Chapter 41 (บทที่ 41)
“In Contact With Others”
“การติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่น”
Every association of life calls for the exercise of self-control, forbearance, and sympathy. We differ so widely in disposition, habits, education, that our ways of looking at things vary. We judge differently. Our understanding of truth, our ideas in regard to the conduct of life, are not in all respects the same. There are no two whose experience is alike in every particular. The trials of one are not the trials of another. The duties that one finds light are to another most difficult and perplexing. {MH 483.1}
การคบหาสมาคมกับผู้อื่นในทุกๆเรื่องของชีวิตต้องรู้จักใช้การควบคุมจิตใจตนเอง ความอดทนอดกลั้นและความเห็นอกเห็นใจ เราทุกคนต่างก็มีอารมณ์ นิสัยใจคอและการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างมากมาย จนมีความเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ผิดแผกกันไป เราวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ไม่เหมือนกัน ความเข้าใจของเราในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นจริง ความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในชีวิตย่อมไม่อาจจะเหมือนกันได้ในทุกแง่มุม ไม่มีคนสองคนที่จะมีประสบการณ์เหมือนกันในทุกรายละเอียด ความทุกข์ยากของคนหนึ่งไม่เหมือนความทุกข์ลำบากของอีกคนหนึ่ง หน้าที่ๆเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับคนหนึ่ง อาจกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากที่สุดสำหรับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ {MH 483.1}
So frail, so ignorant, so liable to misconception is human nature, that each should be careful in the estimate he places upon another. We little know the bearing of our acts upon the experience of others. What we do or say may seem to us of little moment, when, could our eyes be opened, we should see that upon it depended the most important results for good or for evil. {MH 483.2}
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นอ่อนแอ ไม่มีความรู้และมักมีความคิดเห็นที่ผิดๆ อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้แต่ละคนควรระมัดระวังในการประเมินคนอื่น เราแทบไม่รู้เลยว่าการกระทำของเราส่งผลอย่างไรในความรู้สึกของคนอื่น สิ่งที่เรากระทำหรือพูดออกไปอาจดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แต่หากตาของเราจักได้เปิดออก เราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ก่อให้เกิดผลดีหรือผลร้ายได้ {MH 483.2}
Consideration for Burden Bearers Many have borne so few burdens, their hearts have known so little real anguish, they have felt so little perplexity and distress in behalf of others, that they cannot understand the work of the true burden bearer. No more capable are they of appreciating his burdens than is the child of understanding the care and toil of his burdened father. The child may wonder at his father’s fears and perplexities. These appear needless to him. But when years of experience shall have been added to his life, when he himself comes to bear its burdens, he will look back upon his father’s life and understand that which was once so incomprehensible. Bitter experience has given him knowledge. {MH 483.3}
ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ต้องแบกภาระอันหนัก คนจำนวนมากแบกภาระน้อยนิด จิตใจของคนเหล่านี้แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความทุกข์ยากที่แท้จริง แทบไม่รู้สึกถึงความวุ่นวายและท้อแท้ใจของคนอื่น จนคนเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงงานของผู้แบกรับภาระตัวจริง พวกเขาไม่ซาบซึ้งถึงภาระของเขาเหมือนเช่นเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจภาระของผู้เป็นบิดาของเขา เด็กคนนั้นอาจจะสงสัยในความวิตกกังวลและความทุกข์ร้อนของบิดา และมองว่าไม่มีความจำเป็น แต่เมื่อความจัดเจนต่อชีวิตเพิ่มมากขึ้น เมื่อตัวเขาเองมีภาระต้องรับผิดชอบ เขาก็จะหวนระลึกถึงชีวิตของบิดาของเขาและจะตระหนักในสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ ประสบการณ์ที่ขมขื่นได้จุดประกายปัญญาแก่เขา {MH 483.3}
The work of many a burden bearer is not understood, his labors are not appreciated, until death lays him low. When others take up the burdens he has laid down, and meet the difficulties he encountered, they can understand how his faith and courage were tested. Often then the mistakes they were so quick to censure are lost sight of. Experience teaches them sympathy. God permits men to be placed in positions of responsibility. When they err, He has power to correct or to remove them. We should be careful not to take into our hands the work of judging that belongs to God. {MH 484.1}
ยังมีผลงานของผู้ที่แบกภาระจำนวนมากไม่เป็นที่เข้าใจและไม่ได้รับการชื่นชมถึงคุณค่า จนความตายยุติหน้าที่ของเขา เมื่อคนอื่นเข้ามาแบกรับภาระที่เขาทำค้างไว้ และต้องประสบกับความยากลำบากเช่นเดียวกับที่เขาได้เผชิญ เขาทั้งหลายจึงค่อยเข้าใจว่าเขานั้นต้องถูกทดลองความเชื่อและกำลังใจอย่างไรบ้าง บ่อยครั้งความผิดพลาดของเขาที่เขาทั้งหลายใจร้อนตำหนิติเตียนเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่ปรากฏให้เห็น ประสบการณ์สอนเขาทั้งหลายให้มีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น พระเจ้าทรงโปรดประทานหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ แก่มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเขาทั้งหลายกระทำผิด พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะแก้ไขหรือย้ายเขาออกไป เราจึงควรระมัดระวังไม่นำอำนาจการพิพากษาตัดสินซึ่งเป็นพระราชกิจของพระเจ้ามาดำเนินการเอาเอง {MH 484.1}
The conduct of David toward Saul has a lesson. By command of God, Saul had been anointed as king over Israel. Because of his disobedience the Lord declared that the kingdom should be taken from him; and yet how tender and courteous and forbearing was the conduct of David toward him! In seeking the life of David, Saul came into the wilderness and, unattended, entered the very cave where David with his men of war lay hidden. “And the men of David said unto him, Behold the day of which the Lord said unto thee, . . . I will deliver thine enemy into thine hand, that thou mayest do to him as it shall seem good unto thee. . . . And he said unto his men, The Lord forbid that I should do this thing unto my master, the Lord’s anointed, to stretch forth mine hand against him, seeing he is the anointed of the Lord.” The Saviour bids us, “Judge not, that ye be not judged. For with what judgment ye judge, ye shall be judged: and with what measure ye mete, it shall be measured to you again.” Remember that soon your life record will pass in review before God. Remember, too, that He has said, “Thou art inexcusable, O man, whosoever thou art that judgest: . . . for thou that judgest doest the same things.” 1 Samuel 24:4-6; Matthew 7:1, 2; Romans 2:1. {MH 484.2}
การกระทำของดาวิดที่ปฏิบัติต่อกษัตริย์ซาอูลเป็นบทเรียนที่ดี ด้วยพระบัญชาของพระเจ้า ซาอูลได้รับการทรงเจิมให้ดำรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล เพราะเหตุที่กษัตริย์ซาอูลไม่ได้เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงประกาศยึดคืนอาณาจักรของซาอูล ถึงกระนั้น ดาวิดก็ยังปฏิบัติต่อกษัตริย์ซาอูลด้วยความสุภาพอ่อนโยนและด้วยความอดทนอดกลั้นมากยิ่งเพียงไร เพื่อตามล่าเอาชีวิตของดาวิด ซาอูลเดินทางมาถึงถิ่นทุรกันดารและหลงเข้าไปในถ้ำที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่กับพวกทหารโดยไม่มีผู้ที่ติดตามไปด้วย “คนของดาวิดก็เรียนท่านว่า วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า………เราจะได้มอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า และเจ้าจะทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นควร……….ท่านว่าแก่คนของท่านว่า ขอพระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับท่าน ด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้” พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับสั่งแก่เราว่า “อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้นและท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น” จงระลึกไว้ว่า อีกไม่นานนัก สมุดทะเบียนประจำชีพของท่านก็จะถูกส่งไปให้พระเจ้าทรงตรวจสอบ และจงจดจำไว้ด้วยว่า พระองค์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้น มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น……. ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วยเพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขา ก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา” 1 ซามูเอล 24:4-6; มัทธิว 7:1, 2; โรม 2:1. {MH 484.2}
Forbearance Under Wrong We cannot afford to let our spirits chafe over any real or supposed wrong done to ourselves. Self is the enemy we most need to fear. No form of vice has a more baleful effect upon the character than has human passion not under the control of the Holy Spirit. No other victory we can gain will be so precious as the victory gained over self. {MH 485.1}
ความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราจักต้องไม่ปล่อยให้จิตใจของเราฉุนเฉียวเมื่อถูกกระทำผิดทั้งในสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่คาดการณ์ผิด แท้จริงตัวตนของเราเองต่างหากเป็นศัตรูที่เราจะต้องกลัวมากที่สุด ไม่มีความชั่วในรูปแบบใดจะส่งผลอันร้ายแรงต่ออุปนิสัยได้มากไปกว่ากิเลสตัณหาของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีชัยชนะใดที่เราได้มาจะมีค่าสูงส่งเหนือไปกว่าชัยชนะที่เราได้จากการเอาชนะตัวของเราเอง {MH 485.1}
We should not allow our feelings to be easily wounded. We are to live, not to guard our feelings or our reputation, but to save souls. As we become interested in the salvation of souls we cease to mind the little differences that so often arise in our association with one another. Whatever others may think of us or do to us, it need not disturb our oneness with Christ, the fellowship of the Spirit. “What glory is it, if, when ye be buffeted for your faults, ye shall take it patiently? but if, when ye do well, and suffer for it, ye take it patiently, this is acceptable with God.” 1 Peter 2:20. {MH 485.2}
เราไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกของเราถูกกระทบกระทั่งได้อย่างง่ายๆ เราต้องมีชีวิตอยู่ไม่ไช่เพื่อคอยปกป้องความรู้สึกหรือชื่อเสียงของตัวเรา แต่อยู่เพื่อช่วยเหลือจิตวิญญาณของผู้อื่นให้ได้รับความรอด เมื่อเราเริ่มมีความสนใจในความรอดของจิตวิญญาณของผู้อื่น เราก็จะเลิกใส่ใจกับความคิดเห็นไม่ลงรอยเล็กๆน้อยๆซึ่งมักเกิดขึ้นจากการคบหากับผู้อื่น ไม่ว่าใครจะคิดหรือปฏิบัติต่อเราเช่นไร สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมากระทบกระเทือนถึงการร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเรากับพระคริสต์และมิตรภาพของเรากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ “เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไร ถ้าพวกท่านสู้ทนเมื่อถูกเฆี่ยนเพราะการทำชั่วนั้น แต่ถ้าพวกท่านทำดีและต้องทนทุกข์ลำบาก สิ่งนี้ก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า” 1 เปโตร 2:20 (THSV) {MH 485.2}
Do not retaliate. So far as you can do so, remove all cause for misapprehension. Avoid the appearance of evil. Do all that lies in your power, without the sacrifice of principle, to conciliate others. “If thou bring thy gift to the altar, and there rememberest that thy brother hath aught against thee; leave there thy gift before the altar, and go thy way; first be reconciled to thy brother, and then come and offer thy gift.” Matthew 5:23, 24. {MH 485.3}
อย่าตอบโต้ผู้อื่น เท่าที่ท่านสามารถจะกระทำได้จงขจัดสาเหตุทั้งหลายของการเข้าใจผิดต่อกัน จงหลีกเลี่ยงการแสดงออกถึงความมาดร้าย จงกระทำทุกสิ่งตามกำลังความสามารถที่ท่านมีอยู่ในการผูกไมตรีกับผู้อื่น โดยไม่ละทิ้งต่อหลักการที่ถูกต้อง “เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” มัทธิว 5:23, 24 {MH 485.3}
If impatient words are spoken to you, never reply in the same spirit. Remember that “a soft answer turneth away wrath.” Proverbs 15:1. And there is wonderful power in silence. Words spoken in reply to one who is angry sometimes serve only to exasperate. But anger met with silence, in a tender, forbearing spirit, quickly dies away. {MH 486.1}
เมื่อมีผู้ใดกล่าวถ้อยคำรุนแรงต่อท่าน จงอย่ากล่าวถ้อยคำรุนแรงอย่างเดียวกันตอบกลับไป จงจำไว้ว่า “คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป” สุภาษิต 15:1 ในความเงียบนั้นมีฤทธิ์อำนาจอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ถ้อยคำเผ็ดร้อนกล่าวตอบโต้ต่อผู้ที่กำลังโกรธอยู่ ก็ยิ่งรังแต่จะยั่วโทสะให้มากขึ้นไปกว่าเดิม แต่โทสะอันเกรี้ยวกราดเมื่อได้ประจันหน้ากับจิตใจที่นิ่งสงบด้วยความสุภาพอ่อนโยนและมีความอดทนอดกลั้น โทสะนั้นก็จะมลายหายไปได้ {MH 486.1}
Under a storm of stinging, faultfinding words, keep the mind stayed upon the word of God. Let mind and heart be stored with God’s promises. If you are ill-treated or wrongfully accused, instead of returning an angry answer, repeat to yourself the precious promises: {MH 486.2}
เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดใช้ถ้อยคำกล่าวร้ายเพื่อหาเหตุท่าน ขอให้จิตใจของท่านได้มีความมั่นคงอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า ขอให้ท่านได้เก็บรักษาพระสัญญาของพระเจ้าไว้ในความคิดและจิตใจของท่าน ถ้าท่านได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมหรือถูกกล่าวหาอย่างผิดๆ แทนที่ท่านจะกล่าวตอบเขาอย่างโกรธเคือง ให้ท่านได้ย้ำถึงพระสัญญาอันประเสริฐของพระเจ้าแก่ตัวของท่านเองว่า {MH 486.2}
“Be not overcome of evil, but overcome evil with good.” Romans 12:21. {MH 486.3}
“อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี” โรม 12:21 {MH 486.3}
“Commit thy way unto the Lord; trust also in Him; and He shall bring it to pass. And He shall bring forth thy righteousness as the light, and thy judgment as the noonday.” Psalm 37:5, 6. {MH 486.4}
“จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์ วางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงช่วยท่าน พระองค์จะทรงให้ความชอบธรรมของท่านปรากฏอย่างความสว่าง และให้ความยุติธรรมของท่านปกากฏอย่างเที่ยงวัน” สดุดี 37:5, 6 (THSV) {MH 486.4}
“There is nothing covered, that shall not be revealed; neither hid, that shall not be known.” Luke 12:2. {MH 486.5}
“เพราะว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์” ลูกา 12:2 (KJTV) {MH 486.5}
“Thou hast caused men to ride over our heads; we went through fire and through water: but Thou broughtest us out into a wealthy place.” Psalm 66:12. {MH 486.6}
“พระองค์ทรงโปรดให้ศัตรูได้เหยียบย่ำอยู่บนศีรษะของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องลุยน้ำและลุยไฟ แต่พระองค์ก็ยังทรงนำข้าพระองค์มายังที่ๆมีสิ่งสารพัดอันบริบูรณ์” สดุดี 66:12 (New Century Version) {MH 486.6}
We are prone to look to our fellow men for sympathy and uplifting, instead of looking to Jesus. In His mercy and faithfulness God often permits those in whom we place confidence to fail us, in order that we may learn the folly of trusting in man and making flesh our arm. Let us trust fully, humbly, unselfishly in God. He knows the sorrows that we feel to the depths of our being, but which we cannot express. When all things seem dark and unexplainable, remember the words of Christ, “What I do thou knowest not now; but thou shalt know hereafter.” John 13:7. {MH 486.7}
แทนที่จะพึ่งพาพระเยซู เรามักจะคอยหวังพึ่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้เห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจแก่เรา หลายครั้ง ในพระเมตตาคุณและในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์ทรงโปรดให้คนที่เราไว้วางใจทำให้เราผิดหวัง เพื่อที่เราจักได้เรียนรู้ว่าเป็นสิ่งโง่เขลาเพียงไรที่เราวางใจในมนุษย์และคิดว่ามนุษย์จะเป็นผู้ที่พิทักษ์รักษาเราได้ ขอให้เราได้มีความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างหมดสิ้นด้วยจิตใจที่ถ่อมลงและไม่เห็นแก่ตัว พระองค์ทรงเข้าพระทัยดีถึงความทุกข์โศกที่มีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเรา แต่เราไม่สามารถจะแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดมนและยากที่จะอธิบาย จงระลึกถึงพระดำรัสของพระคริสต์ที่ตรัสว่า “สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ” ยอห์น 13:7 {MH 486.7}
Study the history of Joseph and of Daniel. The Lord did not prevent the plottings of men who sought to do them harm; but He caused all these devices to work for good to His servants who amidst trial and conflict preserved their faith and loyalty. {MH 487.1}
จงศึกษาถึงประวัติของโยเซฟและของดาเนียล องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงขัดขวางแผนปองร้ายของมนุษย์ผู้พยายามทำร้ายคนทั้งสอง แต่พระองค์ทรงกระทำให้อุบายแผนการเหล่านี้กลับเป็นประโยชน์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ซึ่งท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากและอันตรายยังคงยึดมั่นในความเชื่อและความสัตย์ซื่อของตนเอง {MH 487.1}
So long as we are in the world, we shall meet with adverse influences. There will be provocations to test the temper; and it is by meeting these in a right spirit that the Christian graces are developed. If Christ dwells in us, we shall be patient, kind, and forbearing, cheerful amid frets and irritations. Day by day and year by year we shall conquer self, and grow into a noble heroism. This is our allotted task; but it cannot be accomplished without help from Jesus, resolute decision, unwavering purpose, continual watchfulness, and unceasing prayer. Each one has a personal battle to fight. Not even God can make our characters noble or our lives useful, unless we become co-workers with Him. Those who decline the struggle lose the strength and joy of victory. {MH 487.2}
ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราจะต้องเผชิญกับอิทธิพลที่ขัดขวงเรา จะต้องพบกับการยั่วโทสะเพื่อทดสอบอารมณ์ของเรา และโดยการเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยจิตวิญญาณที่ถูกต้องเหมาะสม เราก็จะเจริญขึ้นในพระคุณของพระคริสต์ หากพระคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราจะมีความอดทน มีความเมตตากรุณา มีความอดกลั้นและมีจิตใจที่เบิกบานท่ามกลางความหวาดกลัวและระคายเคือง วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เราก็จะสามารถเอาชนะตัวของเราเองได้และเติบโตในความรู้สึกเยี่ยงวีรบุรุษที่สง่างาม นี่แหละคือ ภาระหน้าที่ๆพระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่เรา แต่เราไม่อาจบรรลุถึงความสำเร็จได้โดยปราศจากการช่วยเหลือจากพระเยซูเพื่อช่วยให้เราเป็นผู้มีน้ำใจอันเด็ดเดี่ยว มีความมุ่งหมายอันแน่วแน่ คอยเฝ้าระวังตลอดเวลา และไม่ลดละในการอธิษฐาน ทุกคนต่างก็มีสงครามส่วนตัวที่ต้องต่อสู้ แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่อาจทำให้เราเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยอันดีงามหรือทำให้ชีวิตของเราเกิดประโยชน์ได้ นอกเสียจากว่าเราจะเป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ คนทั้งหลายที่ปฏิเสธการต่อสู้นี้ย่อมสูญเสียความเข้มแข็งและความชื่นชมยินดีของชัยชนะ {MH 487.2}
We need not keep our own record of trials and difficulties, griefs, and sorrows. All these things are written in the books, and heaven will take care of them. While we are counting up the disagreeable things, many things that are pleasant to reflect upon are passing from memory, such as the merciful kindness of God surrounding us every moment and the love over which angels marvel, that God gave His Son to die for us. If as workers for Christ you feel that you have had greater cares and trials than have fallen to the lot of others, remember that for you there is a peace unknown to those who shun these burdens. There is comfort and joy in the service of Christ. Let the world see that life with Him is no failure. {MH 487.3}
เราไม่จำเป็นต้องเก็บสถิติการทดลอง ความทุกข์ยากลำบาก ความคับแค้นใจและความโศกเศร้าของเราไว้ สิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกอยู่ในสมุดทะเบียนประจำชีพแล้ว และสวรรค์จะเป็นผู้เก็บรักษาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไว้ ในขณะที่เรามัวแต่นับสิ่งที่ไม่น่าชื่นชม หลายสิ่งที่เป็นเรื่องน่ายินดีให้รำลึกถึงก็จะผ่านพ้นไปจากความทรงจำของเรา อย่างเช่น พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่อยู่โดยรอบเราในทุกเวลานาที และความรักของพระเจ้าที่แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ยังรู้สึกพิศวงว่าพระองค์ถึงกับประทานพระบุตรของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ ท่านมีภาระและได้รับความยากลำบากมากมายกว่าคนอื่นๆ จงจดจำไว้ว่าสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับความทุกข์เหล่านี้เหมือนอย่างท่าน พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจถึงสันติสุขเช่นที่ท่านได้รับ ในการปรนนิบัติรับใช้พระคริสต์นั้น เราจะได้รับการประเล้าประโลมจิตใจและความชื่นชมยินดี จงแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า การมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์นั้นย่อมจะไม่มีคำว่าล้มเหลว {MH 487.3}
If you do not feel lighthearted and joyous, do not talk of your feelings. Cast no shadow upon the lives of others. A cold, sunless religion never draws souls to Christ. It drives them away from Him into the nets that Satan has spread for the feet of the straying. Instead of thinking of your discouragements, think of the power you can claim in Christ’s name. Let your imagination take hold upon things unseen. Let your thoughts be directed to the evidences of the great love of God for you. Faith can endure trial, resist temptation, bear up under disappointment. Jesus lives as our advocate. All is ours that His mediation secures. {MH 488.1}
ถ้าท่านรู้สึกไม่เบิกบานใจและไม่มีความชื่นชมยินดี จงอย่าพูดถึงความรู้สึกของท่าน จงอย่าทอดเงามืดแห่งความทุกข์ลงบนชีวิตของผู้อื่น ศาสนาที่เศร้าหมองและเป็นทุกข์ไม่อาจจะชักนำจิตวิญญาณให้มาหาพระคริสต์ได้ มีแต่จะผลักไสคนเหล่านั้นให้เหินห่างจากพระองค์ไปสู่บ่วงแร้วที่ซาตานได้วางไว้สำหรับดักคนทั้งหลายที่พลัดหลงไปจากพระคริสต์ แทนที่จะคิดถึงความท้อแท้ผิดหวังของท่าน ให้ท่านคิดถึงฤทธิ์เดชที่ท่านสามารถทูลขอพระราชทานในพระนามของพระคริสต์ได้ จงจินตนาการของท่านคิดคำนึงถึงสิ่งที่มองไม่เห็น จงมุ่งความคิดของท่านไปยังสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อท่าน ความเชื่ออดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ต่อต้านการทดลองและแบกรับภาระแม้ในยามผิดหวัง พระเยซูทรงดำรงพระชนม์ในฐานะทนายของเรา ทุกวาทะที่ทรงแถลงแก้ต่างแทนเราของพระองต์เป็นผลงานของเรา {MH 488.1}
Think you not that Christ values those who live wholly for Him? Think you not that He visits those who, like the beloved John in exile, are for His sake in hard and trying places? God will not suffer one of His truehearted workers to be left alone, to struggle against great odds and be overcome. He preserves as a precious jewel everyone whose life is hid with Christ in Him. Of every such one He says: “I . . . will make thee as a signet: for I have chosen thee.” Haggai 2:23. {MH 488.2}
ท่านคิดหรือไม่ว่าพระคริสต์จะประทานเกียรติแก่คนทั้งหลายที่ใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่เพื่อพระองค์ ท่านคิดหรือไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมคนทั้งหลายที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากและตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพื่อพระองค์อย่างเช่นสาวกยอหน์ผู้ถูกเนรเทศที่พระองค์ทรงโปรดปราณ พระเจ้าจะไม่ทรงยอมให้ผู้รับใช้ผู้สัตย์ซื่อของพระองค์แม้แต่คนเดียวต้องถูกทอดทิ้งไว้อย่างเดียวดายให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความยากลำบากจนต้องพ่ายแพ้ไป พระองค์ทรงพิทักษ์รักษามนุษย์ทุกผู้ทุกนามที่มีชีวิตซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้าดุจดังอัญมณีอันมีค่า พระองค์ตรัสถึงคนเหล่านี้ทุกคนว่า “เราจะกระทำเจ้าให้เป็นดังแหวนตรา เพราะเราได้เลือกสรรเจ้าแล้ว” ฮักกัย 2:23 {MH 488.2}
Then talk of the promises; talk of Jesus’ willingness to bless. He does not forget us for one brief moment. When, notwithstanding disagreeable circumstances, we rest confidingly in His love, and shut ourselves in with Him, the sense of His presence will inspire a deep, tranquil joy. Of Himself Christ said: “I do nothing of Myself; but as My Father hath taught Me, I speak these things. And He that sent Me is with Me: the Father hath not left Me alone; for I do always those things that please Him.” John 8:28, 29. {MH 488.3}
ดังนั้น จงพูดถึงพระสัญญา จงพูดถึงการทรงอำนวยพระพรอย่างเต็มพระทัยของพระเยซู พระองค์ทรงไม่ได้หลงลืมเราแม้แต่เพียงชั่วขณะเดียว เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากใดๆ จงให้เราวางใจด้วยความเชื่อมั่นในความรักของพระองค์และเก็บตัวเราเองให้เข้าสนิทอยู่ในพระองค์ ความรู้สึกแห่งการร่วมสถิตของพระองค์จะดลบันดาลความยินดีที่สงบและลึกซึ้งอยู่ในตัวเรา พระคริสต์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “เรามิได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่พระบิดาได้ทรงสอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์มิได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” ยอห์น 8:28, 29 {MH 488.3}
The Father’s presence encircled Christ, and nothing befell Him but that which infinite love permitted for the blessing of the world. Here was His source of comfort, and it is for us. He who is imbued with the Spirit of Christ abides in Christ. Whatever comes to him comes from the Saviour, who surrounds him with His presence. Nothing can touch him except by the Lord’s permission. All our sufferings and sorrows, all our temptations and trials, all our sadness and griefs, all our persecutions and privations, in short, all things work together for our good. All experiences and circumstances are God’s workmen whereby good is brought to us. {MH 488.4}
พระบิดาสถิตอยู่เคียงข้างพระคริสต์ และไม่มีสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับพระองค์ได้ นอกจากสิ่งที่ความรักอันเป็นนิตย์ของพระเจ้าจะยินยอมให้บังเกิดเพื่อเป็นพระพรของชาวโลก สิ่งนี้นั่นเองที่เป็นสิ่งประโลมใจของพระองค์และเป็นของเราเช่นกัน ผู้ที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระคริสต์ก็เข้าสนิทอยู่ในพระคริสต์ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับเขามาจากพระผู้ช่วยให้รอด ผู้สถิตอยู่เคียงข้างเขา ไม่มีสิ่งใดที่จะแตะต้องเขาได้เว้นไว้แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยินยอม ในความทุกข์ยากและความเศร้าโศกทั้งหลายของเรา ในการทดลองและการทดสอบทั้งหลายที่เราต้องเผชิญ ในความเสียใจและความทุกข์ร้อนทั้งหลายของเรา ในการกดขี่ข่มเหงและความคับแค้นทั้งหลาย กล่าวโดยสรุป สิ่งสารพัดเหล่านี้ ต่างดำเนินไปเพื่อประโยชน์อันดีของเราเอง ประสบการณ์และสถานการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นภาชณะของพระเจ้าเพื่อนำผลดีมาสู่ตัวเรา {MH 488.4}
If we have a sense of the long-suffering of God toward us, we shall not be found judging or accusing others. When Christ was living on the earth, how surprised His associates would have been, if, after becoming acquainted with Him, they had heard Him speak one word of accusation, of fault-finding, or of impatience. Let us never forget that those who love Him are to represent Him in character. {MH 489.1}
ถ้าเราจักได้เข้าใจถึงความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เราก็จะไม่ตัดสินหรือกล่าวโทษผู้อื่น เมื่อพระคริสต์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ ผู้ที่รู้จักพระองค์คงจะประหลาดใจมาก หากหลังจากที่คุ้นเคยกับพระองค์แล้ว คนเหล่านั้นได้ยินพระองค์ทรงกล่าวโทษ ตรัสถ้อยคำกล่าวร้ายหรือถ้อยคำโมโหฉุนเฉียว ขอให้เราอย่าลืมว่าคนทั้งหลายที่รักพระองค์ จะต้องเป็นแบบอย่างที่สำแดงพระลักษณะนิสัยของพระองค์ให้ปรากฏแก่ผู้อื่น {MH 489.1}
“Be kindly affectioned one to another with brotherly love; in honor preferring one another.” “Not rendering evil for evil, or railing for railing: but contrariwise blessing; knowing that ye are thereunto called, that ye should inherit a blessing.” Romans 12:10; 1 Peter 3:9. {MH 489.2}
“จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว” “อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร” โรม 12:10; 1 เปโตร 3:9 {MH 489.2}
The Lord Jesus demands our acknowledgment of the rights of every man. Men’s social rights, and their rights as Christians, are to be taken into consideration. All are to be treated with refinement and delicacy, as the sons and daughters of God. {MH 489.3}
องค์พระเยซูทรงปรารถนาให้เราเคารพในสิทธิของมนุษย์ทุกคน เราจะต้องให้ความสำคัญในสิทธิของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมและสิทธิในฐานะของคริสเตียน เราจะต้องปฏิบัติต่อทุกๆคนด้วยความสุภาพอ่อนโยน ในฐานะที่เขาเป็นบุตรชายหญิงของพระเจ้า {MH 489.3}
Christianity will make a man a gentleman. Christ was courteous, even to His persecutors; and His true followers will manifest the same spirit. Look at Paul when brought before rulers. His speech before Agrippa is an illustration of true courtesy as well as persuasive eloquence. The gospel does not encourage the formal politeness current with the world, but the courtesy that springs from real kindness of heart. {MH 489.4}
คริสตศาสนาจะทำให้ผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษ พระเยซูทรงมีความสุภาพอ่อนโยน แม้กระทั่งต่อผู้ที่กดขี่ข่มเหงพระองค์ และผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแท้จริงจะแสดงออกถึงน้ำใจอย่างเดียวกัน จงพิจารณาดูเปาโล เมื่อเขาถูกนำตัวมาต่อหน้าผู้ปกครองบ้านเมือง ถ้อยคำของเขาที่กล่าวต่ออากริปปาเป็นแบบอย่างของความสุภาพอ่อนโยนที่แท้จริงและเป็นสำนวนโวหารที่หว่านล้อมจิตใจ ข่าวประเสริฐไม่สนับสนุนเราให้แสดงความสุภาพอ่อนโยนตามสมัยนิยมของชาวโลก แต่เป็นความสุภาพอ่อนโยนที่สำแดงจากจิตใจที่มีความเมตตากรุณาโดยแท้จริง {MH 489.4}
The most careful cultivation of the outward proprieties of life is not sufficient to shut out all fretfulness, harsh judgment, and unbecoming speech. True refinement will never be revealed so long as self is considered as the supreme object. Love must dwell in the heart. A thoroughgoing Christian draws his motives of action from his deep heart love for his Master. Up through the roots of his affection for Christ springs an unselfish interest in his brethren. Love imparts to its possessor grace, propriety, and comeliness of deportment. It illuminates the countenance and subdues the voice; it refines and elevates the whole being. {MH 490.1}
การปลูกฝังอย่างเอาใจใส่ที่สุดในเรื่องของมารยาทภายนอกที่แสดงออกในชีวิต ก็ยังไม่เพียงพอที่จะไปขจัดอุปนิสัยที่วิตกกังวล การตัดสินที่รุนแรงและคำพูดที่ไม่เหมาะสมออกไปได้ทั้งหมด ตราบใดที่เรายังคิดว่าตัวตนของเราเองมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เราก็ยังมิอาจแสดงมารยาทที่สุภาพเรียบร้อยออกมาได้อย่างแท้จริง เราต้องมีความรักอยู่ภายในจิตใจ คริสเตียนที่มีอุปนิสัยงดงามเกิดแรงดลใจในจุดมุ่งหมายของการกระทำของเขาจากความรักอันลึกซึ้งในใจของเขาที่มีต่อจอมเจ้านายของเขา ความเอาใจใส่ในพี่น้องอย่างไม่เห็นแก่ตัวจะบังเกิดขึ้นได้จากความรักของเขาในพระคริสต์ ความรักจะถ่ายเทแก่ผู้เป็นเจ้าของให้มีมารยาทที่งามสง่า มีความประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรมและมีบุคลิกลักษณะที่งดงาม จะส่องประกายฉายแววออกมาทางใบหน้าและกลั่นกรองสำเนียงวาจา จะชำระให้บริสุทธิ์และยกชูตัวตนทั้งร่างของผู้เป็นเจ้าของ {MH 490.1
Life is chiefly made up, not of great sacrifices and wonderful achievements, but of little things. It is oftenest through the little things which seem so unworthy of notice that great good or evil is brought into our lives. It is through our failure to endure the tests that come to us in little things, that the habits are molded, the character misshaped; and when the greater tests come, they find us unready. Only by acting upon principle in the tests of daily life can we acquire power to stand firm and faithful in the most dangerous and most difficult positions. {MH 490.2}
ชีวิตไม่ใช่ประกอบขึ้นจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่และความสำเร็จอันน่าอัศจรรย์ แต่จากสิ่งเล็กๆน้อยๆ เป็นส่วนใหญ่ บ่อยครั้งที่สุด โดยอาศัยสิ่งเล็กน้อยที่ไม่คู่ควรแก่ความสนใจเหล่านี้ที่ความดีและความชั่วที่สำคัญ ๆ ข้องแวะเข้ามาในชีวิตของเรา โดยอาศัยความล้มเหลวของเราในการอดทนต่อการทดลองเล็กๆน้อยๆที่ทำให้นิสัยถูกหล่อหลอม อุปนิสัยถูกปลูกฝังไปในทางที่ผิด และเมื่อต้องเผชิญต่อการทดลองที่ใหญ่โตกว่า เราก็ไม่พร้อมที่จะรับมือได้ โดยการยึดมั่นในหลักการของการทดสอบในชีวิตประจำวันเท่านั้น เราจึงจะมีกำลังที่จะยืนหยัดและสัตย์ซื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายและยากลำบากที่สุดได้ {MH 490.2}
We are never alone. Whether we choose Him or not, we have a companion. Remember that wherever you are, whatever you do, God is there. Nothing that is said or done or thought can escape His attention. To your every word or deed you have a witness–the holy, sin-hating God. Before you speak or act, always think of this. As a Christian, you are a member of the royal family, a child of the heavenly King. Say no word, do no act, that shall bring dishonor upon “that worthy name by the which ye are called.” James 2:7. {MH 490.3}
เราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่อย่างใด ไม่ว่าเราจะเลือกพระองค์หรือไม่ เรายังมีสหายอยู่ท่านหนึ่ง จงจำไว้ว่า ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าท่านจะกระทำสิ่งใด พระเจ้าสถิตอยู่ที่นั่นด้วย ไม่มีสิ่งใดที่ท่านพูด ที่ท่านทำ ที่ท่านคิดจะรอดพ้นความสนใจของพระองค์ได้ ต่อทุกคำพูดหรือการกระทำของท่าน ท่านมีพยานรู้เห็นอยู่ ผู้นั้นคือพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ ผู้ทรงชิงชังในความผิดบาป ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะพูดและกระทำการใดๆขอให้ท่านได้คิดถึงสิ่งนี้เสมอ ในฐานะที่เป็นคริสเตียน ท่านเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เป็นบุตรคนหนึ่งขององค์มหากษัตริยาแห่งสวรรค์ จงอย่ากล่าวถ้อยคำหรือกระทำการใดที่จะนำการลบหลู่ดูหมิ่นพระเกียรติต่อ “พระนามอันประเสริฐซึ่งใช้เรียกท่าน” ยากอบ 2:7 {MH 490.3}
Study carefully the divine-human character, and constantly inquire, “What would Jesus do were He in my place?” This should be the measurement of our duty. Do not place yourselves needlessly in the society of those who by their arts would weaken your purpose to do right, or bring a stain upon your conscience. Do nothing among strangers, in the street, on the cars, in the home, that would have the least appearance of evil. Do something every day to improve, beautify, and ennoble the life that Christ has purchased with His own blood. {MH 491.1}
จงหมั่นศึกษาอย่างตั้งใจถึงพระลักษณะความเป็นมนุษย์ของพระองค์และถามตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเยซูจะทรงกระทำเช่นไร ถ้าพระองค์ทรงอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับข้าพระองค์” สิ่งนี้ควรใช้ตรวจสอบหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา จงอย่านำตัวเองไปพึ่งพาโดยไม่จำเป็นกับคนทั้งหลายที่เต็มไปด้วยศิลปะในการบั่นทอนความตั้งใจทำในสิ่งที่ดีของท่านหรือนำมลทินมาสู่จิตสำนึกของท่าน จงอย่ากระทำสิ่งใดที่ส่อไปในทางเลวชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อยท่ามกลางคนแปลกหน้า ตามถนนหนทาง ในรถหรือในบ้านให้ปรากฏ ในทุกๆวัน จงทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อปรับปรุง เสริมแต่งให้งดงาม เสริมสร้างให้สง่างามยิ่งขึ้นแก่ชีวิตที่พระคริสต์ทรงชำระด้วยพระโลหิตของพระองค์ {MH 491.1}
Always act from principle, never from impulse. Temper the natural impetuosity of your nature with meekness and gentleness. Indulge in no lightness or trifling. Let no low witticism escape your lips. Even the thoughts are not to be allowed to run riot. They must be restrained, brought into captivity to the obedience of Christ. Let them be placed upon holy things. Then, through the grace of Christ, they will be pure and true. {MH 491.2}
จงปฏิบัติตนตามหลักการเสมอ ไม่ใช่ตามอารมณ์ชั่ววูบ ความสุภาพอ่อนโยนจะช่วยให้นิสัยตามปกติที่หุนหันพลันแล่นของท่านเยือกเย็นลง อย่าหลงระงมอยู่กับเรื่องไร้สาระหรือเรื่องหยุมหยิม อย่าให้คำพูดตลกคะนองหลุดออกจากปากของท่าน แม้แต่ความคิดก็ไม่ควรปล่อยให้ฟุ้งซ่าน ความคิดเหล่านี้ต้องถูกควบคุมและนำมากักขังไว้ในความเชื่อฟังของพระคริสต์ ให้ความคิดเหล่านี้ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่บริสุทธิ์ แล้ว โดยอาศัยพระคุณของพระคริสต์ ความคิดเหล่านี้จะบริสุทธิ์และชอบธรรม {MH 491.2}
We need a constant sense of the ennobling power of pure thoughts. The only security for any soul is right thinking. As a man “thinketh in his heart, so is he.” Proverbs 23:7. The power of self-restraint strengthens by exercise. That which at first seems difficult, by constant repetition grows easy, until right thoughts and actions become habitual. If we will we may turn away from all that is cheap and inferior, and rise to a high standard; we may be respected by men and beloved of God. {MH 491.3}
เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาถึงพละกำลังที่เสริมสร้างความ สง่างามให้แก่ความคิดที่บริสุทธิ์ ทางรอดทางเดียวสำหรับจิตวิญญาณของ เราคือการคิดคำนึงในทางที่ถูกต้องชอบธรรม “เขาคิดในใจอย่างไร เขาก็ เป็นอย่างนั้น” สุภาษิต 23:7 (TKJV) การฝึกฝนจะช่วยให้เราควบคุม ตนเอง ใด้ดีขึ้น สิ่งที่ดูเสมือนว่าทำได้ยากในช่วงแรกๆ ก็จะง่ายขึ้นเมื่อกระทำซํ้าๆ กันอยู่เสมอ จนกระทั่งความเคยชินในการคิดและในการกระทำ กลายเป็นนิสัย ถ้าเราตั้งใจจริง เราจะสามารถหันไปจากสิ่งที่ไร้ค่าและด้อย ในคุณค่า และก้าวขึ้นสู่มาตรฐานที่สูงส่ง เราจะได้รับการเคารพนับถือจาก มนุษย์และเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้า {MH 491.3}
Cultivate the habit of speaking well of others. Dwell upon the good qualities of those with whom you associate, and see as little as possible of their errors and failings. When tempted to complain of what someone has said or done, praise something in that person’s life or character. Cultivate thankfulness. Praise God for His wonderful love in giving Christ to die for us. It never pays to think of our grievances. God calls upon us to think of His mercy and His matchless love, that we may be inspired with praise. {MH 492.1}
จงบ่มเพาะนิสัยที่พูดถึงผู้อื่นในด้านดี จงจำแต่คุณสมบัติที่ดีของผู้ที่ท่านคบหาสมาคมด้วย และพยายามมองถึงข้อบกพร่องและความผิดพลาดของเขาให้น้อยที่สุด เมื่อเราถูกทดลองให้พร่ำบ่นถึงสิ่งที่บางคนได้พูดหรือกระทำ ขอให้เราชมข้อดีบางสิ่งในชีวิตหรืออุปนิสัยของเขาบ้าง จงปลูกฝังความมีใจกตัญญูรู้คุณ จงสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความรักอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ที่ประทานพระคริสต์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา การเฝ้าตรอมใจอยู่ในความลำบากของเราเองไม่เคยให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับคืนมา พระเจ้าทรงเรียกเราให้คิดตรึกตรองถึงพระเมตตาคุณของพระองค์และความรักที่หาที่เปรียบไม่ได้ของพระองค์ เพื่อดลใจของเราให้เต็มไปด้วยการสรรเสริญ {MH 492.1
Earnest workers have no time for dwelling upon the faults of others. We cannot afford to live on the husks of others’ faults or failings. Evilspeaking is a twofold curse, falling more heavily upon the speaker than upon the hearer. He who scatters the seeds of dissension and strife reaps in his own soul the deadly fruits. The very act of looking for evil in others develops evil in those who look. By dwelling upon the faults of others, we are changed into the same image. But by beholding Jesus, talking of His love and perfection of character, we become changed into His image. By contemplating the lofty ideal He has placed before us, we shall be uplifted into a pure and holy atmosphere, even the presence of God. When we abide here, there goes forth from us a light that irradiates all who are connected with us. {MH 492.2}
ผู้ที่ทำงานด้วยใจร้อนรนย่อมไม่มีเวลานึกถึงข้อบกพร่องของผู้อื่น เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยการพึ่งพาข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดของผู้อื่น การกล่าวคำชั่วร้ายเป็นคำสาปแช่งสองทบ ส่งผลร้ายที่รุนแรงแก่ผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกแยกและความขัดแย้ง ย่อมเป็นผู้ที่ต้องดิ้นรนเก็บเกี่ยวผลแห่งความตายในจิตวิญญาณของตนเอง โดยเฉพาะพฤติกรรมที่คอยมองหาแต่ความชั่วร้ายของผู้อื่นย่อมส่งเสริมให้ความชั่วนั้นเติบโตขึ้นในตัวของผู้ที่เฝ้ามองเอง โดยการคิดถึงแต่ข้อบกพร่องของผู้อื่น เราเองจะถูกเปลี่ยนไปมีลักษณะแบบเดียวกับคนนั้น แต่โดยการมองไปยังพระเยซู โดยการพูดถึงความรักและความบริบูรณ์ดีเลิศในพระลักษณะของพระองค์ เราเองก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกับพระฉายาของพระองค์ ด้วยการใคร่ครวญถึงแบบอย่างอันสูงส่งที่พระองค์ทรงสำแดงไว้ต่อหน้าเรา เราจะได้รับการยกชูขึ้นสู่บรรยากาศที่บริสุทธิ์ชอบธรรมระดับเดียวกับต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า เมื่อเราอยู่ ณ สถานที่เช่นนี้ ก็จักมีพลังแผ่กระจายจากตัวเราไปสู่คนทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเรา {MH 492.2}
Instead of criticizing and condemning others, say, “I must work out my own salvation. If I co-operate with Him who desires to save my soul, I must watch myself diligently. I must put away every evil from my life. I must overcome every fault. I must become a new creature in Christ. Then, instead of weakening those who are striving against evil, I can strengthen them by encouraging words.” We are too indifferent in regard to one another. Too often we forget that our fellow laborers are in need of strength and cheer. Take care to assure them of your interest and sympathy. Help them by your prayers, and let them know that you do it. {MH 492.3}
แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิผู้อื่น ควรพูดว่า “ข้าพเจ้าต้องวางแผนเพื่อความรอดของตัวข้าพเจ้าเอง ถ้าข้าพเจ้าร่วมมือกับพระองค์ ผู้ทรงปรารถนาที่จะกู้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าให้ได้รับความรอด ข้าพเจ้าต้องหมั่นตรวจสอบตัวของข้าพเจ้าเองอย่างจริงจัง ข้าพเจ้าต้องกำจัดความชั่วร้ายทุกอย่างในชีวิตออกไป ข้าพเจ้าต้องเอาชนะข้อบกพร่องทุกประการ ข้าพเจ้าต้องกลายเป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ ดังนั้น แทนที่จะบั่นทอนเรี่ยวแรงของผู้ที่กำลังต่อสู้กับความชั่วร้าย ข้าพเจ้าจะสนับสนุนคนเหล่านั้นด้วยคำพูดที่ส่งเสริมกำลังใจ” มนุษย์ทำตัวไม่สนใจใยดีต่อกันและกันมากไปหน่อย บ่อยครั้ง เราลืมไปว่าเพื่อนร่วมงานของเราก็ต้องการกำลังและการหนุนจิตใจให้แช่มชื่น จงใส่ใจในการให้ความมั่นใจแก่คนเหล่านั้นถึงความห่วงใยและเห็นใจของท่าน จงช่วยเหลือเขาทั้งหลายด้วยคำอธิษฐานของท่านและให้เขาทั้งหลายทราบว่าท่านทำจริง {MH 492.3}
Not all who profess to be workers for Christ are true disciples. Among those who bear His name, and who are even numbered with His workers, are some who do not represent Him in character. They are not governed by His principles. These persons are often a cause of perplexity and discouragement to their fellow workers who are young in Christian experience; but none need be misled. Christ has given us a perfect example. He bids us follow Him. {MH 493.1}
ไม่ใช่ทุกคนที่แสดงตนว่าเป็นผู้ร่วมงานของพระคริสต์จะเป็นสาวกที่แท้จริง ในบรรดาคนทั้งหลายที่ยอมรับในพระนามของพระองค์และแม้แต่ผู้ที่ถูกนับว่าเป็นผู้ร่วมงานของพระองค์ ยังมีบางคนที่ไม่ได้เป็นแบบอย่างซึ่งแสดงถึงพระลักษณะนิสัยของพระองค์ คนเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินตามหลักคำสอนของพระองค์ และมักเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ร่วมงานที่เป็นผู้เชื่อใหม่เกิดความสับสนและหมดกำลังใจ ซึ่งผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ไม่น่าต้องมาถูกชักจูงให้เขว พระคริสต์ได้ประทานตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบให้แก่เรา พระองค์ทรงมีบัญชาให้เราเดินตามพระองค์ {MH 493.1}
Till the end of time there will be tares among the wheat. When the servants of the householder, in their zeal for his honor, asked permission to root out the tares, the master said: “Nay; lest while ye gather up the tares, ye root up also the wheat with them. Let both grow together until the harvest.” Matthew 13:29, 30. {MH 493.2}
ตราบจนถึงยุคสิ้นสุดเวลาย่อมจะมีข้าวละมานปะปนอยู่ท่ามกลางข้าวสาลี เมื่อผู้รับใช้ของเจ้าบ้าน ด้วยความต้องการได้รับคำเยินยอ ขออนุญาตถอนข้าวละมานออกไปเสีย แต่นายได้ตอบว่า “’อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว” มัทธิว 13:29, 30 {MH 493.2}
In His mercy and long-suffering, God bears patiently with the perverse and even the falsehearted. Among Christ’s chosen apostles was Judas the traitor. Should it then be a cause of surprise or discouragement that there are falsehearted ones among His workers today? If He who reads the heart could bear with him who He knew was to be His betrayer, with what patience should we bear with those at fault. {MH 493.3}
ด้วยพระเมตตาคุณและทรงอดทนนานของพระเจ้า พระองค์ทรงอดกลั้นต่อผู้ที่กบฏและแม้แต่ผู้ที่ใจคด ในบรรดาอัครสาวกที่พระองค์ทรงเลือกสรรนั้น ก็ยังมียูดาสผู้ทรยศรวมอยู่ด้วย เราควรรู้สึกประหลาดใจหรือท้อถอยกระนั้นหรือ ถ้าจะมีผู้ที่ใจคดปะปนอยู่กับผู้ร่วมงานของพระองค์ในทุกวันนี้ ถ้าพระองค์ผู้ทรงอ่านจิตใจของมนุษย์ได้ ยังอดทนต่อผู้ที่พระองค์ทรงทราบดีว่าจะเป็นผู้ทรยศต่อพระองค์ละแล้ว เราก็ควรจะมีความอดทนต่อคนบกพร่องเหล่านั้นเช่นเดียวกัน {MH 493.3}
And not all, even of those who appear most faulty, are like Judas. Peter, impetuous, hasty, and self-confident, often appeared to far greater disadvantage than Judas did. He was oftener reproved by the Saviour. But what a life of service and sacrifice was his! What a testimony does it bear to the power of God’s grace! So far as we are capable, we are to be to others what Jesus was to His disciples when He walked and talked with them on the earth. {MH 493.4}
และไม่ใช่ทุกคน แม้แต่คนที่ดูเหมือนว่าจะบกพร่องมากที่สุด เป็นดังเช่นยูดาส เปโตรเป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น และเชื่อมั่นในตนเอง บ่อยครั้งดูเหมือนว่าจะมีจุดอ่อนมากกว่ายูดาสเสียอีก พระผู้ช่วยให้รอดทรงตักเตือนเขาบ่อยกว่าคนอื่น แต่ชีวิตรับใช้และเสียสละเพื่อผู้อื่นของเขาเป็นเช่นไร คำพยานของเขาแสดงถึงฤทธิ์เดชในพระคุณของพระเจ้าเพียงไร เท่าที่พอจะสามารถทำได้ เราจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อเหล่าสาวกของพระองค์ ในสมัยที่พระองค์ทรงดำเนินและสนทนาร่วมกับเขาทั้งหลายในโลกนี้ {MH 493.4}
Regard yourselves as missionaries, first of all, among your fellow workers. Often it requires a vast amount of time and labor to win one soul to Christ. And when a soul turns from sin to righteousness, there is joy in the presence of the angels. Think you that the ministering spirits who watch over these souls are pleased to see how indifferently they are treated by some who claim to be Christians? Should Jesus deal with us as we too often deal with one another, who of us could be saved? {MH 493.5}
ก่อนอื่น ในบรรดาเพื่อนร่วมงานของท่าน ให้ถือว่าตัวท่านเองเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา บ่อยครั้งการชักนำจิตวิญญาณดวงหนึ่งมาหาพระคริสต์ได้นั้นต้องใช้เวลาและแรงงานอย่างมากมาย และเมื่อจิตวิญญาณดวงหนึ่งหันจากความผิดบาปมาสู่ความชอบธรรม จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ ท่านคิดว่าทูตสวรรค์ที่ถูกส่งมาดูแลจิตวิญญาณเหล่านั้น รู้สึกชื่นชมยินดีเมื่อเห็นบางคนที่แสดงตนว่าเป็นคริสเตียนปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างไม่มีความสำคัญกระนั้นหรือ หากพระเยซูทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนอย่างที่เรามักจะปฏิบัติต่อคนอื่นๆแล้ว จะมีสักกี่คนในหมู่พวกเราที่จะได้รับความรอด {MH 493.5}
Remember that you cannot read hearts. You do not know the motives which prompted the actions that to you look wrong. There are many who have not received a right education; their characters are warped, they are hard and gnarled, and seem to be crooked in every way. But the grace of Christ can transform them. Never cast them aside, never drive them to discouragement or despair by saying, “You have disappointed me, and I will not try to help you.” A few words spoken hastily under provocation–just what we think they deserve–may cut the cords of influence that should have bound their hearts to ours. {MH 494.1}
จงจำไว้ว่าท่านอ่านจิตใจของคนอื่นไม่ได้ ท่านไม่ทราบแรงจูงใจที่กระตุ้นการกระทำซึ่งท่านมองว่าผิด มีหลายคนที่ไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง อุปนิสัยของคนเหล่านั้นจึงคดงอ คนเหล่านั้นมีจิตใจที่แข็งกระด้างและก้าวร้าว และดูเหมือนว่าจะเป็นคนคดโกงในทุกด้าน แต่พระคุณของพระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้นได้ จงอย่าละทิ้งเขาทั้งหลายไป อย่าผลักไสให้เขาทั้งหลายต้องรู้สึกหมดหวังด้วยการพูดว่า “ท่านทำให้ฉันต้องผิดหวัง และฉันจะไม่อดทนที่จะช่วยท่านอีกต่อไป” คำพูดต่อว่าไม่กี่คำที่ออกจากปากอย่างกระทันหัน ตามที่เราคิดว่าเหมาะสมสำหรับคนเหล่านั้น อาจตัดพันธะผูกพันจิตใจของเขาทั้งหลายกับจิตใจของเราให้ขาดสะบั้นลง {MH 494.1}
The consistent life, the patient forbearance, the spirit unruffled under provocation, is always the most conclusive argument and the most solemn appeal. If you have had opportunities and advantages that have not fallen to the lot of others, consider this, and be ever a wise, careful, gentle teacher. {MH 494.2}
ชีวิตที่มีความเสมอต้นเสมอปลาย มีความอดทนอดกลั้น มีจิตใจที่สงบเยือกเย็นแม้จะถูกยั่วยุต่อว่า ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดแจ้งที่สุดและเป็นคำเชิญชวนที่จริงใจที่สุด ถ้าท่านยังไม่มีโอกาสใช้คุณสมบัติเหล่านี้แก่ผู้ใด จงพิจารณาใคร่ครวญดูและขอให้ท่านเป็นครูที่ประกอบด้วยสติปัญญา ความสุภาพอ่อนโยนและความสุขุมรอบคอบ {MH 494.2}
In order to have the wax take a clear, strong impression of the seal, you do not dash the seal upon it in a hasty, violent way; you carefully place the seal on the plastic wax and quietly, steadily press it down until it has hardened in the mold. In like manner deal with human souls. The continuity of Christian influence is the secret of its power, and this depends on the steadfastness of your manifestation of the character of Christ. Help those who have erred, by telling them of your experiences. Show how, when you made grave mistakes, patience, kindness, and helpfulness on the part of your fellow workers gave you courage and hope. {MH 494.3}
เพื่อจะให้ขี้ผึ้งมีรอยประทับของตราที่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ท่านต้องไม่รีบร้อนใช้แรงกดลงไปอย่างรวดเร็ว ท่านต้องค่อยๆวางตราอย่างระมัดระวังลงบนขี้ผึ้งหลอมและกดลงไปเบาๆอย่างมั่นคงจนกระทั่งขี้ผึ้งแข็งตัวอยู่ในแม่พิมพ์ ขอให้เราปฏิบัติต่อจิตวิญญาณของมนุษย์ในลักษณะเดียวกัน แรงชักจูงอย่างต่อเนื่องที่มีอยู่ในชีวิตของคริสเตียนเป็นเคล็ดลับของพลัง และทั้งหมดนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ท่านแสดงพระลักษณะของพระคริสต์ให้ปรากฏ จงช่วยคนทั้งหลายที่ได้กระทำผิด โดยการบอกเล่าแก่คนเหล่านั้นถึงประสบการณ์ของท่าน จงแสดงให้เห็นว่า เมื่อท่านกระทำความผิดอย่างร้ายแรงนั้น ความอดทน ความเมตตากรุณาและความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมงานของท่านสร้างกำลังใจและความหวังขึ้นมาใหม่แก่ท่านได้อย่างไร {MH 494.3}
Until the judgment you will never know the influence of a kind, considerate course toward the inconsistent, the unreasonable, the unworthy. When we meet with ingratitude and betrayal of sacred trusts, we are roused to show our contempt or indignation. This the guilty expect; they are prepared for it. But kind forbearance takes them by surprise and often awakens their better impulses and arouses a longing for a nobler life. {MH 495.1}
จนกว่าจะถึงวันพิพากษา ท่านไม่มีทางจะทราบถึงผลแห่งความเมตตากรุณาและเห็นอกเห็นใจต่อคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ คนไร้เหตุผลและคนที่ไร้คุณค่า เมื่อเราประสบกับผู้ที่อกตัญญูและหักหลังต่อการเชื่อวางใจในพระเจ้า เรามักจะแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามหรือโกรธเคือง ซึ่งเรื่องนี้คนที่กระทำผิดย่อมคาดการณ์และเตรียมรับอยู่แล้ว แต่ความอดทนอดกลั้นด้วยจิตใจที่เมตตา จะทำให้คนเหล่านั้นประหลาดใจ และบ่อยครั้งจะปลุกแรงจูงใจในสิ่งที่ดีกว่าและกระตุ้นความต้องการชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นของคนเหล่านั้น {MH 495.1}
“Brethren, if a man be overtaken in a fault, ye which are spiritual, restore such an one in the spirit of meekness; considering thyself, lest thou also be tempted. Bear ye one another’s burdens, and so fulfill the law of Christ.” Galatians 6:1, 2. {MH 495.2}
“พี่น้องทั้งหลาย ถ้าผู้ใดถูกครอบงำอยู่ในความผิดบาป ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์” กาลาเทีย 6:1, 2 (THSV) {MH 495.2}
All who profess to be children of God should bear in mind that as missionaries they will be brought into contact with all classes of minds. There are the refined and the coarse, the humble and the proud, the religious and the skeptical, the educated and the ignorant, the rich and the poor. These varied minds cannot be treated alike; yet all need kindness and sympathy. By mutual contact our minds should receive polish and refinement. We are dependent upon one another, closely bound together by the ties of human brotherhood. “Heaven forming each on other to depend, A master or a servant or a friend, Bids each on other for assistance call, Till one man’s weakness grows the strength of all.” {MH 495.3}
คนทั้งหลายที่แสดงตนว่าเป็นบุตรของพระเจ้าควรจดจำไว้ในใจว่า ในฐานะที่เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา พวกเขาจะต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับคนที่มีความคิดเห็นทุกระดับ มีทั้งคนที่สุภาพเรียบร้อยและคนที่หยาบกระด้าง คนที่ถ่อมตนและคนที่เย่อหยิ่ง คนที่เคร่งศาสนาและคนที่ไม่เชื่อ คนที่มีการศึกษาและคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนมั่งมีและคนยากจน สติปัญญาที่แตกต่างกันอย่างนี้ย่อมไม่อาจได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน แต่กระนั้นทุกระดับต่างก็ต้องการความเมตตากรุณาและความเห็นอกเห็นใจอย่างเดียวกัน ด้วยการติดต่อซึ่งกันและกัน จิตใจของเราควรจะได้รับการขัดเกลาและการกลั่นกรอง เราทั้งหลายต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและมีความผูกพันใกล้ชิดกันด้วยสายใยแห่งความเป็นพี่น้องมนุษย์ร่วมกัน “พระเจ้าทรงสร้างเราทั้งหลายให้ได้พึ่งพิงกัน นาย หรือ บ่าว หรือมิตรสหาย ต่างก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือ กระทั่งความอ่อนแอของคนๆหนึ่งจักได้เจริญขึ้นจนกลายเป็นกำลังของทุกๆคน” {MH 495.3}
It is through the social relations that Christianity comes in contact with the world. Every man or woman who has received the divine illumination is to shed light on the dark pathway of those who are unacquainted with the better way. Social power, sanctified by the Spirit of Christ, must be improved in bringing souls to the Saviour. Christ is not to be hid away in the heart as a coveted treasure, sacred and sweet, to be enjoyed solely by the possessor. We are to have Christ in us as a well of water, springing up into everlasting life, refreshing all who come in contact with us. {MH 496.1}
คริสต์ศาสนาเผยแพร่สู่ชาวโลกได้ก็โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางสังคม ชายหญิงทุกคนที่ได้รับแสงสว่างจากพระเจ้าจักต้องฉายแสงนั้นไปในหนทางที่มืดมิดของผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับหนทางแห่งความรอด แรงขับเคลื่อนที่มีอยู่ในสังคม หากชำระให้บริสุทธิ์โดยพระวิญญาณของพระคริสต์ ต้องถูกพัฒนาให้สามารถนำจิตวิญญาณทั้งหลายมาหาพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องไม่เก็บซ่อนพระคริสต์ไว้ในจิตใจของเราราวกับเป็นทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้อย่างเห็นแก่ตัว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมีค่า เพื่อให้ผู้เป็นเจ้าของชื่นชมเพียงผู้เดียว เราจะต้องมีพระคริสต์สถิตอยู่ในจิตใจของเราเหมือนดั่งบ่อน้ำพุที่พลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์ สร้างความชุ่มชื่นแก่คนทั้งหลายที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับเรา {MH 496.1}