Chapter 40 (บทที่ 40)
“Help in Daily Living”
“สิ่งที่คอยช่วยเหลือในการดำเนินชีวิต”

There is an eloquence far more powerful than the eloquence of words in the quiet, consistent life of a pure, true Christian. What a man is has more influence than what he says. {MH 469.1}

The officers who were sent to Jesus came back with the report that never man spoke as He spoke. But the reason for this was that never man lived as He lived. Had His life been other than it was, He could not have spoken as He did. His words bore with them a convincing power, because they came from a heart pure and holy, full of love and sympathy, benevolence and truth. {MH 469.2}

เหล่าเจ้าหน้าที่ที่ถูกสั่งให้ไปจับพระเยซูกลับมารายงานว่า ไม่มีผู้ใดที่พูดได้เสมือนอย่างพระองค์ แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ไม่เคยมีผู้ใดดำเนินชีวิตได้เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงดำเนิน ถ้าหากชีวิตของพระองค์แตกต่างไปจากที่พระองค์ทรงเป็น พระองค์ก็คงไม่อาจตรัสเหมือนอย่างที่พระองค์ตรัส พระวาทะของพระองค์มีฤทธิ์อำนาจในการโน้มน้าวและชักจูงจิตใจ เพราะถ้อยคำเหล่านั้นออกมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ชอบธรรม กอปรด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตากรุณาและความสัตย์จริง {MH 469.2}

It is our own character and experience that determine our influence upon others. In order to convince others of the power of Christ’s grace, we must know its power in our own hearts and lives. The gospel we present for the saving of souls must be the gospel by which our own souls are saved. Only through a living faith in Christ as a personal Saviour is it possible to make our influence felt in a skeptical world. If we would draw sinners out of the swift-running current, our own feet must be firmly set upon the Rock, Christ Jesus. {MH 469.3}

อุปนิสัยและประสบการณ์ของเราเป็นตัวกำหนดผลกระทบของเราที่มีต่อผู้อื่น ในการชักจูงผู้อื่นให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจแห่งพระคุณของพระคริสต์ เราต้องเข้าใจถึงฤทธิ์อำนาจนี้ที่มีต่อจิตใจและชีวิตของเราเองเสียก่อน ข่าวประเสริฐที่เราประกาศเพื่อให้จิตวิญญาณทั้งหลายได้รับความรอด ต้องเป็นข่าวประเสริฐที่ช่วยจิตวิญญาณของเราได้รับความรอด โดยอาศัยความเชื่อในการช่วยให้รอดของพระคริสต์ที่ประสบกับตนเองเท่านั้นถึงจะสามารถมีอิทธิพลทำให้ชาวโลกที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยเลื่อมไสได้ หากเราต้องการดึงคนบาปให้พ้นจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากแล้ว เท้าของเราต้องตั้งมั่นอยู่บนศิลา ซึ่งคือองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง {MH 469.3}

The badge of Christianity is not an outward sign, not the wearing of a cross or a crown, but it is that which reveals the union of man with God. By the power of His grace manifested in the transformation of character the world is to be convinced that God has sent His Son as its Redeemer. No other influence that can surround the human soul has such power as the influence of an unselfish life. The strongest argument in favor of the gospel is a loving and lovable Christian. {MH 470.1}

สิ่งที่แสดงถึงความเป็นคริสเตียนนั้น ไม่ใช่เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ภายนอกที่คนมองเห็น ไม่ใช่ด้วยการห้อยกางเขนหรือการสวมมงกุฎ แต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจแห่งพระคุณของพระองค์ที่ทรงสำแดงให้ปรากฏจากอุปนิสัยของเราที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ชาวโลกถึงจะเชื่อว่าพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่ ไม่มีอิทธิพลใดที่มีอำนาจเข้าถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ได้เสมอเหมือนอิทธิพลอันเกิดจากชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ หลักฐานที่สนับสนุนเชิดชูเกียรติของข่าวประเสริฐที่ชัดเจนที่สุด คือ ชีวิตที่น่ารักและเปี่ยมล้นด้วยความรักของชาวคริสตเตียน {MH 470.1}

The Discipline of Trial To live such a life, to exert such an influence, costs at every step effort, self-sacrifice, discipline. It is because they do not understand this that many are so easily discouraged in the Christian life. Many who sincerely consecrate their lives to God’s service are surprised and disappointed to find themselves, as never before, confronted by obstacles and beset by trials and perplexities. They pray for Christlikeness of character, for a fitness for the Lord’s work, and they are placed in circumstances that seem to call forth all the evil of their nature. Faults are revealed of which they did not even suspect the existence. Like Israel of old they question, “If God is leading us, why do all these things come upon us?” {MH 470.2}

ความยากลำบากทำให้เกิดการขัดเกลา การดำเนินชีวิตเช่นนี้ เพื่อทุ่มเทแรงชักจูงเช่นนี้ ต้องจ่ายต้นทุนของความพากเพียรนี้ในทุกย่างก้าวด้วยการเสียสละส่วนตนและความมีระเบียบวินัย เนื่องจากการไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้ ทำให้หลายคนเกิดความท้อถอยไปอย่างง่ายดายในการดำเนินชีวิตของคริสเตียน หลายคนที่ยอมมอบถวายชีวิตของตนเองเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าอย่างจริงใจ ต่างต้องประหลาดใจและผิดหวังที่ตนเองต้องเผชิญกับอุปสรรคและประดังด้วยการทดลองและเรื่องยุ่งยากใจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน คนเหล่านี้ต่างอธิษฐานขอให้มีความเหมือนในลักษณะนิสัยของพระคริสต์ เพื่อมีความเหมาะสมในกิจการขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่คนเหล่านี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่ดูเหมือนจะขุดคุ้ยความเลวของอุปนิสัยให้สำแดงออกมา ข้อบกพร่องต่างๆ ที่เขาทั้งหลายไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีอยู่ในตัว เช่นเดียวกับชาวอิสราเอลในสมัยโบราณซึ่งได้ตั้งข้อสงสัยว่า “ถ้าพระเจ้าทรงนำเราอยู่ เหตุไฉนสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับเรา” {MH 470.2}

It is because God is leading them that these things come upon them. Trials and obstacles are the Lord’s chosen methods of discipline and His appointed conditions of success. He who reads the hearts of men knows their characters better than they themselves know them. He sees that some have powers and susceptibilities which, rightly directed, might be used in the advancement of His work. In His providence He brings these persons into different positions and varied circumstances that they may discover in their character the defects which have been concealed from their own knowledge. He gives them opportunity to correct these defects and to fit themselves for His service. Often He permits the fires of affliction to assail them that they may be purified. {MH 471.1}

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนเหล่านั้น ก็เพราะว่าพระเจ้ากำลังทรงนำเขาทั้งหลายอยู่ การทดลองและอุปสรรคต่างๆ เป็นวิธีการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกเพื่อขัดเกลาอุปนิสัยของเราให้มีระเบียบวินัยและเป็นข้อกำหนดเงื่อนไขของความสำเร็จของพระองค์ พระองค์ผู้ทรงสามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ ทรงรู้จักอุปนิสัยของเขาทั้งหลายได้ดีกว่าคนเหล่านั้นเองเสียอีก พระองค์ทรงเห็นว่า บางคนมีกำลังความสามารถและความเหมาะสมพร้อม ถ้าพวกเขาจะได้รับการแนะนำอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้พระราชกิจของพระองค์เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ในการจัดสรรของพระองค์ พระองค์ทรงวางบุคคลเหล่านี้ไว้ในตำแหน่งและสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเขาทั้งหลายจะสามารถพบเจอข้อบกพร่องในอุปนิสัยของตนเองที่ถูกซุกซ่อนไว้โดยที่ตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อน พระองค์ประทานโอกาสให้คนเหล่านี้ได้แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เพื่อปรับปรุงตนเองให้มีความเหมาะสมในการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ บ่อยครั้ง พระองค์ทรงอนุญาตให้ไฟแห่งความทุกข์ยากได้โหมไหม้คนเหล่านี้เพื่อชำระเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ {MH 471.1}

The fact that we are called upon to endure trial shows that the Lord Jesus sees in us something precious which He desires to develop. If He saw in us nothing whereby He might glorify His name, He would not spend time in refining us. He does not cast worthless stones into His furnace. It is valuable ore that He refines. The blacksmith puts the iron and steel into the fire that he may know what manner of metal they are. The Lord allows His chosen ones to be placed in the furnace of affliction to prove what temper they are of and whether they can be fashioned for His work. {MH 471.2}

ความจริงที่เราประสบกับความยากลำบากจากการทดลองเหล่านี้ เป็นเครื่องแสดงว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเห็นบางสิ่งที่มีค่าในตัวเราที่พระองค์ทรงปรารถนาจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น หากพระองค์ไม่ทรงเห็นถึงอะไรในตัวเราที่สามารถใช้เชิดชูพระสิริของพระองค์แล้ว พระองค์คงไม่ทรงเสียเวลาเพื่อขัดเกลาเรา พระองค์ก็คงไม่ทรงโยนหินที่ไร้ค่าเข้าไปในเตาหลอมของพระองค์ พระองค์จะทรงหลอมเฉพาะแร่ที่มีค่าเท่านั้น ช่างตีเหล็กนำเหล็กและเหล็กกล้าใส่ในไฟเพื่อจะทราบว่าเหล็กนั้นเป็นโลหะชนิดใด เฉกเช่นเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว ได้ตกอยู่ในเตาหลอมแห่งความทุกข์ยาก เพื่อจะพิสูจน์ว่าเขาเหล่านั้นมีอุปนิสัยใจคอเช่นไร และพระองค์สามารถจะปั้นแต่งคนเหล่านั้นให้เป็นผู้ที่เหมาะสมในพระราชกิจของพระองค์หรือไม่ {MH 471.2}

The potter takes the clay and molds it according to his will. He kneads it and works it. He tears it apart and presses it together. He wets it and then dries it. He lets it lie for a while without touching it. When it is perfectly pliable, he continues the work of making of it a vessel. He forms it into shape and on the wheel trims and polishes it. He dries it in the sun and bakes it in the oven. Thus it becomes a vessel fit for use. So the great Master Worker desires to mold and fashion us. And as the clay is in the hands of the potter, so are we to be in His hands. We are not to try to do the work of the potter. Our part is to yield ourselves to be molded by the Master Worker. {MH 471.3}

ช่างปั้นหม้อนำดินเหนียวมานวดตามความต้องการของเขา เขานวดและปั้นดินก้อนนั้น เขาแยกดินออกเป็นส่วนๆ แล้วกด รีดและนวดจนเนื้อดินเข้ากัน เขารดดินให้ชุ่มน้ำแล้วผึ่งให้แห้ง ปล่อยทิ้งไว้สักพักโดยไม่แตะต้องมัน รอจนเนื้อดินแห้งได้ที่ในสภาพที่สามารถปั้นขึ้นรูปได้ เขาก็จะปั้นดินเป็นภาชนะ ด้วยการขึ้นรูปและแต่งรูปทรงบนแป้นหมุนวงล้อ เมื่อขึ้นรูปเสร็จ ก็จะนำไปผึ่งแดดแล้วจึงนำไปเผาในเตาเผาต่อไป ด้วยวิธีการดังนี้ ดินเหนียวก็จะกลายเป็นภาชนะที่สามารถจะนำไปใช้งานได้ ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมโยธาทรงปรารถนาที่จะปั้นและตกแต่งเรา เช่นเดียวกับดินที่อยู่ในมือของช่างปั้นหม้อฉันใด เราก็จะอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ฉันนั้น เราต้องไม่พยายามที่จะทำงานของช่างปั้น หน้าที่ของเราคือ การยอมจำนนตัวเราให้กับการปั้นแต่งของพระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมโยธา {MH 471.3}

“Beloved, think it not strange concerning the fiery trial which is to try you, as though some strange thing happened unto you: but rejoice, inasmuch as ye are partakers of Christ’s sufferings; that, when His glory shall be revealed, ye may be glad also with exceeding joy.” 1 Peter 4:12, 13. {MH 472.1}

“ดูก่อนท่านที่รัก อย่าประหลาดใจ ที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย” 1 เปโตร 4:12, 13. {MH 472.1}

In the full light of day, and in hearing of the music of other voices, the caged bird will not sing the song that his master seeks to teach him. He learns a snatch of this, a trill of that, but never a separate and entire melody. But the master covers the cage, and places it where the bird will listen to the one song he is to sing. In the dark, he tries and tries again to sing that song until it is learned, and he breaks forth in perfect melody. Then the bird is brought forth, and ever after he can sing that song in the light. Thus God deals with His children. He has a song to teach us, and when we have learned it amid the shadows of affliction we can sing it ever afterward. {MH 472.2}

ยามกลางวันที่มีแสงสว่างเจิดจ้าและมีเสียงอื่นๆ ดังมาเข้าหูของมัน นกที่อยู่ในกรงจะไม่สามารถหัดร้องเพลงที่นายของมันพยายามสอน มันจะหัดได้แต่เสียงนี้นิด เสียงนั้นหน่อย แต่ก็ไม่อาจเรียบเรียงและขับขานทำนองทั้งบท แต่หากนายของมันเอาผ้ามาคลุมกรงนกไว้และนำกรงไปแขวนไว้ในที่ๆ มันได้ยินแต่บทเพลงเพียงบทเดียวที่มันต้องหัดร้อง เมื่อตกอยู่ในความมืด นกตัวนั้นจะพยายามหัดร้องเพลงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสามารถร้องเพลงนั้นได้อย่างไพเราะ เมื่อเจ้าของนำนกออกจากความมืด ต่อจากนั้นมันก็สามารถร้องเพลงนั้นในที่มีแสงสว่างได้ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเหล่าบุตรของพระองค์ในลักษณะเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงมีบทเพลงที่จะสั่งสอนเรา ซึ่งเมื่อเราหัดร้องเพลงนั้นท่ามกลางเงามืดแห่งความทุกข์ยากได้แล้ว เราก็จะสามารถร้องเพลงนั้นต่อมาในภายหลังได้ตลอดไป {MH 472.2}

Many are dissatisfied with their lifework. It may be that their surroundings are uncongenial; their time is occupied with commonplace work, when they think themselves capable of higher responsibilities; often their efforts seem to them to be unappreciated or fruitless; their future is uncertain. {MH 472.3}

หลายคนไม่พึงพอใจในกิจการงานที่ตนเองทำในชีวิต ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของสิ่งที่อยู่รอบกายของคนเหล่านั้นไม่เป็นที่ถูกใจ คนเหล่านั้นใช้เวลาอยู่กับงานที่ซ้ำซาก เมื่อคิดว่าตนเองสามารถทำงานในหน้าที่รับผิดชอบที่สูงส่งกว่านั้นได้ หลายครั้งคนเหล่านั้นมักจะรู้สึกว่า ความพากเพียรพยายามของตนเองนั้นไร้ผล หรือไม่มีใครที่มองเห็นคุณค่า อนาคตของเขาทั้งหลายจึงเริ่มสั่นคลอน {MH 472.3}

Let us remember that while the work we have to do may not be our choice, it is to be accepted as God’s choice for us. Whether pleasing or unpleasing, we are to do the duty that lies nearest. “Whatsoever thy hand findeth to do, do it with thy might; for there is no work, nor device, nor knowledge, nor wisdom, in the grave, whither thou goest.” Ecclesiastes 9:10. {MH 472.4}

ขอให้เราระลึกไว้เสมอว่า แม้งานที่เราต้องทำไม่ใช่งานที่เราสมัครใจ เราก็ต้องยอมรับว่างานนั้นเป็นการทรงเลือกของพระเจ้าให้เราทำ ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ เราต้องทำหน้าที่ๆ อยู่ใกล้ตัวของเรามากที่สุด “มือของเจ้าจับทำการงานอะไร จงกระทำการนั้นด้วยเต็มกำลังของเจ้า เพราะว่าในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้น ไม่มีการงานหรือแนวความคิด หรือความรู้ หรือสติปัญญา” ปัญญาจารย์ 9:10 {MH 472.4}

If the Lord desires us to bear a message to Nineveh, it will not be as pleasing to Him for us to go to Joppa or to Capernaum. He has reasons for sending us to the place toward which our feet have been directed. At that very place there may be someone in need of the help we can give. He who sent Philip to the Ethiopian councilor, Peter to the Roman centurion, and the little Israelitish maiden to the help of Naaman, the Syrian captain, sends men and women and youth today as His representatives to those in need of divine help and guidance. {MH 473.1}

หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรานำข่าวประเสริฐไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ พระองค์ก็คงไม่ทรงพอพระทัยหากเราจะนำข่าวนั้นไปประกาศยังเมืองยัฟฟาหรือเมืองคาเปอร์นาอูม พระองค์ทรงมีเหตุผลใช้เราไปยังที่ๆ ย่างเท้าของเราถูกกำหนดให้มุ่งหน้าไป อาจจะมีใครบางคนที่นั่น ที่จำเป็นต้องการความช่วยเหลือที่เราสามารถช่วยเขาได้ พระองค์ผู้ทรงส่งฟีลิปไปหาข้าราชการชาวเอธิโอเปีย ส่งเปโตรไปหานายร้อยชาวโรมัน และส่งสาวใช้เด็กหญิงชาวอิสราเอลไปช่วยนามานแม่ทัพชาวซีเรีย ในวันนี้ พระองค์ทรงใช้ชายหญิงและคนหนุ่มสาวให้เป็นผู้แทนของพระองค์ไปยังคนทั้งหลายที่ต้องการความช่วยเหลือและต้องการการทรงนำจากพระเจ้า {MH 473.1}

God’s Plans the Best Our plans are not always God’s plans. He may see that it is best for us and for His cause to refuse our very best intentions, as He did in the case of David. But of one thing we may be assured, He will bless and use in the advancement of His cause those who sincerely devote themselves and all they have to His glory. If He sees it best not to grant their desires He will counterbalance the refusal by giving them tokens of His love and entrusting to them another service. {MH 473.2}

แผนการของพระเจ้านั้นดีที่สุด แผนงานของเราไม่ใช่เป็นแผนการของพระเจ้าเสมอไป พระองค์อาจทรงเห็นว่าเป็นการดีที่สุดสำหรับตัวเราเองและสำหรับแผนงานของพระองค์ที่จะทรงปฏิเสธความตั้งใจที่ดีที่สุด เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงกระทำแก่ดาวิด แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถมั่นใจได้ นั่นคือ พระองค์จะทรงอำนวยพระพร และจะประทานความเจริญก้าวหน้าให้แก่ผู้แทนทั้งหลายของพระองค์ที่อุทิศตนอย่างแท้จริงและได้ใช้สิ่งสารพัดที่เขาทั้งหลายมีอยู่เพื่อเทิดทูนพระสิริของพระองค์ หากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นการดีที่จะไม่ประทานในสิ่งที่เขาทั้งหลายทูลขอต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงชดเชยคำปฏิเสธด้วยการประทานหลักฐานแห่งความรักของพระองค์และทรงมอบหมายงานการปรนนิบัติรับใช้อื่นแทน {MH 473.2}

In His loving care and interest for us, often He who understands us better than we understand ourselves refuses to permit us selfishly to seek the gratification of our own ambition. He does not permit us to pass by the homely but sacred duties that lie next us. Often these duties afford the very training essential to prepare us for a higher work. Often our plans fail that God’s plans for us may succeed. {MH 473.3}

ด้วยความห่วงใยที่เต็มไปด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา พระองค์ผู้ทรงเข้าพระทัยเราดียิ่งกว่าเราเข้าใจตัวเองเสียอีก บ่อยครั้ง พระองค์ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องที่เห็นแก่ตัวเพื่อสนองความอยากของเรา พระองค์ทรงไม่เห็นชอบให้เราละเลยหน้าที่ธรรมดาๆ แต่สูงส่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หลายครั้ง หน้าที่เหล่านี้มักจะเอื้ออำนวยให้เรามีโอกาสฝึกฝนสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมเราไว้สำหรับกิจการงานที่สูงส่งมากยิ่งขึ้น บ่อยครั้ง แผนงานของเรามักล้มเหลวเพื่อแผนการของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ให้เราจักสำเร็จสมบูรณ์ {MH 473.3}

We are never called upon to make a real sacrifice for God. Many things He asks us to yield to Him, but in doing this we are but giving up that which hinders us in the heavenward way. Even when called upon to surrender those things which in themselves are good, we may be sure that God is thus working out for us some higher good. {MH 473.4}

เราไม่เคยได้รับการทรงเรียกให้ต้องเสียสละอย่างแท้จริงเพื่อพระเจ้า มีอยู่หลายสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้เราได้ยอมละทิ้งเพื่อพระองค์ ในการกระทำเช่นนี้ เราเพียงแต่ต้องสละทิ้งสิ่งที่คอยขัดขวางไม่ให้เราดำเนินไปบนเส้นทางที่นำพาเราไปสู่สวรรค์ แม้แต่เวลาที่พระองค์ทรงขอให้เราได้ละทิ้งสิ่งที่ดีงามก็ตาม เราย่อมสามารถเชื่อแน่ได้ว่า พระเจ้าทรงกำลังดำเนินตามแผนการเพื่อจะทรงกระทำสิ่งที่ดีงามยิ่งกว่าสำหรับเรา {MH 473.4}

In the future life the mysteries that here have annoyed and disappointed us will be made plain. We shall see that our seemingly unanswered prayers and disappointed hopes have been among our greatest blessings. {MH 474.1}

ในชีวิตภายภาคหน้า สิ่งเร้นลับที่ทำให้เราขุ่นข้องหมองใจและผิดหวังก็จะแจ่มแจ้ง เราจะเรียนรู้และเข้าใจถึงคำอธิษฐานที่ดูเสมือนหนึ่งว่าจะไม่ได้รับคำตอบและความปรารถนาที่ไม่สมหวังของเรานั้น เป็นส่วนหนึ่งของพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา {MH 474.1}

We are to look upon every duty, however humble, as sacred because it is a part of God’s service. Our daily prayer should be, “Lord, help me to do my best. Teach me how to do better work. Give me energy and cheerfulness. Help me to bring into my service the loving ministry of the Saviour.” {MH 474.2}

เราต้องถือว่าหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ ไม่ว่าจะต่ำต้อยเพียงไรก็เป็นหน้าที่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า เราควรอธิษฐานในทุกวันว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด โปรดสอนข้าพระองค์ให้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น โปรดประทานพละกำลังและใจที่ร่าเริงแก่ข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์เติมเต็มงานรับใช้ของข้าพระองค์ด้วยพันธกิจที่เต็มไปด้วยความรักของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยเทอญ” {MH 474.2}

A Lesson From the Life of Moses Consider the experience of Moses. The education he received in Egypt as the king’s grandson and the prospective heir to the throne was very thorough. Nothing was neglected that was calculated to make him a wise man, as the Egyptians understood wisdom. He received the highest civil and military training. He felt that he was fully prepared for the work of delivering Israel from bondage. But God judged otherwise. His providence appointed Moses forty years of training in the wilderness as a keeper of sheep. {MH 474.3}

บทเรียนจากชีวิตของโมเสส ลองพิจารณาถึงประสบการณ์ของโมเสส การศึกษาที่เขาได้รับในประเทศอียิปต์ในฐานะพระราชนัดดาของกษัตริย์ฟาโรห์และรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์นั้น เป็นการศึกษาที่เขาได้รับมาอย่างละเอียดถ้วนทั่ว ไม่มีความรู้ใดตามความเข้าใจถึงสติปัญญาของชาวอียิปต์ที่พิจารณาแล้วว่าจะทำให้โมเสสเป็นผู้มีสติปัญญาฉลาดปราดเปรื่องจะถูกละเลย เขาได้รับการฝึกฝนอบรมในระดับสูงสุดทั้งในวิชาทางทหารและฝ่ายพลเรือน เขารู้สึกว่าเขาได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับหน้าที่ในการช่วยปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล แต่พระเจ้าทรงมีพระดำริไปในอีกทางหนึ่ง การจัดสรรของพระองค์ทรงกำหนดให้โมเสสต้องได้รับการฝึกฝนอยู่ในถิ่นทุรกันดารในฐานะคนเลี้ยงแกะเป็นเวลานานถึงสี่สิบปี {MH 474.3}

The education that Moses had received in Egypt was a help to him in many respects; but the most valuable preparation for his lifework was that which he received while employed as a shepherd. Moses was naturally of an impetuous spirit. In Egypt a successful military leader and a favorite with the king and the nation, he had been accustomed to receiving praise and flattery. He had attracted the people to himself. He hoped to accomplish by his own powers the work of delivering Israel. Far different were the lessons he had to learn as God’s representative. As he led his flocks through the wilds of the mountains and into the green pastures of the valleys, he learned faith and meekness, patience, humility, and self-forgetfulness. He learned to care for the weak, to nurse the sick, to seek after the straying, to bear with the unruly, to tend the lambs, and to nurture the old and the feeble. {MH 474.4}

การศึกษาที่โมเสสได้รับในประเทศอียิปต์เป็นประโยชน์แก่เขาในหลายๆ ด้าน แต่การเตรียมตัวที่มีความสำคัญมากที่สุดเพื่อให้พร้อมสำหรับพันธกิจในชีวิตของเขา คือ สิ่งที่เขาได้รับในระหว่างที่เขาดำเนินชีวิตในฐานะคนเลี้ยงแกะ ตามปกติแล้วโมเสสเป็นคนใจร้อน เมื่อคราวที่อยู่ในอียิปต์ เขาเป็นผู้บัญชาการทหารที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ฟาโรห์และเป็นที่รักใคร่ของคนในประเทศ เขาคุ้นเคยกับคำสรรเสริญและการเยินยอ เขาสามารถดึงดูดประชาชนมาหาเขา เขาหวังจะช่วยปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้สำเร็จได้โดยอาศัยความสามารถของเขาเอง แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในฐานะผู้แทนของพระเจ้านั้น ช่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาได้เคยเรียนรู้มาก่อนมาก ในขณะที่เขานำฝูงแกะผ่านไปในป่าตามภูเขาและเข้าไปยังทุ่งหญ้าเขียวสดในหุบเขา เขาได้เรียนรู้ถึงความเชื่อและความอ่อนน้อมสุภาพ ความอดทน ความมีใจถ่อมและความไม่เห็นแก่ตัว เขาเรียนรู้ที่จะดูแลแกะที่ไม่แข็งแรง รักษาแกะที่เจ็บป่วย ตามหาแกะที่พลัดหลงหาย อดทนกับแกะที่ดื้อรั้น เฝ้าดูแลลูกแกะตัวเล็กๆ และคอยดูแลเอาใจใส่แกะที่อายุมากและอ่อนแอ {MH 474.4}

In this work Moses was drawn nearer to the Chief Shepherd. He became closely united to the Holy One of Israel. No longer did he plan to do a great work. He sought to do faithfully as unto God the work committed to his charge. He recognized the presence of God in his surroundings. All nature spoke to him of the Unseen One. He knew God as a personal God, and, in meditating upon His character he grasped more and more fully the sense of His presence. He found refuge in the everlasting arms. {MH 475.1}

การปฏิบัติในหน้าที่นี้ทำให้โมเสสเข้ามาใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เลี้ยง เขาได้เข้าสนิทในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล เขาไม่คิดจะทำการใหญ่อีกต่อไป เขาตั้งใจพยายามทำงานตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ด้วยความซื่อสัตย์ เขารู้และสัมผัสได้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ใกล้ชิดรอบตัวเขา สรรพสิ่งในธรรมชาติบอกกับเขาเกี่ยวกับพระเจ้า เขารู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และเมื่อโมเสสใคร่ครวญถึงพระลักษณะของพระองค์ เขาก็ยิ่งรู้ซึ้งและรับรู้ได้ว่าพระองค์สถิตอยู่กับเขา เขาพบสถานที่ลี้ภัยในอ้อมพระกรอันดำรงเป็นนิจของพระองค์ {MH 475.1}

After this experience, Moses heard the call from heaven to exchange his shepherd’s crook for the rod of authority; to leave his flock of sheep and take the leadership of Israel. The divine command found him self-distrustful, slow of speech, and timid. He was overwhelmed with a sense of his incapacity to be a mouthpiece for God. But he accepted the work, putting his whole trust in the Lord. The greatness of his mission called into exercise the best powers of his mind. God blessed his ready obedience, and he became eloquent, hopeful, self-possessed, fitted for the greatest work ever given to man. Of him it is written: “There hath not arisen a prophet since in Israel like unto Moses, whom Jehovah knew face to face.” Deuteronomy 34:10, A.R.V. {MH 475.2}

หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว โมเสสได้ยินเสียงเรียกจากสวรรค์ให้แลกไม้เท้าของผู้เลี้ยงแกะเป็นไม้เท้าแห่งสิทธิอำนาจ ให้ละฝูงแกะไว้และรับตำแหน่งผู้นำของชนชาติอิสราเอล เมื่อได้รับพระบัญชาของพระเจ้า โมเสสรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง พูดไม่เก่งและขลาดอาย เขาถูกครอบคลุมด้วยความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถเป็นกระบอกเสียงแทนพระเจ้าได้ แต่เขาก็ยอมรับหน้าที่นี้ โดยมอบความวางใจทั้งหมดไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ความสำคัญของภารกิจนี้ต้องการความสามารถทางสติปัญญาที่ล้ำเลิศที่สุด พระเจ้าทรงอวยพระพรให้กับการยินดีเชื่อฟังของเขา เขาจึงกลายเป็นคนที่พูดจาคล่องแคล่ว เต็มไปด้วยความหวัง สุขุมเยือกเย็น และเหมาะสมกับภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมอบหมายให้แก่มนุษย์ พระคัมภีร์มีข้อความเขียนถึงโมเสสไว้ว่า ”ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีผู้เผยพระวจนะผู้ใดในอิสราเอลเสมอโมเสส ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรู้จักหน้าต่อหน้า” เฉลยธรรมบัญญัติ 34:10 {MH 475.2}

Let those who feel that their work is not appreciated, and who crave a position of greater responsibility, consider that “promotion cometh neither from the east, nor from the west, nor from the south. But God is the Judge: He putteth down one, and setteth up another.” Psalm 75:6, 7. Every man has his place in the eternal plan of heaven. Whether we fill that place depends upon our own faithfulness in co-operating with God. {MH 476.1}

ขอให้คนทั้งหลายที่มีความรู้สึกว่างานของตนเองไม่ได้รับการชื่นชมยินดี และผู้ที่ปรารถนาตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า ให้คิดว่า “เพราะการที่จะเขยิบเลื่อนขึ้นนั้น มิได้มาจากทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกหรือทิศใต้ แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้วินิจฉัย พระองค์ทรงถอดคนนั้นและทรงโปรดเลื่อนคนนี้ขึ้น” สดุดี 75:6, 7 (ฉบับแปลเดิม) มนุษย์ทุกคนมีตำแหน่งหน้าที่ของตนตามแผนการอันเป็นนิรันดร์ของสวรรค์ เราจะได้รับมอบหมายในตำแหน่งหน้าที่ใดๆ นั้นย่อมขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ในการร่วมมือกับพระเจ้า {MH 476.1}

We need to beware of self-pity. Never indulge the feeling that you are not esteemed as you should be, that your efforts are not appreciated, that your work is too difficult. Let the memory of what Christ has endured for us silence every murmuring thought. We are treated better than was our Lord. “Seekest thou great things for thyself? seek them not.” Jeremiah 45:5. The Lord has no place in His work for those who have a greater desire to win the crown than to bear the cross. He wants men who are more intent upon doing their duty than upon receiving their reward–men who are more solicitous for principle than for promotion. {MH 476.2}

เราจำเป็นต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องการสงสารตนเอง อย่าหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกว่า ท่านไม่ได้รับการยกย่องนับถือเท่าที่ควร ความพยายามของท่านไม่ได้รับการชื่นชมยินดี งานของท่านนั้นยากเกินไป จงให้ความทรงจำถึงความทุกข์ทรมานที่พระคริสต์ยอมแบกรับแทนเราหยุดความคิดช่างบ่นเหล่านี้เสีย เราทั้งหลายได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของเราได้รับอยู่แล้ว “เจ้าจะหาสิ่งใหญ่โตเพื่อตัวเองหรือ อย่าหามันเลย” เยเรมีย์ 45:5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในพระราชกิจของพระองค์ที่จะมอบให้แก่คนทั้งหลายที่มีความปรารถนาอยากได้มงกุฎรางวัลมากกว่ายอมแบกกางเขน พระองค์ทรงต้องการผู้ที่ตั้งอกตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตนมากกว่าผู้ที่รอรับรางวัลตอบแทน ผู้ที่เต็มใจทำเพื่อหลักการมากกว่าการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น {MH 476.2}

Those who are humble, and who do their work as unto God, may not make so great a show as do those who are full of bustle and self-importance; but their work counts for more. Often those who make a great parade call attention to self, interposing between the people and God, and their work proves a failure. “Wisdom is the principal thing; therefore get wisdom: and with all thy getting get understanding. Exalt her, and she shall promote thee: she shall bring thee to honor, when thou dost embrace her.” Proverbs 4:7, 8. {MH 477.1}

คนทั้งหลายที่ถ่อมใจและผู้ที่ทำงานของตนเหมือนดังเช่นถวายเกียรติแด่พระเจ้า ย่อมไม่โอ้อวดแสดงตนเหมือนอย่างผู้ที่ชอบทำตัววุ่นวายและคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ แต่ผลงานของคนเหล่านั้นนับว่ามีค่ายิ่งกว่า บ่อยครั้ง ผู้ที่ทำตัวยิ่งใหญ่ ฟู่ฟ่าต้องการเรียกร้องความสนใจให้กับตนเอง จึงกลายเป็นผู้ที่แทรกอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและงานของเขาทั้งหลายแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลว “ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉะนั้นจงเอาปัญญา แม้เจ้าจะได้อะไรก็ตาม จงเอาความเข้าใจไว้ จงสรรเสริญปัญญาและปัญญาจะส่งเสริมเจ้า ถ้าเจ้ายึดปัญญาไว้ ปัญญานำพาเกียรติยศมาสู่เจ้า” สุภาษิต 4:7, 8 {MH 477.1}

Because they have not the determination to take themselves in hand and to reform, many become stereotyped in a wrong course of action. But this need not be. They may cultivate their powers to do the very best kind of service, and then they will be always in demand. They will be valued for all that they are worth. {MH 477.2}

เพราะเหตุว่าเขาเหล่านั้นไม่มีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปฏิรูปตนเอง หลายคนจึงกลายเป็นแบบจำลองของพฤติกรรมที่ผิดๆ แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ คนเหล่านั้นอาจฝึกฝนตนเองให้สามารถรับใช้อย่างดีที่สุดในงานใดงานหนึ่ง แล้วเขาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นผู้ที่มีคนต้องการขอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เขาเหล่านั้นจะได้รับคำชื่นชมยินดีสมกับคุณค่าความดีของตนเอง {MH 477.2}

If any are qualified for a higher position, the Lord will lay the burden, not alone on them, but on those who have tested them, who know their worth, and who can understandingly urge them forward. It is those who perform faithfully their appointed work day by day, who in God’s own time will hear His call, “Come up higher.” {MH 477.3}

ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งที่สูงขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงวางภาระให้แก่เขาเพียงลำพัง แต่จะทรงแบ่งเบาภาระนั้นให้แก่ผู้ที่ทดสอบเขา ผู้ที่รู้คุณค่าของเขา และผู้ที่เข้าใจถึงวิธีที่จะสนับสนุนให้เขาก้าวหน้าต่อไปยิ่งขึ้น คนทั้งหลายที่ทำงานตามที่ตนเองได้รับมอบหมายด้วยความซื่อสัตย์วันแล้ววันเล่า จะเป็นผู้ที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสเมื่อถึงเวลาของพระองค์ว่า “จงก้าวสูงขึ้นอีก” {MH 477.3}

While the shepherds were watching their flocks on the hills of Bethlehem, angels from heaven visited them. So today while the humble worker for God is following his employment, angels of God stand by his side, listening to his words, noting the manner in which his work is done, to see if larger responsibilities may be entrusted to his hands. {MH 477.4}

ในขณะที่ผู้เลี้ยงแกะกำลังเฝ้าฝูงแกะของตนเองอยู่บนเนินเขาในเมืองเบธเลเฮม เหล่าทูตสวรรค์ลงมาเยี่ยมเยือนเขาทั้งหลาย โดยทำนองเดียวกันในทุกวันนี้ ในขณะที่ผู้รับใช้ที่ใจถ่อมของพระเจ้ากำลังปฏิบัติงานของตนเอง เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้ายืนอยู่เคียงข้างเขาทั้งหลาย คอยฟังถ้อยคำของเขาทั้งหลายและเฝ้าสังเกตเนื้องานที่เขาทั้งหลายทำ เพื่อให้ทราบว่า คนเหล่านี้ควรจะได้รับมอบหมายให้ทำงานที่สำคัญกว่าหรือไม่ {MH 477.4}

Not by their wealth, their education, or their position does God estimate men. He estimates them by their purity of motive and their beauty of character. He looks to see how much of His Spirit they possess and how much of His likeness their life reveals. To be great in God’s kingdom is to be as a little child in humility, in simplicity of faith, and in purity of love. {MH 477.5}

พระเจ้าทรงไม่ประเมินคุณค่าของมนุษย์โดยอาศัยทรัพย์สินเงินทอง การศึกษาหรือตำแหน่งหน้าที่ของเขา พระองค์ทรงประเมินจากความบริสุทธิ์ของจุดมุ่งหมายและความดีงามในอุปนิสัยของเขา พระองค์ทรงพินิจถึงความเติบโตของพระวิญญาณของพระองค์ในตัวเขามีมากน้อยเพียงใด และเขาสำแดงถึงพระฉายาของพระองค์ให้ปรากฏในชีวิตของเขามากแค่ไหน การเป็นใหญ่ในอาณาจักรของพระเจ้านั้นคือการเป็นเด็กน้อยที่ถ่อมตน มีความเชื่ออย่างซื่อตรงและมีความรักอันบริสุทธิ์ {MH 477.5}

“Ye know,” Christ said, “that the rulers of the Gentiles lord it over them, and their great ones exercise authority over them. Not so shall it be among you: but whosoever would become great among you shall be your minister.” Matthew 20:25, 26, A.R.V. {MH 478.1}

พระคริสต์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย” มัทธิว 20:25, 26 {MH 478.1}

Of all the gifts that heaven can bestow upon men, fellowship with Christ in His sufferings is the most weighty trust and the highest honor. Not Enoch, who was translated to heaven, not Elijah, who ascended in a chariot of fire, was greater or more honored than John the Baptist, who perished alone in the dungeon. “Unto you it is given in the behalf of Christ, not only to believe on Him, but also to suffer for His sake.” Philippians 1:29. {MH 478.2}

ในบรรดาของประทานที่สวรรค์มอบให้แก่มนุษย์นั้น การได้ร่วมทนทุกข์กับพระคริสต์ นับว่าเป็นความไว้วางใจที่มีความสำคัญมากที่สุดและเป็นเกียรติยศอันสูงสุด ไม่ใช่เอโนคผู้ถูกพาไปยังสวรรค์ ไม่ใช่เอลียาห์ผู้ขึ้นสู่สวรรค์โดยราชรถเพลิง ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าหรือได้รับเกียรติยศมากกว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกมืดใต้ดินอย่างโดดเดี่ยว “เพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์ มิใช่ให้ท่านเชื่อถือในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ท่านทนความทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย” ฟีลลิปปี 1:29 {MH 478.2}

Plans for the Future Many are unable to make definite plans for the future. Their life is unsettled. They cannot discern the outcome of affairs, and this often fills them with anxiety and unrest. Let us remember that the life of God’s children in this world is a pilgrim life. We have not wisdom to plan our own lives. It is not for us to shape our future. “By faith Abraham, when he was called to go out into a place which he should after receive for an inheritance, obeyed; and he went out, not knowing whither he went.” Hebrews 11:8. {MH 478.3}

แผนการสำหรับอนาคต หลายคนกำหนดแผนงานที่แน่นอนสำหรับอนาคตไม่ได้ ชีวิตของคนเหล่านี้ไม่มีอะไรที่มั่นคง คนเหล่านี้มองไม่เห็นถึงผลลัพท์แห่งกิจการงานต่างๆ และบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลและวุ่นวายใจรุมเร้าเขาทั้งหลาย ขอให้เราจดจำไว้ว่า ชีวิตของเหล่าบุตรของพระเจ้าในโลกนี้เป็นชีวิตของนักแสวงบุญ เราไม่มีสติปัญญาที่จะวางแผนการในชีวิตของเราเองได้ เราไม่มีหน้าที่ๆ จะกำหนดอนาคตของเราเอง “เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านออกเดินทางไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน” ฮีบรู 11:8 {MH 478.3}

Christ in His life on earth made no plans for Himself. He accepted God’s plans for Him, and day by day the Father unfolded His plans. So should we depend upon God, that our lives may be the simple outworking of His will. As we commit our ways to Him, He will direct our steps. {MH 479.1}

ในสมัยที่พระคริสต์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ พระองค์ไม่ทรงกำหนดแผนการไว้สำหรับพระองค์เอง พระองค์ทรงยอมรับในแผนการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับพระองค์ และพระบิดาทรงเผยให้เห็นแผนการของพระองค์วันต่อวัน เราจึงควรวางใจในพระเจ้าเช่นเดียวกัน ว่าชีวิตของเราอาจจะเป็นแผนการตามน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระองค์ ในขณะที่เรามอบหนทางของเราไว้กับพระองค์ พระองค์ก็จะทรงนำย่างก้าวของเรา {MH 479.1}

Too many, in planning for a brilliant future, make an utter failure. Let God plan for you. As a little child, trust to the guidance of Him who will “keep the feet of His saints.” 1 Samuel 2:9. God never leads His children otherwise than they would choose to be led, if they could see the end from the beginning and discern the glory of the purpose which they are fulfilling as co-workers with Him. {MH 479.2}

มีผู้คนมากเกินไปวางแผนอนาคตที่สดใสกลับประสบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จงให้พระเจ้าวางแผนการให้ท่าน จงวางใจในการทรงนำของพระองค์เหมือนดังเช่นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง พระองค์จะ “ทรงดูแลย่างเท้าของธรรมิกชนของพระองค์” 1 ซามูเอล 2:9 พระเจ้าทรงไม่เคยนำเหล่าบุตรของพระองค์ไปในหนทางอื่นใดยกเว้นหนทางที่เขาทั้งหลายเป็นผู้เลือกให้ทรงนำ หากเขาทั้งหลายสามารถเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องปลายตั้งแต่ตอนเริ่มต้นและมองเห็นถึงสง่าราศีของพระประสงค์ที่เขาทั้งหลายกำลังบรรลุสู่ความสำเร็จในฐานะผู้ร่วมงานของพระองค์ {MH 479.2}

Wages When Christ called His disciples to follow Him, He offered them no flattering prospects in this life. He gave them no promise of gain or worldly honor, nor did they make any stipulation as to what they should receive. To Matthew as he sat at the receipt of custom, the Saviour said, “Follow Me. And he left all, rose up, and followed Him.” Luke 5:27, 28. Matthew did not, before rendering service, wait to demand a certain salary equal to the amount received in his former occupation. Without question or hesitation he followed Jesus. It was enough for him that he was to be with the Saviour, that he might hear His words and unite with Him in His work. {MH 479.3}

ค่าจ้างตอบแทน เมื่อพระคริสต์ทรงเรียกเหล่าสาวกให้ติดตามพระองค์นั้น พระองค์ทรงไม่ได้เสนอว่าจะประทานความหวังอันเลิศลอยในชีวิตนี้ให้แก่สาวกเหล่านั้น พระองค์ทรงไม่ได้สัญญากับเขาทั้งหลายว่าจะให้ผลประโยชน์หรือเกียรติยศทางโลก หรือเงื่อนไขค่าตอบแทนที่เขาทั้งหลายควรจะได้รับ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับมัทธิวขณะที่เขานั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษีว่า “จงตามเรามาเถิด เขาก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง ลุกขึ้นตามพระองค์ไป” ลูกา 5:27, 28 ก่อนที่จะเริ่มปรนนิบัติรับใช้ มัทธิวไม่ได้หยุดรอเพื่อเรียกร้องค่าจ้างตอบแทนในจำนวนเท่ากับที่เขาเคยได้รับในอาชีพเดิมของเขา เขาติดตามพระเยซูไป โดยไม่ไต่ถามหรือลังเลใจ เขาพอใจที่จะอยู่กับพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะฟังพระวาทะของพระองค์และร่วมรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ {MH 479.3}

So it was with the disciples previously called. When Jesus bade Peter and his companions follow Him, immediately they left their boats and nets. Some of these disciples had friends dependent on them for support; but when they received the Saviour’s invitation they did not hesitate and inquire, “How shall I live and sustain my family?” They were obedient to the call; and when afterward Jesus asked them, “When I sent you without purse, and scrip, and shoes, lacked ye anything?” they could answer, “Nothing.” Luke 22:35. {MH 480.1}

เหล่าสาวกที่ได้รับการทรงเรียกก่อนหน้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อพระเยซูทรงรับสั่งให้เปโตรและสหายของเขาติดตามพระองค์ไปนั้น เขาทั้งหมดก็ละทิ้งเรือและอวนติดตามพระองค์ไปในทันที สาวกเหล่านี้บางคนมีญาติพี่น้องที่ต้องพึ่งพาอาศัยเขาทั้งหลายในการเลี้ยงดู แต่เมื่อได้รับคำเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด เขาทั้งหลายก็ไม่ได้ลังเลใจและถามว่า “ข้าพระองค์จะทำมาหาเลี้ยงครอบครัวอย่างไร” เขาเหล่านั้นเชื่อฟังการทรงเรียกและต่อมาในภายหลังเมื่อพระเยซูตรัสถามว่า “เมื่อเราได้ใช้ท่านทั้งหลายออกไปโดยไม่มีถุงเงิน ไม่มีย่าม ไม่มีรองเท้านั้น ท่านขัดสนสิ่งใดบ้างหรือ” เขาทั้งหลายทูลตอบว่า “หามิได้” ลูกา 22:35 {MH 480.1}

Today the Saviour calls us, as He called Matthew and John and Peter, to His work. If our hearts are touched by His love, the question of compensation will not be uppermost in our minds. We shall rejoice to be co-workers with Christ, and we shall not fear to trust His care. If we make God our strength we shall have clear perceptions of duty, unselfish aspirations; our life will be actuated by a noble purpose which will raise us above sordid motives. {MH 480.2}

ในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกเราเหมือนดังที่พระองค์ทรงเรียกมัทธิวและยอห์นรวมทั้งเปโตรมารับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ หากความรักของพระองค์แตะต้องจิตใจของเรา เรื่องของค่าตอบแทนย่อมจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเรา เราจะชื่นชมยินดีที่ได้เป็นผู้ร่วมงานกับพระคริสต์และเราจะไม่หวั่นวิตกที่จะวางใจในการพิทักษ์รักษาของพระองค์ ถ้าเรายึดมั่นพระเจ้าเป็นกำลังของเรา เราก็จะเข้าใจได้อย่างชัดเจนถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ ถึงความใฝ่ฝันที่ไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตของเราจะถูกกระตุ้นโดยจุดประสงค์ที่สง่างาม ซึ่งจะยกชูเราให้อยู่เหนือจุดมุ่งหมายที่เลวทราม {MH 480.2}

God Will Provide Many who profess to be Christ’s followers have an anxious, troubled heart because they are afraid to trust themselves with God. They do not make a complete surrender to Him, for they shrink from the consequences that such a surrender may involve. Unless they do make this surrender they cannot find peace. {MH 480.3}

พระเจ้าจะทรงจัดเตรียม หลายคนที่แสดงตนว่าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์มีความกระวนกระวายและยุ่งยากใจ เพราะเขาทั้งหลายกลัวที่จะมอบตนเองไว้กับพระเจ้า คนเหล่านี้จึงไม่ยอมถวายตัวเองแก่พระองค์อย่างสิ้นเชิง เพราะต่างไม่กล้าเผชิญกับผลที่จะตามมาจากการถวายตัวนั้น หากคนเหล่านี้ยังไม่เต็มใจถวายตนเองแก่พระเจ้าโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาทั้งหลายก็ไม่อาจพบกับสันติสุข {MH 480.3}

There are many whose hearts are aching under a load of care because they seek to reach the world’s standard. They have chosen its service, accepted its perplexities, adopted its customs. Thus their character is marred and their life made a weariness. The continual worry is wearing out the life forces. Our Lord desires them to lay aside this yoke of bondage. He invites them to accept His yoke; He says, “My yoke is easy, and My burden is light.” Worry is blind and cannot discern the future; but Jesus sees the end from the beginning. In every difficulty He has His way prepared to bring relief. “No good thing will He withhold from them that walk uprightly.” Matthew 11:30; Psalm 84:11. {MH 481.1}

หลายคนต้องปวดร้าวจิตใจเนื่องจากภาระหนักที่กำลังแบกรับอยู่ เพราะคนเหล่านี้พยายามก้าวให้ถึงมาตรฐานของโลก คนเหล่านี้เลือกที่จะรับใช้โลก เลือกที่จะอ้าแขนรับความวุ่นวายสับสนและรับเอาธรรมเนียมปฏิบัติของโลกมาใช้ ด้วยประการฉะนี้ อุปนิสัยของคนเหล่านี้จึงเสื่อมไป และชีวิตมีแต่ความเหน็ดเหนื่อย ความวิตกกังวลที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงปรารถนาให้พวกเขาละทิ้งแอกที่พันธนาการนี้เสีย พระองค์ทรงเชื้อเชิญเขาทั้งหลายเข้ามารับแอกของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “แอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” ความวิตกกังวลบดบังตาและมองไม่เห็นอนาคต แต่พระเยซูทรงทอดพระเนตรถึงเบื้องปลายนับตั้งแต่เริ่มต้น ในความยากลำบากทั้งหลายนั้น พระองค์ทรงได้จัดเตรียมหนทางบรรเทาอยู่แล้ว “พระเจ้าไม่ได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลย จากบุคคลผู้เดินอย่างเที่ยงธรรม” มัทธิว 11:30, สดุดี 84:11 {MH 481.1}

Our heavenly Father has a thousand ways to provide for us of which we know nothing. Those who accept the one principle of making the service of God supreme, will find perplexities vanish and a plain path before their feet. {MH 481.2}

พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงมีหนทางหลากหลายวิธีที่จัดเตรียมไว้สำหรับเรา โดยที่เราไม่ทราบอะไรๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย คนทั้งหลายที่ยอมรับว่าการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดจะพบว่าความวุ่นวายต่างๆ อันตรธานหายไปและเบื้องหน้าเท้าของเขาทั้งหลายมีเส้นทางราบเรียบพาดอยู่ {MH 481.2}

The faithful discharge of today’s duties is the best preparation for tomorrow’s trials. Do not gather together all tomorrow’s liabilities and cares and add them to the burden of today. “Sufficient unto the day is the evil thereof.” Matthew 6:34. {MH 481.3}

การปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ของเราด้วยความซื่อสัตย์เป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดสำหรับความยากลำบากในวันพรุ่งนี้ จงอย่าเก็บภาระและความห่วงใยของวันพรุ่งนี้มาซ้ำเติมภาระของวันนี้ เพราะ “แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” มัทธิว 6:34 {MH 481.3}

Let us be hopeful and courageous. Despondency in God’s service is sinful and unreasonable. He knows our every necessity. To the omnipotence of the King of kings our covenant-keeping God unites the gentleness and care of the tender shepherd. His power is absolute, and it is the pledge of the sure fulfillment of His promises to all who trust in Him. He has means for the removal of every difficulty, that those who serve Him and respect the means He employs may be sustained. His love is as far above all other love as the heavens are above the earth. He watches over His children with a love that is measureless and everlasting. {MH 481.4}

ขอให้เรามีความหวังและมีกำลังใจ ความท้อแท้สิ้นหวังในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าเป็นความผิดบาปและไร้เหตุผล พระองค์ทรงทราบทุกความต้องการของเรา สำหรับจอมราชันผู้ทรงเป็นจอมโยธา พระเจ้าผู้ทรงรักษาทุกพันธสัญญาของเราจะทรงผนวกความยิ่งใหญ่และความห่วงใยดูแลเอาใจใส่ของพระผู้เลี้ยงที่อ่อนโยน ฤทธานุภาพของพระองค์ไม่มีขีดจำกัดและเป็นเครื่องรับประกันถึงความสัมฤทธิ์ผลแห่งพันธสัญญาของพระองค์สำหรับคนทั้งหลายที่วางใจในพระองค์ พระองค์ทรงมีวิธีที่จะขจัดทุกความยากลำบาก เพื่อคนทั้งหลายที่รับใช้พระองค์และเชื่อมั่นในวิธีการที่พระองค์ทรงนำมาใช้จะได้รับการเลี้ยงดู ความรักของพระองค์สูงส่งยิ่งกว่าความรักใดๆ เหมือนดั่งฟ้าสวรรค์ที่สูงกว่าแผ่นดินโลก พระองค์ทรงคอยอภิบาลดูแลบุตรของพระองค์ด้วยความรักที่ไม่สามารถวัดค่าได้และดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ {MH 481.4}

In the darkest days, when appearances seem most forbidding, have faith in God. He is working out His will, doing all things well in behalf of His people. The strength of those who love and serve Him will be renewed day by day. {MH 482.1}

ในวันที่มืดมนที่สุด เมื่อเหตุการณ์ดูประหนึ่งว่าหมดหวัง ขอให้เราได้มีความเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงกำลังดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทรงกำลังกระทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมเพื่อประชากรของพระองค์ พละกำลังของผู้คนทั้งหลายที่รักและปรนนิบัติรับใช้พระองค์จะได้รับการฟื้นฟูใหม่วันต่อวัน {MH 482.1}

He is able and willing to bestow upon His servants all the help they need. He will give them the wisdom which their varied necessities demand. {MH 482.2}

พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถและทรงเต็มพระทัยที่จะประทานความช่วยเหลือในทุกสิ่งที่ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องการ พระองค์จะประทานสติปัญญาแก่คนเหล่านั้นตามความจำเป็นที่แตกต่างกันไปตามต้องการ {MH 482.2}

Said the tried apostle Paul: “He said unto me, My grace is sufficient for thee: for My strength is made perfect in weakness. Most gladly therefore will I rather glory in my infirmities, that the power of Christ may rest upon me. Therefore I take pleasure in infirmities, in reproaches, in necessities, in persecutions, in distresses for Christ’s sake: for when I am weak, then am I strong.” 2 Corinthians 12:9, 10. {MH 482.3}

อัครทูตเปาโลผู้เคยผ่านความยากลำบากมาก่อนได้กล่าวไว้ว่า “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า พระคุณของเราก็มีพอสำหรับเจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยินดีโอ้อวดในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” 2 โครินธ์ 12:9, 10 {MH 482.3}