MH 241.2}
Courage, hope, faith, sympathy, love, promote health and prolong life. A contented mind, a cheerful spirit, is health to the body and strength to the soul. “A merry [rejoicing] heart doeth good like a medicine.” Proverbs 17:22. {MH 241.3}
ความกล้าหาญ ความหวัง ความเชื่อ ความเห็นอกเห็นใจ ความรัก ส่งเสริมสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงและยืดชีวิตให้ยืนยาว จิตใจที่มีความพึงพอใจ ใจที่ร่าเริงและมีความชื่นชมยินดีคือความแข็งแรงของร่างกายและความเข้มแข็งของจิตใจ “ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี” สุภาษิต 17:22 {MH 241.3}
In the treatment of the sick the effect of mental influence should not be overlooked. Rightly used, this influence affords one of the most effective agencies for combating disease. {MH 241.4}
ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยนั้น เราไม่ควรมองข้ามผลอันเกิดจากอิทธิพลของจิตใจ หากใช้อย่างถูกต้อง อิทธิพลนี้จะกลายเป็นการบำบัดรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลมากที่สุดในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ {MH 241.4}
Control of Mind Over Mind
การควบคุมจิตใจของผู้อื่น
There is, however, a form of mind cure that is one of the most effective agencies for evil. Through this so-called science, one mind is brought under the control of another so that the individuality of the weaker is merged in that of the stronger mind. One person acts out the will of another. Thus it is claimed that the tenor of the thoughts may be changed, that health-giving impulses may be imparted, and patients may be enabled to resist and overcome disease. {MH 242.1}
อย่างไรก็ตาม ยังมีการบำบัดรักษาด้านจิตใจอยู่รูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในหลายวิธีที่ใช้ได้ผลมากที่สุดในทางชั่วร้าย โดยอาศัยสิ่งที่เรียกกันว่าวิทยาศาสตร์ จิตดวงหนึ่งจะตกอยู่ในการควบคุมของจิตอีกดวงหนึ่งเพื่อว่าบุคลิกลักษณะของบุคคลที่จิตอ่อนแอกว่าจะถูกผสานและทำให้เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจจิตที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นคนๆ หนึ่งก็จะแสดงออกถึงความคิดและการกระทำของอีกคนหนึ่ง ฉะนั้นมีการอ้างว่าความคิดของผู้ป่วยอาจได้รับการเปลี่ยนแปลงและให้รับเอาความคิดที่กระตุ้นให้เกิดกำลังวังชาที่จิตอีกดวงหนึ่งถ่ายทอดให้ และอาจจะทำให้ผู้ป่วยสามารถต่อต้านและเอาชนะเหนือโรคภัยได้ {MH 242.1}
This method of cure has been employed by persons who were ignorant of its real nature and tendency, and who believed it to be a means of benefit to the sick. But the so-called science is based upon false principles. It is foreign to the nature and spirit of Christ. It does not lead to Him who is life and salvation. The one who attracts minds to himself leads them to separate from the true Source of their strength. {MH 242.2}
การรักษาด้วยวิธีนี้ได้มีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นำมาใช้ โดยที่พวกเขาไม่ทราบถึงแก่นแท้และลักษณะที่แท้จริงของวิธีการนี้ และพวกเขาต่างเชื่อว่าเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยผู้ป่วยได้ แต่สิ่งที่ถูกเรียกกันว่าวิธีทางวิทยาศาสตร์นี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นวิธีที่ผิดแปลกไปจากพระลักษณะและพระวิญญาณของพระคริสต์ ซึ่งเป็นวิธีที่มิได้ช่วยชักนำผู้ป่วยให้เข้าหาพระคริสต์ผู้ทรงเป็นความหวังแห่งชีวิตและความรอด บุคคลที่เป็นผู้กระตุ้นจิตใจของผู้อื่นให้เข้ามาหาตัวของเขาเองจึงเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ป่วยต้องถูกแยกออกไปจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งกำลังที่แท้จริง {MH 242.2}
It is not God’s purpose that any human being should yield his mind and will to the control of another, becoming a passive instrument in his hands. No one is to merge his individuality in that of another. He is not to look to any human being as the source of healing. His dependence must be in God. In the dignity of his God-given manhood he is to be controlled by God Himself, not by any human intelligence. {MH 242.3}
พระเจ้าไม่ทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ผู้ใดยินยอมมอบจิตใจและความต้องการของตัวเองไว้ภายใต้อำนาจบังคับและตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น บุคลิกลักษณะของคนๆ หนึ่งจะต้องไม่ถูกนำไปผสานและทำให้เปลี่ยนแปลงไปภายใต้อำนาจของอีกคนหนึ่ง เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาในมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดเพื่อให้การรักษาแก่เขา การพึ่งพาใดๆ ของเขานั้นต้องมอบไว้กับพระเจ้า ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่พระองค์ประทานให้ เขาจึงควรจะอยู่ในการควบคุมโดยพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวได้ มิใช่โดยความปราดเปรื่องของมนุษย์ {MH 242.3}
God desires to bring men into direct relation with Himself. In all His dealings with human beings He recognizes the principle of personal responsibility. He seeks to encourage a sense of personal dependence and to impress the need of personal guidance. He desires to bring the human into association with the divine, that men may be transformed into the divine likeness. Satan works to thwart this purpose. He seeks to encourage dependence upon men. When minds are turned away from God, the tempter can bring them under his rule. He can control humanity. {MH 242.4}
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์โดยตรง ในสรรพความสัมพันธ์ที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเห็นชอบในหลักการที่ว่ามนุษย์แต่ละคนจักต้องมีหน้าที่ของตนเอง พระองค์ทรงสนับสนุนให้พึ่งพาพระองค์เป็นการส่วนตัวและให้มีความต้องการการทรงนำเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงปรารถนาที่จะนำมนุษย์ให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ เพื่อมนุษย์จักได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้มีลักษณะนิสัยเหมือนดังกับพระองค์ ซาตานได้ต่อสู้ขัดขวางวัตถุประสงค์นี้ และพยายามที่จะชักจูงให้มนุษย์เห็นว่าเขาจำเป็นจะต้องพึ่งพาในมนุษย์ด้วยกัน เมื่อจิตใจถูกหันเหไปจากพระเจ้า ผู้ล่อลวงก็จะนำพวกเขาให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของเขา แล้วมารก็จะสามารถเข้าควบคุมมนุษย์ {MH 242.4}
The theory of mind controlling mind was originated by Satan, to introduce himself as the chief worker, to put human philosophy where divine philosophy should be. Of all the errors that are finding acceptance among professedly Christian people, none is a more dangerous deception, none more certain to separate man from God, than is this. Innocent though it may appear, if exercised upon patients it will tend to their destruction, not to their restoration. It opens a door through which Satan will enter to take possession both of the mind that is given up to be controlled by another, and of the mind that controls. {MH 243.1}
ทฤษฎีของจิตควบคุมจิตเกิดมาจากซาตาน เพื่อจะแสดงตนเองว่าเป็นผู้นำที่มีอำนาจสูงสุด โดยจะนำความคิดของมนุษย์ให้เข้ามาแทนที่สัจจะและความเป็นจริงของพระเจ้า ในบรรดาความผิดทั้งหลายอันเป็นที่ยอมรับของผู้ที่แสดงตนว่าเป็นคริสเตียนนั้น ไม่มีความผิดใดที่เป็นการหลอกลวงที่มีภัยอันตรายและทำให้มนุษย์ต้องเหินห่างไปจากพระเจ้าได้มากยิ่งไปกว่าในเรื่องนี้ แม้ดูว่าไม่น่าจะมีภัยอันตรายใดๆ ก็ตาม แต่หากมีการนำวิธีรักษานี้มาใช้กับผู้ป่วยก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ช่วยให้ผู้ป่วยหายโรคได้ แต่กลับจะนำไปสู่การทำลาย วิธีนี้เป็นการเปิดประตูให้ซาตานเข้าครอบครองจิตใจของผู้ที่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของผู้อื่นรวมทั้งของผู้ที่ควบคุมด้วย {MH 243.1}
Fearful is the power thus given to evil-minded men and women. What opportunities it affords to those who live by taking advantage of other’s weaknesses or follies! How many, through control of minds feeble or diseased, will find a means of gratifying lustful passion or greed of gain! {MH 243.2}
อำนาจที่ซาตานได้มอบให้กับชายหญิงที่มีจิตใจชั่วร้ายนั้นเป็นพลังอำนาจที่มีความน่ากลัว และยังให้โอกาสแก่คนเหล่านี้ได้บีบบังคับและเอารัดเอาเปรียบคนที่อ่อนแอและมีความฉลาดน้อยกว่า มีผู้คนมากมายเท่าใดที่ได้บำรุงบำเรอตัณหาราคะหรือความละโมบอยากได้ด้วยการเข้าไปควบคุมจิตใจของคนที่อ่อนแอและเจ็บป่วย {MH 243.2}
There is something better for us to engage in than the control of humanity by humanity. The physician should educate the people to look from the human to the divine. Instead of teaching the sick to depend upon human beings for the cure of soul and body, he should direct them to the One who can save to the uttermost all who come unto Him. He who made man’s mind knows what the mind needs. God alone is the One who can heal. Those whose minds and bodies are diseased are to behold in Christ the restorer. “Because I live, He says, “ye shall live also.” John 14:19. This is the life we are to present to the sick, telling them that if they have faith in Christ as the restorer, if they co-operate with Him, obeying the laws of health, and striving to perfect holiness in His fear, He will impart to them His life. When we present Christ to them in this way, we are imparting a power, a strength, that is of value; for it comes from above. This is the true science of healing for body and soul. {MH 243.3}
ยังมีบางสิ่งที่เราสามารถทำได้ดีกว่าการพึ่งพาการควบคุมมนุษย์โดยมนุษย์ด้วยกันเอง แพทย์ควรชักนำผู้ป่วยให้มองข้ามมนุษย์ไปหาพระเจ้า แทนที่จะสอนผู้ป่วยให้พี่งพาการรักษาโรคทางจิตและกายจากมนุษย์ เขาควรนำผู้ป่วยมาหาพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยผู้ที่เข้ามาแสวงหาพระองค์อย่างจนถึงที่สุด พระองค์ผู้ทรงสรรสร้างจิตใจมนุษย์ทรงทราบดีว่าจิตใจของมนุษย์นั้นต้องการสิ่งใด พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถให้การรักษาได้ ผู้ป่วยทางกายและทางจิตทั้งหลายควรต้องมองไปยังพระคริสต์ แพทย์ผู้ทรงสามารถรักษาโรคภัย พระองค์ตรัสว่า “เพราะเราดำรงอยู่ ท่านทั้งหลายก็จะดำรงอยู่ด้วย” ยอห์น 14:19 นี่คือชีวิตที่เราต้องชี้ให้ผู้ป่วยเห็น โดยเราจะต้องบอกกับเขาว่า หากเขามีความเชื่อในพระคริสต์ผู้ทรงเป็นแพทย์ที่สามารถเยียวยารักษาโรคภัย หากพวกเขาร่วมมือกับพระองค์ในการปฏิบัติตามบทบัญญัติในด้านสุขภาพ และมุ่งที่จะก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงด้วยความยำเกรงในพระองค์ พระองค์จะประทานชีวิตของพระองค์ให้แก่เขา เมื่อเรานำเสนอพระคริสต์ให้พวกเขารู้จักด้วยวิธีนี้ ก็เท่ากับว่าเรากำลังผ่องถ่ายพลังอำนาจ ความเข้มแข็งอันล้ำค่าที่มาจากเบื้องบนให้แก่คนเหล่านั้น นี่แหละคือศาสตร์ที่แท้จริงในการบำบัดรักษาร่างกายและจิตวิญญาณ {MH 243.3}
Sympathy
ความเห็นอกเห็นใจ
Great wisdom is needed in dealing with diseases caused through the mind. A sore, sick heart, a discouraged mind, needs mild treatment. Many times some living home trouble is, like a canker, eating to the very soul and weakening the life force. And sometimes it is the case that remorse for sin undermines the constitution and unbalances the mind. It is through tender sympathy that this class of invalids can be benefited. The physician should first gain their confidence and then point them to the Great Healer. If their faith can be directed to the True Physician, and they can have confidence that He has undertaken their case, this will bring relief to the mind and often give health to the body. {MH 244.1}
ในการรับมือกับโรคที่มีสาเหตุมาจากจิตใจนั้น สติปัญญาที่ครบถ้วนมีความจำเป็นมาก จิตใจที่ฟกช้ำ โศกเศร้าและท้อถอยต้องการการบำบัดแบบอ่อนละมุน หลายครั้งที่ความยุ่งยากเดือดร้อนในครอบครัวเป็นเหมือนมะเร็งที่คอยกำเริบกินลึกเข้าไปในจิตใจและบั่นทอนกำลังใจของชีวิตทีละน้อย บางครั้งความเศร้าโศกเสียใจจากการกระทำความผิดบาปลอบทำลายและสั่นคลอนจิตใจ ความเห็นอกเห็นใจด้วยความอ่อนโยนจะเป็นประโยชน์แก่คนไข้กลุ่มนี้ ประการแรก แพทย์ควรเอาชนะความไว้วางใจของพวกเขาเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยชี้ให้พวกเขาเห็นถึงพระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ถ้าความเชื่อของพวกเขาได้รับการนำพาให้เข้าถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ที่แท้จริง และพวกเขามีความมั่นใจว่าพระองค์ได้ทรงรับกรณีของพวกเขาไว้ในการดูแลของพระองค์แล้ว พวกเขาจะรู้สึกโล่งใจ มีจิตใจที่สบายขึ้นและบ่อยครั้งความแข็งแรงของร่างกายก็จะตามมา {MH 244.1}
Sympathy and tact will often prove a greater benefit to the sick than will the most skillful treatment given in a cold, indifferent way. When a physician comes to the sickbed with a listless, careless manner, looks at the afflicted one with little concern, by word or action giving the impression that the case is not one requiring much attention, and then leaves the patient to his own reflections, he has done that patient positive harm. The doubt and discouragement produced by his indifference will often counteract the good effect of the remedies he may prescribe. {MH 244.2}
บ่อยครั้งความเห็นอกเห็นใจและการรู้จักกาลเทศะกลับช่วยคนป่วยได้ดียิ่งกว่าการรักษาอย่างเชี่ยวชาญที่สุดแต่ทำด้วยท่าทีที่เย็นชาและเฉยเมย เมื่อแพทย์มาที่ข้างเตียงของคนไข้ด้วยอาการที่เฉื่อยชา ไม่เอาใจใส่และมองดูผู้ป่วยด้วยความสนใจเพียงเล็กน้อย ด้วยคำพูดหรือการกระทำที่สร้างความรู้สึกว่ากรณีนี้ไม่มีค่าพอที่จะได้รับการดูแลหรือใส่ใจ จากนั้นก็ปล่อยให้ผู้ป่วยนอนใคร่ครวญตนเอง การกระทำเช่นนี้เป็นภัยต่อผู้ป่วยคนนั้นอย่างแน่นอน ความสงสัยและความท้อแท้ที่เกิดจากการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของแพทย์บ่อยครั้งส่งผลกลับไปทำลายผลดีของการรักษาที่ตนเองจัดให้ผู้ป่วย {MH 244.2}
If physicians could put themselves in the place of the one whose spirit is humbled and whose will is weakened by suffering, and who longs for words of sympathy and assurance, they would be better prepared to appreciate his feelings. When the love and sympathy that Christ manifested for the sick is combined with the physician’s knowledge, his very presence will be a blessing. {MH 245.1}
หากแพทย์ทั้งหลายสามารถมองตนเองจากจุดยืนของผู้ที่มีใจถ่อม ผู้ที่กำลังใจของเขาอ่อนล้าจากการเจ็บป่วยและกำลังต้องการได้ยินคำพูดที่เห็นอกเห็นใจและหนุนใจ พวกเขาก็จะมีจิตใจที่พรักพร้อมที่จะเข้าถึงความรู้สึกของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น เมื่อความรักและความเห็นอกเห็นใจตามอย่างที่พระคริสต์ทรงสำแดงต่อผู้ป่วยผนวกเข้ากับความรู้ของแพทย์ เมื่อนั้น การอยู่ต่อหน้าผู้ป่วยของเขาจะกลายเป็นพระพร {MH 245.1}
Frankness in dealing with a patient inspires him with confidence, and thus proves an important aid to recovery. There are physicians who consider it wise policy to conceal from the patient the nature and cause of the disease from which he is suffering. Many, fearing to excite or discourage a patient by stating the truth, will hold out false hopes of recovery, and even allow a patient to go down to the grave without warning him of his danger. All this is unwise. It may not always be safe or best to explain to the patient the full extent of his danger. This might alarm him and retard or even prevent recovery. Nor can the whole truth always be told to those whose ailments are largely imaginary. Many of these persons are unreasonable, and have not accustomed themselves to exercise self-control. They have peculiar fancies, and imagine many things that are false in regard to themselves and to others. To them these things are real, and those who care for them need to manifest constant kindness and unwearied patience and tact. If these patients were told the truth in regard to themselves, some would be offended, others discouraged. Christ said to His disciples, “I have yet many things to say unto you, but ye cannot bear them now.” John 16:12. But though the truth may not all be spoken on all occasions, it is never necessary or justifiable to deceive. Never should the physician or the nurse stoop to prevarication. He who does this places himself where God cannot co-operate with him, and in forfeiting the confidence of his patients he is casting away one of the most effective human aids to their restoration. {MH 245.2}
การรักษาคนไข้ด้วยความจริงใจทำให้จิตใจของผู้ป่วยเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ฟื้นจากโรค มีแพทย์หลายคนคิดว่าการปกปิดมิให้คนไข้ได้ทราบถึงลักษณะและสาเหตุของโรคที่เขาป่วยอยู่นั้นเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด หลายคนกลัวว่าการบอกความจริงจะทำให้คนไข้เกิดความตื่นตระหนกหรือเกิดความท้อแท้ใจ กลับยื่นความหวังลมๆ แล้งๆ ในการฟื้นโรค และแม้กระทั่งปล่อยให้ผู้ป่วยต้องเจ็บหนักและเสียชีวิตไปโดยที่ไม่ได้กล่าวเตือนถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขา การกระทำเช่นนี้ย่อมมิใช่วิธีที่ฉลาด การบอกถึงความจริงทั้งหมดแก่คนไข้ ก็อาจจะไม่เป็นการปลอดภัยและดีที่สุดเสมอไป เพราะอาจจะทำให้คนไข้เกิดความตกใจกลัวรวมทั้งอาจจะไปขัดขวางหรือทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคช้าลง สำหรับคนป่วยที่ชอบนึกคิดไปเองก็ไม่ควรที่จะบอกความจริงเสียทั้งหมดทีเดียว คนพวกนี้หลายคนเป็นพวกที่ขาดเหตุผลและการควบคุมตนเอง บ้างก็มีความคิดฝันแบบประหลาดๆ และคิดอะไรหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวเองและผู้อื่น สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่ตนเองคิดเหล่านั้นเป็นความจริงและผู้ที่คอยรักษาพยาบาลผู้ป่วยประเภทนี้ต้องแสดงออกถึงความเมตตากรุณารวมทั้งมีความอดทนและมีความรอบคอบระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราบอกความจริงเกี่ยวกับตัวเขาเองให้แก่ผู้ป่วยเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้ผู้ป่วยบางคนเกิดความโกรธเคืองไม่พอใจ บางคนก็อาจจะหมดกำลังใจ พระคริสต์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่ท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้” ยอห์น 16:12 แม้ว่าเราจะบอกความจริงทั้งหมดไม่ได้ในทุกโอกาสก็ตาม แต่เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลอกลวงผู้ป่วย แพทย์และพยาบาลจะต้องไม่กระทำผิดด้วยการปิดบังความจริงโดยการโกหก ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ทำให้พระเจ้ามิอาจทรงร่วมมือกับเขาได้ โดยการทำลายความเชื่อมั่นในตัวพวกเขาของผู้ป่วยไปเช่นนี้ พวกเขาได้โยนทิ้งวิธีการรักษาของมนุษย์ที่เห็นผลที่สุดไป {MH 245.2}
The power of the will is not valued as it should be. Let the will be kept awake and rightly directed, and it will impart energy to the whole being and will be a wonderful aid in the maintenance of health. It is a power also in dealing with disease. Exercised in the right direction, it would control the imagination and be a potent means of resisting and overcoming disease of both mind and body. By the exercise of the will power in placing themselves in right relation to life, patients can do much to co-operate with the physician’s efforts for their recovery. There are thousands who can recover health if they will. The Lord does not want them to be sick. He desires them to be well and happy, and they should make up their minds to be well. Often invalids can resist disease simply by refusing to yield to ailments and settle down in a state of inactivity. Rising above their aches and pains, let them engage in useful employment suited to their strength. By such employment and the free use of air and sunlight, many an emaciated invalid might recover health and strength. {MH 246.1}
โดยมากเรามักจะถือว่าพลังแห่งความมุ่งมั่นนั้นมิใช่สิ่งที่มีความสลักสำคัญอะไรนักและไม่เห็นว่าสิ่งนี้มีคุณค่าเท่าที่ควรจะเป็น ขอให้เราได้ปลุกจิตใจของเราให้เกิดความมุ่งมั่นตั้งใจและนำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ความมุ่งมั่นตั้งใจนี้จะทำให้ร่างกายและจิตใจเกิดมีกำลังเรี่ยวแรงและมีความกระตือรือร้น และจะช่วยธำรงรักษาสุขภาพให้มีความสมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์ พลังแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจนี้มีอำนาจที่จะช่วยในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ การออกกำลังกายอย่างถูกต้อง สามารถช่วยในการควบคุมความนึกคิดของเราและเป็นวิธีการที่สามารถเอาชนะต่อโรคภัยที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ โดยการใช้พลังแห่งความตั้งใจอย่างถูกต้องในชีวิต คนไข้จะสามารถร่วมมือกับความพยายามของแพทย์ในการบำบัดรักษาโรค ผู้ป่วยจำนวนพันสามารถฟื้นคืนสู่ความแข็งแรงได้หากพวกเขาตั้งใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมิได้มีพระประสงค์ให้คนเหล่านั้นต้องเจ็บป่วย แต่ต้องการให้พวกเขาสบายดีมีสุข และพวกเขาก็ควรตัดสินใจต้องการสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง หลายครั้งผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับโรคภัยได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความเจ็บป่วยและไม่ยอมที่จะนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย จงให้จิตใจตั้งอยู่เหนือความเจ็บปวดและใส่ใจลงมือทำกิจกรรมที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับกำลังเรี่ยวแรงของตน การที่ได้ทำกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้ การได้รับแสงแดดและอากาศที่บริสุทธิ์ ผู้ป่วยที่ซูบผอมมากมายอาจฟื้นคืนสู่สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง {MH 246.1}
Bible Principles of Cure
การรักษาโรคตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์
For those who would regain or preserve health there is a lesson in the words of Scripture, “Be not drunk with wine, wherein is excess; but be filled with the Spirit.” Ephesians 5:18. Not through the excitement or oblivion produced by unnatural or unhealthful stimulants; not through indulgence of the lower appetites or passions, is to be found true healing or refreshment for the body or the soul. Among the sick are many who are without God and without hope. They suffer from ungratified desires, disordered passions, and the condemnation of their own consciences; they are losing their hold upon this life, and they have no prospect for the life to come. Let not the attendants upon the sick hope to benefit these patients by granting them frivolous, exciting indulgences. These have been the curse of their lives. The hungry, thirsting soul will continue to hunger and thirst so long as it seeks to find satisfaction here. Those who drink at the fountain of selfish pleasure are deceived. They mistake hilarity for strength, and when the excitement ceases, their inspiration ends, and they are left to discontent and despondency. {MH 246.2}
สำหรับคนทั้งหลายที่ต้องการฟื้นฟูหรือถนอมสุขภาพไว้นานๆ มีข้อพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ” เอเฟซัส 5:18 การบำบัดรักษาที่แท้จริงหรือการฟื้นฟูความสดชื่นให้แก่ร่างกายและจิตใจนั้น มิใช่ได้มาโดยความรู้สึกตื่นเต้นหรือหลุดจากความทุกข์ด้วยการใช้สารกระตุ้นที่ผิดธรรมชาติหรือให้โทษ มิใช่ได้มาโดยการทำตามใจตัวเองด้วยการสนองความอยากหรือราคะตัณหาอันหยาบช้า ในบรรดาผู้ที่เจ็บป่วยยังมีหลายคนที่ไม่ได้รู้จักพระเจ้าและปราศจากซึ่งความหวัง พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากความใคร่อยากที่ไม่รู้จักอิ่ม กิเลสตัณหาที่ผิดปกติ และต้องถูกพิพากษาลงโทษจากความรู้สึกผิดชอบของตัวเอง พวกเขากำลังสูญเสียสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวในชีวิตและไร้ซึ่งความหวังของชีวิตในภายภาคหน้า ผู้ที่คอยดูแลรักษาคนป่วยต้องไม่ยอมประนีประนอมให้พวกเขาทำอะไรตามใจตัวเองในทางที่ผิด สิ่งเหล่านี้ที่ได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาพินาศ จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ยังคงหิวกระหายต่อไป ตราบที่ยังมีความปรารถนาเพื่อสนองความต้องการ ผู้ที่ดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งความสนุกเพลิดเพลินที่เห็นแก่ตัวกำลังถูกหลอกลวง พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าการสนุกสนานเฮฮาก่อให้เกิดพละกำลังและความแข็งแรง และเมื่อความตื่นเต้นได้สิ้นสุดลง แรงกระตุ้นก็ยุติลงไปด้วย และคงเหลือไว้แต่ความไม่พึงพอใจและความท้อแท้สิ้นหวัง {MH 246.2}
Abiding peace, true rest of spirit, has but one Source. It was of this that Christ spoke when He said, “Come unto Me, all ye that labor and are heavy-laden, and I will give you rest.” Matthew 11:28. “Peace I leave with you, My peace I give unto you: not as the world giveth, give I unto you.” John 14:27. This peace is not something that He gives apart from Himself. It is in Christ, and we can receive it only by receiving Him. {MH 247.1}
สันติสุขที่ยืนยง จิตวิญญาณที่พักสงบอย่างแท้จริงมีแหล่งที่มาเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น พระคริสต์ตรัสถึงเรื่องนี้ว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” มัทธิว 11:28 “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้” ยอห์น 14:27 สันติสุขนี้มิใช่สิ่งภายนอกที่พระองค์ประทานให้เรา แต่เป็นสันติสุขที่อยู่ในพระคริสต์และเราจะรับสันติสุขนี้ได้โดยการที่เรายอมรับในพระองค์เท่านั้น {MH 247.1}
Christ is the wellspring of life. That which many need is to have a clearer knowledge of Him; they need to be patiently and kindly, yet earnestly, taught how the whole being may be thrown open to the healing agencies of heaven. When the sunlight of God’s love illuminates the darkened chambers of the soul, restless weariness and dissatisfaction will cease, and satisfying joys will give vigor to the mind and health and energy to the body. {MH 247.2}
พระคริสต์ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต สิ่งที่หลายคนต้องการก็คือ การมีความเข้าใจและความรู้แจ้งในพระองค์มากยิ่งขึ้น พวกเขาจำต้องได้รับการสอนด้วยความอดทนและกรุณา อย่างกระตือรือร้นเพื่อให้ทั้งชีวิตและจิตใจของพวกเขาเปิดกว้างต้อนรับการเยียวยาของสวรรค์ เมื่อแสงสว่างแห่งความรักของพระเจ้าได้ส่องฉายเข้าไปยังจิตวิญญาณที่มืดมน ความระอาเหนื่อยหน่ายและความขุ่นข้องหมองใจก็จะสูญสิ้นไป และความเบิกบานพึงพอใจก็จะก่อเกิดพลังแก่จิตใจและความแข็งแรงและกำลังแก่ร่างกาย {MH 247.2}
We are in a world of suffering. Difficulty, trial, and sorrow await us all along the way to the heavenly home. But there are many who make life’s burdens doubly heavy by continually anticipating trouble. If they meet with adversity or disappointment they think that everything is going to ruin, that theirs is the hardest lot of all, that they are surely coming to want. Thus they bring wretchedness upon themselves and cast a shadow upon all around them. Life itself becomes a burden to them. But it need not be thus. It will cost a determined effort to change the current of their thought. But the change can be made. Their happiness, both for this life and for the life to come, depends upon their fixing their minds upon cheerful things. Let them look away from the dark picture, which is imaginary, to the benefits which God has strewn in their pathway, and beyond these to the unseen and eternal. {MH 247.3}
เราทั้งหลายกำลังอยู่ในโลกแห่งความทุกข์ทรมาน ความยากลำบาก ความเศร้าโศกและการทดลองกำลังรอท่าเราอยู่ตลอดเส้นทางที่จะดำเนินไปสู่บ้านในแผ่นดินสวรรค์ แต่มีหลายคนยังเพิ่มภาระอีกสองเท่าให้กับชีวิตด้วยการตีตนไปก่อนไข้อย่างต่อเนื่อง ถ้าพวกเขาประสบกับความยากลำบากหรือความผิดหวัง พวกเขามักจะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องพังพินาศ คิดว่าชีวิตของพวกเขาเป็นชีวิตที่ยากลำบากมากที่สุด พวกเขาจะต้องตกลงสู่ความขัดสน เหตุฉะนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นผู้นำความทุกข์ยากมาสู่ตัวเองและทอดเงาแห่งความทุกข์ไปสู่คนอื่นที่อยู่รอบตัว ชีวิตกลับกลายเป็นภาระยุ่งยากสำหรับบุคคลประเภทนี้ แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น การจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างตั้งใจจริง แต่สามารถทำได้ ความสุขของพวกเขาทั้งชีวิตนี้และชีวิตในภายภาคหน้าขึ้นอยู่กับการมุ่งเป้าความคิดของพวกเขาไปสู่สิ่งที่ทำให้จิตใจเบิกบาน จงให้พวกเขาเบือนหน้าจากภาพจินตนาการอันมืดมนที่วาดมันขึ้นมาเอง และหันไปมองถึงสิ่งที่มีคุณค่าที่พระเจ้าประทานให้บนเส้นทางเดินของพวกเขา และเหนือไปกว่านั้น เส้นทางที่นำไปสู่โลกที่ยังมองไม่เห็นและนิรันดร์ {MH 247.3}
For every trial, God has provided help. When Israel in the desert came to the bitter waters of Marah, Moses cried unto the Lord. The Lord did not provide some new remedy; He called attention to that which was at hand. A shrub which He had created was to be cast into the fountain to make the water pure and sweet. When this was done, the people drank of the water and were refreshed. In every trial, if we seek Him, Christ will give us help. Our eyes will be opened to discern the healing promises recorded in His word. The Holy Spirit will teach us how to appropriate every blessing that will be an antidote to grief. For every bitter draft that is placed to our lips, we shall find a branch of healing. {MH 248.1}
พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมความช่วยเหลือให้แก่เราในทุกการทดลอง เมื่อชนชาติอิสราเอลได้เดินทางไปในถิ่นกันดารจนมาถึงแหล่งน้ำรสขมแห่งถิ่นมาราห์ โมเสสได้ร้องทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์มิได้ประทานหนทางแก้ไขที่แปลกใหม่แต่อย่างใด พระองค์ทรงให้เขาพิจารณาถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว พระองค์ทรงให้โมเสสโยนพุ่มไม้ที่พระองค์ทรงเสร้างขึ้นมาลงไปในน้ำเพื่อให้น้ำบริสุทธิ์และมีรสหวาน เมื่อได้ทำเช่นนี้แล้ว ประชาชนก็ได้ดื่มน้ำและได้รับความสดชื่น ในการทดลองทุกครั้ง ถ้าเราแสวงหาพระองค์ พระคริสต์จะประทานความช่วยเหลือให้แก่เรา นัยน์ตาของเราจะเปิดออก เพื่อเห็นถึงพระสัญญาแห่งการบำบัดรักษาตามที่เขียนไว้ในพระวจนะของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนเราให้ได้รู้จักวิธีแบ่งปันพระพรเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากได้อย่างไร ในทุกความขมที่ริมฝีปากของเราได้สัมผัส เราจะพบกิ่งไม้แห่งการเยียวยารักษา {MH 248.1}
We are not to let the future, with its hard problems, its unsatisfying prospects, make our hearts faint, our knees tremble, our hands hang down. “Let him take hold of My strength,” says the Mighty One, “that he may make peace with Me; and he shall make peace with Me.” Isaiah 27:5. Those who surrender their lives to His guidance and to His service will never be placed in a position for which He has not made provision. Whatever our situation, if we are doers of His word, we have a Guide to direct our way; whatever our perplexity, we have a sure Counselor; whatever our sorrow, bereavement, or loneliness, we have a sympathizing Friend. {MH 248.2}
เราไม่ควรปล่อยให้อนาคตที่มีปัญหายุ่งยากและแนวโน้มที่ไม่น่าพึงพอใจมาทำให้จิตใจของเราอ่อนเปลี้ย หัวเข่าของเราสั่นคลอน แขนของเราตก พระเจ้าผู้ทรงมหิทฤทธิ์ตรัสว่า “ให้เขาเกาะอยู่กับกำลังของเรา เพื่อให้เขาทำสันติภาพกับเรา แล้วเขาจะทำสันติภาพกับเรา” อิสยาห์ 27:5 คนทั้งหลายที่ยอมจำนนชีวิตของพวกเขาไว้ในการทรงนำของพระองค์และเพื่อการปรนนิบัติรับใช้พระองค์จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่พระเจ้ามิได้ทรงจัดเตรียมไว้ ไม่ว่าเราจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร ถ้าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ เราก็จะมีผู้นำทางในชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะมีเรื่องยุ่งยากใจเช่นใด เราก็จะมีที่ปรึกษาที่แท้จริง ความทุกข์โศกของเราจะเป็นเช่นใด การสูญเสียคนรักหรือรู้สึกเหงาสักเพียงใดเราก็จะมีพระสหายที่เห็นอกเห็นใจ {MH 248.2}
If in our ignorance we make missteps, the Saviour does not forsake us. We need never feel that we are alone. Angels are our companions. The Comforter that Christ promised to send in His name abides with us. In the way that leads to the City of God there are no difficulties which those who trust in Him may not overcome. There are no dangers which they may not escape. There is not a sorrow, not a grievance, not a human weakness, for which He has not provided a remedy. {MH 249.1}
เราเดินก้าวพลาดได้ถ้าเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่พระผู้ช่วยให้รอดมิได้ทรงทอดทิ้งเรา เราไม่ต้องกลัวว่าเราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ทูตสวรรค์จะคอยเป็นเพื่อนที่อยู่ชิดใกล้ ผู้เล้าโลมใจที่พระคริสต์ทรงสัญญาว่าจะประทานมาในนามของพระองค์จะสถิตอยู่กับเรา บนหนทางที่ดำเนินไปสู่แมนสรวงราชธานีอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าจะไม่มีความยากลำบากใดซึ่งผู้ไว้วางใจในพระองค์จะไม่สามารถฟันฝ่าไปได้ จะไม่มีภยันตรายใดที่พวกเขามิอาจหลบลี้หนีไม่พ้น จะไม่มีความโศกาดูร จะไม่มีการคร่ำครวญและจะไม่มีความอ่อนแอใดของมนุษย์ที่พระองค์มิได้ทรงจัดเตรียมทางแก้เอาไว้ {MH 249.1}
None need abandon themselves to discouragement and despair. Satan may come to you with the cruel suggestion, “Yours is a hopeless case. You are irredeemable.” But there is hope for you in Christ. God does not bid us overcome in our own strength. He asks us to come close to His side. Whatever difficulties we labor under, which weigh down soul and body, He waits to make us free. {MH 249.2}
ไม่มีคนใดต้องปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวัง ซาตานอาจจะเข้ามาหาท่านด้วยคำแนะนำอันโหดร้ายว่า “ชีวิตของท่านเป็นชีวิตที่หมดหวังและไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้อีก” แต่ยังมีความหวังสำหรับท่านในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้ามิได้ทรงบัญชาให้เราเอาชนะความยากลำบากด้วยกำลังของเราเอง พระองค์ทรงขอให้เราได้เข้ามาใกล้พระองค์ พระองค์ทรงรอคอยที่จะช่วยปลดปล่อยให้เราได้เป็นอิสระจากความทุกข์ยากลำบากที่ถาโถมอยู่เหนือจิตวิญญาณและร่างกายของเรา {MH 249.2}
He who took humanity upon Himself knows how to sympathize with the sufferings of humanity. Not only does Christ know every soul, and the peculiar needs and trials of that soul, but He knows all the circumstances that chafe and perplex the spirit. His hand is outstretched in pitying tenderness to every suffering child. Those who suffer most have most of His sympathy and pity. He is touched with the feeling of our infirmities, and He desires us to lay our perplexities and troubles at His feet and leave them there. {MH 249.3}
พระคริสต์ผู้ทรงถ่อมพระองค์ลงมารับสภาพของมนุษย์ ย่อมรู้ซึ้งถึงความเห็นอกเห็นใจต่อความทุกยากของมนุษยชาติ พระคริสต์มิเพียงแต่ทรงรู้จักถึงจิตวิญญาณของทุกๆ คนและความต้องการที่จำเพาะและความทุกข์ยากลำบากของจิตวิญญาณนั้น แต่พระองค์ยังทรงทราบถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่ทำให้จิตวิญญาณต้องเดือดร้อนวุ่นวาย พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกด้วยความรักใคร่สงสารแก่บุตรที่ทนทุกข์ทรมานทุกคน คนทั้งหลายที่ทุกข์ทรมานมากที่สุดย่อมจะได้รับความเมตตาสงสารและความเห็นอกเห็นใจจากพระองค์มากที่สุด พระองค์ทรงรู้สึกอย่างลึกซึ้งถึงความอ่อนแอของเรา และพระองค์ทรงปรารถนาให้เรามอบความวิตกทุกข์ร้อนและความทุกข์ยากลำเค็ญของเราไว้แทบพระบาทของพระองค์ {MH 249.3}
It is not wise to look to ourselves and study our emotions. If we do this, the enemy will present difficulties and temptations that weaken faith and destroy courage. Closely to study our emotions and give way to our feelings is to entertain doubt and entangle ourselves in perplexity. We are to look away from self to Jesus. {MH 249.4}
การที่เราคอยใส่ใจแต่เรื่องของตนเองและคอยครุ่นคิดถึงอารมณ์ของตน หาใช่การกระทำที่ฉลาดไม่ ถ้าเราทำเช่นนี้ ศัตรูก็จะถือโอกาสล่อลวงให้เราตกอยู่ในการทดลองและความยากลำบาก บั่นทอนความเชื่อให้อ่อนแอและทำลายกำลังใจ การเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่อารมณ์และความรู้สึกของตัวเองและการปล่อยตัวให้อ่อนไหวไปตามความรู้สึกของเราเป็นการเพาะความสงสัยและพัวพันตัวเราในความว้าวุ่นสับสน เราจำต้องหันเหความสนใจจากตนเองไปสู่พระเยซู {MH 249.4}
When temptations assail you, when care, perplexity, and darkness seem to surround your soul, look to the place where you last saw the light. Rest in Christ’s love and under His protecting care. When sin struggles for the mastery in the heart, when guilt oppresses the soul and burdens the conscience, when unbelief clouds the mind, remember that Christ’s grace is sufficient to subdue sin and banish the darkness. Entering into communion with the Saviour, we enter the region of peace. The Healing Promises “The Lord redeemeth the soul of His servants: And none of them that trust in Him shall be desolate.” Psalm 34:22. “In the fear of the Lord is strong confidence: And His children shall have a place of refuge.” Proverbs 14:26. “Zion said, Jehovah hath forsaken me, and The Lord hath forgotten me. Can a woman forget her sucking child, That she should not have compassion on the son of her womb? Yea, these may forget, yet will not I forget thee. Behold, I have graven thee upon the palms of My hands.” Isaiah 49:14-16, A.R.V. “Fear thou not; for I am with thee: Be not dismayed; for I am thy God: I will strengthen thee; yea, I will help thee; Yea, I will uphold thee with the right hand of My righteousness.” Isaiah 41:10. “Ye that have been borne by Me from your birth, That have been carried by Me from your earliest breath, Even to your old age I am the same; Even to hoar hairs I will carry you; I have done it, and I will still bear you; I will carry, and I will deliver you.” Isaiah 46:3, 4, Noyes. {MH 250.1}
Nothing tends more to promote health of body and of soul than does a spirit of gratitude and praise. It is a positive duty to resist melancholy, discontented thoughts and feelings–as much a duty as it is to pray. If we are heaven-bound, how can we go as a band of mourners, groaning and complaining all along the way to our Father’s house? {MH 251.1} เมื่อการทดลองรุมเร้าท่าน เมื่อความวิตกกังวล ความทุกข์ร้อนและความมืดมนดูเหมือนจะโอบล้อมจิตวิญญาณของท่าน จงมองตรงไปยังสถานที่ๆ ท่านเห็นแสงสว่างของพระเจ้าในครั้งสุดท้าย จงวางใจในความรักของพระคริสต์และการพิทักษ์รักษาของพระองค์ เมื่อความผิดบาปต่อสู้เพื่อเอาชนะจิตใจของท่าน เมื่อความชั่วบีบคั้นต่อจิตวิญญาณและสร้างภาระต่อจิตสำนึก เมื่อความสงสัยบดบังจิตใจให้มัวหมอง จงจำไว้ว่าพระคุณของพระคริสต์มีเพียงพอที่จะชำระล้างบาปผิดและขจัดความมืดมนให้หมดสิ้นไปได้ เมื่อเราได้เข้าสนิทกับพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้เข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งความสันติสุข พระสัญญาของการทรงรักษา “พระเยโฮวาห์ทรงไถ่ชีวิตผู้รับใช้ของพระองค์ และไม่มีผู้ใดที่วางใจในพระองค์แล้วจะต้องสาบสูญไป” สดุดี 34:22 (TKJV) “ความยำเกรงพระเจ้าทำให้คนอยู่อย่างอุ่นใจ ลูกหลานของเขาจะมีที่พึ่ง” สุภาษิต 14:26 “ศิโยนกล่าวว่า พระเจ้าได้ทรงละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า ดูเถิด เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา” อิสยาห์ 49:14-16 “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาแห่งความชอบธรรมของเรา” อิสยาห์ 41:10 (TKJV) “ผู้ซึ่งเราอุ้มมาตั้งแต่กำเนิด ชูมาตั้งแต่ในครรภ์ จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือ พระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก เราได้สร้าง เราจะชูไว้ เราจะอุ้มและเราจะช่วยให้รอด” อิสยาห์ 46:3, 4 {MH 250.1} ไม่มีสิ่งใดที่คอยส่งเสริมสุขภาพแก่ร่างกายและจิตใจได้มากกว่าจิตวิญญาณที่รู้คุณและแซ่ซ้องสรรเสริญ การต่อต้านความเศร้าหมอง ความคิดและความรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นหน้าที่ ๆ ให้คุณอย่างหนึ่งซึ่งมากพอ ๆ กับการอธิษฐาน ถ้าเรามีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะไปสวรรค์ เราจะไปอย่างคนโศกเศร้ากลุ่มหนึ่งที่เดินบ่น ร้องโอดครวญตลอดทางที่จะไปยังพระนิเวศน์ของพระบิดาของเราได้อย่างไร {MH 251.1}
Those professed Christians who are constantly complaining, and who seem to think cheerfulness and happiness a sin, have not genuine religion. Those who take a mournful pleasure in all that is melancholy in the natural world, who choose to look upon dead leaves rather than to gather the beautiful living flowers, who see no beauty in grand mountain heights and in valleys clothed with living green, who close their senses to the joyful voice which speaks to them in nature, and which is sweet and musical to the listening ear–these are not in Christ. They are gathering to themselves gloom and darkness, when they might have brightness, even the Sun of Righteousness arising in their hearts with healing in His beams. {MH 251.2}
คนทั้งหลายที่แสดงตนว่าเป็นคริสเตียนแต่ชอบพร่ำบ่นอยู่เสมอและชอบคิดว่าความรื่นเริงเบิกบานและความสุขเป็นความผิดบาปนั้น ยังไม่มีศาสนาที่แท้จริงอยู่ในจิตใจ คนทั้งหลายที่ชอบแสวงหาความสำราญจากสิ่งที่เศร้าหมองในโลก ผู้ที่เลือกมองดูแต่ใบไม้ที่เหี่ยวแห้งร่วงโรยแทนที่จะวิ่งเก็บบุปผาชาติงามที่มีชีวิตชีวา ผู้ที่มองไม่เห็นความสง่างามของขุนเขาและภูผาอันตระการอีกทั้งหุบเขาที่ปกคลุมด้วยอาภรณ์เขียวขจีเต็มไปด้วยชีวิต ผู้ที่ปิดโสตปราสาทของพวกเขาจากเสียงอันร่าเริงที่พร่ำกล่าวถึงความงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติประดุจเสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู คนเหล่านี้มิได้อยู่ในพระคริสต์ พวกเขากำลังสะสมความหม่นหมองมืดมนมาสู่ตัวเอง แทนที่จะมีแสงสว่าง แม้แต่ในขณะที่ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมพร้อมด้วยลำแสงของการบำบัดรักษาได้ผุดขึ้นในใจของพวกเขาแล้วก็ตาม {MH 251.2}
Often your mind may be clouded because of pain. Then do not try to think. You know that Jesus loves you. He understands your weakness. You may do His will by simply resting in His arms. {MH 251.3}
บ่อยครั้งจิตใจของท่านอาจจะหม่นหมองเพราะความเจ็บปวดทรมาน ถ้าเช่นนั้น จงพยายามอย่าคิดถึงสิ่งใดเลย ท่านทราบดีว่าพระเยซูทรงรักท่าน พระองค์ทรงเข้าใจถึงความอ่อนแอของท่าน ท่านอาจทำตามน้ำพระทัยของพระองค์โดยเพียงแค่พักพิงในอ้อมพระกรของพระองค์ {MH 251.3}
It is a law of nature that our thoughts and feelings are encouraged and strengthened as we give them utterance. While words express thoughts, it is also true that thoughts follow words. If we would give more expression to our faith, rejoice more in the blessings that we know we have,–the great mercy and love of God,–we should have more faith and greater joy. No tongue can express, no finite mind can conceive, the blessing that results from appreciating the goodness and love of God. Even on earth we may have joy as a wellspring, never failing, because fed by the streams that flow from the throne of God. {MH 251.4}
เป็นกฎของธรรมชาติที่ว่าความคิดและความรู้สึกของเราจะได้รับการเสริมกำลังและหนุนชูหากถูกระบายออกมาเป็นคำพูด ในขณะที่ถ้อยคำแสดงออกถึงความคิด มันก็เป็นจริงเหมือนกันที่ความคิดจะกระทำตามถ้อยคำ ถ้าเราแสดงออกถึงความเชื่อและความชื่นชมยินดีในพระพรที่เราได้รับจากพระคุณและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากเท่าไร เราก็จะมีความเชื่อและมีความชื่นชมยินดีที่มากขึ้นเท่านั้น ไม่มีถ้อยคำใด ไม่มีขอบเขตความคิดใดจะเข้าใจถึงพระพรที่เป็นผลมาจากการชื่นชมในคุณความดีและความรักของพระเจ้า แม้ในโลกนี้ เราสามารถมีความสุขสราญ อันเปรียบเสมือนดังบ่อน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้งไป เพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากสายธารที่ไหลรินมาจากบัลลังก์ของพระเจ้า {MH 251.4}
Then let us educate our hearts and lips to speak the praise of God for His matchless love. Let us educate our souls to be hopeful and to abide in the light shining from the cross of Calvary. Never should we forget that we are children of the heavenly King, sons and daughters of the Lord of hosts. It is our privilege to maintain a calm repose in God. {MH 253.1}
ขอให้เราได้อบรมจิตใจและฝึกฝนริมฝีปากของเราเพื่อแซ่ซ้องสรรเสริญพระเจ้าในความรักของพระองค์ที่ไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบปรานได้ ขอให้เราฝึกจิตใจของเราให้มีความหวังและให้อาศัยอยู่ในแสงสว่างที่ส่องฉายมาจากกางเขนแห่งคาลวารี ขออย่าให้เราลืมว่าเราทั้งหลายต่างเป็นบุตรของพระมหากษัตริย์ผู้สถิตอยู่บนสวรรค์ เป็นบุตราและบุตรีของพระเจ้าจอมโยธา เราจึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับการพักพิงอย่างสงบในพระเจ้า {MH 253.1}
“Let the peace of God rule in your hearts; . . . and be ye thankful.” Colossians 3:15. Forgetting our own difficulties and troubles, let us praise God for an opportunity to live for the glory of His name. Let the fresh blessings of each new day awaken praise in our hearts for these tokens of His loving care. When you open your eyes in the morning, thank God that He has kept you through the night. Thank Him for His peace in your heart. Morning, noon, and night, let gratitude as a sweet perfume ascend to heaven. {MH 253.2}
“และจงให้สันติสุขแห่งพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย…และท่านทั้งหลายจงขอบพระคุณ” โคโลสี 3:15 ขอให้เราลืมความยากลำบากและความทุกข์ยากของเราเสีย ขอให้เราสรรเสริญพระเจ้าสำหรับโอกาสที่ทรงให้มีชีวิตอยู่เพื่อถวายสง่าราศีแด่พระนามของพระองค์ ขอให้พระพรสดใหม่ที่ประทานให้เราในทุกวันใหม่ปลุกกระตุ้นคำสรรเสริญให้เกิดขึ้นในจิตใจของเราสำหรับการดูแลเอาใจใส่ที่สำแดงถึงนิมิตแห่งความรักของพระองค์ที่ประทานให้แก่เรา เมื่อท่านได้ลืมตาขึ้นในยามอรุณรุ่ง จงขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงคุ้มครองรักษาท่านให้รอดปลอดภัยตลอดราตรีกาล จงขอบพระคุณพระองค์สำหรับสันติสุขที่มีอยู่ในจิตใจของท่าน ทั้งในยามอรุณรุ่ง ในยามเที่ยงและในยามค่ำคืน จงให้ความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นเสมือนดังกลิ่นของเครื่องหอมที่ได้เลื่อนลอยขึ้นไปยังสวรรค์ {MH 253.2}
When someone asks how you are feeling, do not try to think of something mournful to tell in order to gain sympathy. Do not talk of your lack of faith and your sorrows and sufferings. The tempter delights to hear such words. When talking on gloomy subjects, you are glorifying him. We are not to dwell on the great power of Satan to overcome us. Often we give ourselves into his hands by talking of his power. Let us talk instead of the great power of God to bind up all our interests with His own. Tell of the matchless power of Christ, and speak of His glory. All heaven is interested in our salvation. The angels of God, thousands upon thousands, and ten thousand times ten thousand, are commissioned to minister to those who shall be heirs of salvation. They guard us against evil and press back the powers of darkness that are seeking our destruction. Have we not reason to be thankful every moment, thankful even when there are apparent difficulties in our pathway? {MH 253.3}
เมื่อมีใครสักคนถามว่าท่านมีความรู้สึกเช่นไร จงอย่าพยายามคิดหาเรื่องเศร้าโศกมาเล่าให้เขาฟังเพื่อจะได้ขอความเห็นอกเห็นใจ จงอย่าพูดถึงเรื่องที่ท่านขาดความเชื่อ เรื่องที่น่าโศกาดูรและความทุกข์ทรมานของท่าน ซาตานผู้ล่อลวงมีความยินดีปรีดาที่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เมื่อท่านพูดถึงเรื่องที่น่าสลดหดหู่ ท่านกำลังเชิดชูเกียรติให้แก่ผู้ล่อลวง เราไม่ได้พึ่งฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของซาตานเพื่อมามีชัยชนะเหนือเรา หลายครั้งที่เรามอบตัวเราเองให้อยู่ในเงื้อมมือของมันด้วยการพูดถึงฤทธิ์อำนาจของมัน แทนที่จะทำเช่นนั้น ขอให้เราได้พูดถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเพื่อเราจะได้ยึดความสนใจทั้งปวงของเราไว้กับพระองค์ จงกล่าวถึงฤทธานุภาพที่ไม่มีสิ่งใดจะเปรียบปรานได้ของพระคริสต์และพูดถึงสง่าราศีของพระองค์ บรรดาชาวสวรรค์ทั้งมวลต่างสนใจในความรอดของเรา ทูตสวรรค์เป็นพันๆ โกฏิ ๆ ได้รับคำบัญชาให้คอยปรนนิบัติรับใช้คนทั้งหลายที่เป็นทายาทแห่งความรอด ทูตสวรรค์เหล่านั้นคอยปกป้องเราให้พ้นจากความชั่วร้ายและช่วยขับไล่อำนาจแห่งความมืดที่พยายามจะคอยทำลายเราให้พินาศ เราไม่มีเหตุผลที่จะขอบพระคุณพระเจ้าในทุกเวลานาทีกระนั้นหรือ ขอบพระคุณพระเจ้าแม้ในยามที่มีความยากลำบากขวางกั้นอยู่ในทางชีวิตของเราหรือ {MH 253.3}
Sing Praises
จงร้องเพลงสรรเสริญถวาย
Let praise and thanksgiving be expressed in song. When tempted, instead of giving utterance to our feelings, let us by faith lift up a song of thanksgiving to God. We praise Thee, O God, for the Son of Thy love,– For Jesus who died and is now gone above. We praise Thee, O God, for Thy Spirit of light, Who has shown us our Saviour, and scattered our night. All glory and praise to the Lamb that was slain, Who has borne all our sins, and has cleansed every stain. All glory and praise to the God of all grace, Who has bought us, and sought us, and guided our ways. Revive us again; fill each heart with Thy love; May each soul be rekindled with fire from above. Chorus: Hallelujah! Thine the glory, Hallelujah! amen; Hallelujah! Thine the glory, Revive us again. {MH 254.1}
จงถวายสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าด้วยบทเพลง เมื่อเราได้รับการทดลอง แทนที่จะแสดงความรู้สึกของเราออกมา ขอให้เราได้เปล่งเสียงร้องเพลงด้วยความเชื่อเพื่อเป็นการขอบพระคุณพระเจ้า โอพระเป็นเจ้า ขอสรรเสริญพระบุตรที่รักของพระองค์ ขอสรรเสริญพระเยซู ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และบัดนี้เสด็จกลับสู่เวหาสสวรรค์แล้ว ขอสรรเสริญพระองค์ สำหรับพระวิญญาณแห่งความสว่าง เปิดเผยพระผู้ช่วยให้เราและขับไล่ความมืดมนให้ออกไป ขอถวายเกียรติและคำสรรเสริญ แด่พระเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์ ทรงแบกบาปของเราและชำระรอยบาปเปื้อนให้หมดไป เกียรติยศและคำสรรเสริญทั้งหมดขอถวายแด่พระเจ้าแห่งพระคุณ พระองค์ทรงไถ่เรา ตามหาเราและนำเราไปตามทาง ขอฟื้นใจของข้าให้ชื้นขึ้น เติมหัวใจเราให้เต็มด้วยความรักของพระองค์ ขอให้ไฟจากเบื้องบนจุดประกายจิตวิญญาณทุกดวงขึ้นมาอีกครั้ง ร้องรับ ฮาเลลูยา ขอพระสิริจงเป็นของพระองค์ ฮาเลลูยา ขอให้พระสิริเป็นของพระองค์ โปรดฟื้นใจของข้าขึ้นมาใหม่ {MH 254.1}
Song is a weapon that we can always use against discouragement. As we thus open the heart to the sunlight of the Saviour’s presence, we shall have health and His blessing. “Give thanks unto the Lord, for He is good: For His mercy endureth forever. Let the redeemed of the Lord say so, Whom He hath redeemed from the hand of the enemy.” “Sing unto Him, sing psalms unto Him: Talk ye of all His wondrous works. Glory ye in His holy name: Let the heart of them rejoice that seek the Lord.” “For He satisfieth the longing soul, And filleth the hungry soul with goodness. Such as sit in darkness and in the shadow of death, Being bound in affliction and iron; . . . They cried unto the Lord in their trouble, And He saved them out of their distresses. He brought them out of darkness and the shadow of death, And brake their bands in sunder. Oh that men would praise the Lord for His goodness, And for His wonderful works to the children of men!” “Why art thou cast down, O my soul? And why art thou disquieted within me? Hope thou in God: For I shall yet praise Him, Who is the health of my countenance, And my God.” Psalm 107:1,2; 105:2,3; Psalm 107:9-15; 42:11. {MH 254.2}
บทเพลงเป็นดังศัสตราวุธที่เราสามารถใช้ต่อสู้กับความท้อแท้สิ้นหวังได้ เมื่อเราได้เปิดจิตใจของเราออกสู่แสงสว่างของพระผู้ช่วยให้รอดที่เป็นดั่งแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า เราก็จะได้รับพระพรจากพระองค์และมีสุขภาพที่สมบูรณ์ “จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ให้ผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้แล้วกล่าวดังนั้นเถิด คือผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ไว้จากมือของปรปักษ์” “จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ จงอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์” “เพราะผู้ที่กระหาย พระองค์ทรงให้เขาอิ่ม และผู้ที่หิว พระองค์ทรงให้เขาหนำใจด้วยของดี บ้าง…ถูกขังอยู่ด้วยความทุกข์ยากและติดตรวน… ในความยากลำบากของเขา เมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงให้เขารอดจากความทุกข์ใจของเขา พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากความมืดและเงามัจจุราช และทรงระเบิดพันธนะของเขาให้ขาดสะบั้น ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้าเพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า” สดุดี 107:1, 2; 105:2, 3; 107:9-15; 42:11 {MH 254.2}
“In everything give thanks: for this is the will of God in Christ Jesus concerning you.” 1 Thessalonians 5:18. This command is an assurance that even the things which appear to be against us will work for our good. God would not bid us be thankful for that which would do us harm. “The Lord is my light and my salvation; Whom shall I fear? The Lord is the strength of my life; Of whom shall I be afraid?” “In the day of trouble He shall keep me secretly in His pavilion: In the covert of His tabernacle shall He hide me; . . . And I will offer in His tabernacle sacrifices of joy; I will sing, yea, I will sing praises unto the Lord.” “I waited patiently for the Lord; And He inclined unto me, and heard my cry. He brought me up also out of an horrible pit, out of the miry clay, And set my feet upon a rock, and established my goings. And He hath put a new song in my mouth, even praise unto our God.” “The Lord is my strength and my shield; My heart trusted in Him, and I am helped: Therefore my heart greatly rejoiceth; And with my song will I praise Him.” Psalm 27:1; 27:5, 6, R.V.; 40:1-3; 28:7. {MH 255.1}
“จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” 1 เธสะโลนิกา 5:18 พระดำรัสสั่งนี้ทำให้เรามีความมั่นใจว่า แม้แต่สิ่งที่ดูเสมือนว่าจะต่อต้านขัดขวางเรา ก็ยังจะบังเกิดผลดีแก่เราได้เสมอ พระเจ้ามิได้ตรัสสั่งให้เราถวายโมทนาพระคุณพระองค์ในสิ่งที่จะเป็นอันตรายแก่เรา “พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งแห่งชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงใคร” “พระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้า ในที่กำบังของพระองค์ ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ภายใต้ร่มพลับพลาของพระองค์…… และข้าพเจ้าจะถวายเครื่องสัตวบูชาในพลับพลาของพระองค์ ด้วยการโห่ร้อง ข้าพเจ้าจะร้องเพลงและถวายสดุดีแด่พระเจ้า” “ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงเอนพระองค์ลง ฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา” “พระเจ้าทรงเป็นพระกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ และจิตใจของข้าพเจ้าก็ปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแก่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า” สดุดี 27:1; 27:5, 6, 40:1-3; 28:7 {MH 255.1}
One of the surest hindrances to the recovery of the sick is the centering of attention upon themselves. Many invalids feel that everyone should give them sympathy and help, when what they need is to have their attention turned away from themselves, to think of and care for others. {MH 256.1}
สิ่งหนึ่งที่คอยกีดขวางคนเจ็บมิให้หายจากโรค ก็คือ การเฝ้าคิดถึงแต่ตัวเอง คนป่วยหลายคนต่างคิดว่าทุกคนควรจะเห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา แต่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นจะต้องทำคือ การลดการคิดถึงตัวเองและหันไปคิดถึงและเอาใจใส่ช่วยเหลือผู้อื่น {MH 256.1}
Often prayer is solicited for the afflicted, the sorrowful, the discouraged; and this is right. We should pray that God will shed light into the darkened mind and comfort the sorrowful heart. But God answers prayer for those who place themselves in the channel of His blessings. While we offer prayer for these sorrowful ones, we should encourage them to try to help those more needy than themselves. The darkness will be dispelled from their own hearts as they try to help others. As we seek to comfort others with the comfort wherewith we are comforted, the blessing comes back to us. {MH 256.2}
หลายครั้งที่เราได้รับการร้องขอให้อธิษฐานเผื่อคนที่เจ็บป่วย คนที่มีความโศกเศร้า คนที่ท้อแท้สิ้นหวัง และสิ่งนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เราควรอธิษฐานขอพระเจ้าให้ทรงส่องความสว่างเข้าไปยังจิตใจที่มืดมนและทรงช่วยเล้าโลมใจที่ทุกข์โศก แต่พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานแก่คนทั้งหลายที่พร้อมจะแบ่งปันพระพรที่ได้รับจากพระองค์ ในขณะที่เราอธิษฐานเผื่อคนทั้งหลายที่มีความโศกเศร้า เราควรหนุนใจให้พวกเขาได้พยายามช่วยเหลือผู้ที่มีความยากจนขัดสนมากกว่าพวกเขา ความมืดมนจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาพยายามที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเราพยายามให้กำลังใจช่วยเหลือผู้อื่น เราก็พลอยได้รับความชื่นใจไปด้วย พระพรนั้นจะย้อนกลับมาหาเรา {MH 256.2}
The fifty-eight chapter of Isaiah is a prescription for maladies of the body and of the soul. If we desire health and the true joy of life we must put into practice the rules given in this scripture. Of the service acceptable to Him, and its blessings, the Lord says: “Is it not to deal thy bread to the hungry, And that thou bring the poor that are cast out to thy house? When thou seest the naked, that thou cover him; And that thou hide not thyself from thine own flesh? Then shall thy light break forth as the morning, And thine health shall spring forth speedily: And thy righteousness shall go before thee; The glory of the Lord shall be thy rearward. Then shalt thou call, and the Lord shall answer; Thou shalt cry, and He shall say, Here I am. If thou take away from the midst of thee the yoke, The putting forth of the finger, and speaking vanity; And if thou draw out thy soul to the hungry, And satisfy the afflicted soul; Then shall thy light rise in obscurity, And thy darkness be as the noonday: And the Lord shall guide thee continually, And satisfy thy soul in drought, And make fat thy bones: And thou shalt be like a watered garden, And like a spring of water, Whose waters fail not.” Isaiah 58:7-11. {MH 256.3}
พระธรรมอิสยาห์บทที่ห้าสิบแปดมีข้อความที่กล่าวถึงยาขนานเอกที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ หากเราปรารถนาที่จะมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขที่แท้จริงในชีวิต เราต้องปฏิบัติตามกฎที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถึงการปรนนิบัติที่พระองค์จะทรงพอพระทัยและพระพรที่จะได้รับไว้ว่า “ไม่ใช่การที่จะปันอาหารของเจ้าให้กับผู้หิว และนำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้านของเจ้า เมื่อเจ้าเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้ และไม่ซ่อนตัวของเจ้าจากญาติของเจ้าเอง ดอกหรือ” แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าอย่างอรุณ และแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระเจ้าจะระวังหลังเจ้า แล้วเจ้าจะทูล และพระเจ้าจะทรงตอบ เจ้าจะร้องทูล และพระองค์จะตรัสว่า เราอยู่นี่ ถ้าเจ้าจะเอาออกไปจากท่ามกลางเจ้าเสีย ซึ่งแอก ซึ่งการชี้หน้า และซึ่งการพูดอธรรม ถ้าเจ้าทุ่มเทชีวิตของเจ้าแก่คนหิว และให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มใจ แล้วความสว่างจะโผล่ขึ้นแก่เจ้าในความมืด และความมืดคลุ้มของเจ้าจะเป็นเหมือนเที่ยงวัน และพระเจ้าจะนำเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และให้เจ้าอิ่มด้วยของดี และกระทำให้กระดูกของเจ้าแข็ง และเจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เหมือนน้ำพุ ที่น้ำของมันไม่ขาด” อิสยาห์ 58:7-11 {MH 256.3}
Good deeds are twice a blessing, benefiting both the giver and the receiver of the kindness. The consciousness of right-doing is one of the best medicines for diseased bodies and minds. When the mind is free and happy from a sense of duty well done and the satisfaction of giving happiness to others, the cheering, uplifting influence brings new life to the whole being. {MH 257.1}
การกระทำสิ่งที่ดีงามจะทำให้เราได้รับพระพรเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับความเมตตากรุณา จิตสำนึกที่ตระหนักถึงการกระทำอันชอบธรรมเป็นยาที่วิเศษที่สุดในการรักษาโรคทางกายและจิตใจ เมื่อจิตใจของเราได้รับการผ่อนคลายและรู้สึกมีความสุขจากการที่ได้ทำหน้าที่อย่างดียิ่งแล้ว และมีความพึงพอใจที่ได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข ใจที่ชื่นบานและความคิดที่สูงส่งย่อมจะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจราวกับว่าได้มีชีวิตใหม่ {MH 257.1}
Let the invalid, instead of constantly requiring sympathy, seek to impart it. Let the burden of your own weakness and sorrow and pain be cast upon the compassionate Saviour. Open your heart to His love, and let it flow out to others. Remember that all have trials hard to bear, temptations hard to resist, and you may do something to lighten these burdens. Express gratitude for the blessings you have; show appreciation of the attentions you receive. Keep the heart full of the precious promises of God, that you may bring forth from this treasure, words that will be a comfort and strength to others. This will surround you with an atmosphere that will be helpful and uplifting. Let it be your aim to bless those around you, and you will find ways of being helpful, both to the members of your own family and to others. {MH 257.2}
แทนที่คนป่วยจะเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจอยู่ร่ำไป ขอให้เขาได้พยายามที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่ผู้อื่น จงวางภาระอันหนักของความอ่อนแอ ความทุกข์โศกและความทุกข์ทรมานของท่านไว้กับพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยพระทัยกรุณา โปรดเปิดจิตใจของท่านรับความรักของพระองค์และให้ความรักนั้นได้หลั่งไหลไปยังผู้อื่น จงระลึกไว้เสมอว่า ทุกๆ คนต่างก็มีความทุกข์ยากลำบากที่แสนจะหนักอึ้ง การทดลองที่ยากต่อการขัดขืน ซึ่งท่านสามารถจะแบ่งเบาภาระเหล่านี้ได้ จงแสดงถึงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณสำหรับพระพรและการดูแลเอาใจใส่ที่ท่านได้รับ จงเก็บรักษาพระสัญญาอันประเสริฐของพระเจ้าให้เต็มเปี่ยมอยู่ภายในจิตใจ เพื่อท่านจะได้นำพระวจนะเหล่านั้นออกมาจากคลังสมบัติเพื่อปลุกปลอบและเสริมกำลังจิตใจของผู้อื่น การทำเช่นนี้จะห้อมล้อมท่านไว้ด้วยบรรยากาศแห่งความเอื้ออาทรและยกชูจิตวิญญาณ ขอให้ท่านจงมีความมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้ที่อยู่รอบตัวท่านมีความสุข และท่านจะพบวิถีทางที่จะสามารถช่วยเหลือ ทั้งสมาชิกในครอบครัวของท่านเองและแก่ผู้อื่นอีกด้วย {MH 257.2}
If those who are suffering from ill-health would forget self in their interest for others; if they would fulfill the Lord’s command to minister to those more needy than themselves, they would realize the truthfulness of the prophetic promise, “Then shall thy light break forth as the morning, and thine health shall spring forth speedily.” Marah and Elim Today ’tis Elim with its palms and wells, And happy shade for desert weariness; ‘Twas Marah yesterday, all rock and sand, Unshaded solitude and dreariness. Yet the same desert holds them both, the same Hot breezes wander o’er the lonely ground; The same low stretch of valley shelters both, And the same mountains compass them around. So it is here with us on earth, and so I do remember it has ever been; The bitter and the sweet, the grief and joy, Lie near together, but a day between. Sometimes God turns our bitter into sweet, Sometimes He gives us pleasant watersprings; Sometimes He shades us with His pillar cloud, And sometimes to a blessed palm shade brings. What matters it? The time will not be long; Marah and Elim will alike be passed; Our desert wells and palms will soon be done, We reach the “City of our God” at last. O happy land! beyond these lonely hills, Where gush in joy the everlasting springs; O holy Paradise! above these heavens, Where we shall end our desert wanderings. –Horatius Bonar. Blessed Assurance Blessed assurance, Jesus is mine! Oh, what a foretaste of glory divine! Heir of salvation, purchase of God, Born of His Spirit, washed in His blood. Chorus: This is my story, this is my song, Praising my Saviour all the day long; This is my story, this is my song, Praising my Saviour all the day long. Perfect submission, perfect delight, Visions of rapture now burst on my sight. Angels descending bring from above Echoes of mercy, whispers of love. Perfect submission, all is at rest, I in my Saviour am happy and blest, Watching and waiting, looking above, Filled with His goodness, lost in His love. –Fanny J. Crosby. {MH 258.1}
หากคนทั้งหลายที่กำลังเจ็บป่วยจะลืมตัวเอง แล้วหันมาให้ความสนใจในผู้อื่น ถ้าพวกเขาจะปรนนิบัติช่วยเหลือผู้อื่นที่มีความทุกข์ยากมากกว่าตัวเขาตามพระบัญชาของพระเจ้า เขาก็จะทราบถึงความจริงในพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยไว้ว่า “แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าอย่างอรุณ และแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว” มาราห์และเอลิม วันนี้เป็นเอลิมที่ปกคลุมด้วยต้นปาล์มและบ่อน้ำ เป็นร่มเงาแห่งความสุขสราญ สำหรับความเหน็ดเหนื่อยในถิ่นทุรกันดาร วันก่อนนั้นอยู่มาราห์ที่มีแต่กรวดหินและดินทราย อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ร่มเงาไว้พักพิง แต่กระนั้นทะเลทรายนี้ก็มีสภาพทั้งสองอยู่ร่วมกัน ลมร้อนพัดหวืออยู่เหนือผืนดินอันเปลี่ยวเปล่า หุบเขาผืนดินต่ำให้ร่มเงาแก่ทั้งสอง อีกทั้งภูผาที่รายล้อม พวกเราที่อยู่ในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน เรายังจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี มีความขมขื่นและหวานชื่น ทุกข์และสุข สิ่งเหล่านี้อยู่ด้วยกันแต่ละวันนั้นไม่เหมือน บางครั้งพระเจ้าทรงเปลี่ยนความขมขื่นของเราให้หวานชื่น บางครั้งพระองค์ประทานบ่อน้ำพุมาให้ บางครั้งมีเงาของเสาเมฆมาบดบังเราไว้ และบางคราวก็มีร่มเงาต้นปาล์มให้เราได้พิงพัก สิ่งสำคัญนั้นคืออะไร ในเวลาอีกไม่ช้านัก มาราห์และเอลิมทั้งสองจะผ่านล่วงไป บ่อน้ำและต้นปาล์มของทะเลทรายจะกลับกลายเป็นอดีต ในที่สุด เราจะไปถึง “แมนสรวงราชธานีอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าของเรา” โอ ดินแดนแห่งความสุขสราญ ที่อยู่เลยเนินเขาอันโดดเดี่ยวเหล่านั้น น้ำพุแห่งความสุขเกษมศานต์จะไหลพุ่งอยู่เป็นนิจนิรันดร์ ณ ที่นั่น โอ แดนทิพย์วิมานอันบริสุทธิ์ที่อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า ที่ๆ เราจะได้สิ้นสุดการร่อนเร่พเนจรไปในป่ากันดาร โฮราเทียส โบนาร์ พระคริสต์เป็นของฉัน พระคริสต์เป็นของฉัน เป็นจริงแม่นมั่น ช่วยให้ใจฉันสุข ดังได้เห็นสวรรค์ ทรัพย์ภายหน้าของฉัน คือชีพนิรันดร์ พระเจ้าเท่านั้น ผู้จะได้ประทาน ร้องรับ นี่คือเรื่องของฉัน สรรเสริญผู้ไถ่ สรรเสริญพระองค์ไท้ ทุกวันเวลา นี่คือเรื่องของฉัน สรรเสริญผู้ไถ่ สรรเสริญพระองค์ไท้ ทุกวันเวลา ฉันมีความพอใจ ฉันได้มอบกาย เพราะสุขอันนิรันดร์ เป็นภาพเด่นอยู่ใกล้ ฉันเห็นทูตสวรรค์ ลงมาประทาน บอกเรื่องรักถ้วนถี่ พระเจ้าปรานี กายเมื่อมอบพระไว้ ใจไม่วุ่นวาย พระได้ประทานให้ กายใจสุขมากมาย เมื่อใจฉันชอบธรรมและมีคุณธรรม ฉันจะคอยเฝ้ามอง แต่พระเบื้องบน แฟนนี่ เจ ครอสบี้ {MH 258.1}