Chapter 4 (บทที่ 4)
The Touch of Faith
สัมผัสแห่งความเชื่อ

“If I may but touch His garment, I shall be whole.” Matthew 9:21. It was a poor woman who spoke these words–a woman who for twelve years had suffered from a disease that made her life a burden. She had spent all her means upon physicians and remedies, only to be pronounced incurable. But as she heard of the Great Healer, her hopes revived. She thought, “If only I could get near enough to speak to Him, I might be healed.” {MH 59.1}

“ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น เราก็จะหายโรค” มัทธิว 9:21 ผู้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ คือ หญิงผู้น่าสงสารคนหนึ่งที่มีชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคร้ายมาเป็นเวลาสิบสองปีแล้ว นางได้ใช้เงินทองที่มีอยู่ทั้งหมดไปเป็นค่าหมอและในการเยียวยารักษา แต่ก็เพียงเพื่อจะได้รับการวินิจฉัยว่าโรคร้ายที่นางเป็นอยู่นั้นเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่เมื่อนางได้ยินเรื่องของแพทย์ผู้ประเสริฐ ความหวังจึงได้เรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง นางคิดว่า “หากเราเพียงแต่ได้อยู่ใกล้พอที่จะทูลพระองค์เราจะหายโรคได้” {MH 59.1}

Christ was on His way to the home of Jairus, the Jewish rabbi who had entreated Him to come and heal his daughter. The heartbroken petition, “My little daughter lieth at the point of death: I pray Thee, come and lay Thy hands on her, that she may be healed” (Mark 5:23), had touched the tender, sympathetic heart of Christ, and He at once set out with the ruler for his home. {MH 59.2}

พระคริสต์กำลังเสด็จไปที่บ้านของไยรัส อาจารย์รับบีชาวยิว ผู้ได้ทูลขอให้พระองค์เสด็จมาเพื่อรักษาบุตรสาวของเขา คำทูลอ้อนวอนที่ระคนด้วยความโศกเศร้าเสียใจที่ว่า “ลูกสาวเล็ก ๆ ของข้าพระองค์เจ็บ เกือบจะตายแล้ว ขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขา เพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่ตาย” มาระโก 5:23 ทำให้พระทัยอันอ่อนโยนของพระคริสต์รู้สึกสงสาร ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปยังบ้านของท่านผู้ปกครองในทันที {MH 59.2

They advanced but slowly; for the crowd pressed Christ on every side. In making His way through the multitude, the Saviour came near to where the afflicted woman was standing. Again and again she had tried in vain to get near Him. Now her opportunity had come. She could see no way of speaking to Him. She would not seek to hinder His slow advance. But she had heard that healing came from a touch of His garments; and, fearful of losing her one chance for relief, she pressed forward, saying to herself, “If I may but touch His garment, I shall be whole.” {MH 59.3}

พวกเขาพากันเดินไปอย่างช้าๆเพราะฝูงชนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่รอบด้าน ในขณะที่ทรงดำเนินฝ่าฝูงชนเข้าไปนั้น พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จเข้ามาใกล้หญิงที่เจ็บป่วยทรมานที่กำลังยืนอยู่ ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่นางได้พยายามจะเข้าไปให้ใกล้กับพระองค์ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของนางจะเป็นสิ่งที่ไร้ผล บัดนี้โอกาสของนางมาถึงแล้ว นางมองไม่เห็นหนทางที่จะได้ทูลขอต่อพระองค์ นางไม่ต้องการขวางทางการดำเนินอย่างช้า ๆ ของพระองค์ แต่นางเคยได้ยินมาว่า แม้แต่เพียงการสัมผัสชายฉลองพระองค์ก็จะสามารถเยียวยารักษาให้หายจากโรคได้ และการที่นางกลัวว่าจะหมดโอกาสที่มีอยู่เพียงครั้งเดียวนี้ เพื่อที่จะได้รับการปลดเปลื้องให้หาย นางจึงพยายามเบียดเสียดฝูงชนไปข้างหน้า นางได้พูดกับตนเองว่า “ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค” {MH 59.3}

Christ knew every thought of her mind, and He was making His way to where she stood. He realized her great need, and He was helping her to exercise faith. {MH 60.1}

พระคริสต์ทรงทราบความนึกคิดที่มีอยู่ในจิตใจของนางทุกประการ ดังนั้นพระองค์จึงทรงดำเนินไปยังที่ๆนางยืนอยู่ พระองค์ทรงตระหนักถึงความต้องการอันใหญ่หลวงของนาง และพระองค์ได้ทรงช่วยให้นางได้มีโอกาสใช้ความเชื่อที่นางมีอยู่ {MH 60.1}

As He was passing, she reached forward and succeeded in barely touching the border of His garment. That moment she knew that she was healed. In that one touch was concentrated the faith of her life, and instantly her pain and feebleness disappeared. Instantly she felt the thrill as of an electric current passing through every fiber of her being. There came over her a sensation of perfect health. “She felt in her body that she was healed of that plague.” Verse 29. {MH 60.2}

ในขณะที่พระองค์ทรงกำลังดำเนินผ่านไป นางพยายามเอื้อมมือออกไปและแตะแค่เพียงชายฉลองพระองค์ ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง นางประจักษ์ว่านางได้รับการรักษาให้หายจากโรคแล้ว นางได้บรรจบรวมความเชื่อที่มีอยู่ในชีวิตเข้ามาอยู่ในการสัมผัสนั้นเพียงครั้งเดียว ความเจ็บปวดทรมานและความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของนางได้มลายหายสิ้นไปในบัดดล นางมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีกระแสไฟฟ้าได้แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายอย่างฉับพลัน นางรู้สึกได้ถึงสุขภาพที่กลับมาสมบูรณ์ดีเลิศอีกครั้ง “ผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว” มาระโก 5:29 {MH 60.2}

The grateful woman desired to express her thanks to the Mighty Healer, who had done more for her in one touch than the physicians had done in twelve long years; but she dared not. With a grateful heart she tried to withdraw from the crowd. Suddenly Jesus stopped, and looking round He asked, “Who touched Me?” {MH 60.3}

หญิงนั้นรู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตาของพระองค์จึงปรารถนาที่จะขอบพระคุณต่อแพทย์ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจ ผู้ทรงกระทำคุณอนันต์แก่นางด้วยการสัมผัสเพียงครั้งเดียวยิ่งกว่าพวกหมอที่ได้รักษามาเป็นเวลานานถึงสิบสองปี แต่นางก็ไม่กล้า จึงหาทางเดินออกไปจากฝูงชน ด้วยจิตใจที่ซาบซึ้งในพระคุณ ทันใดนั้นเองพระเยซูทรงหยุดพระดำเนินและเหลียวมองไปรอบๆ และตรัสถามว่า “ใครถูกต้องเสื้อของเรา” {MH 60.3}

Looking at Him in amazement, Peter answered, “Master, the multitude throng Thee and press Thee, and sayest Thou, Who touched Me?” Luke 8:45. {MH 60.4}

เปโตรมองดูพระองค์ด้วยความประหลาดใจ แล้วได้ทูลตอบว่า “อาจารย์เจ้าข้า ก็เป็นเพราะประชาชนเบียดเสียดพระองค์ และพระองค์ยังทรงถามอีกหรือว่า `ใครได้ถูกต้องเรา’” ลูกา 8:45 {MH 60.4}

“Somebody hath touched Me,” Jesus said; “for I perceive that virtue is gone out of Me.” Verse 46. He could distinguish the touch of faith from the casual touch of the careless throng. Someone had touched Him with a deep purpose and had received answer. {MH 60.5}

พระเยซูตรัสว่า “มีผู้หนึ่งได้ถูกต้องเรา เพราะเรารู้สึกว่าฤทธิ์ได้ซ่านออกจากเราแล้ว” ลูกา 8:46 พระองค์ทรงแยกความแตกต่างระหว่างสัมผัสแห่งความเชื่อและการแตะต้องถูกพระองค์โดยไม่ได้ตั้งใจของฝูงชนออกจากกันได้ ใครคนหนึ่งได้สัมผัสพระองค์ด้วยความมุ่งหมายอันลึกซึ้งและผู้นั้นก็ได้รับการตอบสนอง {MH 60.5}

Christ did not ask the question for His own information. He had a lesson for the people, for His disciples, and for the woman. He wished to inspire the afflicted with hope. He wished to show that it was faith which had brought the healing power. The woman’s trust must not be passed by without comment. God must be glorified by her grateful confession. Christ desired her to understand that He approved her act of faith. He would not have her depart with a half blessing only. She was not to remain in ignorance of His knowledge of her suffering, or of His compassionate love and of His approval of her faith in His power to save to the uttermost all who come to Him. {MH 60.6}

พระคริสต์มิได้ตรัสถามเพื่อให้พระองค์ได้รับคำตอบ พระองค์ทรงมีบทเรียนไว้ให้กับฝูงชน สาวกและหญิงคนนั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะดลบันดาลใจของผู้ที่กำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานอยู่ให้ได้มีความหวัง พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสำแดงให้เห็นว่าความเชื่อเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดฤทธิ์อำนาจในการเยียวยา พระองค์ทรงมิยอมปล่อยให้ความไว้วางใจของหญิงนั้นผ่านพ้นไปโดยที่มิได้กล่าวถึง คำสารภาพด้วยการสำนึกในพระคุณต่อพระองค์ของหญิงนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ถวายสง่าราศีแด่พระเจ้า พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะให้นางได้เข้าใจว่าพระองค์ทรงเห็นชอบในการกระทำอันแสดงถึงความเชื่อของนาง พระองค์จะมิทรงยอมให้นางต้องจากไปโดยที่ได้รับพระพรแต่เพียงส่วนเดียว นางจะต้องไม่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าแท้จริงพระองค์ได้ทรงทราบถึงความเจ็บป่วยทรมานของนางหรือไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมีความรักใคร่ด้วยพระทัยที่เมตตาสงสาร และพระองค์ทรงเห็นชอบในการกระทำอันแสดงถึงความเชื่อของนางในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระองค์ ฮีบรู 7:25 {MH 60.6}

Looking toward the woman, Christ insisted on knowing who had touched Him. Finding concealment vain, she came forward trembling, and cast herself at His feet. With grateful tears she told Him, before all the people, why she had touched His garment, and how she had been immediately healed. She feared that her act in touching His garment had been one of presumption; but no word of censure came from Christ’s lips. He spoke only words of approval. They came from a heart of love, filled with sympathy for human woe. “Daughter,” He said gently, “be of good comfort: thy faith hath made thee whole; go in peace.” Verse 48. How cheering were these words to her. Now no fear that she had given offense embittered her joy. {MH 61.1}

พระคริสต์ทรงทอดพระเนตรไปทางหญิงนั้นและทรงยืนยันที่จะทราบว่าผู้ใดได้แตะต้องพระองค์ เมื่อนางเห็นว่ามิอาจจะปิดบังได้อีกต่อไป นางจึงก้าวออกมาด้วยอาการเนื้อตัวสั่นเทาและหมอบลงแทบพระบาทของพระองค์ ทูลพระองค์ต่อหน้าฝูงชนด้วยน้ำตาที่ซาบซึ้งในพระคุณว่าเหตุใดนางจึงได้สัมผัสฉลองพระองค์ และนางได้หายจากโรคในทันที นางเกรงว่าการที่นางได้ถูกต้องสัมผัสชายฉลองพระองค์นั้นจะเป็นการกระทำที่บังอาจ แต่ไม่มีคำตำหนิใดออกมาจากพระโอษฐ์ของพระคริสต์ พระองค์ตรัสแต่เพียงถ้อยคำที่แสดงถึงความเห็นชอบ เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากพระทัยที่เปี่ยมด้วยความรัก ความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของมนุษย์ พระองค์ตรัสอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด” ลูกา 8:48 พระดำรัสเหล่านี้ได้สร้างความยินดีให้กับนางยิ่งนัก บัดนี้ จึงไม่มีความหวาดกลัวที่เกิดจากการกระทำผิด อันจะทำให้ความปีติยินดีของนางต้องกลายเป็นความเศร้าเสียใจอีกต่อไป {MH 61.1}

To the curious crowd pressing about Jesus there was imparted no vital power. But the suffering woman who touched Him in faith received healing. So in spiritual things does the casual contact differ from the touch of faith. To believe in Christ merely as the Saviour of the world can never bring healing to the soul. The faith that is unto salvation is not a mere assent to the truth of the gospel. True faith is that which receives Christ as a personal Saviour. God gave His only-begotten Son, that I, by believing in Him, “should not perish, but have everlasting life.” John 3:16. When I come to Christ, according to His word, I am to believe that I receive His saving grace. The life that I now live, I am to “live by the faith of the Son of God, who loved me, and gave Himself for me.” Galatians 2:20. {MH 62.1}

ฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็นที่เบียดเสียดกันโดยรอบพระเยซูนั้นกลับมิได้รับซึ่งฤทธิ์อำนาจที่ประทานชีวิต แต่หญิงผู้ต้องทนทุกข์ทรมานซึ่งได้สัมผัสพระองค์ด้วยความเชื่อกลับได้รับการรักษาให้หาย ฉันนั้น ในสิ่งที่เกี่ยวกับฝ่ายจิตวิญญาณ การสัมผัสอย่างธรรมดาโดยที่มิได้มีความตั้งใจย่อมจะแตกต่างจากการสัมผัสด้วยความเชื่อ การเพียงแต่เชื่อว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกย่อมมิอาจที่จะนำการรักษามาให้แก่จิตวิญญาณได้ ความเชื่อที่จะนำไปสู่ความรอดได้นั้น มิใช่เพียงแต่การยอมรับความจริงของพระกิตติคุณประเสริฐเท่านั้น ความเชื่อที่แท้จริงได้มาจากการยอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัว พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อว่าโดยความเชื่อในพระองค์ ข้าพเจ้า “จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 3:16 เมื่อข้าพเจ้ามาหาพระคริสต์ตามคำเชิญของพระองค์ ข้าพเจ้าจะต้องเชื่อว่าข้าพเจ้าจะได้รับพระคุณแห่งความรอดของพระองค์ ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าจะต้อง “ดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” กาลาเทีย 2:20 (THSV) {MH 62.1}

Many hold faith as an opinion. Saving faith is a transaction, by which those who receive Christ join themselves in covenant relation with God. A living faith means an increase of vigor, a confiding trust, by which, through the grace of Christ, the soul becomes a conquering power. {MH 62.2}

หลายคนต่างถือว่าความเชื่อเป็นเพียงแค่ความคิดเห็น แต่ความเชื่อที่นำไปสู่ความรอดนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คนทั้งหลายที่ได้รับพระคริสต์จะได้มีส่วนร่วมในสายสัมพันธ์ของพันธสัญญากับพระเจ้า ความเชื่อที่มีชีวิต หมายถึง การมีกำลังอำนาจฝ่ายจิตวิญญาณที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น มีความไว้วางใจด้วยความเชื่อมั่น และโดยพระคุณของพระเจ้า จิตวิญญาณจึงมีกำลังอำนาจที่จะมีชัยชนะเหนือโลก {MH 62.2}

Faith is a mightier conqueror than death. If the sick can be led to fix their eyes in faith upon the Mighty Healer, we shall see wonderful results. It will bring life to the body and to the soul. {MH 62.3}

ความเชื่อเป็นผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่กว่าความตาย หากเราสามารถจะชักจูงผู้ที่เจ็บป่วยให้เพ่งมองไปยังแพทย์ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจด้วยความเชื่อได้แล้ว เราก็จะได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์อย่างมากมาย ซึ่งจะนำชีวิตมาสู่ร่างกายและจิตใจ {MH 62.3}

In working for the victims of evil habits, instead of pointing them to the despair and ruin toward which they are hastening, turn their eyes away to Jesus. Fix them upon the glories of the heavenly. This will do more for the saving of body and soul than will all the terrors of the grave when kept before the helpless and apparently hopeless. {MH 62.4}

ในการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องเจ็บป่วยทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากนิสัยที่ชั่วร้ายนั้นให้เราได้หันเหสายตาของเขาไปยังพระเยซู แทนที่จะชี้ให้เขาเห็นแต่เพียงความสิ้นหวังและความพินาศที่ตัวเขากำลังรุดหน้าไปสู่ ให้พวกเขาจ้องไปยังสง่าราศีแห่งสวรรค์ สิ่งนี้จะช่วยทั้งกายและจิตวิญญาณให้รอดได้มากกว่าเรื่องน่ากลัวของความตายที่นำมาแสดงให้คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และมองเห็นว่าเป็นผู้ไร้ซึ่งความหวังใดๆได้เห็น {MH 62.4}

“According to His Mercy He Saved Us.”

“ทรงช่วยเราให้รอดด้วยพระกรุณาของพระองค์”

A centurion’s servant was lying sick of the palsy. Among the Romans the servants were slaves, bought and sold in the market places, and often treated with abuse and cruelty; but the centurion was tenderly attached to his servant, and greatly desired his recovery. He believed that Jesus could heal him. He had not seen the Saviour, but the reports he had heard inspired him with faith. Notwithstanding the formalism of the Jews, this Roman was convinced that their religion was superior to his own. Already he had broken through the barriers of national prejudice and hatred that separated the conquerors from the conquered people. He had manifested respect for the service of God and had shown kindness to the Jews as His worshipers. In the teaching of Christ, as it had been reported to him, he found that which met the need of the soul. All that was spiritual within him responded to the Saviour’s words. But he thought himself unworthy to approach Jesus, and he appealed to the Jewish elders to make request for his servant’s healing. {MH 63.1}

บ่าวรับใช้คนหนึ่งของนายร้อยได้นอนป่วยเป็นอัมพาต ในหมู่ชาวโรมันแล้วถือว่าบ่าวรับใช้คือ ทาสซึ่งซื้อขายกันได้ในท้องตลาด และบ่อยครั้งที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ แต่นายร้อยคนนี้มีจิตใจรักใคร่สงสารบ่าวรับใช้ของเขาและมีความปรารถนายิ่งที่จะให้เขาได้หายโรค เขาเชื่อว่าพระเยซูจะทรงรักษาบ่าวรับใช้ให้หายป่วยได้ เขาไม่เคยพบเห็นพระผู้ช่วยให้รอดมาก่อน แต่ข่าวที่เขาเคยได้ยินได้บันดาลจิตใจให้เขามีความเชื่อ แม้ชาวยิวจะมีพิธีกรรมอันเคร่งครัดก็ตาม แต่นายทหารโรมันท่านนี้มีความเชื่อมั่นว่าศาสนาของพวกเขานั้นมีความสำคัญเหนือกว่าศาสนาของตนเอง เขาได้ทลายสิ่งที่กีดขวางในอคติและความเดียดฉันท์ระหว่างเชื้อชาติ ซึ่งได้แบ่งแยกผู้ชนะออกจากผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครอง เขาได้แสดงความเคารพนับถือต่อการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและแสดงความเมตตากรุณาต่อชนชาติยิว โดยการที่เขาได้เป็นผู้ที่นมัสการพระเจ้าด้วย ในคำสั่งสอนของพระคริสต์ตามที่เขาได้ยินมา เขาได้พบสิ่งซึ่งจิตวิญญาณของเขาต้องการ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายจิตวิญญาณในตัวของเขาได้ตอบสนองต่อพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด แต่เขาคิดว่าตัวเองนั้นไม่มีค่าควรที่จะได้เข้าเฝ้าพระเยซู เขาจึงได้ร้องขอให้ผู้ใหญ่บางคนของพวกยิวให้ทูลพระองค์เพื่อจะได้เยียวยารักษาบ่าวรับใช้ของเขาให้หายป่วย {MH 63.1}

The elders present the case to Jesus, urging that “he was worthy for whom He should do this: for he loveth our nation, and he hath built us a synagogue.” Luke 7:4, 5. {MH 63.2}

พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นได้นำเรื่องมาทูลอ้อนวอนต่อพระเยซูว่า “นายร้อยนั้นเป็นคนสมควรที่พระองค์จะกระทำการนั้นให้ท่าน เพราะว่าท่านรักชนชาติของเรา และท่านเองได้สร้างธรรมศาลาให้เรา” ลูกา 7:4,5 {MH 63.2}

But on the way to the centurion’s home, Jesus receives a message from the officer himself, “Lord, trouble not Thyself: for I am not worthy that Thou shouldest enter under my roof.” Verse 6. {MH 63.3}

แต่ในระหว่างการเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านของนายร้อย พระเยซูทรงได้รับข่าวจากนายทหารท่านนี้เองว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์” ลูกา 7:6 {MH 63.3}

Still the Saviour keeps on His way, and the centurion comes in person to complete the message, saying, “Neither thought I myself worthy to come unto Thee,” “but speak the word only, and my servant shall be healed. For I am a man under authority, having soldiers under me: and I say to this man, Go, and he goeth; and to another, Come, and he cometh; and to my servant, Do this, and he doeth it.” Verse 7; Matthew 8:8, 9. {MH 63.4}

แต่พระผู้ช่วยให้รอดก็ยังคงเสด็จดำเนินต่อไปและนายร้อยได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยตนเองเพื่อมาทูลเรื่องทั้งหมดให้พระองค์ทรงทราบ “ข้าพระองค์จึงคิดเห็นว่า ไม่สมควรที่ข้าพระองค์จะไปหาพระองค์ด้วย” “ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น บ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค ข้าพระองค์รู้ดี เพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา บอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ” ลูกา 7:7; มัทธิว 8:8, 9 {MH 63.4}

“I represent the power of Rome, and my soldiers recognize my authority as supreme. So dost Thou represent the power of the infinite God, and all created things obey Thy word. Thou canst command the disease to depart, and it shall obey Thee. Speak but the word, and my servant shall be healed.” {MH 64.1}

“ข้าพระองค์เป็นตัวแทนผู้มีอำนาจของประเทศโรมและทหารของข้าพระองค์ยอมรับว่าข้าพระองค์มีอำนาจยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นผู้แทนของพระเจ้ายิ่งใหญ่เช่นกันและสรรพสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างมานั้นเชื่อปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ทรงบัญชาให้โรคภัยจากไปได้และมันจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น บ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค” {MH 64.1}

“As thou hast believed,” Christ said, “so be it done unto thee. And his servant was healed in the selfsame hour.” Verse 13. {MH 64.2}

พระคริสต์ตรัสว่า “ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น ในทันใดนั้นเอง บ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ” มัทธิว 8:13 {MH 64.2}

The Jewish elders had commended the centurion to Christ because of the favor he had shown to “our nation.” He is worthy, they said, for “he hath built us a synagogue.” But the centurion said of himself, “I am not worthy.” Yet he did not fear to ask help from Jesus. Not to his own goodness did he trust, but to the Saviour’s mercy. His only argument was his great need. {MH 65.1}

พวกผู้ใหญ่ชาวยิวได้ทูลชมเชยนายร้อยให้พระคริสต์ได้ทรงทราบว่า เพราะคุณงามความดีที่เขาได้ปฏิบัติต่อ “ชนชาติของเรา” พวกเขาพูดต่อไปว่า นายร้อยนั้นเป็นคนสมควรที่พระองค์จะกระทำการนั้นเพราะ “ท่านได้สร้างธรรมศาลาให้เรา” แต่นายร้อยได้กล่าวถึงตนเองว่า “ข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควร” แต่กระนั้น เขาก็ไม่กลัวที่จะทูลขอความช่วยเหลือจากพระเยซู เขาไม่ได้พึ่งพิงในความดีของตนเอง เขาได้วางใจในพระเมตตาคุณของพระผู้ช่วยให้รอด เหตุผลเดียวของเขาก็คือ ความต้องการอันใหญ่หลวงของเขานั่นเอง {MH 65.1}

In the same way every human being can come to Christ. “Not by works of righteousness which we have done, but according to His mercy He saved us.” Titus 3:5. Do you feel that because you are a sinner you cannot hope to receive blessing from God? Remember that Christ came into the world to save sinners. We have nothing to recommend us to God; the plea that we may urge now and ever is our utterly helpless condition, which makes His redeeming power a necessity. Renouncing all self-dependence, we may look to the cross of Calvary and say: “In my hand no price I bring; Simply to Thy cross I cling.” {MH 65.2}

ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ทุกๆ คนย่อมจะเข้ามาหาพระคริสต์ได้ “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณา” ทิตัส 3:5 ท่านมีความรู้สึกหรือไม่ว่า เพราะเหตุที่ท่านเป็นคนบาป ท่านจึงไม่อาจหวังที่จะรับพระพรจากพระเจ้า จงจดจำไว้ว่าพระคริสต์เสด็จมายังโลกนี้เพื่อช่วยคนบาปให้ได้รับความรอด เราไม่มีสิ่งใดที่จะรับรองตัวเราเองต่อพระเจ้าได้ คำวิงวอนร้องขอที่เราอาจจะกระทำได้ในเวลานี้และตลอดไป นั่นก็คือ การตกอยู่ในสภาพอันสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงของตัวเรา สภาพเช่นนี้ได้ทำให้ฤทธิ์อำนาจของการไถ่ให้รอดเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น เมื่อเราได้เลิกยึดถือตัวเองเป็นที่พึ่ง เราก็จะมองไปยังกางเขนแห่งคาลวารีและทูลว่า “ในมือฉันไม่มีของมีค่าใดที่จะถวาย ได้แต่เพียงยึดกางเขนไว้ให้มั่นเท่านั้น” {MH 65.2}

“If thou canst believe, all things are possible to him that believeth.” Mark 9:23. It is faith that connects us with heaven and brings us strength for coping with the powers of darkness. In Christ, God has provided means for subduing every evil trait and resisting every temptation, however strong. But many feel that they lack faith, and therefore they remain away from Christ. Let these souls, in their helpless unworthiness, cast themselves upon the mercy of their compassionate Saviour. Look not to self, but to Christ. He who healed the sick and cast out demons when He walked among men is still the same mighty Redeemer. Then grasp His promises as leaves from the tree of life: “Him that cometh to Me I will in no wise cast out.” John 6:37. As you come to Him, believe that He accepts you, because He has promised. You can never perish while you do this–never. {MH 65.3}

“ถ้าช่วยได้น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” มาระโก 9:23 ความเชื่อเป็นสิ่งที่ผูกพันเราไว้กับสวรรค์และหนุนเราให้มีกำลังที่จะรับมือกับอำนาจแห่งความมืดได้ ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงจัดเตรียมวิธีการที่จะเอาชนะอุปนิสัยที่ชั่วร้ายได้ทุกๆ อย่างและต่อต้านการทดลองได้ในทุกๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะรุนแรงยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่หลายคนรู้สึกว่าตนนั้นขาดความเชื่อ จึงได้ถอยห่างไปจากพระคริสต์ ขอให้คนเหล่านี้ที่รู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งคุณค่าและตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ได้หันมาพึ่งในพระกรุณาธิคุณของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร จงอย่ามองดูตัวเอง แต่ให้มองไปยังพระคริสต์ พระองค์ผู้ทรงรักษาคนเจ็บป่วยและทรงขับผีโสโครกออกจากคนที่ถูกผีสิงเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น พระองค์ยังทรงดำรงเป็นพระผู้ไถ่ที่ทรงฤทธิ์อำนาจอยู่เช่นเดิม ดังนั้น จงยึดมั่นในคำสัญญาของพระองค์ไว้ เสมือนหนึ่งใบของต้นไม้แห่งชีวิต “ผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย” ยอห์น 6:37 เมื่อท่านได้มาหาพระองค์ ขอให้เชื่อว่าพระองค์จะทรงยอมรับท่าน เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสัญญาไว้แล้ว ท่านจะไม่ต้องถึงซึ่งความพินาศเมื่อท่านได้กระทำเช่นนี้ ไม่มีทางพินาศเลย {MH 65.3}

“God commendeth His love toward us, in that, while we were yet sinners, Christ died for us.” Romans 5:8. {MH 66.1}

“พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” โรม 5:8 {MH 66.1}

And “if God be for us, who can be against us? He that spared not His own Son, but delivered Him up for us all, how shall He not with Him also freely give us all things?” Romans 8:31, 32. {MH 66.2}

และ “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ” โรม 8:31, 32 {MH 66.2}

“I am persuaded, that neither death, nor life, nor angels, nor principalities, nor things present, nor things to come, nor powers, nor height, nor depth, nor any other creation, shall be able to separate us from the love of God, which is in Christ Jesus our Lord.” Verses 38, 39, A.R.V., margin. {MH 66.3}

“เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” โรม 8:38, 39 {MH 66.3}

“Thou Canst Make Me Clean.”

“ทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้”

Of all the diseases known in the East the leprosy was most dreaded. Its incurable and contagious character, and its horrible effect upon its victims, filled the bravest with fear. Among the Jews it was regarded as a judgment on account of sin, and hence was called “the stroke,” “the finger of God.” Deep-rooted, ineradicable, deadly, it was looked upon as a symbol of sin. {MH 67.1}

ในบรรดาโรคภัยทั้งหลายที่รู้จักกันในทางเขตแดนตะวันออก โรคเรื้อนจัดว่าเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุด เพราะเป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งสภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวของเหยื่อที่ติดโรค จึงนำมาซึ่งความหวาดกลัว แม้แต่กับผู้ที่กล้าหาญที่สุด ในหมู่ชาวยิวถือกันว่า โรคนี้เป็นการพิพากษาลงโทษอย่างหนึ่งอันเกิดจากบาป ฉะนั้นจึงถูกเรียกว่า “บาดแผลที่พระองค์ทรงตี” “เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า” เนื่องจากพิษโรคฝังรากลึก รักษาให้หายขาดไม่ได้ และนำไปสู่ความตาย โรคเรื้อนจึงเป็นสัญลักษณ์ของความผิดบาป {MH 67.1}

By the ritual law the leper was pronounced unclean. Whatever he touched was unclean. The air was polluted by his breath. Like one already dead, he was shut out from the habitations of men. One who was suspected of having the disease must present himself to the priests, who were to examine and decide his case. If pronounced a leper, he was isolated from his family, cut off from the congregation of Israel, and doomed to associate with those only who were similarly afflicted. Even kings and rulers were not exempt. A monarch attacked by this terrible disease must yield up the scepter and flee from society. {MH 67.2}

ตามกฎบัญญัติพิธีกรรมของชาวยิวได้ถือว่าคนที่เป็นโรคเรื้อนเป็นผู้ที่ไม่สะอาด สิ่งใดก็ตามที่เขาแตะต้องจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด แม้แต่อากาศที่เขาหายใจออกมาก็จะเป็นมลทิน เขาจึงเป็นเหมือนเช่นคนที่ตายไปแล้ว เขาถูกกีดกันให้พ้นจากที่พักอาศัยของมนุษย์ ผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นโรคนี้ จะต้องไปแสดงตัวต่อปุโรหิต ซึ่งจะเป็นผู้ที่ตรวจสอบและตัดสินชี้ขาดถึงโรคที่เขาเป็นอยู่ หากเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อนจริง เขาก็จะต้องถูกแยกออกจากครอบครัว ถูกตัดขาดออกจากชุมนุมคนอิสราเอล และถูกกำหนดให้ต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเดียวกันเท่านั้น แม้แต่กษัตริย์และผู้ปกครองก็มิได้รับการยกเว้น พระมหากษัตริย์ที่เป็นโรคร้ายแรงนี้ จะต้องยอมสละพระราชบัลลังก์และหลีกหนีออกไปจากวงสังคม {MH 67.2}

Away from his friends and his kindred the leper must bear the curse of his malady. He was obliged to publish his own calamity, to rend his garments, and sound the alarm, warning all to flee from his contaminating presence. The cry, “Unclean! unclean!” coming in mournful tones from the lonely exile, was a signal heard with fear and abhorrence. {MH 67.3}

คนที่เป็นโรคเรื้อนจะต้องไปจากมิตรสหายและญาติพี่น้องของเขาและจะต้องทนรับคำสาปแช่งในการที่เขาป่วยเป็นโรคร้าย เขาถูกบังคับให้ต้องร้องประกาศถึงความวิบัติของตนเอง ต้องฉีกเสื้อผ้าของตนและส่งเสียงเตือนให้ทุกคนหลีกหนีไปเสียให้พ้นจากสิ่งที่แปดเปื้อน เสียงที่ร้องว่า “ไม่สะอาด ไม่สะอาด” อันโหยหวนออกมาจากปากของคนที่ถูกขับไล่ไสส่งและเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เป็นเสียงที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินสะดุ้งกลัวและรู้สึกขยะแขยง {MH 67.3}

In the region of Christ’s ministry were many of these sufferers, and as the news of His work reached them, there is one in whose heart faith begins to spring up. If he could go to Jesus he might be healed. But how can he find Jesus? Doomed as he is to perpetual isolation, how can he present himself to the Healer? And will Christ heal him? Will He not, like the Pharisees, and even the physicians pronounce a curse upon him and warn him to flee from the haunts of men? {MH 68.1}

ในแว่นแคว้นแถบที่พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจอยู่นั้น มีคนที่เจ็บป่วยทรมานด้วยโรคนี้อยู่มากมาย และเมื่อข่าวของพระราชกิจของพระองค์ได้ล่วงรู้ไปถึงพวกเขา มีอยู่คนหนึ่งมีความเชื่อได้เกิดขึ้นในจิตใจ หากเขาเข้าไปเฝ้าพระเยซูได้ เขาก็อาจจะหายจากโรค แต่เขาจะไปหาพระเยซูได้อย่างไร ในเมื่อเขาถูกกำหนดให้ต้องปลีกตัวเองจากผู้อื่นไปตลอดกาล เขาจะไปแสดงตนต่อเบื้องพระพักตร์ของแพทย์ผู้ประเสริฐได้อย่างไร และพระคริสต์จะทรงรักษาเขาไหม พระองค์จะเหมือนพวกฟาริสีและแม้กระทั่งพวกแพทย์คนอื่นๆ ที่คอยสาปแช่งเขาและเตือนเขาให้หนีไปจากที่อยู่อาศัยของมนุษย์หรือไม่ {MH 68.1}

He thinks of all that has been told him of Jesus. Not one who has sought His help has been turned away. The wretched man determines to find the Saviour. Though shut out from the cities, it may be that he can cross His path in some byway along the mountain roads, or find Him as He is teaching outside the towns. The difficulties are great, but this is his only hope. {MH 68.2}

เขาคิดถึงเรื่องทั้งหมดของพระเยซูที่มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ที่มาทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือนั้น พระองค์ไม่เคยปฏิเสธผู้ใด ชายผู้น่าเวทนาคนนี้ได้ตั้งใจที่จะไปหาพระผู้ช่วยให้รอด แม้ว่าเขาจะถูกกีดกันให้อยู่แต่ภายนอกเมือง บางทีเขาอาจจะเดินไปตามรอยบาทวิถีของพระองค์ตามเส้นทางในแถบภูเขาหรือพบพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงกำลังสั่งสอนอยู่นอกเมืองก็เป็นได้ อุปสรรคที่เขาต้องเผชิญนั้นยิ่งใหญ่นัก แต่นี่เป็นเพียงความหวังเดียวของเขา {MH 68.2}

Standing afar off, the leper catches a few words from the Saviour’s lips. He sees Him laying His hands upon the sick. He sees the lame, the blind, the paralytic, and those dying of various maladies rise up in health, praising God for deliverance. His faith strengthens. Nearer and yet nearer he approaches to the listening throng. The restrictions laid upon him, the safety of the people, the fear with which all men regard him, are alike forgotten. He thinks only of the blessed hope of healing. {MH 68.3}

คนโรคเรื้อนยืนอยู่แต่ไกล เขาได้ยินพระดำรัสได้เพียงไม่กี่คำจากพระโอษฐ์ของพระผู้ช่วยให้รอด เขามองเห็นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ลงบนคนป่วย เขาเห็นคนง่อย คนตาบอด คนเป็นอัมพาตและคนที่กำลังจะตายด้วยโรคต่างๆ ได้ลุกขึ้นด้วยพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงเป็นปกติ และได้ถวายสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ทรงปลดเปลื้องพวกเขาให้พ้นจากโรค ความเชื่อในจิตใจของเขาทำให้เกิดกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ฝูงชนที่กำลังฟังคำสั่งสอน เขาลืมข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม ลืมเรื่องความปลอดภัยของประชาชนและความหวาดกลัวของคนทั้งหลายที่มีต่อเขาจนหมดสิ้น เขาหวังแต่เพียงพระพรที่จะได้รับการรักษาให้หายจากโรคเท่านั้น {MH 68.3}

He is a loathsome spectacle. The disease has made frightful inroads, and his decaying body is horrible to look upon. At sight of him the people fall back. In their terror they crowd upon one another to escape from contact with him. Some try to prevent him from approaching Jesus, but in vain. He neither sees nor hears them. Their expressions of loathing are lost upon him. He sees only the Son of God, he hears only the voice that speaks life to the dying. {MH 69.1}

สภาพของตัวเขาเป็นที่น่าขยะแขยงยิ่งนัก โรคร้ายได้ทำลายร่างกายไปจนตกอยู่ในสภาพอันน่าสะพรึงกลัวและแม้แต่มองดูร่างกายที่กำลังเปื่อยเน่านั้นก็แสนจะสะอิดสะเอียน เมื่อฝูงชนเห็นเขา ต่างผงะถอยหนีไปด้วยความหวาดผวาจนแทบจะเหยียบกัน เพราะกลัวว่าจะไปสัมผัสตัวเขา บางคนพยายามห้ามชายผู้นี้ไม่ให้เข้าไปใกล้พระเยซู แต่ก็ไม่อาจทัดทานได้ เขาทั้งมองไม่เห็นและไม่ได้ยินพวกเขาเลย เขามองไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความเกลียดชังของคนเหล่านั้น เห็นแต่เพียงพระบุตรของพระเจ้า ได้ยินแต่เพียงพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ทรงเรียกคนที่กำลังจะตายให้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง {MH 69.1}

Pressing to Jesus, he casts himself at His feet with the cry, “Lord, if Thou wilt, Thou canst make me clean.” {MH 69.2}

เขาเบียดไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปหาพระเยซูและหมอบลงแทบพระบาทของพระองค์และร้องทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้” ลูกา 5:12 {MH 69.2}

Jesus replies, “I will; be thou clean,” and lays His hand upon him. Matthew 8:2, 3. {MH 69.3}

พระเยซูตรัสตอบว่า “เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด” และทรงวางพระหัตถ์บนร่างของเขา มัทธิว 8:2, 3 {MH 69.3}

Immediately a change passes over the leper. His blood becomes healthy, the nerves sensitive, the muscles firm. The unnaturally white, scaly surface peculiar to leprosy disappears; and his flesh becomes as the flesh of a little child. {MH 69.4}

ในทันใดนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแก่ชายโรคเรื้อน โลหิตของเขากลับสะอาดบริสุทธิ์ เส้นประสาทกลับมารับความรู้สึกได้อีก กล้ามเนื้อก็กลับแข็งแรง ผิวหนังที่เป็นวงด่างมีสะเก็ดสีขาว ดูผิดธรรมชาติอันเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ที่เป็นโรคเรื้อนนั้นได้เลือนหายไปและเนื้อหนังของเขาก็กลับนวลเนียนเหมือนผิวของเด็ก {MH 69.4}

Should the priests learn the facts concerning the healing of the leper, their hatred of Christ might lead them to render a dishonest sentence. Jesus desired that an impartial decision be secured. He therefore bids the man tell no one of the cure, but without delay present himself at the temple with an offering before any rumors concerning the miracle should be spread abroad. Before the priests could accept such an offering, they were required to examine the offerer and certify his complete recovery. {MH 69.5}

หากพวกปุโรหิตได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรักษาคนโรคเรื้อนแล้ว ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อพระคริสต์อาจทำให้พวกเขาให้คำตัดสินที่ไม่ซื่อตรงได้ พระเยซูทรงปรารถนาที่จะให้การตัดสินนั้นมีความยุติธรรม พระองค์จึงทรงรับสั่งชายคนนั้นห้ามมิให้บอกผู้ใดว่าเขาได้รับการรักษาจนหายจากโรคแล้ว แต่ให้ไปแสดงตัวที่วิหารพร้อมกับเครื่องบูชาถวายโดยมิรอช้า ก่อนที่ข่าวร่ำลือเรื่องการอัศจรรย์จะโจษจันแพร่หลายออกไป เพราะก่อนที่พวกปุโรหิตจะรับเครื่องถวายบูชานั้น เขาจะต้องตรวจสอบดูเสียก่อนและให้การรับรองว่าผู้ที่นำของมาถวายนั้นได้หายจากโรคอย่างสิ้นเชิงแล้ว {MH 69.5}

This examination was made. The priests who had condemned the leper to banishment testified to his cure. The healed man was restored to his home and society. He felt that the boon of health was very precious. He rejoiced in the vigor of manhood and in his restoration to his family. Notwithstanding the caution of Jesus, he could no longer conceal the fact of his cure, and joyfully he went about proclaiming the power of the One who had made him whole. {MH 69.6}

เมื่อได้ตรวจสอบดูแล้ว ปุโรหิตผู้เคยตัดสินเนรเทศคนโรคเรื้อนนี้รับรองว่าเขาได้หายจากโรคจริง ชายผู้ได้รับการรักษาจนหายโรคได้กลับบ้านและอยู่ร่วมกับสังคมของเขาได้อีกครั้ง เขารู้สึกว่าสุขภาพอันสมบูรณ์แข็งแรงที่เขาได้รับเป็นคุณอันประเสริฐยิ่ง เขามีความชื่นชมยินดีที่ได้กลับเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงและได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวของตนเองอีก เขาไม่อาจเก็บงำความจริงที่ได้รับการรักษาจนหายโรคได้อีกต่อไป แม้ว่าพระเยซูได้ทรงเตือนเขาแล้วก็ตาม ขายผู้นี้ได้ออกไปประกาศถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ผู้ทรงรักษาเขาให้หายโรคด้วยความยินดีอย่างยิ่ง {MH 69.6}

When this man came to Jesus, he was “full of leprosy,” Its deadly poison permeated his whole body. The disciples sought to prevent their Master from touching him; for he who touched a leper became himself unclean. But in laying His hand upon the leper, Jesus received no defilement. The leprosy was cleansed. Thus it is with the leprosy of sin– deep-rooted, deadly, impossible to be cleansed by human power. “The whole head is sick, and the whole heart faint. From the sole of the foot even unto the head there is no soundness in it; but wounds, and bruises, and putrefying sores.” Isaiah 1:5, 6. But Jesus, coming to dwell in humanity, receives no pollution. His presence was healing virtue for the sinner. Whoever will fall at His feet, saying in faith, “Lord, if Thou wilt, Thou canst make me clean,” shall hear the answer, “I will; be thou clean.” {MH 70.1}

ในเวลาที่ชายคนนี้มาหาพระเยซูนั้น เขามี “โรคเรื้อนเต็มทั้งตัว” พิษอันร้ายแรงได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา พวกสาวกพยายามป้องกันมิให้พระอาจารย์แตะต้องถูกตัวคนโรคเรื้อน เพราะผู้ที่แตะต้องคนโรคเรื้อนจะกลายเป็นคนไม่สะอาดด้วย แต่เมื่อพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ลงบนคนโรคเรื้อน พระเยซูไม่เป็นมลทิน แต่โรคเรื้อนก็กลับหายสะอาด ด้วยเหตุนี้ โรคเรื้อนแห่งความผิดบาปที่ทั้งฝังรากลึก มีพิษอันร้ายแรง ไม่สามารถชำระล้างให้สะอาดได้ด้วยกำลังของมนุษย์ “ศีรษะก็เจ็บหมด จิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะ ไม่มีความปกติในนั้นเลย มีแต่ฟกช้ำและดำเขียวและเป็นแผลเลือดไหล” อิสยาห์ 1:5,6 แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาดำรงอยู่ในสภาพธรรมชาติเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา พระองค์ไม่แปดเปื้อนด้วยมลทิน การได้เข้ามาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์นั้นได้มีฤทธิ์อำนาจของการเยียวยารักษาคนบาปให้หายได้ ผู้ใดที่ได้ซบกายลงแทบพระบาทของพระองค์และพูดด้วยความเชื่อว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้” จะได้ยินคำตอบว่า “เราพอใจแล้ว จงหายเถิด” มัทธิว 8:2,3 {MH 70.1}

In some instances of healing, Jesus did not at once grant the blessing sought. But in the case of leprosy no sooner was the appeal made than it was granted. When we pray for earthly blessings, the answer to our prayer may be delayed, or God may give us something other than we ask; but not so when we ask for deliverance from sin. It is His will to cleanse us from sin, to make us His children, and to enable us to live a holy life. Christ “gave Himself for our sins, that He might deliver us from this present evil world, according to the will of God and our Father.” Galatians 1:4. “And this is the confidence that we have in Him, that, if we ask anything according to His will, He heareth us: and if we know that He hear us, whatsoever we ask, we know that we have the petitions that we desired of him.” 1 John 5:14, 15. {MH 70.2}

ในการรักษาโรคบางราย พระองค์มิได้โปรดให้เป็นไปตามความต้องการที่ร้องทูลขอในทันที แต่ในกรณีของโรคเรื้อนนั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นไปตามสิ่งที่ทูลขอทันที เมื่อเราอธิษฐานทูลขอพระพรทางฝ่ายโลก คำตอบอธิษฐานอาจจะล่าช้า หรือพระเจ้าอาจประทานสิ่งอื่นที่เรามิได้ทูลขอให้แก่เราแทน แต่จะไม่มีการเนิ่นช้าเมื่อเราได้ทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดจากความผิดบาป การชำระเราจากบาป การทำให้เราได้เป็นบุตรของพระองค์และเพื่อช่วยให้เราดำเนินชีวิตในทางที่บริสุทธิ์ได้นั้นเป็นพระประสงค์พระองค์ พระคริสต์ “ทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลายเพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้ายตามน้ำพระทัยพระบิดาเจ้าของเรา” กาลาเทีย 1:4 “และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์” 1 ยอห์น 5; 14, 15 {MH 70.2}

Jesus looked upon the distressed and heart-burdened, those whose hopes were blighted, and who with earthly joys were seeking to quiet the longing of the soul, and He invited all to find rest in Him. {MH 71.1}

พระเยซูทรงทอดพระเนตรผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากและจิตใจที่ต้องแบกภาระอันหนัก ผู้ที่สิ้นความหวัง และผู้ที่แสวงหาความสุขทางโลกเพียงเพื่อจะบรรเทาความปรารถนาของจิตวิญญาณ พระองค์ทรงเชื้อเชิญทุกคนให้เข้ามาแสวงหาการพักผ่อนในพระองค์ {MH 71.1}

“Ye Shall Find Rest.”

“ท่านทั้งหลายจะได้พัก”

Tenderly He bade the toiling people, “Take My yoke upon you, and learn of Me; for I am meek and lowly in heart: and ye shall find rest unto your souls.” Matthew 11:29. {MH 71.2}

พระองค์ทรงรับสั่งด้วยพระทัยอันอ่อนโยนต่อผู้ที่กำลังรู้สึกเหนื่อยยากว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก” มัทธิว 11:29 {MH 71.2}

In these words, Christ was speaking to every human being. Whether they know it or not, all are weary and heavy-laden. All are weighed down with burdens that only Christ can remove. The heaviest burden that we bear is the burden of sin. If we were left to bear this burden, it would crush us. But the Sinless One has taken our place. “The Lord hath laid on Him the iniquity of us all.” Isaiah 53:6. {MH 71.3}

พระคริสต์ทรงกำลังตรัสแก่มนุษย์ทุกคนด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราทุกคนต่างต้องแบกภาระอันหนักด้วยความอ่อนระอาใจ ภาระที่ทับถมอยู่นี้ มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่จะทรงปลดเปลื้องได้ ภาระหนักที่สุดที่เราต้องแบกรับไว้ก็คือ ภาระของความผิดบาป หากเราถูกทอดทิ้งให้ต้องแบกภาระนี้ไว้แต่เพียงลำพัง เราก็คงจะถึงซึ่งกับความพินาศ แต่พระเจ้าผู้ทรงปราศจากความผิดบาปได้ทรงยอมแบกรับภาระนั้นแทนเราแล้ว “พระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งบาปผิดของเราทุกคน” อิสยาห์ 53:6 {MH 71.3}

He has borne the burden of our guilt. He will take the load from our weary shoulders. He will give us rest. The burden of care and sorrow also He will bear. He invites us to cast all our care upon Him; for He carries us upon His heart. {MH 71.4}

พระองค์ทรงแบกรับภาระแห่งความผิดบาปของเราไว้ พระองค์จะทรงยกภาระอันหนักออกไปจากบ่าที่เหนื่อยล้าของเรา พระองค์ทรงโปรดให้เราได้พักผ่อนหายเหนื่อย พระองค์จะทรงแบกภาระแห่งความวิตกกังวลและความทุกข์ใจของเราด้วย พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราวางความวิตกกังวลในสิ่งทั้งปวงไว้กับพระองค์ เพราะจะทรงรับเราไว้ในพระทัยของพระองค์ {MH 71.4}

The Elder Brother of our race is by the eternal throne. He looks upon every soul who is turning his face toward Him as the Saviour. He knows by experience what are the weaknesses of humanity, what are our wants, and where lies the strength of our temptations; for He was “in all points tempted like as we are, yet without sin.” Hebrews 4:15. He is watching over you, trembling child of God. Are you tempted? He will deliver. Are you weak? He will strengthen. Are you ignorant? He will enlighten. Are you wounded? He will heal. The Lord “telleth the number of the stars;” and yet “He healeth the broken in heart, and bindeth up their wounds.” Psalm 147:4, 3. MH 71.5}

พระองค์ผู้ทรงเป็นพี่ชายใหญ่ของบรรดามนุษยชาติประทับอยู่ข้างพระที่นั่งนิรันดร์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูทุกคนผู้ที่กำลังหันหน้ามาหาพระองค์และรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทรงเข้าใจถึงความอ่อนแอของมนุษย์ ทรงทราบถึงความต้องการของเราและอำนาจที่จะล่อลวงเราให้ตกลงสู่การทดลองนั้นอยู่ที่ไหน เพราะพระองค์เคยประสบมาก่อนและทรง “ถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” ฮีบรู 4:15 พระองค์ทรงเฝ้าดูแลเอาใจใส่ท่านอยู่ บุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยาก ท่านกำลังตกอยู่ในการทดลองหรือ พระองค์จะทรงช่วยท่านให้รอด ท่านอ่อนกำลังหรือ พระองค์จะทรงช่วยให้ท่านมีกำลังที่เข้มแข็ง ท่านขาดสติปัญญาหรือ พระองค์จะทรงกระทำให้ท่านเกิดความกระจ่าง ท่านบาดเจ็บฟกช้ำหรือ พระองค์จะทรงรักษาท่านให้หาย พระเยโฮวาห์ทรง “นับจำนวนดาว” แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยัง “รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ และทรงพันผูกบาดแผลของเขา” สดุดี 147:4,3 {MH 71.5}

Whatever your anxieties and trials, spread out your case before the Lord. Your spirit will be braced for endurance. The way will be open for you to disentangle yourself from embarrassment and difficulty. The weaker and more helpless you know yourself to be, the stronger will you become in His strength. The heavier your burdens, the more blessed the rest in casting them upon your Burden Bearer. {MH 72.1}

ไม่ว่าท่านจะมีความวิตกกังวลใจและการทดลองใดก็ตาม จงนำขึ้นทูลต่อพระเยโฮวาห์ แล้วท่านจะได้รับการหนุนจิตวิญญาณให้มีกำลังที่จะทนได้ จะมีหนทางเปิดออกเพื่อปลดเปลื้องท่านให้หลุดพ้นจากความยุ่งยากและอุปสรรคปัญหา เมื่อรู้ตัวว่าอ่อนกำลังและหมดหนทางมากเพียงใด ท่านก็จะยิ่งเข้มแข็งขึ้นในฤทธานุภาพของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าภาระของท่านจะหนักเพียงใด ท่านก็จะได้รับการพักผ่อนเป็นสุขมากขึ้นเท่านั้น ด้วยการพึ่งพาพระองค์ผู้ทรงแบกภาระแทนเรา {MH 72.1}

Circumstances may separate friends; the restless waters of the wide sea may roll between us and them. But no circumstances, no distance, can separate us from the Saviour. Wherever we may be, He is at our right hand, to support, maintain, uphold, and cheer. Greater than the love of a mother for her child is Christ’s love for His redeemed. It is our privilege to rest in His love, to say, “I will trust Him; for He gave His life for me.” {MH 72.2}

สถานการณ์ต่างๆ อาจแยกมิตรสหายให้พลัดพรากจากกัน คลื่นอันน่ากลัวของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลอาจจะซัดเข้ามาแยกระหว่างเรา แต่จะไม่มีสถานการณ์ใดๆ หรือระยะทางใดๆที่จะมาแยกเราออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอดได้ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใด พระองค์จะประทับอยู่เบื้องขวาของเราเพื่อทรงค้ำจุน รักษาเราไว้ ยกชูและให้กำลังใจแก่เรา ความรักของพระคริสต์ที่มีให้แก่ผู้ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ไว้นั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักของมารดาที่มีต่อบุตร การได้พักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ และได้พูดว่า “ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงพลีพระชนม์ให้แก่ข้าพเจ้า” เป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งของเรา {MH 72.2}

Human love may change, but Christ’s love knows no change. When we cry to Him for help, His hand is stretched out to save. “The mountains may depart, And the hills be removed; But My loving-kindness shall not depart from thee, Neither shall My covenant of peace be removed, Saith Jehovah that hath mercy on thee.” Isaiah 54:10, A.R.V. {MH 72.3}

ความรักของมนุษย์อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความรักของพระคริสต์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เมื่อเราร้องขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ พระหัตถ์ของพระองค์จะทรงเหยียดออกเพื่อช่วยเราให้รอด “เพราะภูเขาทั้งหลายอาจถูกเคลื่อนย้ายไป และบรรดาเนินเขาอาจจะคลอนแคลนแต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่เคลื่อนย้ายไปจากเจ้าและพันธสัญญาแห่งสวัสดิภาพของเราจะไม่คลอนแคลน พระยาห์เวห์ผู้ทรงสงสารเจ้าตรัสดังนี้” อิสยาห์. 54:10 (THSV) {MH 72.3}