Chapter 2 (บทที่ 2)
Days of Ministry
วันเวลาแห่งการรับใช้
In the fisherman’s home at Capernaum the mother of Peter’s wife is lying sick of “a great fever,” and “they tell Him of her.” Jesus “touched her hand, and the fever left her,” and she arose and ministered to the Saviour and His disciples. Luke 4:38; Mark 1:30; Matthew 8:15. {MH 29.1}
ในบ้านของชาวประมงที่เมืองคาเปอรนาอุม แม่ของภรรยาซีโมนเปโตรนอน “กำลังป่วยมีไข้สูง” และ “พวกเขาจึงมาทูลเรื่องของนางให้พระองค์ทราบทันที” พระเยซูทรง “จับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้” และนางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระผู้ช่วยให้รอดและสาวกของพระองค์ ลูกา 4:38; มาระโก 1:30; มัทธิว 8:15 {MH 29.1}
Rapidly the tidings spread. The miracle had been wrought upon the Sabbath, and for fear of the rabbis the people dared not come for healing until the sun was set. Then from the homes, the shops, the market places, the inhabitants of the city pressed toward the humble dwelling that sheltered Jesus. The sick were brought upon litters, they came leaning upon staffs, or, supported by friends, they tottered feebly into the Saviour’s presence. {MH 29.2}
ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโต ประชาชนต่างหวาดกลัวพวกรับบีจึงไม่กล้าออกไปหาพระองค์เพื่อรับการรักษา จนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง บ้างก็มาจากบ้าน ร้านรวง และจากตลาด ต่างมุ่งตรงไปยังบ้านอันต่ำต้อยที่พระเยซูทรงใช้เป็นที่พักพิง คนเจ็บป่วยถูกหามมาบนแคร่ บางคนใช้ไม้เท้ายันกายเดินโขยกเขยกมา บ้างก็มีเพื่อนช่วยพยุงมา พวกเขาเดินโซซัดโซเซด้วยความอ่อนล้ามาเฝ้ายังเบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด {MH 29.2}
Hour after hour they came and went; for none could know whether tomorrow would find the Healer still among them. Never before had Capernaum witnessed a day like this. The air was filled with the voice of triumph and shouts of deliverance. {MH 29.3}
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่พวกเขาพากันมาแล้วกลับไป เพราะไม่มีใครทราบว่าในวันพรุ่งนี้จะยังมีโอกาสได้พบกับพระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาอยู่กับพวกเขาอีกหรือไม่ ชาวเมืองคาเปอรนาอุมไม่เคยพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนวันนี้มาก่อน บรรยากาศต่างอบอวลไปด้วยเสียงโห่ร้องฉลองชัย และเสียงร้องด้วยความยินดีที่ได้รับการปลดปล่อยจากโรคภัยไข้เจ็บที่พวกเขาต้องเผชิญ {MH 29.3}
Not until the last sufferer had been relieved did Jesus cease His work. It was far into the night when the multitude departed and silence settled down upon the home of Simon. The long, exciting day was past, and Jesus sought rest. But while the city was wrapped in slumber, the Saviour, “rising up a great while before day,” “went out, and departed into a solitary place, and there prayed.” Mark 1:35. {MH 29.4}
พระเยซูจะไม่หยุดพักจากพระราชกิจจนกระทั่งทรงรักษาคนป่วยคนสุดท้ายให้หายเสียก่อน เมื่อฝูงชนลาจากพระองค์ไปหมดแล้ว เป็นเวลาที่ดึกมาก ทั่วบริเวณบ้านของซีโมนก็มีแต่ความเงียบสงัด วันอันยาวนานที่เต็มไปด้วยเรื่องที่น่าตื่นเต้นได้ผ่านพ้นไปและพระเยซูทรงหาเวลาหยุดพัก ขณะที่ชาวเมืองกำลังหลับใหลอยู่นั้น พระผู้ช่วยให้รอดทรง “ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น” มาระโก 1:35 {MH 29.4}
Early in the morning Peter and his companions came to Jesus, saying that already the people of Capernaum were seeking Him. With surprise they heard Christ’s words, “I must preach the kingdom of God to other cities also: for therefore am I sent.” Luke 4:43. {MH 30.1}
เช้าตรู่วันนั้น เปโตรและมิตรสหายได้ไปเฝ้าพระเยซู ทูลพระองค์ว่า ประชาชนในเมืองคาเปอรนาอุมกำลังตามหาพระองค์ ทุกคนต่างประหลาดใจที่ได้ยินพระคริสต์ตรัสว่า “เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะเหตุนี้เอง” ลูกา 4:43 {MH 30.1}
In the excitement which then pervaded Capernaum there was danger that the object of His mission would be lost sight of. Jesus was not satisfied to attract attention to Himself merely as a wonder-worker or as a healer of physical disease. He was seeking to draw men to Him as their Saviour. While the people were eager to believe that He had come as a king to establish an earthly reign, He desired to turn their minds from the earthly to the spiritual. Mere worldly success would interfere with His work. {MH 31.1}
ในบรรยากาศของความน่าตื่นเต้นที่แผ่ปกคลุมอยู่ทั่วเมืองคาเปอรนาอุมนั้น นับว่าเป็นภัยอันตรายจะทำให้มองไม่เห็นถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในพระราชภารกิจของพระองค์ พระเยซูไม่พอพระทัยความสนใจที่มุ่งไปที่พระองค์เพียงเพราะทรงทำการอัศจรรย์ได้ หรือเป็นแพทย์ผู้รักษาความเจ็บป่วยทางกายเท่านั้น พระองค์ทรงหาหนทางนำพามนุษย์ให้เข้าถึงพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ในขณะที่ประชาชนต่างใจจดใจจ่ออยากเชื่อว่าพระองค์เสด็จมาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองบ้านเมืองในโลกนี้ พระองค์ทรงประสงค์เปลี่ยนความคิดของเขาได้หันจากทางโลกไปที่เรื่องของจิตวิญญาณ เพราะความสำเร็จทางโลกจะเป็นอุปสรรคขัดขวางพระราชกิจของพระองค์ {MH 31.1}
And the wonder of the careless crowd jarred upon His spirits. No self-assertion mingled with His life. The homage which the world gives to position, wealth, or talent was foreign to the Son of man. None of the means that men employ to win allegiance or command homage did Jesus use. Centuries before His birth it had been prophesied of Him, “He shall not cry, nor lift up, nor cause His voice to be heard in the street. A bruised reed shall He not break, and the dimly burning flax shall He not quench: He shall bring forth judgment unto truth.” Isaiah 42:2, 3, margin. {MH 31.2}
และแล้วความสงสัยของฝูงชนที่ไม่ได้ไต่ตรองถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงทำให้พระองค์สะเทือนพระทัย พระองค์ไม่เคยทำสิ่งใดในชีวิตตามความปรารถนาของตนเองเลย การยกย่องสรรเสริญที่โลกได้มอบให้กับตำแหน่งฐานะ ความมั่งคั่งหรือตะลันต์ความสามารถเป็นสิ่งที่ผิดแปลกสำหรับบุตรมนุษย์ พระเยซูไม่ใช้วิธีการใดๆ ของมนุษย์เพื่อจะได้รับความจงรักภักดีหรือการยกย่องสรรเสริญ เป็นเวลานานหลายศตวรรษก่อนหน้าที่พระองค์จะเสด็จมาบังเกิดนั้น ได้มีคำพยากรณ์กล่าวถึงพระองค์ไว้ว่า “ท่านจะไม่ร้องหรือเปล่งเสียงของท่าน หรือกระทำให้ได้ยินในถนน ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความสัตย์จริง” อิสยาห์ 42:2, 3 {MH 31.2}
The Pharisees sought distinction by their scrupulous ceremonialism and the ostentation of their worship and their charities. They proved their zeal for religion by making it the theme of discussion. Disputes between opposing sects were loud and long, and it was not unusual to hear on the streets the voice of angry controversy from learned doctors of the law. {MH 32.1}
พวกฟาริสีพยายามทำตัวให้โดดเด่นแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยการถือพิธีรีตรองเคร่งและแสดงการโอ้อวดในการนมัสการพระเจ้าและการให้ทานแก่คนยากจน.พวกเขาแสดงตนว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าในศาสนาด้วยการนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นหัวข้อสำคัญในการสนทนา การถกเถียงระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างนั้นส่งเสียงดังเอ็ดตะโรอย่างยืดยาว และไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินเสียงโต้เถียงกันด้วยความเดือดแค้นของผู้ที่คงแก่เรียนในฝ่ายบทบัญญัติในพระคัมภีร์อยู่ตามถนนหนทางอยู่เสมอ {MH 32.1}
In marked contrast to all this was the life of Jesus. In that life no noisy disputation, no ostentatious worship, no act to gain applause, was ever witnessed. Christ was hid in God, and God was revealed in the character of His Son. To this revelation Jesus desired the minds of the people to be directed. {MH 32.2}
ชีวิตของพระเยซูแตกต่างไปจากคนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ในชีวิตของพระองค์ไม่เคยโต้เถียงเอะอะเสียงดัง ไม่มีการนมัสการพระเจ้าเพื่อการโอ้อวด ไม่มีการกระทำเพื่อให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญให้เห็น พระคริสต์ทรงซ่อนพระองค์อยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏจากพระลักษณะนิสัยที่มีอยู่ในพระบุตร พระองค์ทรงปรารถนาชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจถึงความจริงเหล่านี้ {MH 32.2}
The Sun of Righteousness did not burst upon the world in splendor, to dazzle the senses with His glory. It is written of Christ, “His going forth is prepared as the morning.” Hosea 6:3. Quietly and gently the daylight breaks upon the earth, dispelling the darkness and waking the world to life. So did the Sun of Righteousness arise, “with healing in His wings.” Malachi 4:2. “Behold My Servant, whom I uphold; Mine Elect, in whom My soul delighteth.” Isaiah 42:1. “Thou hast been a strength to the poor, A strength to the needy in his distress, A refuge from the storm, a shadow from the heat.” Isaiah 25:4. “Thus saith God the Lord, He that created the heavens, and stretched them out; He that spread forth the earth, and that which cometh out of it; He that giveth breath unto the people upon it, And spirit to them that walk therein: I the Lord have called Thee in righteousness, And will hold Thine hand, And will keep Thee, and give Thee for a covenant of the people, For a light of the Gentiles; To open the blind eyes, To bring out the prisoners from the prison, And them that sit in darkness out of the prison house.” Isaiah 42:5-7. “I will bring the blind by a way that they knew not; I will lead them in paths that they have not known: I will make darkness light before them, And crooked things straight. These things will I do unto them, and not forsake them.” Verse 16. “Sing unto the Lord a new song, And His praise from the end of the earth, Ye that go down to the sea, and all that is therein; The isles, and the inhabitants thereof. Let the wilderness and the cities thereof lift up the voice, The villages that Kedar doth inhabit: Let the inhabitants of the rock sing, Let them shout from the top of the mountains. Let them give glory unto the Lord, And declare His praise in the islands.” Verses 10-12. “Sing, O ye heavens; for the Lord hath done it: Shout, ye lower parts of the earth: Break forth into singing, ye mountains, O forest, and every tree therein: For the Lord hath redeemed Jacob, And glorified Himself in Israel.” Isaiah 44:23. {MH 32.3}
ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมไม่ได้ฉายรัศมีอันเจิดจ้า เพื่อให้ความรู้สึกนึกคิดของเราต้องพร่ามัวไปเนื่องจากสง่าราศีของพระองค์ มีบันทึกเขียนถึงเรื่องของพระคริสต์ว่า “พระองค์เสด็จออกก็แน่นอนเหมือนอรุณ” โฮเชยา 6:3 แสงอรุณของวันใหม่ได้ฉายเข้ามายังโลกอย่างเงียบๆ และแผ่วเบา ได้ช่วยขจัดความมืดให้ออกไปและปลุกมนุษย์ในโลกให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกฉันใด ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมฉายรัศมีเข้ามาพร้อมด้วย “ปีกซึ่งรักษาโรคภัยได้” ได้ด้วยฉันนั้น มาลาคี 4:2 “จงดูผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี” อิสยาห์ 42:1 “พระองค์ได้ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนยากจน ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข์ใจ ทรงเป็นที่กำบังจากพายุและเป็นร่มกันความร้อน” อิสยาห์ 25:4 “พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า เราคือพระเจ้า เราได้เรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราได้ยุดเจ้าและรักษาเจ้าไว้ เราได้ให้เจ้าเป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ เพื่อเบิกตาคนที่ตาบอด เพื่อนำผู้ถูกจำจองออกมาจากคุก นำผู้ที่นั่งในความมืดออกมาจากเรือนจำ” อิสยาห์ 42:5-7 “เราจะจูงคนตาบอดไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะนำเขาไปในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง ที่ขรุขระให้เป็นที่ราบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรจะกระทำ และเราจะไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้” อิสยาห์ 42:16 “จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้า เพลงยอพระเกียรติของพระองค์จากปลายแผ่นดินโลก ทั้งผู้ที่ไปทะเล และบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น ทั้งแผ่นดินชาวทะเลและชาวถิ่นนั้น จงให้ถิ่นทุรกันดารและหัวเมืองในนั้นเปล่งเสียง ทั้งชนบทที่เคดาร์อาศัยอยู่ จงให้ชาวเส-ลาร้องเพลงด้วยความชื่นบาน ให้เขาโห่ร้องมาจากยอดภูเขา จงให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า และถวายสรรเสริญพระองค์ในแผ่นดินทะเลทราย” อิสยาห์ 42:10-12 “โอ โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง เพราะพระเจ้าทรงกระทำการนี้ โอ ห้วงลึกของแผ่นดินโลกเอ๋ย จงโห่ร้อง โอ ภูเขาเอ๋ย จงร้องเป็นเพลงออกมา โอ ป่าไม้เอ๋ย และต้นไม้ทุกต้นในนั้นด้วย เพราะว่าพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบ และจะทรงรับเกียรติในอิสราเอล” อิสยาห์ 44:23 {MH 32.3}
From Herod’s dungeon, where in disappointment and perplexity concerning the Saviour’s work, John the Baptist watched and waited, he sent two of his disciples to Jesus with the message: {MH 34.1}
จากคุกใต้ดินของกษัตริย์เฮโรด ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาได้เฝ้ามองและรอคอยอยู่ด้วยความท้อถอยและงุนงงสับสนในเรื่องพระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ส่งสาวกสองคนออกไปหาพระเยซูเพื่อที่จะฝากทูลถามพระองค์ว่า {MH 34.1}
“Art Thou He that should come, or do we look for another?” Matthew 11:3. {MH 34.2}
“ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น” มัทธิว 11:3 {MH 34.2}
The Saviour did not at once answer the disciples’ question. As they stood wondering at His silence, the afflicted were coming to Him. The voice of the Mighty Healer penetrated the deaf ear. A word, a touch of His hand, opened the blind eyes to behold the light of day, the scenes of nature, the faces of friends, and the face of the Deliverer. His voice reached the ears of the dying, and they arose in health and vigor. Paralyzed demoniacs obeyed His word, their madness left them, and they worshiped Him. The poor peasants and laborers, who were shunned by the rabbis as unclean, gathered about Him, and He spoke to them the words of eternal life. {MH 34.3}
พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ตอบคำถามของพวกสาวกทันที ในขณะที่พวกเขากำลังยืนอยู่และคิดสงสัยในความนิ่งเงียบของพระองค์นั้น คนเจ็บป่วยได้เข้าไปเฝ้าพระองค์ พระสุรเสียงของแพทย์ผู้ทรงฤทธิ์ได้แทรกทะลุผ่านหูที่หนวก พระดำรัสเพียงคำเดียว สัมผัสจากพระหัตถ์ของพระองค์เพียงครั้งเดียว เบิกนัยน์ตาที่มืดบอดให้เห็นแสงสว่าง ทัศนียภาพของธรรมชาติ ใบหน้าของมิตรสหายและพระพักตร์ขององค์พระผู้ช่วยกอบกู้ พระสุรเสียงของพระองค์ได้ยินไปถึงหูของคนที่กำลังจะสิ้นลมและพวกเขาได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาด้วยกำลังวังชาที่สมบูรณ์แข็งแรง คนถูกผีสิงที่นอนเป็นง่อยอยู่เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ พวกเขาหายจากความบ้าคลั่งและกราบไหว้พระองค์ ชาวนาและกรรมกรที่ยากไร้ที่พวกรับบีรังเกียจว่าเป็นมลทิน ได้เข้าไปห้อมล้อมพระองค์ พระเยซูตรัสถึงถ้อยคำที่เป็นชีวิตนิรันดร์แก่คนเหล่านั้น {MH 34.3}
Thus the day wore away, the disciples of John seeing and hearing all. At last Jesus called them to Him, and bade them go and tell John what they had seen and heard, adding, “Blessed is he, whosoever shall not be offended in Me.” Verse 6. The disciples bore the message, and it was enough. {MH 35.1}
ด้วยเหตุนี้ วันนั้นผ่านพ้นไป สาวกทั้งสองของยอห์นได้เห็นและได้ยินถึงสิ่งทั้งปวง ในที่สุด พระเยซูทรงเรียกให้พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระองค์ ทรงรับสั่งให้เขากลับไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยิน และตรัสเพิ่มเติมอีกว่า “บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรค ผู้นั้นเป็นสุข” มัทธิว 11:6 สาวกทั้งสองจึงได้นำข่าวนั้นไปแจ้งแก่ยอห์น ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอแล้ว {MH 35.1}
John recalled the prophecy concerning the Messiah, “Jehovah hath anointed Me to preach good tidings unto the meek; He hath sent Me to bind up the brokenhearted, to proclaim liberty to the captives, and the opening of the prison to them that are bound; to proclaim the year of Jehovah’s favor, and … to comfort all that mourn.” Isaiah 61:1, 2, A.R.V. Jesus of Nazareth was the Promised One. The evidence of His divinity was seen in His ministry to the needs of suffering humanity. His glory was shown in His condescension to our low estate. {MH 35.2}
ยอห์นหวนระลึกถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังผู้ที่ทุกข์ใจ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ และร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย และบอกการเปิดเรือนจำออก ให้แก่ผู้ที่ถูกจำจอง เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า และ…เพื่อเล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์” อิสยาห์ 61:1,2 พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือพระองค์ผู้ทรงโปรดสัญญาไว้ หลักฐานที่แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เห็นได้จากพระราชกิจของพระองค์ที่สนองความต้องการของมนุษยชาติที่เจ็บปวดทุกข์ทรมาน รัศมีของพระองค์ได้แสดงออกให้เห็นจากการที่ทรงถ่อมพระองค์ลงมาประสูติในสภาพมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเฉกเช่นเดียวกับเรา {MH 35.2}
The works of Christ not only declared Him to be the Messiah, but showed in what manner His kingdom was to be established. To John was opened the same truth that had come to Elijah in the desert, when “a great and strong wind rent the mountains, and brake in pieces the rocks before the Lord; but the Lord was not in the wind: and after the wind an earthquake; but the Lord was not in the earthquake: and after the earthquake a fire; but the Lord was not in the fire:” and after the fire, God spoke to the prophet by a still, small voice. 1 Kings 19:11, 12. So Jesus was to do His work, not by the overturning of thrones and kingdoms, not with pomp and outward display, but through speaking to the hearts of men by a life of mercy and self-sacrifice. {MH 36.1}
พระราชกิจของพระคริสต์ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์เท่านั้น ยังได้แสดงให้เห็นด้วยว่าพระองค์จะทรงตั้งอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมาด้วยวิธีใด ความจริงอย่างเดียวกันที่เปิดเผยให้แก่ยอห์น เหมือนกับที่เอลียาห์เคยได้รับในถิ่นทุรกันดารเมื่อ “ลมใหญ่อันแรงกล้าได้พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นก้อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่พระเจ้ามิได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็แผ่นดินไหว แต่พระเจ้าหาสถิตในแผ่นดินไหวนั้นไม่ ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระเจ้าหาสถิตในไฟนั้นไม่” และภายหลังไฟพระเจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนะด้วยเสียงเบาๆ 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11,12 ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจะทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ มิใช่ด้วยการโค่นล้มบัลลังก์หรือการทำลายอาณาจักร มิใช่ด้วยการแสดงยศศักดิ์หรือการแสร้งโอ้อวด แต่โดยการตรัสกับจิตใจของมนุษย์ด้วยชีวิตของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยพระทัยกรุณาและเสียสละ {MH 36.1}
The kingdom of God comes not with outward show. It comes through the gentleness of the inspiration of His word, through the inward working of His Spirit, the fellowship of the soul with Him who is its life. The greatest manifestation of its power is seen in human nature brought to the perfection of the character of Christ. {MH 36.2}
ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาด้วยการแสดงโอ้อวด แต่จะมาโดยพระวจนะของพระเจ้าที่ดลจิตใจของมนุษย์ด้วยวิธีการอันนุ่มนวล และโดยอาศัยพระวิญญาณของพระองค์ที่ทรงประกอบกิจอยู่ภายใน เป็นการรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างจิตวิญญาณของมนุษย์และพระองค์ผู้ทรงเป็นชีวิต การเปิดเผยฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรแห่งพระเจ้านั้น เห็นได้จากการที่มนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ มีอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบเหมือนกับพระลักษณะของพระคริสต์ {MH 36.2}
The followers of Christ are to be the light of the world; but God does not bid them make an effort to shine. He does not approve of any self-satisfied endeavor to display superior goodness. He desires that their souls shall be imbued with the principles of heaven; then, as they come in contact with the world, they will reveal the light that is in them. Their steadfast fidelity in every act of life will be a means of illumination. {MH 36.3}
บรรดาสาวกผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องเป็นความสว่างให้แก่โลก แต่พระเจ้ามิได้รับสั่งให้พวกเขาต้องใช้ความพยายามในการส่องแสงออกไป พระองค์ไม่ชอบพระทัยกับการที่มนุษย์รู้สึกพึงพอใจในความพยายามของตนเองที่ได้แสดงความดีที่เหนือกว่าผู้อื่นออกมา พระองค์ทรงปรารถนาให้จิตวิญญาณของเขาได้ซาบซึ้งในหลักการของสวรรค์ และเมื่อเขาเหล่านั้นได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ฝ่ายโลก พวกเขาจะได้ส่องความสว่างที่มีอยู่ภายในตัวให้ผู้อื่นได้เห็น ความแน่วแน่ในการกระทำทุกสิ่งในชีวิตด้วยความซื่อสัตย์จะเป็นวิธีที่เขาจะส่องสว่างออกไป {MH 36.3}
Wealth or high position, costly equipment, architecture or furnishings, are not essential to the advancement of the work of God; neither are achievements that win applause from men and administer to vanity. Worldly display, however imposing, is of no value in God’s sight. Above the seen and temporal, He values the unseen and eternal. The former is of worth only as it expresses the latter. The choicest productions of art possess no beauty that can compare with the beauty of character, which is the fruit of the Holy Spirit’s working in the soul. {MH 36.4}
ความมั่งคั่งหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ข้าวของเครื่องใช้หรูหรามีราคา สถาปัตยกรรม หรือเครื่องประดับตกแต่งอันงดงาม ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพื่อช่วยให้พระราชกิจของพระเจ้าเจริญขึ้น ไม่ใช่ความสำเร็จใดๆ ที่มนุษย์ยกย่องสรรเสริญและความพยายามที่ปราศจากมรรคผลเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองจะทำให้กิจการของพระองค์เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น การโอ้อวดตามอย่างโลก แม้ดูน่าประทับใจมากเพียงใดก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีค่าอะไร พระองค์ทรงให้คุณค่าแก่สิ่งที่ตามองไม่เห็นและสิ่งที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งอยู่เหนือสิ่งที่ตามองเห็นและสิ่งของในทางโลก การโอ้อวดตามอย่างโลกจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อแสดงออกให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นนิรันดร์ ความงดงามอันเกิดจากการบรรจงสร้างงานศิลป์อย่างเลอค่า ย่อมมิอาจเทียบได้กับความงามของอุปนิสัยที่บังเกิดขึ้นจากผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ประกอบกิจอยู่ภายในจิตใจ {MH 36.4}
When God gave His Son to our world, He endowed human beings with imperishable riches–riches compared with which the treasured wealth of men since the world began is nothingness. Christ came to the earth and stood before the children of men with the hoarded love of eternity, and this is the treasure that, through our connection with Him, we are to receive, to reveal, and to impart. {MH 37.1}
เมื่อพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์แก่โลกนั้น พระองค์ทรงมอบสิ่งล้ำค่าที่ไม่มีวันสูญหายให้แก่มนุษย์ด้วย ทรัพย์สมบัติที่มนุษย์ได้สั่งสมมาตั้งแต่เริ่มมีโลกนี้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วไม่มีค่าอันใด พระคริสต์เสด็จมายังแผ่นดินโลกและทรงยืนอยู่หน้ามนุษย์ด้วยความรักที่ทรงสะสมมาตั้งแต่นิรันดร์กาล และสิ่งนี้คือ สิ่งล้ำค่าที่เราจะได้รับ เราจะรับเอาสมบัตินี้ เปิดเผยให้เห็นและแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นก็โดยความสัมพันธ์ของเราที่มีกับพระองค์ {MH 37.1}
Human effort will be efficient in the work of God just according to the consecrated devotion of the worker–by revealing the power of the grace of Christ to transform the life. We are to be distinguished from the world because God has placed His seal upon us, because He manifests in us His own character of love. Our Redeemer covers us with His righteousness. {MH 37.2}
ความพากเพียรของมนุษย์ในการกระทำกิจของพระเจ้าจะบังเกิดผลอันสมควร ก็ต่อเมื่อผู้ที่ปฏิบัติงานได้อุทิศตัวแด่พระเจ้า ด้วยการแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจในพระคุณของพระคริสต์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาใหม่ได้ เราจะต้องมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากคนที่อยู่ในฝ่ายโลก เพราะเราได้รับการประทับตราจากพระเจ้าแล้ว และเพราะพระองค์ทรงสำแดงความรักที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์ให้ปรากฏอยู่ในอุปนิสัยของเรา พระผู้ไถ่ทรงเอาเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมของพระองค์ปกปิดเราไว้ {MH 37.2}
In choosing men and women for His service, God does not ask whether they possess worldly wealth, learning, or eloquence. He asks, “Do they walk in such humility that I can teach them My way? Can I put My words into their lips? Will they represent Me?” {MH 37.3}
ในการเลือกชายหญิงเพื่อที่จะรับใช้ในกิจการของพระเจ้านั้น พระองค์มิได้ตรัสถามคนเหล่านั้นว่าในโลกนี้เขามีทรัพย์สมบัติอะไร มีการศึกษาหรือมีชั้นเชิงในการพูดหรือไม่ พระองค์ตรัสถามว่า “เขาดำเนินชีวิตด้วยใจถ่อม ที่เราจะสามารถสั่งสอนให้เขาดำเนินไปตามมรรคาของเราได้หรือไม่ เราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขาได้หรือไม่ และพวกเขาจะเป็นตัวแทนของเราได้หรือไม่” {MH 37.3}
God can use every person just in proportion as He can put His Spirit into the soul temple. The work that He will accept is the work that reflects His image. His followers are to bear, as their credentials to the world, the ineffaceable characteristics of His immortal principles. {MH 37.4}
การที่พระเจ้าสามารถใช้ใครได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่ที่ผู้นั้นยินยอมให้พระวิญญาณของพระองค์เข้ามาประทับในวิหารแห่งจิตวิญญาณของเขา การงานที่พระองค์ทรงยอมรับก็คืองานที่จะสะท้อนถึงพระฉายาของพระองค์ บรรดาผู้ติดตามพระองค์จะต้องเป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ให้โลกได้เห็นการประพฤติชอบตามหลักการพระลักษณะแห่งบทบัญญัติที่เป็นนิรันดร์และไม่มีวันเสื่อมสูญของพระองค์ {MH 37.4}
“He Shall Gather the Lambs With His Arm.” As Jesus ministers in the streets of the cities, mothers with their sick and dying little ones in their arms press through the throng, seeking to come within reach of His notice. {MH 38.1}
“พระองค์ทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในอ้อมพระกรของพระองค์” ในขณะที่พระเยซูทรงกำลังรักษาพยาบาลคนป่วยไข้อยู่ตามถนนหนทางในเมืองนั้น บรรดามารดาได้อุ้มบุตรของตนที่กำลังป่วยและอาการหนัก เบียดเสียดฝูงชนเข้าไปจนใกล้พอที่จะให้พระองค์ทรงทอดพระเนตรได้ {MH 38.1}
Behold these mothers, pale, weary, almost despairing, yet determined and persevering. Bearing their burden of suffering, they seek the Saviour. As they are crowded back by the surging throng, Christ makes His way to them step by step, until He is close by their side. Hope springs up in their hearts. Their tears of gladness fall as they catch His attention, and look into the eyes expressing such pity and love. {MH 38.2}
ดูเถิด มารดาเหล่านี้มีสีหน้าซีดเซียว ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าและสิ้นหวัง แต่ถึงกระนั้น พวกนางก็ยังไม่ละความพยายามที่จะอุ้มบุตรของตนและนำความทุกข์ยากลำบากเข้าหาพระผู้ช่วยให้รอด ในขณะที่พวกนางถูกฝูงชนเบียดเสียดให้ถอยห่างออกไปนั้น พระคริสต์ทรงดำเนินอย่างช้าๆ ตรงเข้าไปหา จนกระทั่งพระองค์ประทับอยู่เบื้องหน้าของพวกนาง ความหวังจึงเกิดขึ้นภายในจิตใจของพวกเขา น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไหลรินอาบแก้มด้วยเพราะนางเห็นว่าพระองค์ทรงแสดงความสนพระทัยและเห็นพระเนตรของพระองค์ที่ได้ฉายแววแห่งความรักและความเมตตากรุณา {MH 38.2}
Singling out one of the group, the Saviour invites her confidence, saying, “What shall I do for thee?” She sobs out her great want, “Master, that Thou wouldest heal my child.” Christ takes the little one from her arms, and disease flees at His touch. The pallor of death is gone; the life-giving current flows through the veins; the muscles receive strength. Words of comfort and peace are spoken to the mother; and then another case, just as urgent, is presented. Again Christ exercises His life-giving power, and all give praise and honor to Him who doeth wonderful things. {MH 38.3}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงให้หญิงคนหนึ่งในหมู่ชนเกิดความไว้วางใจ ด้วยการตรัสว่า “บอกเรามาสิว่า เจ้าปรารถนาให้เราทำสิ่งใดให้เจ้า” เธอสะอื้นพลางทูลถึงความปรารถนาอันใหญ่หลวงของตนว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดรักษาลูกของดิฉันด้วยเถิด” พระคริสต์ทรงรับเด็กคนนั้นมาจากอ้อมแขนของเธอ และทรงสัมผัสร่างของเด็กน้อย จากนั้นโรคภัยโรคร้ายหายไปในบัดดล เงาซีดแห่งความตายเลือนหายไป กระแสธารที่หล่อเลี้ยงชีวิตไหลรินไปตามเส้นเลือดและกล้ามเนื้อเส้นเอ็นในร่างกายของเด็กคนนั้น ทำให้มีกำลังเรี่ยวแรงขึ้นมาใหม่ พระองค์ตรัสถ้อยคำที่ปลอบโยนจิตใจและเปี่ยมด้วยสันติสุขกับหญิงผู้เป็นมารดา จากนั้นหญิงอีกคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักและต้องการให้พระองค์รักษาอย่างเร่งด่วนเช่นกัน ได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ พระคริสต์ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจที่ให้ชีวิตอีกครั้งและทุกคนต่างสรรเสริญและถวายพระเกียรติพระองค์ผู้ทรงประกอบกิจอัศจรรย์ {MH 38.3}
We dwell much on the greatness of Christ’s life. We speak of the wonderful things that He accomplished, of the miracles that He wrought. But His attention to things accounted small is even higher proof of His greatness. {MH 39.1}
เรามักกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ในชีวิตของพระคริสต์ เราเอ่ยถึงบรรดาสิ่งมหัศจรรย์และการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ แต่การที่พระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องเล็กน้อย กลับเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากยิ่งกว่า {MH 39.1}
Among the Jews it was customary for children to be brought to some rabbi, that he might lay his hands upon them in blessing; but the disciples thought the Saviour’s work too important to be interrupted in this way. When the mothers came desiring Him to bless their little ones, the disciples looked on them with disfavor. They thought these children too young to be benefited by a visit to Jesus, and concluded that He would be displeased at their presence. But the Saviour understood the care and burden of the mothers who were seeking to train their children according to the word of God. He had heard their prayers. He Himself had drawn them into His presence. {MH 40.1}
ชาวยิวมีธรรมเนียมนำเด็กไปหารับบี เพื่อให้อาจารย์วางมืออวยพรให้แก่เด็กเหล่านั้น แต่พวกสาวกคิดว่าพระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอดนั้นมีความสำคัญมาก ไม่ควรให้เรื่องนี้มาขัดจังหวะ เมื่อพวกมารดาได้เข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความปรารถนาให้พระองค์อวยพระพรให้แก่บุตรของตนนั้น พวกสาวกต่างมองดูด้วยความรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาคิดว่าเด็กเหล่านี้เล็กเกินกว่าที่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าเฝ้าพระเยซู และคิดเอาเองว่าพระองค์ไม่พอพระทัยที่คนเหล่านั้นได้เข้าไปรบกวน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเข้าพระทัยถึงความกังวลใจและภาระของมารดาในความพยายามให้การอบรมสั่งสอนบุตรของตนประพฤติชอบตามพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขา พระองค์นั่นเอง ที่ทรงเป็นผู้นำพวกเขาให้เข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ {MH 40.1}
One mother with her child had left her home to find Jesus. On the way she told a neighbor her errand, and the neighbor wished to have Jesus bless her children. Thus several mothers came here together, with their little ones. Some of the children had passed beyond the years of infancy to childhood and youth. When the mothers made known their desire, Jesus heard with sympathy the timid, tearful request. But He waited to see how the disciples would treat them. When He saw the disciples reproving the mothers and sending them away, thinking to do Him a favor, He showed them their error, saying, “Suffer the little children to come unto Me, and forbid them not: for of such is the kingdom of God.” Mark 10:14. He took the children in His arms, He laid His hands upon them, and gave them the blessings for which they came. {MH 41.1}
มารดาคนหนึ่งพาบุตรของเธอออกจากบ้านมาเพื่อจะเข้าเฝ้าพระเยซู ระหว่างทางเธอเล่าความตั้งใจให้เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งฟัง เพื่อนบ้านคนนั้นอยากให้พระเยซูอวยพรแก่บุตรของเธอเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมีมารดาอีกหลายคนพาบุตรของพวกเธอไปด้วยกัน แม้ว่าเด็กบางคนมีอายุเกินวัยทารก เป็นเด็กโตและเด็กหนุ่มแล้ว เมื่อมารดาเหล่านั้นทูลต่อพระองค์ด้วยความขลาดกลัว ด้วยน้ำตานองหน้า แสดงถึงความปรารถนาของตน พระเยซูก็สดับฟังคำทูลขอด้วยพระทัยที่เห็นอกเห็นใจ ขณะเดียวกันทรงเฝ้าดูว่าพวกสาวกจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพวกสาวกตำหนิหญิงเหล่านั้นและขับไล่ให้ออกไปเสีย ด้วยคิดว่าจะทำให้พระองค์พอพระทัย พระองค์ทรงชี้ให้บรรดาสาวกเห็นถึงการกระทำที่ผิดพลาด ด้วยการตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” มาระโก 10:14 พระองค์ทรงอุ้มเด็กขึ้นมาไว้ในอ้อมพระกรของพระองค์ ทรงวางพระหัตถ์พวกเขาและประทานพระพรตามที่พวกเขาได้ตั้งใจไว้ {MH 41.1}
The mothers were comforted. They returned to their homes strengthened and blessed by the words of Christ. They were encouraged to take up their burden with new cheerfulness and to work hopefully for their children. {MH 41.2}
มารดาเหล่านั้นต่างได้รับการปลอบใจ พวกเธอกลับบ้านไปพร้อมกำลังใจที่เข้มแข็งและได้รับพระพรตามที่พระคริสต์ทรงมีพระดำรัส ได้รับการหนุนใจเพื่อแบกรับภาระต่อไปด้วยความยินดีและปฏิบัติหน้าที่เพื่อบุตรของตนด้วยความหวัง {MH 41.2}
Could the afterlife of that little group be opened before us, we should see the mothers recalling to the minds of their children the scene of that day, and repeating to them the loving words of the Saviour. We should see, too, how often, in after years, the memory of these words kept the children from straying from the path cast up for the ransomed of the Lord. {MH 41.3}
หากเราสามารถมองเห็นถึงชีวิตในวันข้างหน้าของเด็กเหล่านั้น จะเห็นว่ามารดาได้เตือนบุตรของตนให้ระลึกถึงภาพในวันนั้นและได้ทบทวนพระดำรัสที่เปี่ยมด้วยความรักของพระผู้ช่วยให้รอด เราจะเห็นว่า อีกหลายปีต่อมา บ่อยครั้งการจดจำถึงคำพูดเหล่านี้ ช่วยป้องกันมิให้เด็กเหล่านั้นพัดหลงหายไปจากทางที่ได้ย้ำเตือนไว้ของผู้ที่ได้รับการไถ่โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร {MH 41.3}
Christ is today the same compassionate Saviour as when He walked among men. He is as verily the helper of mothers now as when He gathered the little ones to His arms in Judea. The children of our hearths are as much the purchase of His blood as were the children of long ago. {MH 41.4}
ทุกวันนี้ พระคริสต์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยพระทัยกรุณาเหมือนครั้งที่ทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ แท้ที่จริงพระองค์ยังทรงทำหน้าเป็นผู้คอยช่วยเหลือของมารดาทั้งหลายเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กในแผ่นดินยูดาห์ไว้ในพระกรของพระองค์ เด็กๆ ในครอบครัวของเราเป็นผู้ที่ทรงไถ่ไว้แล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เช่นเดียวกับเด็กในสมัยก่อน {MH 41.4}
Jesus knows the burden of every mother’s heart. He who had a mother that struggled with poverty and privation, sympathizes with every mother in her labors. He who made a long journey in order to relieve the anxious heart of a Canaanite woman will do as much for the mothers of today. He who gave back to the widow of Nain her only son, and in His agony upon the cross remembered His own mother, is touched today by the mother’s sorrow. In every grief and every need, He will comfort and help. {MH 42.1}
พระเยซูทรงเข้าใจถึงภาระอันหนักในจิตใจของมารดาทุกคน พระองค์ผู้ทรงมีมารดาที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความยากจนและความขัดสน ทรงเห็นอกเห็นใจมารดาทุกคนที่ต้องตรากตรำทำงานหนัก พระองค์ผู้ทรงดำเนินในหนทางอันแสนไกลเพื่อช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ในจิตใจของหญิงชาวคานาอันเพียงคนหนึ่งนั้น ย่อมจะทรงกระทำสิ่งเดียวกันให้แก่ผู้เป็นมารดาในวันนี้ด้วยเช่นกัน พระองค์ผู้ทรงโปรดประทานบุตรชายเพียงคนเดียวของหญิงม่ายชาวเมืองนาอินให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และผู้ทรงทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนยังทรงระลึกถึงมารดาของพระองค์เอง ในทุกวันนี้ พระองค์ย่อมรู้สึกเห็นอกเห็นใจในความทุกข์โศกของมารดาทุกคน ทรงปลอบประโยนและเกื้อหนุนจิตใจในยามที่เรามีความตรอมตรมและขัดสน {MH 42.1}
Let mothers come to Jesus with their perplexities. They will find grace sufficient to aid them in the care of their children. The gates are open for every mother who would lay her burdens at the Saviour’s feet. He who said, “Suffer the little children to come unto Me, and forbid them not” (Mark 10:14), still invites mothers to bring their little ones to be blessed by Him. {MH 42.2}
ขอให้มารดาทั้งหลายผู้มีความยุ่งยากใจเข้าไปหาพระเยซู เธอทั้งหลายจะได้รับพระคุณอย่างเพียงพอที่จะช่วยเหลือในการเอาใจใส่ดูแลบุตรของตน ประตูได้เปิดไว้ให้กับมารดาทุกคนที่นำภาระของนางมาไว้แทบพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ผู้ตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย” มาระโก 10:14 พระองค์ยังคงเชื้อเชิญมารดาทั้งหลายให้นำบุตรเล็กๆ ของตนมาให้พระองค์ทรงอวยพร {MH 42.2}
In the children who were brought in contact with Him, Jesus saw the men and women who should be heirs of His grace and subjects of His kingdom, and some of whom would become martyrs for His sake. He knew that these children would listen to Him and accept Him as their Redeemer far more readily than would grown-up people, many of whom were the worldly-wise and hardhearted. In teaching, He came down to their level. He, the Majesty of heaven, answered their questions and simplified His important lessons to meet their childish understanding. He planted in their minds the seeds of truth, which in after years would spring up and bear fruit unto eternal life. {MH 42.3}
ในบรรดาเด็กๆ ที่เหล่ามารดาได้นำมาเฝ้าพระองค์นั้น พระเยซูทรงทอดพระเนตรเห็นว่าเมื่อพวกเขาเติบโต เขาจะเป็นชายหญิงที่เป็นทายาทแห่งพระคุณและเป็นพลเมืองของอาณาจักรของพระองค์ และบางคนจะยอมทนทุกข์ทรมานจนถึงแก่ความตายเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่าเด็กเหล่านี้จะยอมเชื่อฟังพระองค์และเต็มใจรับพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของเขาได้ง่ายกว่าคนที่โตเป็นผู้ใหญ่มีความเฉลียวฉลาดทางฝ่ายโลกและมีจิตใจที่แข็งกระด้าง เมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขา ทรงโน้มพระองค์ลงมาเสมอกับเด็กเหล่านั้น พระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพแห่งสวรรค์ ทรงตอบคำถามของพวกเขาและอธิบายบทเรียนที่สำคัญให้เกิดกระจ่างแจ้ง แม้เด็กก็สามารถเข้าใจได้ พระองค์ทรงปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความจริงไว้ในจิตใจของเขา ซึ่งอีกหลายปีต่อมาจะเจริญขึ้นและเกิดผลจนถึงชีวิตนิรันดร์ {MH 42.3}
When Jesus told the disciples not to forbid the children to come to Him, He was speaking to His followers in all ages –to officers of the church, ministers, helpers, and all Christians. Jesus is drawing the children, and He bids us, “Suffer them to come;” as if He would say, They will come, if you do not hinder them. {MH 42.4}
เมื่อพระเยซูตรัสสั่งพวกสาวกไม่ให้กีดกันเด็กๆ ที่จะเข้ามาเฝ้าพระองค์นั้น พระองค์กำลังตรัสแก่ผู้ติดตามของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัยเช่นเดียวกัน บอกให้เจ้าหน้าที่ในคริสตจักร ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ พวกผู้ช่วยและคริสเตียนทุกคน พระเยซูทรงนำพาเด็กๆ ให้เข้ามาหาพระองค์และตรัสสั่งเราว่า “จงยอมให้พวกเด็กๆ เข้ามาหาเรา” ประหนึ่งตรัสว่า พวกเด็กๆ จะเข้ามาหาพระองค์ หากเราไม่ขัดขวางพวกเขา {MH 42.4}
Let not your un-Christlike character misrepresent Jesus. Do not keep the little ones away from Him by your coldness and harshness. Never give them cause to feel that heaven would not be a pleasant place to them if you were there. Do not speak of religion as something that children cannot understand, or act as if they were not expected to accept Christ in their childhood. Do not give them the false impression that the religion of Christ is a religion of gloom, and that in coming to the Saviour they must give up all that makes life joyful. {MH 43.1}
อย่าให้อุปนิสัยที่ไม่เหมือนพระคริสต์ทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระเยซูผิดเพี้ยนไป จงอย่าแสดงอาการเย็นชาและเกรี้ยวกราดใส่เด็กๆ จนทำให้พวกเขาถอยห่างไปจากพระองค์ อย่าเป็นเหตุให้เขารู้สึกว่าสวรรค์เป็นสถานที่ไม่น่าอยู่เพราะท่านอยู่ที่นั่น อย่าพูดถึงเรื่องศาสนาดูประหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เด็กไม่อาจเข้าใจได้ หรือทำราวกับว่าพวกเขายังไม่สมควรรับเอาพระคริสต์ขณะเยาว์วัย อย่าทำให้พวกเขาฝังใจอย่างผิดๆ ว่าศาสนาของพระคริสต์เป็นศาสนาแห่งความเศร้าหมอง และการที่พวกเขาจะเข้าไปหาพระผู้ช่วยให้รอดจะต้องสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตสดใสร่าเริงออกไป {MH 43.1}
As the Holy Spirit moves upon the hearts of the children, co-operate with His work. Teach them that the Saviour is calling them, that nothing can afford Him greater joy than for them to give themselves to Him in the bloom and freshness of their years. {MH 44.1}
ขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงโน้มน้าวจิตใจของเด็กๆ นั้น ขอให้ร่วมมือในพระราชกิจของพระองค์ สอนพวกเขาว่าพระผู้ช่วยให้รอดกำลังเรียกพวกเขาอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระองค์ทรงชื่นชมยินดียิ่งไปกว่าการที่เด็กทั้งหลายถวายตัวแด่พระองค์ตั้งแต่ช่วงเบ่งบานของวัยเยาว์และช่วงที่สดใสของชีวิต {MH 44.1}
Parental Responsibility
ความรับผิดชอบของบิดามารดา
The Saviour regards with infinite tenderness the souls whom He has purchased with His blood. They are the claim of His love. He looks upon them with unutterable longing. His heart is drawn out, not only to the best-trained and most attractive children, but to those who by inheritance and through neglect have objectionable traits of character. Many parents do not understand how much they are responsible for these traits in their children. They have not the tenderness and wisdom to deal with the erring ones whom they have made what they are. But Jesus looks upon these children with pity. He traces from cause to effect. {MH 44.2}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงสนพระทัยใส่ทุกคนที่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์ด้วยความรักเกินพรรณา พระองค์ทรงอ้างสิทธิ์นั้นด้วยความรัก ทรงเฝ้ามองเขาเหล่านั้นด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจบรรยายได้ พระทัยของพระองค์ทรงเพรียกหาเขา มิใช่เพียงเด็กที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดียิ่งและงดงามน่ารักเท่านั้น แต่รวมถึงบรรดาเด็กที่มีอุปนิสัยไม่ดีซึ่งสืบทอดมาทางสายเลือดและจากการถูกปล่อยปละละเลย บิดามารดาหลายคนไม่เข้าใจว่าเขาจะต้องรับผิดชอบต่ออุปนิสัยบุตรของตนมากเพียงไร พวกเขาขาดความอ่อนโยนและขาดสติปัญญาที่จะแก้ปัญหาของเด็กที่ประพฤติผิดเหล่านี้ซึ่งพ่อแม่เป็นผู้ที่ก่อขึ้น แต่พระเยซูทรงเฝ้ามองเด็กเหล่านี้ด้วยพระทัยเมตตาสงสาร พระองค์ทรงพินิจถึงสาเหตุที่แท้จริงซึ่งมีผลทำให้เกิดความประพฤติเช่นนี้ {MH 44.2}
The Christian worker may be Christ’s agent in drawing these faulty and erring ones to the Saviour. By wisdom and tact he may bind them to his heart, he may give courage and hope, and through the grace of Christ may see them transformed in character, so that of them it may be said, “Of such is the kingdom of God.” {MH 44.3}
ผู้รับใช้คริสเตียนเป็นผู้แทนของพระคริสต์ในการนำเด็กที่มีข้อบกพร่องและประพฤติผิดเหล่านี้มาหาพระผู้ช่วยให้รอดได้ โดยอาศัยสติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบ เขาผูกจิตใจของเด็กเหล่านั้นได้ ทั้งยังให้กำลังใจและความหวัง โดยพระคุณของพระคริสต์ เขาจะได้เห็นเด็กเหล่านั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในอุปนิสัย เพื่อที่จะกล่าวถึงเด็กเหล่านั้นได้ว่า “แผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” {MH 44.3}
ขนมปังบารลีเล็กๆ ห้าก้อนเลี้ยงฝูงชน
All day the people had thronged the steps of Christ and His disciples as He taught beside the sea. They had listened to His gracious words, so simple and so plain that they were as the balm of Gilead to their souls. The healing of His divine hand had brought health to the sick and life to the dying. The day had seemed to them like heaven on earth, and they were unconscious of how long it had been since they had eaten anything. {MH 45.1}
ตลอดทั้งวัน ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนที่ริมฝั่งทะเล ประชาชนเบียดเสียดห้อมล้อมติดตามพระคริสต์และเหล่าสาวกของพระองค์ พวกเขาได้ฟังพระดำรัสที่เปี่ยมด้วยเมตตาของพระองค์ เป็นถ้อยคำที่เรียบง่ายและชัดเจน เสมือนน้ำมันแห่งกิเลอาดสำหรับจิตวิญญาณของพวกเขา พระหัตถ์แห่งการรักษาของพระองค์ได้ทำให้คนป่วยไข้กลับมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงและประทานชีวิตแก่ผู้ที่กำลังจะตาย เสมือนหนึ่งว่าวันนั้นสวรรค์ทั้งหมดได้เข้ามาตั้งอยู่ในโลก พวกเขาต่างลืมไปว่าเวลาได้ล่วงเลยไปนานเพียงไร อีกทั้งยังไม่ได้รับประทานอาหาร {MH 45.1}
The sun was sinking in the west, and yet the people lingered. Finally the disciples came to Christ, urging that for their own sake the multitude should be sent away. Many had come from far and had eaten nothing since morning. In the surrounding towns and villages they might be able to obtain food. But Jesus said, “Give ye them to eat.” Matthew 14:16. Then, turning to Philip, He questioned, “Whence shall we buy bread, that these may eat?” John 6:5. {MH 45.2}
ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยลงทางทิศตะวันตก ถึงกระนั้น ประชาชนยังรีรอไม่ยอมกลับไป ในที่สุดพวกสาวกได้เข้ามาทูลพระคริสต์ว่า เพื่อเห็นแก่ฝูงชนควรให้พวกเขากลับไปก่อน หลายคนเดินทางมาไกลและตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย พวกเขาอาจจะไปหาซื้ออาหารตามเมืองและหมู่บ้านในละแวกนี้ได้ แต่พระเยซูตรัสว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” มัทธิว 14:16 พระองค์ทรงหันไปหาฟิลิปและตรัสถามว่า “ทำอย่างไรเราจึงจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้” ยอห์น 6:5 {MH 45.2}
Philip looked over the sea of heads and thought how impossible it would be to provide food for so great a company. He answered that two hundred pennyworth of bread would not be enough to divide among them so that each might have a little. {MH 45.3}
ฟิลิปหันไปพิจารณาดูฝูงชนเหล่านั้นพลางคิดอยู่ในใจว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดหาอาหารมาเลี้ยงผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้ได้ เขาตอบว่าถ้าจะซื้ออาหารมาเลี้ยงด้วยเงินสักสองร้อยเหรียญเดนาริอัน คงจะไม่เพียงพอและได้อาหารเพียงคนละเล็กละน้อยเท่านั้น {MH 45.3}
Jesus inquired how much food could be found among the company. “There is a lad here,” said Andrew; “which hath five barley loaves, and two small fishes: but what are they among so many?” Verse 9. Jesus directed that these be brought to Him. Then He bade the disciples seat the people on the grass. When this was accomplished, He took the food, “and looking up to heaven, He blessed, and brake, and gave the loaves to His disciples, and the disciples to the multitude. And they did all eat, and were filled: and they took up of the fragments that remained twelve baskets full.” Matthew 14:19, 20. {MH 45.4}
พระเยซูตรัสถามว่า ในบรรดาคนเหล่านี้มีใครที่มีอาหารบ้าง อันดรูว์ทูลพระองค์ว่า “ที่นี่มีเด็กคนหนึ่งมีขนมบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้” ยอห์น 6:9 พระเยซูทรงรับสั่งให้นำอาหารเหล่านั้นมาให้พระองค์ และตรัสสั่งให้เหล่าสาวกจัดประชาชนให้นั่งลงบนพื้นหญ้า เมื่อประชาชนต่างนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทรงหยิบอาหารขึ้นมา “แล้วก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ถวายคำสาธุการ และหักส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง เขาได้กินอิ่มทุกคน ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม” มัทธิว 14:19, 20 {MH 45.4}
It was by a miracle of divine power that Christ fed the multitude; yet how humble was the fare provided–only the fishes and barley loaves that were the daily fare of the fisher-folk of Galilee. {MH 47.1}
พระคริสต์ทรงเลี้ยงฝูงชนด้วยการอัศจรรย์แห่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ถึงกระนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงฝูงชนเป็นอาหารธรรมดา มีเพียงปลาและขนมปังข้าวบารลีที่เป็นอาหารประจำวันของชาวประมงในแคว้นกาลิลี {MH 47.1}
Christ could have spread for the people a rich repast, but food prepared merely for the gratification of appetite would have conveyed no lesson for their good. Through this miracle Christ desired to teach a lesson of simplicity. If men today were simple in their habits, living in harmony with nature’s laws, as did Adam and Eve in the beginning, there would be an abundant supply for the needs of the human family. But selfishness and the indulgence of appetite have brought sin and misery, from excess on the one hand, and from want on the other. {MH 47.2}
ที่จริง พระคริสต์ทรงสามารถจัดหาอาหารที่หรูหราฟุ่มเฟือยมาให้แก่ประชาชนได้ แต่อาหารที่จัดเตรียมมาเพื่อสนองความอยาก หาได้มีบทเรียนเพื่อประโยชน์ของพวกเขาแต่ประการใดไม่ ด้วยการอัศจรรย์ในครั้งนี้ พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะสอนบทเรียนการเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย หากคนในสมัยนี้มีนิสัยเรียบง่าย และดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับกฎของธรรมชาติเหมือนอาดัมและเอวาในสมัยยุคแรกเริ่มแล้ว ก็คงจะมีอาหารเหลือเฟือต่อความต้องการในครอบครัวของมนุษย์ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวและการปล่อยตัวตามใจในความอยากจึงนำความผิดบาปและความทุกข์ยากเข้ามา ความฟุ่มเฟือยจึงนำความขัดสนเข้ามาในที่สุด {MH 47.2}
Jesus did not seek to attract the people to Him by gratifying the desire for luxury. To that great throng, weary and hungry after the long, exciting day, the simple fare was an assurance both of His power and of His tender care for them in the common needs of life. The Saviour has not promised His followers the luxuries of the world; their lot may be shut in by poverty; but His word is pledged that their need shall be supplied, and He has promised that which is better than earthly good–the abiding comfort of His own presence. {MH 47.3}
พระเยซูไม่เคยหาทางจูงใจประชาชนให้เข้าไปหาพระองค์ด้วยการสนองความอยากในสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือย สำหรับฝูงชนจำนวนมากที่เหน็ดเหนื่อยอิดโรยและหิวกระหายภายหลังจากวิตกกังวลของวันอันยาวนาน อาหารธรรมดาย่อมจะช่วยให้คนเหล่านั้นได้มีความมั่นใจถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์และการที่พระองค์ทรงเอาใจใส่ดูแลความต้องการพื้นฐานในชีวิตของพวกเขาด้วยความรัก พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะประทานความหรูหราฟุ่มเฟือยทางโลกให้แก่ผู้ติดตามพระองค์ ชะตากรรมของพวกเขาอาจถูกล้อมกรอบไว้ด้วยความยากจน แต่พระวจนะของพระองค์ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์จะประทานทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ และทรงสัญญาอีกว่าจะประทานสิ่งดียิ่งกว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้ให้แก่เขา นั่นคือ พระองค์จะสถิตอยู่ใกล้และจะทรงสร้างความอุ่นใจให้แก่พวกเขา {MH 47.3}
After the multitude had been fed, there was an abundance of food left. Jesus bade His disciples, “Gather up the fragments that remain, that nothing be lost.” John 6:12. These words meant more than putting the food into baskets. The lesson was twofold. Nothing is to be wasted. We are to let slip no temporal advantage. We should neglect nothing that would serve to benefit a human being. Let everything be gathered up that will relieve the necessities of earth’s hungry ones. With the same carefulness are we to treasure the bread from heaven to satisfy the needs of the soul. By every word of God we are to live. Nothing that God has spoken is to be lost. Not one word that concerns our eternal salvation are we to neglect. Not one word is to fall useless to the ground. {MH 48.1}
หลังจากทรงเลี้ยงฝูงชนแล้ว ยังมีอาหารเหลืออยู่อีกมาก พระเยซูทรงรับสั่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” ยอห์น 6:12 พระดำรัสสั่งนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการนำอาหารไปใส่ในตะกร้า มีบทเรียนอยู่สองประการ คือ เราไม่ควรปล่อยสิ่งใดเสียเปล่า เราจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ในโลกผ่านไปโดยไม่สนใจ เราไม่ควรที่ละทิ้งสิ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ให้เก็บรวบรวมทุกสิ่งที่จะช่วยบรรเทาความยากจนขัดสนของผู้ที่หิวโหยในโลก และเราจะต้องเก็บรักษาอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่ได้รับพระราชทานมาจากสวรรค์ ด้วยความใส่ใจอย่างเดียวกัน เราจะต้องดำเนินชีวิตตามพระวจนะทุกคำของพระเจ้า ไม่ปล่อยให้พระดำรัสใดที่พระเจ้าตรัสไว้แล้วสูญเปล่า ไม่ปล่อยให้ถ้อยคำแห่งความรอดและชีวิตนิรันดร์ของเราแม้แต่คำเดียวถูกทิ้งขว้างและตกลงบนพื้นดินอย่างไร้คุณค่า {MH 48.1}
The miracle of the loaves teaches dependence upon God. When Christ fed the five thousand, the food was not nigh at hand. Apparently He had no means at His command. There He was, with five thousand men, besides women and children, in the wilderness. He had not invited the multitude to follow Him thither. Eager to be in His presence, they had come without invitation or command; but He knew that after listening all day to His instruction they were hungry and faint. They were far from home, and the night was at hand. Many of them were without means to purchase food. He who for their sake had fasted forty days in the wilderness, would not suffer them to return fasting to their homes. {MH 48.2}
การอัศจรรย์เรื่องขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ยังสอนเราให้รู้จักพึ่งพิงพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ทรงเลี้ยงคนห้าพันคนนั้น พระองค์ไม่มีอาหารพร้อมอยู่เลย เห็นได้ชัดว่า พระองค์ทรงไม่ได้มีวิธีการใดที่จะหาอาหารมาได้ตามที่ทรงรับสั่งไป พระองค์ประทับอยู่ในที่กันดารกับผู้ชายจำนวนห้าพันคน ซึ่งยังไม่นับพวกผู้หญิงและเด็ก พระองค์ไม่ได้ชักชวนฝูงชนให้ติดตามพระองค์ไปที่นั่น พวกเขามีความกระหายที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ต่างหาก จึงได้ตามมาโดยไม่ได้รับคำเชื้อเชิญหรือพระดำรัสสั่ง แต่ทรงทราบดีว่าเมื่อพวกเขาได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์มาทั้งวันแล้ว คนเหล่านั้นต่างหิวกระหายและอ่อนแรง พวกเขาอยู่ห่างไกลจากบ้านและเป็นเวลาที่จวนจะค่ำอยู่แล้ว หลายคนไม่มีเงินทองที่จะซื้อหาอาหาร พระองค์ผู้ทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลาถึงสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดารเพื่อเห็นแก่พวกเขา จะยอมปล่อยให้พวกเขาต้องทนลำบากกลับบ้านไปโดยไม่มีอาหารตกถึงท้องได้อย่างไร {MH 48.2}
The providence of God had placed Jesus where He was, and He depended on His heavenly Father for means to relieve the necessity. When we are brought into strait places, we are to depend on God. In every emergency we are to seek help from Him who has infinite resources at His command. {MH 48.3}
พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งในสถานที่พระเยซูประทับอยู่ พระองค์ทรงพึ่งพาพระบิดาบนสวรรค์เพื่อจะได้จัดหาสิ่งจำเป็นในการบรรเทาความต้องการของประชาชน เมื่อเราตกอยู่ในเวลาที่คับขัน จำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในทุกครั้ง ต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ผู้ทรงมีหนทางนับไม่ถ้วนที่จะบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระบัญชาของพระองค์ {MH 48.3}
In this miracle, Christ received from the Father; He imparted to the disciples, the disciples to the people, and the people to one another. So all who are united to Christ will receive from Him the bread of life, and impart it to others. His disciples are the appointed means of communication between Christ and the people. {MH 49.1}
การอัศจรรย์ในครั้งนี้ พระคริสต์ทรงได้รับอาหารมาจากพระบิดา จากนั้นประทานให้แก่บรรดาสาวก จากนั้นสาวกจึงแจกจ่ายให้แก่ประชาชน จากนั้นจึงแบ่งให้กันและกันในหมู่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง การกระทำลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้เข้าสนิทอยู่ในพระคริสต์ จะได้รับอาหารแห่งชีวิตมาจากพระองค์และแจกจ่ายออกไปเช่นกัน สาวกของพระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ติดต่อระหว่างพระคริสต์กับคนทั้งหลาย {MH 49.1}
When the disciples heard the Saviour’s direction, “Give ye them to eat,” all the difficulties arose in their minds. They questioned, “Shall we go into the villages to buy food?” But what said Christ? “Give ye them to eat.” The disciples brought to Jesus all they had; but He did not invite them to eat. He bade them serve the people. The food multiplied in His hands, and the hands of the disciples, reaching out to Christ, were never unfilled. The little store was sufficient for all. When the multitude had been fed, the disciples ate with Jesus of the precious, heaven-supplied food. {MH 49.2}
เมื่อเหล่าสาวกได้ยินพระดำรัสสั่งของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” ต่างรู้สึกยุ่งยากใจ จึงทูลถามพระองค์ว่า “เราจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารมาเลี้ยงคนเหล่านี้หรือ” แต่พระคริสต์ตรัสอย่างไร “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” พวกสาวกได้นำอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดมาถวายพระเยซู แต่พระองค์ไม่ได้บอกให้พวกเขากิน กลับมีพระดำรัสสั่งให้พวกเขานำอาหารไปเลี้ยงฝูงชน อาหารที่มีอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เพิ่มขึ้นและในมือของเหล่าสาวกที่เอื้อมไปหาพระองค์ก็มีอาหารอยู่เต็มบริบูรณ์เสมอ อาหารที่มีอยู่เล็กน้อยนี้กลับมีเพียงพอสำหรับทุกคน เมื่อฝูงชนได้รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว บรรดาสาวกจึงได้ร่วมรับประทานอาหารอันมีค่าที่สวรรค์ประทานมาให้พร้อมกับพระเยซู {MH 49.2}
As we see the necessities of the poor, the ignorant, the afflicted, how often our hearts sink. We question, “What avail our feeble strength and slender resources to supply this terrible necessity? Shall we not wait for someone of greater ability to direct the work, or for some organization to undertake it?” Christ says, “Give ye them to eat.” Use the means, the time, the ability, you have. Bring your barley loaves to Jesus. {MH 49.3}
บ่อยครั้งที่เรารู้สึกหดหู่ใจ เมื่อเห็นถึงสภาพที่แร้นแค้นของคนยากคนจน คนที่ขาดความรู้และคนที่ตกระกำลำบาก เราอาจจะถามว่า “กำลังอันอ่อนแอและเงินทองที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของเราจะมีส่วนช่วยเหลือในความทุกข์ยากลำบากอันเลวร้ายนี้ได้อย่างไร ควรรอให้ใครสักคนที่มีความสามารถมากกว่าเราเข้ามาดำเนินการไม่ดีกว่าหรือ หรือให้บางองค์กรเข้ามารับภาระไป” พระคริสต์ตรัสว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” จงใช้เงินทอง เวลา และความสามารถที่ท่านมีอยู่ นำขนมปังบารลีของท่านมาถวายแด่พระเยซู {MH 49.3}
Though your resources may not be sufficient to feed thousands, they may suffice to feed one. In the hand of Christ they may feed many. Like the disciples, give what you have. Christ will multiply the gift. He will reward honest, simple reliance upon Him. That which seemed but a meager supply will prove to be a rich feast. {MH 49.4}
แม้ท่านมีทรัพย์สิ่งของไม่พอเลี้ยงหลายพันคนได้ แต่ทรัพย์สินนี้อาจพอเลี้ยงหนึ่งคนได้ ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ ทรัพย์สินเหล่านี้จะเลี้ยงคนมากมายได้ เหมือนสาวกของพระองค์ จงถวายในสิ่งที่ท่านมี แล้วพระคริสต์จะทรงโปรดให้สิ่งของนั้นทวีขึ้น พระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ผู้ที่ไว้วางใจพระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อและถ่อมตน สิ่งที่ดูเหมือนมีแต่เพียงเล็กน้อย จะกลับกลายเป็นการเลี้ยงที่มีอาหารอันอุดม {MH 49.4}
“He that soweth sparingly shall reap also sparingly; and he that soweth with blessings shall reap also with blessings. . . . God is able to make all grace abound unto you; that ye, having always all sufficiency in everything, may abound unto every good work: as it is written, “He hath scattered abroad, He hath given to the poor; His righteousness abideth forever. {MH 50.1}
“คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก……. พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์” {MH 50.1}
“And He that supplieth seed to the sower and bread for food, shall supply and multiply your seed for sowing, and increase the fruits of your righteousness: ye being enriched in everything unto all liberality.” 2 Corinthians 9:6-11, R.V., margin. {MH 50.2}
“ฝ่ายพระองค์ผู้ประทานพืชแก่คนที่หว่าน และประทานอาหารแก่คนที่กิน จะทรงโปรดให้พืชของท่านที่หว่านแล้วนั้นทวีขึ้นเป็นอันมาก และจะทรงให้ผลแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญยิ่งขึ้น โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น“ 2 โครินธ์ 9:6-11 {MH 50.2}