Chapter 3 (บทที่ 3)
With Nature and With God
ความสัมพันธ์กับธรรมชาติและพระเจ้า

The Saviour’s life on earth was a life of communion with nature and with God. In this communion He revealed for us the secret of a life of power. {MH 51.1}

ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดในโลกนี้เป็นชีวิตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติและพระเจ้า ในความผูกพันนี้พระองค์ทรงเผยแก่เราถึงความลี้ลับแห่งชีวิตที่ประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ {MH 51.1}

Jesus was an earnest, constant worker. Never lived there among men another so weighted with responsibilities. Never another carried so heavy a burden of the world’s sorrow and sin. Never another toiled with such self-consuming zeal for the good of men. Yet His was a life of health. Physically as well as spiritually He was represented by the sacrificial lamb, “without blemish and without spot.” 1 Peter 1:19. In body as in soul He was an example of what God designed all humanity to be through obedience to His laws. {MH 51.2}

พระเยซูทรงเป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีพระทัยมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง ในบรรดามนุษย์ทั้งหลายนั้นยังไม่เคยมีผู้ใดที่ต้องรับผิดชอบมากเท่ากับพระองค์ ไม่มีผู้ใดที่ต้องรับภาระหนักของความทุกข์โศกและความผิดบาปอันยิ่งใหญ่ของโลกไว้มากมายเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่ต้องเหนื่อยยากตรากตรำด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมนุษย์ ถึงกระนั้น พระองค์ยังมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ทรงเปรียบเสมือนดังลูกแกะที่ถูกนำไปเป็นเครื่องถวายบูชา เป็น “ลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง” 1 เปโตร 1:19 ทั้งร่างกายและจิตใจของพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะให้บรรดามนุษย์โดยการเชื่อฟังและประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ {MH 51.2}

As the people looked upon Jesus, they saw a face in which divine compassion was blended with conscious power. He seemed to be surrounded with an atmosphere of spiritual life. While His manners were gentle and unassuming, He impressed men with a sense of power that was hidden, yet could not be wholly concealed. {MH 51.3}

เมื่อมนุษย์มองไปยังพระเยซู พวกเขาเห็นพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยพระกรุณาผสานกับฤทธิ์อำนาจแห่งการหยั่งรู้ของพระเจ้า เสมือนหนึ่งว่ามีบรรยากาศของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่ห้อมล้อมพระองค์ไว้ แม้ว่าในขณะที่พระองค์มีพระลักษณะที่สุภาพอ่อนโยนและถ่อมพระองค์ พระองค์ยังทรงสร้างความประทับใจแก่ผู้คนที่จะโน้มน้าวจิตใจของมนุษย์ได้ด้วยแรงรู้สึกถึงฤทธิ์อำนาจที่ทรงปิดซ่อนอยู่ในพระองค์ไว้ ถึงกระนั้นก็มิอาจปิดบังไว้ทั้งหมด {MH 51.3}

During His ministry He was continually pursued by crafty and hypocritical men who were seeking His life. Spies were on His track, watching His words, to find some occasion against Him. The keenest and most highly cultured minds of the nation sought to defeat Him in controversy. But never could they gain an advantage. They had to retire from the field, confounded and put to shame by the lowly Teacher from Galilee. Christ’s teaching had a freshness and a power such as men had never before known. Even His enemies were forced to confess, “Never man spake like this Man.” John 7:46. {MH 51.4}

ในระหว่างที่พระองค์ทรงกำลังปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น มีคนเจ้าเล่ห์และคนหน้าซื่อใจคดที่เฝ้าติดตามเพื่อปองร้ายพระองค์ คนสอดแนมคอยสะกดรอยตามพระองค์ว่า พระองค์จะตรัสอย่างไรเพื่อหาโอกาสจับผิดพระองค์ บรรดาผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลมและผู้คงแก่เรียนของบ้านเมืองคอยหาทางโต้แย้งปัญญาเพื่อเอาชนะพระองค์ แต่พวกเขาเอาชนะพระองค์ไม่ได้ ต่างต้องล่าถอยไปจากสถานที่เกิดการโต้แย้ง พวกเขางุนงงสับสน และอับอายต่อครูผู้ต่ำต้อยชาวกาลิลีท่านนี้ คำสอนของพระคริสต์เป็นสิ่งใหม่และมีฤทธิ์อำนาจที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แม้แต่ศัตรูของพระองค์ยังจำนนสารภาพว่า “ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย” ยอห์น 7:46 {MH 51.4}

The childhood of Jesus, spent in poverty, had been uncorrupted by the artificial habits of a corrupt age. Working at the carpenter’s bench, bearing the burdens of home life, learning the lessons of obedience and toil, He found recreation amidst the scenes of nature, gathering knowledge as He sought to understand nature’s mysteries. He studied the word of God, and His hours of greatest happiness were found when He could turn aside from the scene of His labors to go into the fields, to meditate in the quiet valleys, to hold communion with God on the mountainside or amid the trees of the forest. The early morning often found Him in some secluded place, meditating, searching the Scriptures, or in prayer. With the voice of singing He welcomed the morning light. With songs of thanksgiving He cheered His hours of labor and brought heaven’s gladness to the toilworn and disheartened. {MH 52.1}

ช่วงวัยเยาว์ของพระเยซู พระองค์ทรงดำรงชีวิตด้วยความยากจน แต่พระอุปนิสัยของพระองค์มิได้ด่างพร้อยไปกับยุคสมัยที่เสื่อมทราม พระองค์ทรงทำงานอยู่ที่โต๊ะของช่างไม้ ทรงรับภาระอันหนักภายในบ้าน ได้เรียนรู้ถึงบทเรียนของการเชื่อฟังและความเหนื่อยยาก พระองค์ทรงพักผ่อนหย่อนพระทัยท่ามกลางทัศนียภาพของธรรมชาติ ทรงแสวงหาความรู้โดยพยายามทำความเข้าใจถึงความลี้ลับของธรรมชาติ ทรงศึกษาพระวจนะของพระเจ้า เวลาที่พระองค์มีความสุขมากที่สุดก็คือ เมื่อทรงหยุดพักจากการงานและหันไปยังท้องทุ่งเพื่อสำรวมพระทัยในหุบเขาอันเงียบสงัด เพื่อสนทนากับพระเจ้าบนเนินเขาหรือท่ามกลางแมกไม้ในป่า บ่อยครั้งในยามเช้าตรู่ พระองค์จะประทับอยู่ในสถานที่อันเงียบสงบ เพื่อสำรวมพระทัยและทรงค้นข้อความในพระคัมภีร์หรือทรงอธิษฐานอ้อนวอน พระสุรเสียงของพระองค์ต้อนรับแสงอรุณในวันใหม่ ด้วยบทเพลงแห่งการโมทนาพระคุณพระเจ้า พระองค์ทรงกระทำให้เวลาที่พระองค์ทรงทำงานได้มีพระทัยเบิกบานและทรงนำความปีติยินดีของสวรรค์มาสู่ผู้ที่ต้องลำบากตรากตรำและท้อแท้สิ้นหวัง {MH 52.1}

During His ministry Jesus lived to a great degree an outdoor life. His journeys from place to place were made on foot, and much of His teaching was given in the open air. In training His disciples He often withdrew from the confusion of the city to the quiet of the fields, as more in harmony with the lessons of simplicity, faith, and self-abnegation He desired to teach them. It was beneath the sheltering trees of the mountainside, but a little distance from the Sea of Galilee, that the Twelve were called to the apostolate and the Sermon on the Mount was given. {MH 52.2}

ในระหว่างที่พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจ พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกบ้าน ทรงย่างพระบาทเสด็จไปยังที่ต่างๆ และพระองค์ทรงสั่งสอนในที่กลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่ ในการสั่งสอนสาวก บ่อยครั้งพระองค์เสด็จออกจากเมืองเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายไปยังท้องทุ่งที่สงบเงียบ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะสั่งสอนพวกเขาให้เกิดความเข้าใจและเพื่อให้สอดคล้องกับบทเรียนแห่งชีวิตที่เรียบง่าย ให้มีความเชื่อและรู้จักบังคับใจของตนเอง ภายใต้ร่มเงาของแมกไม้บนเนินเขาอันไม่ไกลจากทะเลสาบกาลิลี สถานที่แห่งนี้พระองค์ทรงแต่งตั้งชายสิบสองคนให้เป็นอัครสาวกและทรงแสดงปฐมเทศนาที่นี่ {MH 52.2}

Christ loved to gather the people about Him under the blue heavens, on some grassy hillside, or on the beach beside the lake. Here, surrounded by the works of His own creation, He could turn their thoughts from the artificial to the natural. In the growth and development of nature were revealed the principles of His kingdom. As men should lift their eyes to the hills of God and behold the wonderful works of His hand, they could learn precious lessons of divine truth. In future days the lessons of the divine Teacher would thus be repeated to them by the things of nature. The mind would be uplifted and the heart would find rest. {MH 54.1}

พระคริสต์ทรงพอพระทัยที่จะให้ฝูงชนมาห้อมล้อมพระองค์ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม บนเนินเขาอันเขียวขจี หรือบนริมฝั่งทะเลสาบ ด้วยสภาพที่ห้อมล้อมด้วยสรรพสิ่งที่มาจากพระหัตถกิจแห่งการทรงสร้างของพระองค์นี้ พระองค์ทรงชักจูงจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นไปหาธรรมชาติ ความเจริญงอกงามของธรรมชาติสำแดงถึงหลักการแห่งอาณาจักรของพระองค์ เมื่อมนุษย์แหงนหน้าขึ้นมองดูบรรดาภูเขาของพระเจ้าและสังเกตเห็นถึงมหกิจแห่งพระหัตถ์ของพระองค์นั้น พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียนแห่งความจริงอันประเสริฐของพระเจ้า ในกาลภายหน้า สรรพสิ่งในธรรมชาติจะย้ำเตือนให้ระลึกถึงบทเรียนของพระอาจารย์ได้อีก จิตใจของเขาก็จะมีความปีติยินดีและได้รับการพักผ่อน {MH 54.1}

The disciples who were associated with Him in His work, Jesus often released for a season, that they might visit their homes and rest; but in vain were their efforts to draw Him away from His labors. All day He ministered to the throngs that came to Him, and at eventide, or in the early morning, He went away to the sanctuary of the mountains for communion with His Father. {MH 55.1}

หลายครั้งที่พระเยซูทรงให้พวกสาวกที่ร่วมปฏิบัติงานในพระราชกิจของพระองค์หยุดพักบ้าง เพื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัวและพักผ่อน แต่ความพยายามของพวกสาวกที่จะให้พระองค์ได้หยุดพักจากพระราชกิจนั้นไม่เป็นผลแต่อย่างใด พระองค์ทรงให้การรักษาพยาบาลแก่ฝูงชนที่เข้ามาเฝ้าพระองค์ตลอดทั้งวันและในเวลาใกล้ค่ำหรือในยามเช้าตรู่ พระองค์จะเสด็จไปยังที่สงัดบนภูเขาเพื่อสนทนากับพระบิดาของพระองค์ {MH 55.1}

Often His incessant labor and the conflict with the enmity and false teaching of the rabbis left Him so utterly wearied that His mother and brothers, and even His disciples, feared that His life would be sacrificed. But as He returned from the hours of prayer that closed the toilsome day, they marked the look of peace upon His face, the freshness and life and power that seemed to pervade His whole being. From hours spent alone with God He came forth, morning by morning, to bring the light of heaven to men. {MH 55.2}

บ่อยครั้ง ในการปฏิบัติพระราชกิจโดยไม่หยุดหย่อนและความขัดแย้งกับเหล่ารับบีที่ตั้งตัวเป็นศัตรูและสั่งสอนอย่างผิดๆ ทำให้พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งนัก จนมารดาและพี่น้องและแม้แต่กระทั่งเหล่าสาวกของพระองค์ต่างกลัวว่าพระองค์อาจเสียชีวิตไปก่อน แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับจากการอธิษฐานเป็นชั่วโมงที่ปิดท้ายการทำงานหนักตลอดวัน พวกเขาสังเกตว่าพระพักตร์ของพระองค์ดูสุขสงบ สดชื่น มีชีวิตชีวาและมีกำลังวังชา เสมือนว่าแผ่ซ่านไปทั้งวรกายของพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาจากการใช้เวลาอยู่กับพระเจ้าตามลำพังเช่นนี้ จึงทรงพร้อมที่จะนำแสงสว่างจากสวรรค์มาประทานให้แก่มนุษย์ได้ทุกวัน {MH 55.2}

It was just after the return from their first missionary tour that Jesus bade His disciples, Come apart, and rest awhile. The disciples had returned, filled with the joy of their success as heralds of the gospel, when the tidings reached them of the death of John the Baptist at the hand of Herod. It was a bitter sorrow and disappointment. Jesus knew that in leaving the Baptist to die in prison He had severely tested the disciples’ faith. With pitying tenderness He looked upon their sorrowful, tear-stained faces. Tears were in His own eyes and voice as He said, “Come ye yourselves apart into a desert place, and rest awhile.” Mark 6:31. {MH 56.1}

เมื่อสาวกกลับจากการประกาศศาสนาในครั้งแรก พระเยซูทรงรับสั่งพวกเขาให้ได้แยกตัวออกมาจากฝูงชน เพื่อจะได้หยุดพักสักระยะหนึ่ง พวกสาวกได้กลับมาด้วยความชื่นชมยินดีกับผลสำเร็จในการประกาศพระกิตติคุณประเสริฐ แต่เมื่อได้รับข่าวว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมาได้สิ้นชีพแล้วตามคำสั่งของกษัตริย์เฮโรด เป็นความโศกเศร้าที่ขมขื่นใจและผิดหวัง พระเยซูทรงทราบดีว่าการที่ปล่อยให้ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาต้องตายอยู่ในคุกนั้น เป็นการทดสอบความเชื่อของเหล่าสาวกอย่างรุนแรง พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูใบหน้าอันโศกเศร้าที่อาบด้วยน้ำตาของเหล่าสาวกด้วยพระทัยที่เปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร พระเนตรและพระสุรเสียงของพระองค์ทรงคลอด้วยน้ำตา ขณะที่พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกตัวไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อย” มาระโก 6:31 {MH 56.1}

Near Bethsaida, at the northern end of the Sea of Galilee, was a lonely region, beautiful with the fresh green of spring, that offered a welcome retreat to Jesus and His disciples. For this place they set out, going in their boat across the lake. Here they could rest, apart from the confusion of the multitude. Here the disciples could listen to the words of Christ, undisturbed by the retorts and accusations of the Pharisees. Here they hoped to enjoy a short season of fellowship in the society of their Lord. {MH 56.2}

ใกล้เมืองเบธไซดาทางทิศเหนือของทะเลสาบกาลิลี มีสถานที่ๆ เงียบสงัดอยู่แห่งหนึ่งที่งดงามอุดมด้วยพฤกษานานาพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิ ที่ได้มอบคำเชื้อเชิญให้พระเยซูและเหล่าสาวกได้พักผ่อนในช่วงเวลาที่เงียบสงบ พวกเขาได้ลงเรือข้ามทะเลสาบเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนี้ เพื่อจะได้หยุดพักผ่อนบ้างและแยกไปจากความวุ่นวายของฝูงชน ณ ที่แห่งนี้ที่พวกสาวกจะได้ฟังพระดำรัสของพระคริสต์โดยที่ไม่ต้องถูกรบกวนจากจากคำเย้ยหยันและกล่าวโทษจากพวกฟาริสี ที่นี้อีกเช่นกัน ที่พวกเขาหวังที่จะได้เบิกบานใจที่ได้ร่วมสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาสักระยะหนึ่งได้ {MH 56.2}

Only a short time did Jesus have alone with His beloved ones, but how precious to them were those few moments. They talked together regarding the work of the gospel and the possibility of making their labor more effective in reaching the people. As Jesus opened to them the treasures of truth, they were vitalized by divine power and inspired with hope and courage. {MH 56.3}

พระเยซูทรงมีเวลาอยู่กับเหล่าสาวกที่พระองค์ทรงรักตามลำพังแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นชั่วขณะที่สุดแสนประเสริฐสำหรับพวกเขาเสียเหลือเกิน เขาสนทนากันถึงกิจการในการประกาศข่าวประเสริฐและการที่จะดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพให้มากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะสามารถเข้าถึงประชาชนได้ เมื่อพระเยซูทรงเปิดคลังสมบัติแห่งความจริงให้แก่พวกเขา พวกเขาจึงได้รับกำลังด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าอีกทั้งยังได้รับแรงบันดาลใจแห่งความหวังและความกล้าหาญ {MH 56.3}

But soon He was again sought for by the multitude. Supposing that He had gone to His usual place of retirement, the people followed Him thither. His hope to gain even one hour of rest was frustrated. But in the depth of His pure, compassionate heart the Good Shepherd of the sheep had only love and pity for these restless, thirsting souls. All day He ministered to their needs, and at evening dismissed them to go to their homes and rest. {MH 57.1}

แต่ไม่นานต่อมา ฝูงชนก็ตามมาหาพระองค์อีก พวกเขาคิดว่าพระองค์คงจะเสด็จไปยังสถานที่ๆ พระองค์ทรงเคยไปพักผ่อน ความหวังของพระองค์ที่จะได้พักผ่อนแม้สักชั่วโมงเดียวจึงเป็นอันต้องหมดสิ้นไป แต่ภายในส่วนลึกของพระหทัยของพระองค์ที่ใสบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยพระทัยกรุณา ผู้เลี้ยงแกะที่ดีนั้นย่อมมีแต่เพียงความรักและความเมตตาสงสารให้แก่จิตวิญญาณที่กระวนกระวายและหิวกระหายเหล่านี้และแสวงหาที่จะได้รับการพักผ่อน ตลอดทั้งวันพระองค์ทรงช่วยเหลือและทรงให้การรักษาพยาบาลคนป่วยเจ็บ ส่วนในตอนค่ำ พระองค์ตรัสบอกให้พวกเขาได้กลับไปพักผ่อนยังที่บ้านของเขา {MH 57.1}

In a life wholly devoted to the good of others, the Saviour found it necessary to turn aside from ceaseless activity and contact with human needs, to seek retirement and unbroken communion with His Father. As the throng that had followed Him depart, He goes into the mountains, and there, alone with God, pours out His soul in prayer for these suffering, sinful, needy ones. {MH 58.1}

พระผู้ช่วยให้รอดทรงอุทิศทั้งชีวิตของพระองค์เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น พระองค์ทรงทราบถึงความจำเป็นที่พระองค์จะต้องหันไปจากการงานที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุดและต้องเข้าถึงความต้องการของมนุษย์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงพักผ่อนและได้ติดต่อสนทนากับพระบิดาโดยไม่ถูกรบกวน เมื่อฝูงชนที่ติดตามพระองค์ได้จากไปแล้ว พระองค์เสด็จไปยังภูเขา และที่นั่น พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าตามลำพัง พระองค์ทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงในคำอธิษฐานเพื่อคนทั้งหลายที่กำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ตกอยู่ในบาปและยากจนขัดสน {MH 58.1}

When Jesus said to His disciples that the harvest was great and the laborers were few, He did not urge upon them the necessity of ceaseless toil, but bade them, “Pray ye therefore the Lord of the harvest, that He will send forth laborers into His harvest.” Matthew 9:38. To His toil-worn workers today as really as to His first disciples He speaks these words of compassion, “Come ye yourselves apart, . . . and rest awhile.” {MH 58.2}

เมื่อพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า การเก็บเกี่ยวนั้นยิ่งใหญ่นักแต่คนงานยังมีน้อย พระองค์มิได้ทรงเร่งรัดสนับสนุนให้พวกเขาต้องตรากตรำทำงานโดยไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่ทรงรับสั่งว่า “จงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” มัทธิว 9:38 พระองค์ตรัสด้วยพระทัยกรุณากับผู้รับใช้ของพระองค์ที่ต้องตรากตรำทำงานหนักในทุกวันนี้เหมือนดังเช่นที่ตรัสกับเหล่าสาวกกลุ่มแรกของพระองค์ว่า “จงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง” มาระโก 6:31 {MH 58.2}

All who are under the training of God need the quiet hour for communion with their own hearts, with nature, and with God. In them is to be revealed a life that is not in harmony with the world, its customs, or its practices; and they need to have a personal experience in obtaining a knowledge of the will of God. We must individually hear Him speaking to the heart. When every other voice is hushed, and in quietness we wait before Him, the silence of the soul makes more distinct the voice of God. He bids us, “Be still, and know that I am God.” Psalm 46:10. This is the effectual preparation for all labor for God. Amidst the hurrying throng, and the strain of life’s intense activities, he who is thus refreshed will be surrounded with an atmosphere of light and peace. He will receive a new endowment of both physical and mental strength. His life will breathe out a fragrance, and will reveal a divine power that will reach men’s hearts. {MH 58.3}

คนทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การฝึกฝนอบรมจากพระเจ้าจะต้องการเวลาที่สงบเพื่อได้ใคร่ครวญกับตนเอง ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติและติดต่อสนทนากับพระเจ้า เขาจะต้องสำแดงชีวิตที่มิได้ประพฤติตามผู้ที่อยู่ในฝ่ายโลก ตามขนบธรรมเนียม หรือวิธีปฏิบัติตามอย่างโลก และเขาจะต้องมีประสบการณ์ส่วนตัวที่จะได้เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เราจะต้องสดับฟังสิ่งที่พระองค์ตรัสกับจิตใจของเราเป็นการส่วนตัว เมื่อเสียงอื่นๆ ทุกเสียงได้เงียบลงและเราได้เฝ้ารออยู่ที่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์อย่างสงบ จิตวิญญาณที่สงบนิ่งย่อมจะทำให้เราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พระองค์ทรงรับสั่งกับเราว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” สดุดี 46:10 นี้คือ การเตรียมตัวที่ได้ผลสำหรับการปฏิบัติงานทั้งหลายของพระเจ้า ในท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเร่งรีบและการงานในชีวิตที่เคร่งเครียด โดยประการฉะนี้ ผู้ที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยบรรยากาศของแสงสว่างและความสงบสุขจากพระเจ้า จึงได้รับความสดชื่นและเขาจะได้รับกำลังกายและกำลังสติปัญญาที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ชีวิตของเขาจะได้ส่งกลิ่นหอมให้กำจายออกไปและจะได้สำแดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่จะเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ทั้งปวงได้ {MH 58.3}