Chapter 6 รอดเพื่อจะได้รับใช้ 6)
Saved to Serve
รอดเพื่อจะได้รับใช้
It is morning on the Sea of Galilee. Jesus and His disciples have come to shore after a tempestuous night on the water, and the light of the rising sun touches sea and land as with the benediction of peace. But as they step upon the beach they are greeted with a sight more terrible than the storm-tossed sea. From some hiding place among the tombs two madmen rush upon them as if to tear them in pieces. Hanging about these men are parts of chains which they have broken in escaping from confinement. Their flesh is torn and bleeding, their eyes glare out from their long and matted hair, the very likeness of humanity seems to have been blotted out. They look more like wild beasts than like men. {MH 95.1}
เป็นเวลารุ่งเช้าในทะเลสาบกาลิลี เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ได้มาถึงฝั่ง ภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับค่ำคืนอันปั่นป่วนด้วยพายุกล้าอยู่กลางท้องทะเล แสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งได้สาดส่องผืนน้ำและแผ่นดินประหนึ่งว่าเป็นพระพรแห่งสันติสุข แต่เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกได้ก้าวขึ้นบนฝั่ง พวกเขาก็ต้องประสบกับภาพอันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าท้องทะเลอันปั่นป่วน จากที่ๆได้หลบซ่อนตัวสักแห่งหนึ่งในท่ามกลางหลุมฝังศพ ชายวิกลจริตสองคนได้ปรี่ตรงเข้ามาราวกับว่าจะฉีกพวกเขาให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ชายเหล่านี้ได้หลบหนีออกมาจากการจำจอง โซ่ตรวนที่เคยล่ามพวกเขาไว้นั้นได้ห้อยโตงเตงอยู่รอบตัวเขา เนื้อตัวของเขาถลอกปอกเปิกและมีเลือดอาบ ดวงตาของเขาถมึงทึงมองลอดผ่านผมที่ยาวกระเซิง ดูประหนึ่งว่าความเป็นมนุษย์ได้ถูกลบเลือนไปจนหมดสิ้น เมื่อมองไปแล้วพวกเขาดูคล้ายสัตว์ป่ามากกว่าคน {MH 95.1}
The disciples and their companions flee in terror; but presently they notice that Jesus is not with them, and they turn to look for Him. He is standing where they left Him. He who stilled the tempest, who has before met Satan and conquered him, does not flee before these demons. When the men, gnashing their teeth and foaming at the mouth, approach Him, Jesus raises that hand which has beckoned the waves to rest, and the men can come no nearer. They stand before Him, raging but helpless. {MH 95.2}
เหล่าสาวกและพวกที่ติดตามมาด้วยกันพากันวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว แต่ในไม่ช้าเขาทั้งหลายก็สังเกตเห็นว่าพระเยซูทรงมิได้มาด้วย และเขาทั้งหลายหันกลับไปดู จึงแลเห็นว่าพระองค์ประทับอยู่ตรงที่ๆ เขาทั้งหลายได้ทิ้งพระองค์ไว้ พระองค์ผู้ทรงห้ามคลื่นลมพายุให้สงบลงได้ พระองค์ผู้ได้ทรงเผชิญหน้ากับซาตานและทรงได้รับชัยชนะเหนือมันมาก่อน พระองค์มิได้ทรงหลบลี้หนีเหล่าผีร้ายนี้ไป เมื่อชายทั้งสองที่ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมีน้ำลายไหลฟูมปากได้เดินรี่เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูทรงยกพระหัตถ์ซึ่งได้เคยห้ามคลื่นลมให้สงบ จากนั้นชายทั้งสองก็ไม่อาจที่จะเข้ามาใกล้พระองค์ได้มากไปกว่านั้น พวกเขาได้แต่ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดแต่ก็มิอาจทำอะไรพระองค์ได้ {MH 95.2}
With authority He bids the unclean spirits come out of them. The unfortunate men realize that One is near who can save them from the tormenting demons. They fall at the Saviour’s feet to entreat His mercy; but when their lips are opened, the demons speak through them, crying, “What have we to do with Thee, Jesus, Thou Son of God? art Thou come hither to torment us?” Matthew 8:29. {MH 96.1}
พระองค์ตรัสสั่งด้วยสิทธิอำนาจให้ผีโสโครกออกมาจากพวกเขา ชายผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองนั้นรู้ดีว่าพระองค์ผู้ประทับอยู่ใกล้ๆ เขานั้น ทรงสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากผีร้ายที่ทรมานเขาได้ เขาได้ซบลงแทบพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อทูลขอพระเมตตา แต่เมื่อพวกเขาเผยอปากที่จะพูด ผีร้ายที่สิงอยู่ในตัวเขาก็ได้ร้องขึ้นมาว่า “ท่านผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านจะมายุ่งกับพวกเราทำไม จะมาทรมานพวกเราก่อนเวลาหรือ” มัทธิว 8:29 {MH 96.1}
The evil spirits are forced to release their victims, and a wonderful change comes over the demoniacs. Light shines into their minds. Their eyes beam with intelligence. The countenances so long deformed into the image of Satan become suddenly mild, the bloodstained hands are quiet, and the men lift their voices in praise to God. {MH 97.1}
วิญญาณชั่วถูกบังคับให้ปล่อยผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองไป จากนั้นจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่ามหัศจรรย์แก่ชายทั้งสองที่ถูกผีสิง แสงสว่างได้ฉายเข้ามายังจิตใจ ดวงตาของพวกเขาได้ส่องประกายถึงความรู้สึกนึกคิด ใบหน้าที่พิกลพิการมาเนิ่นนานจนน่าเกลียดดูเหมือนรูปลักษณ์ของซาตานได้กลับกลายเป็นใบหน้าที่อ่อนโยนลงในบัดดล มือที่เปื้อนโลหิตกลับสงบนิ่งและชายทั้งสองต่างได้เปล่งเสียงสรรเสริญพระเจ้า {MH 97.1}
Meanwhile the demons, cast out from their human habitation, have entered into the swine and driven them to destruction. The keepers of the swine hurry away to publish the news, and the whole population flock to meet Jesus. The two demoniacs have been the terror of the country. Now these men are clothed and in their right mind, sitting at the feet of Jesus, listening to His words, and glorifying the name of Him who has made them whole. But those who behold this wonderful scene do not rejoice. The loss of the swine seems to them of greater moment than the deliverance of these captives of Satan. In terror they throng about Jesus, beseeching Him to depart from them, and He complies, taking ship at once for the opposite shore.{MH 97.2}
ในระหว่างนั้น ผีร้ายที่ถูกขับออกจากการที่ได้สิงสู่อยู่ในมนุษย์ได้เข้าไปสิงอยู่ในฝูงสุกรแทนและสุกรทั้งฝูงก็ได้โจนลงทะเลตายไป คนเลี้ยงสุกรรีบกระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนทั้งเมืองจึงได้พากันมาเฝ้าพระเยซู คนที่ถูกผีสิงสองคนนั้น เคยเป็นที่หวาดกลัวของคนทั้งเมือง บัดนี้ชายทั้งสองนุ่งห่มเสื้อผ้าเรียบร้อยและมีสติที่สมบูรณ์ กำลังนั่งอยู่แทบพระบาทพระเยซู ฟังพระวจนะของพระองค์และสรรเสริญพระนามของพระองค์ผู้ได้ทรงโปรดรักษาพวกเขาให้หายเป็นปกติ แต่คนทั้งหลายที่ได้เห็นเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้หาได้มีความชื่นชมยินดีไม่ การที่ต้องสูญเสียฝูงสุกรนั้นดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญที่ยิ่งใหญ่กว่าการช่วยชายทั้งสองให้หลุดพ้นจากการตกเป็นเชลยของซาตาน ด้วยความตกใจกลัว พวกเขาจึงได้พากันมาชุมนุมห้อมล้อมพระเยซู และทูลขอให้พระองค์เสด็จไปเสียจากพวกเขา ดังนั้นพระองค์จึงทรงปฏิบัติตามคำทูลร้องขอ เสด็จลงเรือข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามโดยมิรอช้า {MH 97.2}
Far different is the feeling of the restored demoniacs. They desire the companionship of their Deliverer. In His presence they feel secure from the demons that have tormented their lives and wasted their manhood. As Jesus is about to enter the boat they keep close to His side, kneel at His feet, and beg to remain near Him, where they may listen to His words. But Jesus bids them go home and tell what great things the Lord has done for them. {MH 98.1}
ชายที่ถูกผีสิงที่ได้รับการทรงช่วยเหลือให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายกลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกับชาวเมืองเป็นอย่างมาก พวกเขาปรารถนาที่จะได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ผู้ทรงช่วยกู้พวกเขา เมื่อได้อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขารู้สึกปลอดภัยจากเหล่าผีร้ายที่ได้ทรมานชีวิตของเขา และทำให้ชีวิตในวัยหนุ่มของพวกเขาต้องสูญเสียไป ในขณะที่พระเยซูทรงกำลังจะเสด็จลงเรืออยู่นั้น คนทั้งสองได้เข้ามา คุกเข่าลงแทบพระบาทของพระองค์และวิงวอนขอให้ได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์เพื่อจะได้ฟังพระวจนะของพระองค์ แต่พระเยซูทรงมีพระดำรัสสั่งให้ทั้งสองกลับบ้านไปและให้บอกเล่าถึงการใหญ่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เขาทั้งสอง {MH 98.1}
Here is a work for them to do–to go to a heathen home and tell of the blessings they have received from Jesus. It is hard for them to be separated from the Saviour. Great difficulties will beset them in association with their heathen countrymen. And their long isolation from society seems to have disqualified them for this work. But as soon as He points out their duty, they are ready to obey. {MH 98.2}
นี่เป็นงานที่พวกเขาจะต้องกระทำ ซึ่งก็คือ จะต้องไปยังบ้านของผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าและเล่าเรื่องพระพรที่พวกเขาได้รับมาจากพระเยซู เป็นเรื่องยากที่จะให้เขาทั้งสองต้องแยกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด และการที่จะต้องไปพบปะเพื่อนพี่น้องที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าเพื่อการเป็นพยานนั้น นับว่าเป็นงานที่น่าหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่ได้เหินห่างจากสังคมมาเป็นระยะเวลายาวนานดูเหมือนว่าจะทำให้เขาทั้งสองขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมเพื่อที่จะกระทำงานนี้ แต่ทันทีที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงหน้าที่ของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม {MH 98.2}
Not only did they tell their own households and neighbors about Jesus, but they went throughout Decapolis, everywhere declaring His power to save and describing how He had freed them from the demons. {MH 98.3}
คนทั้งสองมิได้เพียงแต่จะบอกเรื่องราวของพระเยซูให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนบ้านของเขาเท่านั้น แต่ยังได้ไปทั่วแว่นแคว้นทศบุรี ไปยังทั่วทุกหนแห่งประกาศถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ทรงสามารถช่วยให้รอดและอธิบายว่าพระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของผีร้ายได้อย่างไร {MH 98.3}
Though the people of Gergesa had not received Jesus, He did not leave them to the darkness they had chosen. When they bade Him depart from them, they had not heard His words. They were ignorant of that which they were rejecting. Therefore He sent the light to them, and by those to whom they would not refuse to listen. {MH 98.4}
แม้ว่าชาวเมืองเกอร์กาซี (กาดารา) จะยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูก็ตาม แต่พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งคนที่นั่นไว้ในความมืดที่เขาทั้งหลายได้เป็นผู้เลือกเอง เมื่อขอร้องให้พระองค์เสด็จไปจากเขาทั้งหลายนั้น เขาทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้ฟังพระคำของพระองค์เลย ยังไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงประทานแสงสว่างให้แก่พวกเขาโดยผ่านผู้ที่พวกเขาไม่ปฏิเสธที่จะรับฟัง {MH 98.4}
In causing the destruction of the swine, it was Satan’s purpose to turn the people away from the Saviour and prevent the preaching of the gospel in that region. But this very occurrence roused the country as nothing else could have done, and directed attention to Christ. Though the Saviour Himself departed, the men whom He had healed remained as witnesses to His power. Those who had been mediums of the prince of darkness became channels of light, messengers of the Son of God. When Jesus returned to Decapolis, the people flocked about Him, and for three days thousands from all the surrounding country heard the message of salvation. {MH 98.5}
โดยการทำลายฝูงสุกร ซาตานมีความมุ่งหมายที่จะหันเหจิตใจของประชาชนไปจากพระผู้ช่วยให้รอดและขัดขวางการประกาศข่าวประเสริฐในแว่นแคว้นนั้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กลับทำให้ชาวเมืองเกิดความตื่นเต้นอย่างที่ไม่มีสิ่งใดจะกระทำได้มาก่อน และได้หันความสนใจของเหล่าประชาชนไปยังพระคริสต์ แม้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จจากไปแล้วก็ตาม ชายสองคนที่พระองค์ได้ทรงรักษาให้หายก็ยังคงอยู่เป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ต่อไป คนเหล่านี้ที่เคยตกเป็นเครื่องมือของเจ้าแห่งความมืดได้กลับกลายมาเป็นช่องทางของแสงสว่าง โดยเป็นทูตของพระบุตรของพระเจ้า เมื่อพระเยซูเสด็จกลับไปยังแคว้นทศบุรี ฝูงชนได้เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ ตลอดเวลาสามวัน หลายพันคนจากดินแดนใกล้เคียงได้ฟังข่าวแห่งความรอด {MH 98.5}
The two restored demoniacs were the first missionaries whom Christ sent to teach the gospel in the region of Decapolis. For a short time only, these men had listened to His words. Not one sermon from His lips had ever fallen upon their ears. They could not instruct the people as the disciples who had been daily with Christ were able to do. But they could tell what they knew; what they themselves had seen, and heard, and felt of the Saviour’s power. This is what everyone can do whose heart has been touched by the grace of God. This is the witness for which our Lord calls, and for want of which the world is perishing. {MH 99.1}
ชายสองคนที่พระเยซูทรงขับผีออกจนหายเป็นปกติแล้วนั้น เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาสองคนแรกที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐในแคว้นทศบุรี คนทั้งสองนี้ได้ฟังพระคำของพระองค์เพียงชั่วเวลาเล็กน้อยเท่านั้น เขายังไม่เคยได้ยินคำเทศนาสั่งสอนใดๆ จากพระโอษฐ์ของพระองค์แม้แต่น้อย เขาทั้งสองจึงไม่สามารถที่จะสั่งสอนประชาชนได้เหมือนกับเหล่าสาวกที่ได้อยู่ร่วมกับพระคริสต์ทุกวันจะกระทำได้ แต่เขาทั้งสองเล่าในสิ่งที่เขาทราบ สิ่งที่เขาทั้งสองได้เห็น ได้ยินและได้รู้สึกถึงฤทธิ์อำนาจของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยตนเอง นี่จึงเป็นสิ่งที่ทุกๆคนที่พระคุณของพระเจ้าได้สัมผัสในจิตใจสามารถที่จะกระทำได้ เป็นคำพยานที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเรียกร้องให้เรากระทำ และเมื่อขาดสิ่งนี้โลกก็กำลังถึงซึ่งความพินาศ {MH 99.1}
The gospel is to be presented, not as a lifeless theory, but as a living force to change the life. God would have His servants bear testimony to the fact that through His grace men may possess Christlikeness of character and may rejoice in the assurance of His great love. He would have us bear testimony to the fact that He cannot be satisfied until all who will accept salvation are reclaimed and reinstated in their holy privileges as His sons and daughters. {MH 99.2}
ข่าวประเสริฐมิใช่สิ่งที่จะหยิบยกขึ้นมาแสดงเป็นทฤษฎีอันปราศจากชีวิต แต่เป็นฤทธิ์อำนาจที่ดำรงอยู่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้เป็นพยานถึงความจริงที่ว่าโดยพระคุณของพระองค์ มนุษย์จะมีอุปนิสัยแบบเดียวกับพระคริสต์ได้และจักได้มีความชื่นชมยินดีด้วยเพราะมั่นใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาให้เราได้เป็นพยานให้กับความจริงที่ว่า พระองค์จะมิทรงพอพระทัยจนกว่าทุกๆ คนที่ยอมรับเอาความรอดจะได้รับการกอบกู้และจะได้รับการทรงนำกลับคืนสู่สิทธิอันชอบธรรมที่จะได้เป็นบุตรชายหญิงของพระองค์ {MH 99.2}
Even those whose course has been most offensive to Him He freely accepts. When they repent, He imparts to them His divine Spirit, and sends them forth into the camp of the disloyal to proclaim His mercy. Souls that have been degraded into instruments of Satan are still, through the power of Christ, transformed into messengers of righteousness and are sent forth to tell how great things the Lord hath done for them and hath had compassion on them. {MH 99.3}
แม้แต่คนทั้งหลายที่ได้ดำเนินชีวิตในทางที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงยอมรับไว้ด้วยความเต็มพระทัย เมื่อคนเหล่านั้นกลับใจใหม่ พระองค์ก็จะประทานพระวิญญาณของพระเจ้าให้แก่เขาเหล่านั้น และจะทรงใช้เขาให้ไปประกาศแก่ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ โดยฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ จิตวิญญาณทั้งหลายที่แม้จะได้เสื่อมทรามลงจนต้องตกเป็นเครื่องมือของซาตานก็ยังสามารถที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้ได้กลายเป็นทูตแห่งความชอบธรรมได้และทรงใช้ให้ไปประกาศถึงการใหญ่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประกอบกิจเพื่อเขาและทรงมีพระทัยกรุณาเมตตาต่อเขาทั้งหลายอย่างไร {MH 99.3}
“My Praise Shall Be Continually of Thee.”
“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์เสมอ”
After the woman of Capernaum had been healed by the touch of faith, Jesus desired her to acknowledge the blessing she had received. The gifts which the gospel offers are not to be secured by stealth or enjoyed in secret.
ภายหลังจากหญิงที่เมืองคาเปอรนาอุมได้หายจากโรคด้วยสัมผัสแห่งความเชื่อแล้ว พระเยซูทรงปรารถนาที่จะให้นางได้รับรู้ถึงพระพรที่นางได้รับ ของประทานที่พระกิตติคุณประเสริฐได้มอบให้แก่เรานั้น เมื่อเราได้รับแล้ว เราจะต้องไม่ปิดบังเอาไว้โดยมิยอมให้ผู้ใดรู้เห็น หรือมีความเพลิดเพลินใจไว้แต่เพียงผู้เดียว
“Ye are My witnesses, saith the Lord, That I am God.” Isaiah 43:12. {MH 100.1}
“เจ้าทั้งหลายเป็นพยานของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราเป็นพระเจ้า” อิสยาห์ 43:12 {MH 100.1}
Our confession of His faithfulness is Heaven’s chosen agency for revealing Christ to the world. We are to acknowledge His grace as made known through the holy men of old; but that which will be most effectual is the testimony of our own experience. We are witnesses for God as we reveal in ourselves the working of a power that is divine. Every individual has a life distinct from all others, and an experience differing essentially from theirs. God desires that our praise shall ascend to Him, marked with our own individuality. These precious acknowledgments to the praise of the glory of His grace, when supported by a Christlike life, have an irresistible power that works for the salvation of souls. {MH 100.2}
พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเลือกคนที่ยอมรับในความสัตย์ซื่อของพระเยซูให้เป็นผู้แทนของพระองค์เพื่อที่จะได้สำแดงถึงพระคริสต์ให้แก่ชาวโลก เราจะต้องยอมรับในพระคุณของพระองค์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์ให้ปรากฏแก่บรรดาผู้ชอบธรรมในยุคสมัยโบราณ แต่สิ่งที่จะทำให้บังเกิดผลมากที่สุดนั่นก็คือ คำพยานจากประสบการณ์ในชีวิตของเราเอง เราได้เป็นพยานให้แก่พระเจ้าเมื่อเราได้สำแดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทรงประกอบกิจในชีวิตของเรา มนุษย์แต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างกันและต่างก็มีประสบการณ์ตามพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราได้ถวายสรรเสริญพระองค์ตามเอกัตภาพของแต่ละคน คำยอมรับอันประเสริฐที่แสดงออกด้วยการถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีแห่งพระคุณของพระองค์เหล่านี้ กอปรกับการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระคริสต์จะกลายเป็นฤทธิ์อำนาจอันทรงพลานุภาพเพื่อช่วยจิตวิญาณให้ได้รับความรอด {MH 100.2}
It is for our own benefit to keep every gift of God fresh in our memory. By this means faith is strengthened to claim and to receive more and more. There is greater encouragement for us in the least blessing we ourselves receive from God than in all the accounts we can read of the faith and experience of others. The soul that responds to the grace of God shall be like a watered garden. His health shall spring forth speedily; his light shall rise in obscurity, and the glory of the Lord shall be seen upon him. “What shall I render unto the Lord For all His benefits toward me? I will take the cup of salvation, And call upon the name of the Lord. I will pay my vows unto the Lord, Yea, in the presence of all His people.” “I will sing unto the Lord as long as I live: I will sing praise to my God while I have my being. My meditation of Him shall be sweet: I will be glad in the Lord.” “Who can utter the mighty acts of the Lord? Who can show forth all His praise?” “Call upon His name; Make known among the peoples His doings. Sing unto Him, sing praises unto Him:” “Talk ye of all His wondrous works. Glory ye in His holy name: Let the heart of them rejoice that seek the Lord.” “Because Thy loving-kindness is better than life, My lips shall praise Thee. . . . My soul shall be satisfied as with marrow and fatness; And my mouth shall praise Thee with joyful lips; When I remember Thee upon my bed, And meditate on Thee in the night watches. For Thou hast been my help, And in the shadow of Thy wings will I rejoice.” “In God have I put my trust, I will not be afraid; What can man do unto me? Thy vows are upon me, O God: I will render thank offerings unto Thee. For Thou hast delivered my soul from death: Hast Thou not delivered my feet from falling, That I may walk before God in the light of the living?” “O Thou Holy One of Israel. My lips shall greatly rejoice when I sing unto Thee; And my soul, which Thou hast redeemed. My tongue also shall talk of Thy righteousness all the day long.” “Thou art my trust from my youth. . . . My praise shall be continually of Thee.” “I will make Thy name to be remembered:. . . Therefore shall the people praise Thee.” Psalm 116:12-14, R.V.; 104:33, 34; 106:2; 105:1, 2 (A.R.V.), 2, 3; 63:3-7, A.R.V.; 56:11-13, A.R.V.; 71:22-24, 5, 6; 45:17. {MH 100.3}
เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเราเอง เราควรจะระลึกถึงของประทานทุกๆ อย่างที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่เราไว้อยู่เสมอ ด้วยการกระทำเช่นนี้ ความเชื่อของเราก็จะมีความเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อที่เราจะได้ทูลขอพระราชทานและได้รับของประทานมากยิ่งขึ้นไป เมื่อตัวของเราเองได้รับพระพรจากพระเจ้า แม้พระพรนั้นจะดูเล็กน้อยที่สุดก็ตาม เราก็ยังมีกำลังใจมากยิ่งกว่าการได้อ่านเรื่องของความเชื่อและประสบการณ์ในชีวิตที่เป็นของผู้อื่น จิตวิญญาณที่ตอบสนองต่อพระคุณของพระเจ้าจะเป็นเหมือนดั่งสวนที่มีน้ำรดไว้จนชุ่มฉ่ำ แผลของเขาจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาจะมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แล้วความสว่างของเขาจะพุ่งออกมาอย่างอรุณรุ่ง และเราจะเห็นสง่าราศีของพระเยโฮวาห์อยู่เหนือตัวเขา “ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระเยโฮวาห์ได้ เนื่องจากบรรดาพระราชกิจอันมีพระคุณต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกถ้วยแห่งความรอด และร้องทูลออกพระนามพระเยโฮวาห์ บัดนี้ข้าพเจ้าจะทำตามคำปฏิญาณของข้าพเจ้าแด่พระเยโฮวาห์ ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์” “ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้า ขอการภาวนาของข้าเป็นสิ่งที่พอพระทัย ข้าเปรมปรีดิ์ในพระเจ้า” “ผู้ใดจะพรรณนาถึงพระราชกิจอันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า หรือแสดงถึงพระเกียรติของพระองค์อย่างครบถ้วนได้” “จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ จงอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์” “เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์……. จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินอาหารอย่างอุดม และ ปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่ชื่นบาน เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ ขณะอยู่บนที่นอน และภาวนาถึงพระองค์ทุกๆยาม เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์” “ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจอยู่ ข้าพระองค์จะไม่กลัวว่า มนุษย์อาจกระทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้ โอ ข้าแต่พระเจ้า ที่ข้าพระองค์ปฏิญาณไว้นั้น ข้าพระองค์จะทำตาม ข้าพระองค์จะถวายคำสรรเสริญแด่พระองค์ เพราะพระองค์ทรงช่วยจิตวิญญาณ ของข้าพระองค์ให้พ้นจากมัจจุราช พระองค์จะทรงช่วยเท้าของข้าพระองค์ให้พ้นจากการล้มมิใช่หรือ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ในความสว่างแห่งชีวิต” “ข้าแต่องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ริมฝีปากของข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความชื่นบาน ทั้งจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ ลิ้นของข้าพระองค์จะพูดถึงความช่วยเหลือ อันชอบธรรมของพระองค์ตลอดวันยังค่ำ” “พระองค์……เป็นที่วางใจของข้าพระองค์ตั้งแต่เด็กๆมา ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์เสมอ “เราจะกระทำให้นามของพระองค์ท่านเป็นที่เชิดชู……… ฉะนั้นชนชาติทั้งหลายจะสดุดีพระองค์ท่านเป็นนิจกาล” สดุดี 116:12-14; 104:33, 34; 106:2; 105:1, 2 , 2, 3; 63:3-7; 56:11-13; 71:22-24, 5, 6; 45:17. {MH 100.3}
“Freely Ye Have Received, Freely Give.”
“ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ”
The gospel invitation is not to be narrowed down and presented only to a select few, who, we suppose, will do us honor if they accept it. The message is to be given to all. When God blesses His children, it is not alone for their own sake, but for the world’s sake. As He bestows His gifts on us, it is that we may multiply them by imparting. {MH 102.1}
คำเชิญของข่าวประเสริฐจะต้องไม่ถูกจำกัดหรือประกาศให้เฉพาะบุคคลที่ได้รับการเลือกสรรเพียงไม่กี่คนที่เราคิดว่าจะทำให้เราได้รับเกียรติยศชื่อเสียงหากพวกเขาได้ยอมรับเอาพระกิตติคุณประเสริฐนั้นไว้ ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศแก่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรแก่เหล่าบุตรของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงเห็นแก่เขาเท่านั้น แต่เพื่อทรงเห็นแก่มนุษย์ทั้งโลก เมื่อพระองค์ทรงโปรดประทานของประทานต่างๆ ให้แก่เรา เราจะต้องทำให้ของประทานนั้นเพิ่มพูนมากขึ้นด้วยการที่ได้จ่ายแจกแบ่งปันออกไป {MH 102.1}
The Samaritan woman who talked with Jesus at Jacob’s well had no sooner found the Saviour than she brought others to Him. She proved herself a more effective missionary than His own disciples. The disciples saw nothing in Samaria to indicate that it was an encouraging field. Their thoughts were fixed upon a great work to be done in the future. They did not see that right around them was a harvest to be gathered. But through the woman whom they despised a whole cityful were brought to hear Jesus. She carried the light at once to her countrymen. {MH 102.2}
ทันทีที่หญิงชาวสะมาเรียที่ได้สนทนากับพระเยซูที่ข้างบ่อน้ำของยาโคบได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นางก็ได้พาคนอื่นๆ มาหาพระองค์ นางได้พิสูจน์ให้เห็นว่านางเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาที่ทำงานได้บังเกิดผลมากกว่าเหล่าสาวกของพระองค์เอง พวกสาวกมองไม่เห็นสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าประเทศสะมาเรียเป็นผืนนาที่ยังมีความหวังว่าจะเก็บเกี่ยวจิตวิญญาณอะไรได้ ความคิดของพวกเขามุ่งไปที่งานยิ่งใหญ่ที่จะต้องกระทำในอนาคต เหล่าสาวกต่างมองไม่เห็นว่ารอบๆ ตัวก็ยังมีข้าวที่จะต้องเก็บเกี่ยว แต่โดยหญิงที่เหล่าสาวกเหยียดหยามนี่แหละ คนทั้งเมืองจึงได้รับการชักนำให้มาฟังพระเยซู นางได้นำแสงสว่างไปสู่พี่น้องชาติเดียวกันกับนางในทันที {MH 102.2}
This woman represents the working of a practical faith in Christ. Every true disciple is born into the kingdom of God as a missionary. No sooner does he come to know the Saviour than he desires to make others acquainted with Him. The saving and sanctifying truth cannot be shut up in his heart. He who drinks of the living water becomes a fountain of life. The receiver becomes a giver. The grace of Christ in the soul is like a spring in the desert, welling up to refresh all, and making those who are ready to perish eager to drink of the water of life. In doing this work a greater blessing is received than if we work merely to benefit ourselves. It is in working to spread the good news of salvation that we are brought near to the Saviour. {MH 102.3}
หญิงคนนี้เป็นแบบอย่างที่ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีปฏิบัติงานของผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระคริสต์ สาวกที่ซื่อสัตย์ทุกๆ คนได้บังเกิดใหม่ในราชอาณาจักรของพระเจ้าในฐานะผู้เผยแพร่ศาสนา ทันทีที่เขาได้มารู้จักพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาก็จะปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นได้รู้จักกับพระองค์ด้วย ความจริงที่จะช่วยให้รอดและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ได้นั้น มิอาจที่จะเก็บไว้ในใจของเขาแต่เพียงผู้เดียวได้ ผู้ที่ดื่มน้ำแห่งชีวิตจะกลับกลายเป็นน้ำพุแห่งชีวิต ผู้รับจะกลับกลายเป็นผู้ให้ พระคุณของพระคริสต์ในจิตวิญญาณจะเป็นเหมือนบ่อน้ำพุกลางทะเลทรายที่พลุ่งขึ้นมาเพื่อทำให้ทุกคนที่ดื่มนั้นชุ่มชื่นจิตใจ และทำให้ผู้ที่จะต้องถึงซึ่งกับความพินาศ เกิดความกระหายที่จะดื่มน้ำแห่งชีวิต ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ เราก็จะได้รับพระพรอย่างมากมายยิ่งกว่าการทำเพื่อประโยชน์ของตัวเราเองแต่เพียงฝ่ายเดียว การงานในการประกาศถึงข่าวดีแห่งความรอดจะนำเราให้เข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดได้ {MH 102.3}
Of those who receive His grace the Lord says: {MH 103.1}
พระเยโฮวาห์ตรัสถึงผู้ที่ได้รับพระคุณของพระองค์ว่า {MH 103.1}
“I will make them and the places round about My hill a blessing; and I will cause the shower to come down in its season; there shall be showers of blessing.” Ezekiel 34:26, A.R.V. {MH 103.2}
“เราจะกระทำให้เขากับสถานที่รอบๆ เนินเขาของเราเป็นแหล่งพระพร เราจะส่งฝนลงมาให้ตามฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพระพร” เอเสเคียล 34:26 {MH 103.2}
“On the last day, the great day of the feast, Jesus stood and cried, saying, If any man thirst, let him come unto Me and drink. He that believeth on Me, as the scripture hath said, from within him shall flow rivers of living water.” John 7:37, 38, A.R.V. {MH 103.3}
“ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล ซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนและประกาศว่า ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม ผู้ที่วางใจในเราตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิต จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น”ยอห์น 7:37, 38 {MH
Those who receive are to impart to others. From every direction are coming calls for help. God calls upon men to minister gladly to their fellow men. Immortal crowns are to be won; the kingdom of heaven is to be gained; the world, perishing in ignorance, is to be enlightened. {MH 103.4}
คนทั้งหลายที่ได้รับพระคุณแล้วนั้น จะต้องแบ่งปันพระคุณต่อให้แก่ผู้อื่น จากทั่วทุกสารทิศต่างมีเสียงที่ร้องเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ทั้งหลายให้มาปรนนิบัติรับใช้ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยความยินดี เราทั้งหลายจะต้องกระทำกิจของพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตนิรันดร์เป็นชัยชนะ เราจะต้องต่อสู้เพื่อที่จะได้รับราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก โลกที่กำลังถึงซึ่งกับความพินาศเพราะปราศจากความรู้ จักต้องได้รับแสงสว่าง {MH 103.4}
“Say not ye, There are yet four months, and then cometh harvest? behold, I say unto you, Lift up your eyes, and look on the fields; for they are white already to harvest. And he that reapeth receiveth wages, and gathereth fruit unto life eternal.” John 4:35, 36. {MH 103.5}
“ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน” ยอห์น 4:35, 36 {MH 103.5}
For three years the disciples had before them the wonderful example of Jesus. Day by day they walked and talked with Him, hearing His words of cheer to the weary and heavy-laden, and seeing the manifestations of His power in behalf of the sick and afflicted. When the time came for Him to leave them, He gave them grace and power to carry forward His work in His name. They were to shed abroad the light of His gospel of love and healing. And the Saviour promised that His presence would be always with them. Through the Holy Spirit He would be even nearer to them than when He walked visibly among men. {MH 104.1}
เป็นเวลาสามปีที่เหล่าสาวกได้มีพระเยซูทรงเป็นแบบอย่างอันประเสริฐสำหรับเขาทั้งหลาย วันแล้ววันเล่าที่เขาทั้งหลายร่วมดำเนินและสนทนากับพระองค์ ฟังถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสปลอบโยนแก่คนที่เหนื่อยล้าระอาใจและคนที่ต้องแบกภาระอันหนัก และยังเห็นการสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์เพื่อเห็นแก่คนที่เจ็บป่วยและผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อถึงกำหนดเวลาที่พระองค์จะต้องจากไป พระองค์ประทานพระคุณและฤทธิ์อำนาจให้แก่เขาทั้งหลายเพื่อที่จะได้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในพระนามของพระองค์ เหล่าสาวกจะต้องส่องแสงสว่างของข่าวประเสริฐแห่งความรักและการเยียวยารักษาให้แผ่กระจายออกไปและพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาว่าจะสถิตอยู่กับเขาทั้งหลายเสมอไปโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะสถิตอยู่ร่วมกับเขาทั้งหลายได้ใกล้ชิดขึ้นยิ่งกว่าเมื่อครั้นที่พระองค์ยังทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ที่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ {MH 104.1}
The work which the disciples did, we also are to do. Every Christian is to be a missionary. In sympathy and compassion we are to minister to those in need of help, seeking with unselfish earnestness to lighten the woes of suffering humanity. {MH 104.2}
งานที่เหล่าสาวกได้ทำนั้น เราก็จะต้องกระทำด้วย คริสเตียนทุกคนจะต้องเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา เราจะต้องปรนนิบัติรับใช้ด้วยความเห็นอกเห็นใจและเมตตาสงสารแก่บรรดาผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และพยายามที่จะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของมนุษยชาติที่ได้รับความยากลำบากด้วยความตั้งใจมั่นโดยไม่เห็นแก่ตนเอง {MH 104.2}
All may find something to do. None need feel that there is no place where they can labor for Christ. The Saviour identifies Himself with every child of humanity. That we might become members of the heavenly family, He became a member of the earthly family. He is the Son of man, and thus a brother to every son and daughter of Adam. His followers are not to feel themselves detached from the perishing world around them. They are a part of the great web of humanity, and heaven looks upon them as brothers to sinners as well as to saints. {MH 104.3}
ทุกคนจะหางานทำได้ อย่าให้มีผู้ใดรู้สึกว่าไม่มีที่ๆ เขาจะทำงานให้กับพระคริสต์ได้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหล่าบุตรของมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อจะให้เราได้เป็นสมาชิกในครอบครัวแห่งสวรรค์ พระองค์เสด็จมาเพื่อเป็นสมาชิกในครอบครัวแห่งแผ่นดินโลก พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็นพี่น้องของบุตรชายหญิงทุกคนของอาดัม สาวกผู้ติดตามของพระองค์จะต้องไม่รู้สึกว่าตนเองนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับโลกโดยรอบที่กำลังจะถึงซึ่งความพินาศ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสายใยที่ถักทอบรรดามนุษยชาติเข้าไว้ด้วยกัน และชาวสวรรค์ถือว่าเขาเป็นพี่น้องของเหล่าคนบาปอีก เป็นพี่น้องร่วมกับบรรดาธรรมิกชน {MH 104.3}
Millions upon millions of human beings, in sickness and ignorance and sin, have never so much as heard of Christ’s love for them. Were our condition and theirs to be reversed, what would we desire them to do for us? All this, so far as lies in our power, we are to do for them. Christ’s rule of life by which every one of us must stand or fall in the judgment is, “Whatsoever ye would that men should do to you, do ye even so to them.” Matthew 7:12. {MH 104.4}
มีมนุษย์นับล้านๆ คนที่ตกอยู่ในสภาพของความเจ็บป่วย ความขลาดเขลาและความผิดบาป และยังไม่เคยได้ยินถึงความรักของพระคริสต์ที่มีต่อเขา ถ้าหากเราจะเปลี่ยนสภาพระหว่างเรากับเขาได้ เราปรารถนาที่จะให้เขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง สิ่งทั้งหมดนี้ เราจะต้องกระทำเพื่อพวกเขาเท่าที่เราจะสามารถกระทำได้ แนวทางในการดำเนินชีวิตที่พระคริสต์ได้ทรงกำหนดไว้ว่าเราจะยังคงตั้งมั่นอยู่หรือว่าจะต้องพินาศไปในการพิพากษาคือ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” มัทธิว 7:12 {MH 104.4}
By all that has given us advantage over another,–be it education and refinement, nobility of character, Christian training, religious experience,–we are in debt to those less favored; and, so far as lies in our power, we are to minister unto them. If we are strong, we are to stay up the hands of the weak. {MH 105.1}
เมื่อเราได้รับพระราชทานบรรดาสิ่งที่เป็นประโยชน์มากยิ่งกว่าผู้อื่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การขัดเกลา อุปนิสัยอันดีงาม การอบรมตามแบบอย่างของคริสเตียน และประสบการณ์เกี่ยวกับศาสนา เท่ากับว่าเราได้เป็นหนี้ของผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษน้อยกว่าเรา และเท่าที่เราจะสามารถกระทำได้ เราจะต้องช่วยเหลือคนเหล่านั้น หากเรามีกำลังที่เข้มแข็ง เราจะต้องช่วยพยุงมือของผู้ที่อ่อนแอกว่าเรา {MH 105.1}
Angels of glory that do always behold the face of the Father in heaven, joy in ministering to His little ones. Angels are ever present where they are most needed, with those who have the hardest battles with self to fight, and whose surroundings are the most discouraging. Weak and trembling souls who have many objectionable traits of character are their special charge. That which selfish hearts would regard as humiliating service, ministering to those who are wretched and in every way inferior in character, is the work of the pure, sinless beings from the courts above. {MH 105.2}
ทูตสวรรค์ที่มีรัศมีรุ่งเรืองซึ่งได้เห็นพระพักตร์พระบิดาบนสวรรค์อยู่เป็นนิตย์ ต่างมีความปีติยินดีในการปรนนิบัติช่วยเหลือเหล่าบุตรของพระองค์ ทูตสวรรค์จะอยู่ในที่ๆ คนเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด อยู่กับผู้ที่กำลังเผชิญสงครามอันหนักหน่วงที่สุดของสงครามการต่อสู้กับตัวเอง และอยู่กับผู้ที่ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขาท้อถอยที่สุด จิตวิญญาณที่อ่อนกำลังและเป็นทุกข์หวาดหวั่นของผู้ที่มีอุปนิสัยหลายอย่างอันน่ารังเกียจ เป็นพวกที่เหล่าทูตสวรรค์คอยดูแลห่วงใยเป็นพิเศษ สิ่งที่คนมีจิตใจที่เห็นแก่ตัวมองว่างานของการปรนนิบัติรับใช้ต่อผู้อื่นนั้นต่ำต้อย การให้ความช่วยเหลือแก่คนที่น่าเวทนาและมีคุณลักษณะทุกด้านที่ด้อยกว่าคนอื่นนั้น เป็นงานของเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากความผิดบาปที่มาจากบัลลังก์เบื้องบน {MH 105.2}
Jesus did not consider heaven a place to be desired while we were lost. He left the heavenly courts for a life of reproach and insult, and a death of shame. He who was rich in heaven’s priceless treasure became poor, that through His poverty we might be rich. We are to follow in the path He trod. {MH 105.3}
พระเยซูมิได้ทรงถือว่าสวรรค์เป็นสถานที่อันน่าพึงปรารถนาในขณะที่เราตกอยู่ในความพินาศ พระองค์เสด็จจากราชบัลลังก์ในสวรรค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์และมีชีวิตที่ถูกตำหนิติเตียนและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และทรงต้องวายพระชนม์ด้วยความอัปยศอดสู พระองค์ผู้ทรงมั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยราชสมบัติในสวรรค์อันประเมินค่ามิได้ กลับกลายมาเป็นเพียงคนที่ยากจนขัดสนเพราะโดยความยากจนของพระองค์นั้น เราทั้งหลายจะได้มั่งคั่ง เราทั้งหลายจึงต้องดำเนินตามรอยพระบาทที่พระองค์ทรงเคยดำเนินผ่านไปก่อนหน้านั้น {MH 105.3}
He who becomes a child of God should henceforth look upon himself as a link in the chain let down to save the world, one with Christ in His plan of mercy, going forth with Him to seek and save the lost. {MH 105.4}
นับจากนี้ไป ผู้ที่ได้มาเป็นบุตรของพระเจ้าจะต้องตระหนักว่าตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งของโซ่คล้องที่โรยลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยบรรดามนุษย์ให้ได้รับความรอด เขาจะมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ในแผนการแห่งพระกรุณาธิคุณของพระองค์ และออกไปพร้อมกับพระองค์เพื่อที่จะแสวงหาและช่วยเหลือคนที่หลงหายให้ได้รับความรอด {MH 105.4}
Many feel that it would be a great privilege to visit the scenes of Christ’s life on earth, to walk where He trod, to look upon the lake beside which He loved to teach, and the hills and valleys on which His eyes so often rested. But we need not go to Nazareth, to Capernaum, or to Bethany, in order to walk in the steps of Jesus. We shall find His footprints beside the sickbed, in the hovels of poverty, in the crowded alleys of the great cities, and in every place where there are human hearts in need of consolation. {MH 105.5}
มีคนมากมายรู้สึกว่าเป็นสิทธิพิเศษยิ่งใหญ่ที่มีโอกาสไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆที่พระคริสต์ทรงเคยดำรงพระชนม์อยู่ในโลก ได้เดินไปตามหนทางที่พระองค์ทรงเคยดำเนินผ่านไป ได้มองไปยังริมทะเลสาบที่พระองค์ทรงโปรดปรานที่จะใช้เป็นสถานที่ในการเทศนาสั่งสอน และมองไปยังเนินเขาและบนหุบเขาที่พระองค์ทรงเคยทอดสายพระเนตรอยู่เสมอ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปยังเมืองนาซาเร็ธ ไปยังเมืองคาเปอรนาอุม หรือหมู่บ้านเบธานี เพื่อที่จะได้เดินตามรอยพระบาทของพระเยซู แต่เราจะได้พบเห็นรอยพระบาทของพระองค์อยู่ที่ข้างเตียงคนป่วย ในกระท่อมของคนยากจน ตามตรอกซอกซอยที่แออัดไปด้วยผู้คนในเมืองใหญ่และในทุกแห่งหนที่มีจิตใจของบรรดาผู้ที่ต้องการคำปลอบประโลมใจ {MH 105.5}
We are to feed the hungry, clothe the naked, and comfort the suffering and afflicted. We are to minister to the despairing, and to inspire hope in the hopeless. {MH 106.1}
เราจะต้องเลี้ยงดูผู้ที่หิวกระหาย ห่มกายของผู้ที่เปล่าเปลือยและช่วยเล้าโลมจิตใจของคนที่ประสบกับความทุกข์ยากและเจ็บป่วยทรมาน เราจะต้องช่วยเหลือคนที่มีจิตใจท้อถอยและช่วยผู้ที่ไร้ซึ่งความหวังให้เกิดแรงบันดาลใจขึ้นใหม่อีกครั้ง {MH 106.1}
The love of Christ, manifested in unselfish ministry, will be more effective in reforming the evildoer than will the sword or the court of justice. These are necessary to strike terror to the lawbreaker, but the loving missionary can do more than this. Often the heart that hardens under reproof will melt under the love of Christ. {MH 106.2}
ความรักของพระคริสต์ที่เราได้สำแดงให้ประจักษ์ด้วยการปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัวนั้น จะยังผลในการปรับปรุงแก้ไขผู้ที่กระทำชั่วได้ดีกว่าดาบลงโทษหรือศาลสถิตยุติธรรม สิ่งเหล่านี้อาจมีความจำเป็นเพื่อทำให้ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเกิดความหวาดกลัว แต่ผู้เผยแพร่ศาสนาที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่ย่อมจักสามารถกระทำได้มากยิ่งกว่า บ่อยครั้งจิตใจที่กระด้างอันเกิดจากการที่ถูกตำหนิติเตียนมักจะอ่อนลงเมื่อได้รับความรักของพระคริสต์ {MH 106.2}
The missionary can not only relieve physical maladies, but he can lead the sinner to the Great Physician, who can cleanse the soul from the leprosy of sin. Through His servants, God designs that the sick, the unfortunate, and those possessed of evil spirits shall hear His voice. Through His human agencies He desires to be a comforter such as the world knows not. {MH 106.3}
ผู้เผยแพร่ศาสนามิเพียงจะสามารถรักษาบรรเทาความเจ็บป่วยด้านร่างกายได้เท่านั้น แต่เขายังนำคนบาปให้ไปหาแพทย์ผู้ประเสริฐได้ พระองค์ผู้ทรงสามารถชำระจิตวิญญาณให้สะอาดจากบาปผิดอันร้ายแรงดุจโรคเรื้อน โดยอาศัยผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าทรงมีความมุ่งหมายที่จะให้คนที่เจ็บป่วย คนที่เคราะห์ร้ายและคนที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงให้ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ โดยอาศัยมนุษย์ซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้เป็นผู้ที่คอยปลอบประโลมจิตใจอย่างที่โลกไม่เคยรู้จักมาก่อน {MH 106.3}
The Saviour has given His precious life in order to establish a church capable of ministering to the suffering, the sorrowful, and the tempted. A company of believers may be poor, uneducated, and unknown; yet in Christ they may do a work in the home, in the community, and even in “the regions beyond,” whose results shall be as far-reaching as eternity. {MH 106.4}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงยอมสละพระชนม์ชีพอันประเสริฐของพระองค์เพื่อจะได้จัดตั้งคริสตจักรขึ้นมาที่มีความสามารถปรนนิบัติช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ทรมาน คนที่เศร้าโศกและคนที่ประสบกับการทดลอง ในหมู่ผู้เชื่ออาจเป็นคนที่ยากจน ขาดการศึกษาและไม่เป็นที่รู้จัก แต่ถึงกระนั้นในพระคริสต์ เขาทั้งหลายก็ยังสามารถที่จะกระทำกิจการของพระองค์ได้ภายในบ้าน ในวงสังคมและแม้แต่ใน “แว่นแคว้นที่อยู่ห่างไกล” ซึ่งผลนั้นจะได้แผ่ขยายกว้างไกลออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด {MH 106.4}
To Christ’s followers today, no less than to the first disciples, these words are spoken: {MH 106.5}
สำหรับสาวกผู้ติดตามพระคริสต์ในทุกวันนี้ พระองค์ตรัสถึงถ้อยคำที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเมื่อครั้นที่ตรัสกับเหล่าสาวกพวกแรกว่า {MH 106.5}
“All power is given unto Me in heaven and in earth. Go ye therefore, and teach all nations.” “Go ye into all the world, and preach the gospel to every creature.” Matthew 28:18, 19; Mark 16:15. {MH 106.6}
“ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ” “เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” มัทธิว 28:18, 19; มาระโก 16:15 {MH 106.6}
And for us also is the promise of His presence, “Lo, I am with you alway, even unto the end of the world.” Matthew 28:20. {MH 107.1}
และพระสัญญาที่ว่าพระองค์จะสถิตอยู่ด้วยนั้นก็จะเป็นของเราเช่นกัน “นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28:20 {MH 107.1}
Today no curious multitudes flock to the desert places to see and hear the Christ. His voice is not heard in the busy streets. No cry sounds from the wayside, “Jesus of Nazareth passeth by.” Luke 18:37. Yet this word is true today. Christ walks unseen through our streets. With messages of mercy He comes to our homes. With all who are seeking to minister in His name, He waits to co-operate. He is in the midst of us, to heal and to bless, if we will receive Him. {MH 107.2}
ทุกวันนี้ ไม่มีฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็นที่พากันไปชุมนุมกันในสถานที่เปล่าเปลี่ยวห่างไกลจากผู้คนเพื่อจะได้เห็นและได้สดับฟังพระคริสต์ ไม่มีพระสุรเสียงของพระองค์ให้ได้ยินตามถนนอันจอแจอีก ไม่มีเสียงร้องจากริมทางว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จไป” ลูกา 18:37 แต่กระนั้นถ้อยคำนี้ก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ในวันนี้ พระคริสต์ทรงดำเนินไปตามถนนหนทางของเราแม้เราจะมองไม่เห็นพระองค์ก็ตาม พระองค์เสด็จมายังบ้านของเราพร้อมกับพระกิตติคุณแห่งพระเมตตา พระองค์ทรงรอคอยเพื่อจะได้ร่วมมือกับคนทั้งหลายที่พยายามปรนนิบัติช่วยเหลือผู้อื่นในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อจะทรงเยียวยารักษาโรคภัยและอวยพระพรให้แก่เรา หากเราจะยอมรับพระองค์ {MH 107.2}
“Thus saith Jehovah, In an acceptable time have I answered thee, and in a day of salvation have I helped thee; and I will preserve thee, and give thee for a covenant of the people, to raise up the land, to make them inherit the desolate heritages; saying to them that are bound, Go forth; to them that are in darkness, Show yourselves.” “How beautiful upon the mountains are the feet of him that bringeth good tidings, that publisheth peace; That bringeth good tidings of good, that publisheth salvation; That saith unto Zion, Thy God reigneth!” Isaiah 49:8, 9, A.R.V.; 52:7. “Break forth into joy, sing together, ye waste places:. . . For the Lord hath comforted His people. . . . The Lord hath made bare His holy arm In the eyes of all the nations; And all the ends of the earth Shall see the salvation of our God.” Verses 9, 10. {MH 107.3}
“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในเวลาโปรดปราน เราตอบเจ้าแล้ว ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า เราได้ดูแลเจ้า และมอบให้เจ้า เป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ เพื่อสถาปนาแผ่นดิน เพื่อจะให้รับที่ร้างเปล่าเป็นมรดก พลางกล่าวแก่ผู้ถูกจำจองว่า ออกมาเถิด ต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในความมืดว่า จงปรากฏตัว” “เท้าของผู้นำข่าวดีมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ ผู้นำข่าวดีของเรื่องดี ผู้โฆษณาความรอด ผู้กล่าวแก่ศิโยนว่า พระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง” อิสยาห์ 49:8, 9; 52:7 “เจ้าคือที่ทิ้งร้างแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยกัน เพราะพระเจ้าได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์ ……. พระเจ้าทรงเปลือยพระกรอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ต่อหน้าต่อตาประชาชาติทั้งปวง และที่สุดปลายแผ่นดินโลกทั้งสิ้น จะเห็นความรอดของพระเจ้าของเรา” อิสยาห์ 52:9, 10 {MH 107.3}