Chapter 7 (บทที่ 7)
The Co-Working of the Divine and the Human
มนุษย์ร่วมงานกับพระเจ้าในการปฏิบัติกิจ

In the ministry of healing the physician is to be a co-worker with Christ. The Saviour ministered to both the soul and the body. The gospel which He taught was a message of spiritual life and of physical restoration. Deliverance from sin and the healing of disease were linked together. The same ministry is committed to the Christian physician. He is to unite with Christ in relieving both the physical and spiritual needs of his fellow men. He is to be to the sick a messenger of mercy, bringing to them a remedy for the diseased body and for the sin-sick soul. {MH 111.1}

ในการปรนนิบัติรับใช้ด้วยการบำบัดรักษาผู้ที่เจ็บป่วยนั้น แพทย์จะต้องเป็นผู้ที่ร่วมงานกับพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงให้การเยียวยารักษาทั้งทางฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายร่างกาย พระกิตติคุณประเสริฐที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้นเป็นข่าวสารของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณและเป็นการฟื้นฟูสภาพฝ่ายกายให้กลับคืนสู่ความสมบูรณ์แข็งแรง การช่วยให้รอดพ้นจากความผิดบาปและการรักษาให้หายจากโรคภัยนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน พระเจ้าทรงมอบหมายงานเดียวกันนี้ให้แก่แพทย์ที่เป็นคริสเตียนให้ปฏิบัติในหน้าที่นี้ เขาจะต้องร่วมมือกับพระคริสต์ในการรักษาบรรเทาความเจ็บป่วยในด้านร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาจะต้องเป็นทูตของพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาแก่ผู้ที่เจ็บป่วย นำการรักษามาให้แก่พวกเขาสำหรับร่างกายที่ป่วยเจ็บและจิตวิญญาณที่ป่วยด้วยโรคแห่งบาป {MH 111.1}

Christ is the true head of the medical profession. The chief Physician, He is at the side of every God-fearing practitioner who works to relieve human suffering. While the physician uses nature’s remedies for physical disease, he should point his patients to Him who can relieve the maladies of both the soul and the body. That which physicians can only aid in doing, Christ accomplishes. They endeavor to assist nature’s work of healing; Christ Himself is the healer. The physician seeks to preserve life; Christ imparts life. {MH 111.2}

พระคริสต์ทรงดำรงเป็นผู้นำที่แท้จริงของวิชาชีพแพทย์ ในฐานะของแพทย์ใหญ่ พระองค์สถิตอยู่เคียงข้างกับแพทย์ทุกคนที่มีความยำเกรงพระเจ้าในการทำงานเพื่อรักษาบรรเทาความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ในขณะที่แพทย์ใช้ธรรมชาติบำบัดเพื่อรักษาโรคทางกายนั้น เขาควรจะชี้ให้ผู้ป่วยได้เห็นถึงพระองค์ผู้ทรงปลดเปลื้องบรรดาโรคภัยทั้งทางจิตวิญญาณและทางกายได้ สิ่งที่แพทย์สามารถทำได้เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือเท่านั้น ส่วนพระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่กระทำให้ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ผล พวกเขาพยายามให้การช่วยเหลือด้วยวิธีการทางธรรมชาติบำบัด แต่พระคริสต์ทรงเป็นผู้รักษาให้หาย แพทย์พยายามที่จะสงวนรักษาชีวิตไว้ แต่พระคริสต์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิต {MH 111.2}

The Source of Healing

แหล่งที่มาของการรักษา

The Saviour in His miracles revealed the power that is continually at work in man’s behalf, to sustain and to heal him. Through the agencies of nature, God is working, day by day, hour by hour, moment by moment, to keep us alive, to build up and restore us. When any part of the body sustains injury, a healing process is at once begun; nature’s agencies are set at work to restore soundness. But the power working through these agencies is the power of God. All life-giving power is from Him. When one recovers from disease, it is God who restores him. {MH 112.1}

ในการอัศจรรย์ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำนั้น ได้เปิดเผยให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจที่พระองค์ทรงปฏิบัติอยู่เสมอเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ในการที่ทรงช่วยเหลือและรักษาเขาให้หายจากโรค โดยอาศัยวิธีการของธรรมชาติ พระเจ้าทรงประกอบกิจอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน ในทุกๆ ชั่วโมงและทุกเสี้ยวเวลานาที เพื่อช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ เพื่อเสริมสร้างกำลังและฟื้นฟูสุขภาพของเรา เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายได้รับบาดเจ็บ กระบวนการรักษาจะเกิดขึ้นในทันที วิธีการตามธรรมชาติจะเริ่มการบำบัดรักษาให้กลับเป็นปกติ แต่อำนาจ ในการบำบัดรักษาโดยวิธีการเหล่านี้นั้นเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจทั้งหมดที่ใช้ล้วนมาจากพระองค์ เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดได้หายจากโรค นั่นเป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ฟื้นฟูเขาให้กลับดีดังเดิม {MH 112.1}

Sickness, suffering, and death are work of an antagonistic power. Satan is the destroyer; God is the restorer. {MH 113.1}

ความเจ็บป่วย ความทุกข์ทรมานและความตายเป็นกิจการของอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ซาตานเป็นผู้ทำลาย แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ฟื้นฟู {MH 113.1}

The words spoken to Israel are true today of those who recover health of body or health of soul. “I am the Lord that healeth thee.” Exodus 15:26. {MH 113.2}

พระดำรัสที่พระเจ้าตรัสแก่ชนชาติอิสราเอลนั้นยังคงเป็นความจริงในวันนี้ สำหรับผู้ที่ได้ฟื้นคืนสู่สุขภาพทางร่างกายหรือสุขภาพทางจิตวิญญาณว่า “เราคือพระเจ้าแพทย์ของเจ้า” อพยพ 15:26 {MH 113.2}

The desire of God for every human being is expressed in the words, “Beloved, I wish above all things that thou mayest prosper and be in health, even as thy soul prospereth.” 3 John 2. {MH 113.3}

พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษย์ทุกคนนั้นได้แสดงออกไว้ในถ้อยคำที่ว่า “ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีพลานามัยสมบูรณ์และเจริญสุขทุกประการอย่างจิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น” 3 ยอห์น 2 {MH 113.3}

He it is who “forgiveth all thine iniquities; who healeth all thy diseases; who redeemeth thy life from destruction; who crowneth thee with loving-kindness and tender mercies.” Psalm 103:3, 4. {MH 113.4}

พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ “ทรงอภัยบาปผิดทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้ท่าน” สดุดี 103:3, 4 {MH 113.4}

When Christ healed disease, He warned many of the afflicted ones, “Sin no more, lest a worse thing come unto thee.” John 5:14. Thus He taught that they had brought disease upon themselves by transgressing the laws of God, and that health could be preserved only by obedience. {MH 113.5}

เมื่อพระคริสต์ทรงรักษาโรค พระองค์ทรงตักเตือนหลายคนที่เจ็บป่วยทรมานว่า “อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” ยอห์น 5:14 ด้วยประการฉะนี้แหละ พระองค์ได้ทรงสั่งสอนว่าเขาเองได้เป็นผู้ที่นำโรคภัยมาสู่ตนเองด้วยการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าและสุขภาพที่ดีจะถนอมรักษาไว้ได้โดยการเชื่อฟังเท่านั้น {MH 113.5}

The physician should teach his patients that they are to cooperate with God in the work of restoration. The physician has a continually increasing realization of the fact that disease is the result of sin. He knows that the laws of nature, as truly as the precepts of the Decalogue, are divine, and that only in obedience to them can health be recovered or preserved. He sees many suffering as the result of hurtful practices who might be restored to health if they would do what they might for their own restoration. They need to be taught that every practice which destroys the physical, mental, or spiritual energies is sin, and that health is to be secured through obedience to the laws that God has established for the good of all mankind. {MH 113.6}

แพทย์ควรสอนคนไข้ของเขาว่าเขาจะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการฟื้นฟูสุขภาพ แพทย์จะต้องตระหนักให้มากขึ้นอยู่อย่างเสมอถึงความจริงที่ว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นผลอันสืบเนื่องมาจากความผิดบาป เขาทราบดีว่ากฎแห่งธรรมชาติเป็นสิ่งที่แน่นอนเช่นเดียวกับคำสั่งสอนในพระบัญญัติสิบประการซึ่งเป็นของพระเจ้า และด้วยการเชื่อฟังต่อพระบัญญัติเท่านั้นจึงจะทำให้ร่างกายกลับมามีสุขภาพที่สมบูรณ์หรือถนอมรักษาสุขภาพไว้ได้ เขาเห็นผู้ที่ประสบความทุกข์ทรมานมากมายเป็นผลมาจากการกระทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งคนเหล่านี้จะกลับมามีสุขภาพที่สมบูรณ์ได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อเขาทั้งหลายได้ปฏิบัติในสิ่งที่สามารถนำไปสู่การฟื้นฟูสุขภาพของตนเอง เขาจำเป็นจะต้องได้รับการสั่งสอนว่า การกระทำทุกๆ อย่างที่ทำลายกำลังของร่างกาย จิตใจหรือจิตวิญญาณนั้นถือว่าเป็นความผิดบาป และสุขภาพร่างกายจะแข็งแรงได้ก็โดยอาศัยการเชื่อฟังและปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษย์ชาติ {MH 113.6}

When a physician sees a patient suffering from disease caused by improper eating and drinking or other wrong habits, yet neglects to tell him of this, he is doing his fellow being an injury. Drunkards, maniacs, those who are given over to licentiousness, all appeal to the physician to declare clearly and distinctly that suffering results from sin. Those who understand the principles of life should be in earnest in striving to counteract the causes of disease. Seeing the continual conflict with pain, laboring constantly to alleviate suffering, how can the physician hold his peace? Is he benevolent and merciful if he does not teach strict temperance as a remedy for disease? {MH 114.1}

เมื่อแพทย์เห็นผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากการกินและการดื่มที่ไม่เหมาะสมหรือมีนิสัยที่ผิดๆ อย่างอื่น แต่กระนั้นกลับเพิกเฉยไม่บอกให้เขาได้ทราบถึงสิ่งนี้ นั่นก็เท่ากับว่าแพทย์กำลังทำอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พวกขี้เหล้าเมายา คนวิกลจริต และคนที่ใช้ชีวิตจมอยู่กับเรื่องไร้ศีลธรรม คนเหล่านี้น่าจะดลใจให้แพทย์ได้บอกกล่าวแก่เขาทั้งหลายอย่างแจ่มชัดลงไปว่าความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความผิดบาป คนทั้งหลายที่เข้าใจถึงหลักการในการดำเนินชีวิตควรจะมีความพยายามอย่างจริงจังที่จะต่อสู้กับสาเหตุของโรคภัย แพทย์จะยังนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อเห็นความเจ็บป่วยและได้ลงมือตรากตรำช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องมาแล้ว เขาจะยังคงได้รับการยกย่องว่ามีใจเมตตาปรานีอีกไหมหากเขายังไม่ยอมสั่งสอนให้ผู้ป่วยรู้จักยึดความพอควรอย่างเคร่งครัดซึ่งเป็นวิธีที่รักษาโรคภัยของผู้ป่วยเหล่านั้นเองให้หายได้ {MH 114.1}

Let it be made plain that the way of God’s commandments is the way of life. God has established the laws of nature, but His laws are not arbitrary exactions. Every “Thou shalt not,” whether in physical or in moral law, implies a promise. If we obey it, blessing will attend our steps. God never forces us to do right, but He seeks to save us from the evil and lead us to the good. {MH 114.2}

ขอให้เราเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า การปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้านั้นเป็นหนทางที่นำไปสู่ชีวิต พระเจ้าทรงเป็นผู้ตั้งกฎแห่งธรรมชาติขึ้น แต่กฎของพระองค์มิได้บีบบังคับให้เราจะต้องปฏิบัติตามอย่างไร้เหตุผล ทุกๆ คำว่า “อย่า” ไม่ว่าจะเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับด้านร่างกายหรือด้านศีลธรรมล้วนบ่งบอกถึงพระสัญญา หากเราปฏิบัติตาม พระพรก็จะติดตามไปในทุกย่างก้าวของเรา พระเจ้าไม่ทรงบังคับเราต้องกระทำในสิ่งที่ถูก แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายและนำพาเราไปในทางที่ดีงาม {MH 114.2}

Let attention be called to the laws that were taught to Israel. God gave them definite instruction in regard to their habits of life. He made known to them the laws relating to both physical and spiritual well-being; and on condition of obedience He assured them, “The Lord will take away from thee all sickness.” Deuteronomy 7:15. “Set your hearts unto all the words which I testify among you this day.” “For they are life unto those that find them, and health to all their flesh.” Deuteronomy 32:46; Proverbs 4:22. {MH 114.3}

ขอให้เราพิจารณาใส่ใจถึงบทบัญญัติต่างๆ ที่นำมาสั่งสอนแก่ชนชาติอิสราเอล พระเจ้าประทานคำแนะนำสั่งสอนที่แน่นอนให้แก่พวกเขาเกี่ยวกับกิจวัตรในการดำเนินชีวิต พระองค์ทรงสำแดงให้พวกเขาได้ทราบถึงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับความผาสุกทั้งต่อร่างกายและต่อจิตวิญญาณและด้วยเงื่อนไขของการเชื่อฟัง พระองค์ย่อมจะทรงรับรองแก่พวกเขาว่า “และพระเจ้าจะทรงยกความเจ็บไข้ไปเสียจากพวกท่าน” เฉลยธรรมบัญญัติ 7:15 “จงใส่ใจในถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านในวันนี้” “เพราะว่าคำเหล่านั้นเป็นชีวิตแก่คนทั้งปวงที่พบและเป็นสุขภาพแก่ทุกส่วนในฝ่ายเนื้อหนังของเขา” เฉลยธรรมบัญญัติ 32:46 สุภาษิต 4:22 (ฉบับแปลเดิม) {MH 114.3}

God desires us to reach the standard of perfection made possible for us by the gift of Christ. He calls upon us to make our choice on the right side, to connect with heavenly agencies, to adopt principles that will restore in us the divine image. In His written word and in the great book of nature He has revealed the principles of life. It is our work to obtain a knowledge of these principles, and by obedience to co-operate with Him in restoring health to the body as well as to the soul. {MH 114.4}

พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราก้าวไปถึงมาตรฐานแห่งความบริบูรณ์ดีเลิศซึ่งเราจะกระทำได้โดยอาศัยของประทานจากพระคริสต์ พระองค์ทรงเรียกเราให้ตัดสินเลือกในด้านที่ถูกต้อง ให้เรามีความสัมพันธ์กับชาวสวรรค์ และรับหลักการที่จะช่วยให้เราได้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ชอบธรรมตามพระฉายของพระเจ้า ในพระวจนะของพระองค์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์และในหนังสือเล่มใหญ่ของธรรมชาติ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยถึงหลักการแห่งการดำเนินชีวิต เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรับความรู้ในหลักการเหล่านี้ และร่วมมือกับพระองค์โดยการเชื่อฟัง ในการฟื้นฟูสุขภาพของทั้งทางร่างกายและทางจิตวิญญาณ {MH 114.4}

Men need to learn that the blessings of obedience, in their fullness, can be theirs only as they receive the grace of Christ. It is His grace that gives man power to obey the laws of God. It is this that enables him to break the bondage of evil habit. This is the only power that can make him and keep him steadfast in the right path. {MH 115.1}

มวลมนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าพระพรแห่งการเชื่อฟังที่ครบถ้วนบริบูรณ์เป็นของพวกเขาได้ โดยการที่พวกเขายอมรับในพระคุณของพระคริสต์เท่านั้น พระคุณของพระคริสต์นี้แหละที่ประทานกำลังให้มนุษย์ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าได้ พระคุณนี้แหละที่ทำให้เขาสลัดตนเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการของนิสัยอันชั่วร้ายได้ สิ่งนี้จึงเป็นฤทธิ์อำนาจเดียวเท่านั้นที่สามารถทำและคอยประคองให้เขาเดินไปในหนทางแห่งความชอบธรรมได้อย่างมั่นคง {MH 115.1}

When the gospel is received in its purity and power, it is a cure for the maladies that originated in sin. The Sun of Righteousness arises, “with healing in His wings.” Malachi 4:2. Not all this world bestows can heal a broken heart, or impart peace of mind, or remove care, or banish disease. Fame, genius, talent–all are powerless to gladden the sorrowful heart or to restore the wasted life. The life of God in the soul is man’s only hope. {MH 115.2}

เมื่อมนุษย์ยอมรับในความบริสุทธิ์และฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐ เขาก็จะได้รับการรักษาโรคภัยอันมีสาเหตุมาจากความผิดบาป ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะขึ้นจากขอบฟ้า ซึ่งมี “ปีกรักษาโรคภัยได้” มาลาคี 4:2 สิ่งต่างๆ ที่โลกนี้ให้แก่เราย่อมมิอาจที่จะเยียวยารักษาความท้อแท้สิ้นหวัง หรือมอบสันติสุขให้แก่จิตใจ หรือช่วยปลดเปลื้องความวิตกกังวลใจ หรือกำจัดโรคภัยไข้เจ็บให้หมดไปได้ ชื่อเสียง อัจฉริยภาพ และตะลันห์ความสามารถล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งอำนาจที่จะทำให้จิตใจที่เศร้าหมองได้กลับมีความเบิกบาน หรือฟื้นฟูชีวิตที่สูญเปล่า ชีวิตของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในจิตวิญญาณของเราเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ {MH 115.2}

The love which Christ diffuses through the whole being is a vitalizing power. Every vital part–the brain, the heart, the nerves–it touches with healing. By it the highest energies of the being are roused to activity. It frees the soul from the guilt and sorrow, the anxiety and care, that crush the life forces. With it come serenity and composure. It implants in the soul, joy that nothing earthly can destroy,–joy in the Holy Spirit,–health-giving, life-giving joy. {MH 115.3}

ความรักของพระคริสต์ที่แผ่ซ่านอยู่ในทุกๆ ส่วนของตัวเราเป็นฤทธิ์อำนาจที่เสริมกำลัง อวัยวะที่สำคัญทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นสมอง หัวใจ และเส้นประสาทจะสัมผัสได้ถึงการเยียวยารักษา โดยอาศัยความรักของพระคริสต์ ร่างกายจะได้รับการกระตุ้นให้สามารถปฏิบัติงานได้ด้วยพละกำลังในระดับสูงสุด ความรักนั้นจะช่วยปลดเปลื้องจิตวิญญาณให้หลุดพ้นจากความผิดบาปและความทุกข์โศก พ้นจากความกลัดกลุ้มและความวิตกกังวลที่คอยบั่นทอนกำลังกายกำลังใจของมนุษย์ ความรักของพระคริสต์จะมาพร้อมกับสันติสุขและความสงบของจิตใจ ความรักจะปลูกฝังความชื่นชมยินดีลงไปในจิตวิญญาณซึ่งจะไม่มีสิ่งใดในโลกมาทำลายลงได้ เป็นความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานสุขภาพอันสุขสมบูรณ์และบำรุงหล่อเลี้ยงชีวิต {MH 115.3}

Our Saviour’s words, “Come unto Me, . . . and I will give you rest” (Matthew 11:28), are a prescription for the healing of physical, mental, and spiritual ills. Though men have brought suffering upon themselves by their own wrongdoing, He regards them with pity. In Him they may find help. He will do great things for those who trust in Him. {MH 115.4}

พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดของเราที่ว่า “จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” มัทธิว 11:28 เป็นตำรับยาขนานเอกที่จะรักษาความเจ็บป่วยของร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเป็นผู้นำความทุกข์ยากลำบากมาใส่ตัวเพราะการกระทำผิดของเขาเอง พระองค์ก็ยังทรงเป็นห่วงเขาทั้งหลายด้วยความเมตตาสงสาร ในพระองค์ คนเหล่านี้จะได้รับการช่วยเหลือ พระองค์จะทรงประกอบกิจยิ่งใหญ่ให้กับผู้ที่วางใจในพระองค์ {MH 115.4}

Although for ages sin has been strengthening its hold on the human race, although through falsehood and artifice Satan has cast the black shadow of his interpretation upon the word of God, and has caused men to doubt His goodness; yet the Father’s mercy and love have not ceased to flow earthward in rich currents. If human beings would open the windows of the soul heavenward, in appreciation of the divine gifts, a flood of healing virtue would pour in. {MH 116.1}

แม้ว่าตลอดทุกยุคทุกสมัย บาปจะได้สลักตรวนผูกมัดมนุษยชาติด้วยกำลังอำนาจที่ทวีขึ้น แม้ว่าซาตานจะได้ทอดเงามืดออกปิดบังพระวจนะของพระเจ้าไว้โดยการโป้ปดมดเท็จและอุบายเล่ห์เหลี่ยมของมันในการตีความหมาย และทำให้มนุษย์เกิดความสงสัยในพระคุณความดีของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น พระคุณและความรักของพระบิดาก็ยังคงเป็นดุจธาราทิพย์ที่หลั่งไหลมาสู่พื้นพิภพโดยมิขาดสาย หากมนุษย์จะเปิดหน้าต่างแห่งจิตวิญญาณขึ้นสู่สวรรค์ด้วยความซาบซึ้งในของประทานที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าแล้ว กระแสธารของฤทธิ์อำนาจในการรักษาก็จะหลั่งไหลพรั่งพรูมาสู่มวลมนุษย์ {MH 116.1}

The physician who desires to be an acceptable co-worker with Christ will strive to become efficient in every feature of his work. He will study diligently, that he may be well qualified for the responsibilities of his profession, and will constantly endeavor to reach a higher standard, seeking for increased knowledge, greater skill, and deeper discernment. Every physician should realize that he who does weak, inefficient work is not only doing injury to the sick, but is also doing injustice to his fellow physicians. The physician who is satisfied with a low standard of skill and knowledge not only belittles the medical profession, but does dishonor to Christ, the Chief Physician. {MH 116.2}

แพทย์ผู้ปรารถนาจะได้เป็นผู้ร่วมงานกับพระคริสต์ที่พระองค์ทรงพอพระทัยนั้น จะพยายามปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้ที่มีสมรรถภาพในการงานทุกๆ ด้านของตน เขาจะศึกษาด้วยความขยันหมั่นเพียรเพื่อจะได้มีคุณสมบัติอันเหมาะสมกับความรับผิดชอบในอาชีพของเขา และจะพยายามก้าวขึ้นสู่มาตรฐานที่สูงยิ่งขึ้นอยู่เสมอ แสวงหาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น ให้มีทักษะความชำนาญที่ดียิ่งขึ้นและมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม แพทย์ทุกคนควรจะตระหนักว่าผู้ที่ทำงานโดยขาดทักษะความสามารถและไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการทำงานจะไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการปฏิบัติต่อแพทย์ผู้ร่วมอาชีพอย่างไม่ยุติธรรม แพทย์ที่พอใจกับมาตรฐานของทักษะความสามารถและความรู้ในระดับต่ำไม่เพียงแต่จะดูแคลนอาชีพแพทย์เท่านั้น แต่ยังมิได้ถวายพระเกียรติแด่พระคริสต์ในฐานะที่พระองค์ทรงดำรงเป็นนายแพทย์ใหญ่อีกด้วย {MH 116.2}

Those who find that they are unfitted for medical work should choose some other employment. Those who are well adapted to care for the sick, but whose education and medical qualifications are limited, would do well to take up the humbler parts of the work, ministering faithfully as nurses. By patient service under skillful physicians they may be constantly learning, and by improving every opportunity to acquire knowledge they may in time become fully qualified for the work of a physician. Let the younger physicians, “as workers together with Him [the Chief Physician], . . . receive not the grace of God in vain, . . . giving no offense in anything, that the ministry [of the sick] be not blamed: but in all things approving ourselves as the ministers of God.” 2 Corinthians 6:1-4. {MH 116.3}

ผู้ที่รู้สึกว่าตนนั้นมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่จะทำงานด้านการแพทย์ ก็ควรจะเลือกงานในสาขาอาชีพอื่น ส่วนผู้ที่มีความเหมาะสมในการที่จะคอยเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วย แต่มีขีดจำกัดในด้านการศึกษาและคุณสมบัติในด้านการแพทย์ ก็ควรที่จะเลือกทำงานในส่วนอื่นๆ ที่รองลงมา ด้วยการปรนนิบัติรับใช้อย่างซื่อสัตย์ในฐานะของพยาบาล โดยการรับใช้ด้วยความพากเพียรภายใต้การดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญ ตลอดเวลาพวกเขาย่อมจะได้เรียนรู้มากยิ่งขึ้น และโดยการปรับปรุงและพัฒนาในทุกๆ โอกาสหรือช่องทางที่จะได้รับความรู้ให้มากขึ้น ที่สุดแล้ว พวกเขาก็จะมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างครบถ้วนในงานของแพทย์ได้ จงให้แพทย์ผู้มีอาวุโสน้อยกว่า “ทำงานร่วมกับพระคริสต์ [พระองค์ทรงเป็นแพทย์ใหญ่]……..อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น……..เรามิได้ให้ผู้ใดมีเหตุสะดุดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพื่อมิให้การที่เรารับใช้ปฏิบัติ [ผู้ป่วย] นั้นเป็นที่เขาจะติเตียนได้ แต่เราผู้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้า ได้กระทำตัวให้เป็นที่ชอบในการทั้งปวง” 2 โครินธ์ 6:1-4 {MH 116.3}

God’s Purpose for us is that we shall ever move upward. The true medical missionary physician will be an increasingly skillful practitioner. Talented Christian physicians, having superior professional ability, should be sought out and encouraged to engage in the service of God in places where they can educate and train others to become medical missionaries. {MH 117.1}

พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เราได้ก้าวขึ้นสู่มาตรฐานที่สูงส่งยิ่งขึ้น แพทย์ผู้ทำงานพันธกิจในด้านการแพทย์อย่างแท้จริงย่อมที่จะพัฒนาตนเองเพื่อจะได้เป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น แพทย์คริสเตียนที่มีความสามารถพิเศษและมีความเป็นเลิศในวิชาชีพ ควรจะได้รับการคัดลือกและส่งเสริมให้ได้มีส่วนร่วมในงานรับใช้พระเจ้าในตำแหน่งที่จะให้การศึกษาและฝึกฝนอบรมคนอื่นๆ ให้มาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาด้านการแพทย์ได้ {MH 117.1}

The Physician should gather to his soul the light of the word of God. He should make continual growth in grace. With him, religion is not to be merely one influence among others. It is to be an influence dominating all others. He is to act from high, holy motives–motives that are powerful because they proceed from the One who gave His life to furnish us with power to overcome evil. {MH 117.2}

แพทย์ควรจะรับเอาแสงสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้าไว้ในจิตวิญญาณของเขา เขาควรจะเติบโตขึ้นในพระคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ สำหรับเขาแล้ว ศาสนาจะมิได้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ช่วยส่งเสริมเขาให้มีอิทธิพลท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เขาคบหาสมาคมด้วย แต่จะต้องเป็นอิทธิพลที่เหนือผู้อื่น เขาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยเป้าหมายที่บริสุทธิ์และสูงส่ง อันเป็น เป้าหมายที่มีพลังอำนาจเพราะได้รับจากพระองค์ผู้ประทานชีวิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีอำนาจที่จะเอาชนะเหนือความชั่วร้ายได้ {MH 117.2}

If the physician faithfully and diligently strives to make himself efficient in his profession, if he consecrates himself to the service of Christ, and takes time to search his own heart, he will understand how to grasp the mysteries of his sacred calling. He may so discipline and educate himself that all within the sphere of his influence will see the excellence of the education and wisdom gained by the one who is connected with the God of wisdom and power. {MH 117.3}

หากแพทย์พยายามปฏิบัติงานให้บังเกิดผลด้วยความซื่อสัตย์และความขยันหมั่นเพียรในตำแหน่งหน้าที่ของเขา หากเขาได้ยอมมอบถวายตนเองเพื่อที่จะปรนนิบัติรับใช้พระคริสต์ และใช้เวลาในการพินิจพิจารณาถึงจิตใจของตนเอง เขาก็จะเข้าใจรู้ซึ้งถึงความล้ำลึกของการทรงเรียกในงานอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาจะฝึกฝนและอบรมตนเองจนทุกคนที่อยู่โดยรอบอิทธิพลของเขาจะเห็นถึงความเป็นเลิศของการศึกษาและสติปัญญาที่ได้รับจากการได้ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระปัญญาและฤทธิ์อำนาจ {MH 117.3}

In no place is a closer fellowship with Christ needed than in the work of the physician. He who would rightly perform the physician’s duties must daily and hourly live a Christian life. The life of the patient is in the hands of the physician. One careless diagnosis, one wrong prescription, in a critical case, or one unskillful movement of the hand in an operation, even by so much as a hair’s breadth, and a life may be sacrificed, a soul launched into eternity. How solemn the thought! How important that the physician shall be ever under the control of the divine Physician! {MH 117.4}

ไม่มีงานใดที่จำเป็นจะต้องมีสัมพันธภาพใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้ามากยิ่งไปกว่างานของผู้ที่เป็นแพทย์ ผู้ที่จะปฏิบัติงานในหน้าที่ของแพทย์ได้อย่างถูกต้องจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของคริสเตียนในทุกๆ วันและในทุกๆ ชั่วโมง ชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในมือของแพทย์ การตรวจวินิจฉัยโรคโดยความประมาทหรือขาดความเอาใจใส่เพียงครั้งเดียว หรือการสั่งจ่ายยาที่ผิดเพียงครั้งเดียวในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก หรือมือที่ทำการผ่าตัดโดยขาดความชำนาญเพียงครั้งเดียว แม้จะเล็กน้อยเท่ากับปลายเส้นผม ชีวิตหนึ่งก็อาจถูกสังเวยไปและจิตวิญญาณก็จะไปสู่นิรันดร์กาล มันช่างน่าสลดใจเมื่อนึกถึงเรื่องเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากที่แพทย์จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมจากนายแพทย์ผู้ประเสริฐ {MH 117.4}

The Saviour is willing to help all who call upon Him for wisdom and clearness of thought. And who needs wisdom and clearness of thought more than does the physician, upon whose decisions so much depends? Let the one who is trying to prolong life look in faith to Christ to direct his every movement. The Saviour will give him tact and skill in dealing with difficult cases. {MH 117.5}

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเต็มพระทัยที่จะช่วยคนทั้งหลายซึ่งทูลขอต่อพระองค์ให้ประทานสติปัญญาและความคิดอันปลอดโปร่งแจ่มใสให้แก่ตนเอง และผู้ใดเล่าที่จะต้องการสติปัญญาและความคิดอันปลอดโปร่งแจ่มใสมากไปกว่าแพทย์ซึ่งการตัดสินใจมากมายต่างฝากการพึ่งพาไว้ ขอให้แพทย์ผู้ที่กำลังพยายามที่จะช่วยชีวิตคนป่วยให้ยืดยาวออกไปจงมองไปยังพระคริสต์ด้วยความเชื่อ เพื่อพระองค์จะได้ทรงนำเขาในกิจการทุกๆ สิ่ง พระผู้ช่วยให้รอดจะประทานไหวพริบและความเชี่ยวชาญในการรับมือกับกรณีการรักษาที่มีความสลับซับซ้อน {MH 117.5}

Wonderful are the opportunities given to the guardians of the sick. In all that is done for the restoration of the sick, let them understand that the physician is seeking to help them co-operate with God in combating disease. Lead them to feel that at every step taken in harmony with the laws of God, they may expect the aid of divine power. {MH 118.1}

พระเจ้าประทานโอกาสอันประเสริฐให้แก่ผู้ที่ต้องคอยดูแลคนเจ็บป่วย ในทุกสิ่งที่ต้องทำเพื่อฟื้นฟูคนเจ็บไข้ให้หายเป็นปกตินั้น ผู้ดูแลเหล่านั้นควรจะชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าแพทย์กำลังช่วยเหลือเขาทั้งหลายให้ร่วมมือกับพระเจ้าในการต่อสู่กับโรคภัย จงชักนำผู้ป่วยเหล่านั้นให้รู้สึกว่าในทุกๆ วิธีของการรักษาที่สอดคล้องตามบทบัญญัติของพระเจ้าเขาทั้งหลายย่อมหวังได้ว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเขาทั้งหลายได้ {MH 118.1}

The sick and suffering will have much more confidence in the physician who they are confident loves and fears God. They rely upon his words. They feel a sense of safety in the presence and administration of that physician. {MH 118.2}

คนป่วยเจ็บและคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจะมีความเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นในแพทย์ผู้มีความรักและมีความยำเกรงในพระเจ้า พวกเขาจะไว้วางใจในคำพูดของแพทย์ พวกเขาจะรู้สึกถึงความปลอดภัยเมื่อได้อยู่ต่อหน้าและได้รับการรักษาจากแพทย์นั้น {MH 118.2}

Knowing the Lord Jesus, it is the privilege of the Christian practitioner by prayer to invite His presence in the sickroom. Before performing a critical operation, let the physician ask for the aid of the Great Physician. Let him assure the suffering one that God can bring him safely through the ordeal, that in all times of distress He is a sure refuge for those who trust in Him. The physician who cannot do this loses case after case that otherwise might have been saved. If he could speak words that would inspire faith in the sympathizing Saviour, who feels every throb of anguish, and could present the needs of the soul to Him in prayer, the crisis would oftener be safely passed. {MH 118.3}

การได้มีประสบการณ์ในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นถือว่าเป็นสิทธิพิเศษสำหรับแพทย์คริสเตียนที่สามารถจะอธิษฐานทูลเชิญพระองค์ให้เสด็จมาสถิตอยู่ในห้องของคนป่วย ก่อนที่จะทำการลงมือผ่าตัดที่ค่อนข้างวิกฤติ ขอให้แพทย์ได้ทูลขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้ประเสริฐเสียก่อน ขอให้แพทย์ได้ให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่าพระเจ้าทรงช่วยให้เขาผ่านพ้นวิกฤติการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย ซึ่งในเวลาที่มีความทุกข์ยากทุกครั้ง พระองค์จะทรงเป็นที่ลี้ภัยที่ไว้ใจได้สำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ แพทย์ที่ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้นั้นทำให้คนไข้รายแล้วรายเล่าต้องเสียชีวิตไปแทนที่จะช่วยให้รอดชีวิตได้ หากเขาจะได้กล่าวถ้อยคำที่หนุนจิตใจของผู้ป่วยให้เกิดความเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาและทรงรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานของคนป่วยและทูลขออธิษฐานในสิ่งที่จิตวิญญาณต้องการต่อพระองค์ บ่อยครั้งวิกฤตนั้นก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย {MH 118.3}

Only He who reads the heart can know with what trembling and terror many patients consent to an operation under the surgeon’s hand. They realize their peril. While they may have confidence in the physician’s skill they know that it is not infallible. But as they see the physician bowed in prayer, asking help from God, they are inspired with confidence. Gratitude and trust open the heart to the healing power of God, the energies of the whole being are vitalized, and the life forces triumph. {MH 118.4}

พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ ทรงทราบดีว่าผู้ป่วยหลายคนที่ยอมทำการผ่าตัดภายใต้มือของศัลยแพทย์นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตัวสั่นมากเพียงใด พวกเขาตระหนักดีถึงภัยอันตรายของตนเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความไว้วางใจในฝีมือของแพทย์มากเท่าใด แต่พวกเขาก็รู้ว่าอาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเขาเห็นแพทย์ได้ก้มศีรษะลงอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่ช่วยหนุนใจให้เขาได้เกิดความมั่นใจ ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและความไว้วางใจได้เปิดจิตใจของผู้ป่วยให้ยอมรับในฤทธิ์อำนาจในการรักษาของพระเจ้า พละกำลังทั่วตัวตนของเขาจึงได้รับการเสริมและความมีชีวิตชีวาจึงนำไปสู่ชัยชนะ {MH 118.4}

To the physician also the Saviour’s presence is an element of strength. Often the responsibilities and possibilities of his work bring dread upon the spirit. The feverishness of uncertainty and fear would make the hand unskillful. But the assurance that the divine Counselor is beside him, to guide and to sustain, imparts quietness and courage. The touch of Christ upon the physician’s hand brings vitality, restfulness, confidence, and power. {MH 119.1}

สำหรับแพทย์แล้ว การสถิตอยู่ด้วยของพระผู้ช่วยให้รอดย่อมถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขามีกำลังที่เข้มแข็งขึ้น บ่อยครั้งที่ความรับผิดชอบและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในหน้าที่การงานของเขาได้นำความกลัวมาสู่จิตใจ ความกังวลถึงความไม่แน่นอนและความหวาดกลัวอาจจะทำให้มือของเขาพลาดได้ แต่เมื่อได้รับความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่ปรึกษาสถิตอยู่เคียงข้างเขาเพื่อที่จะคอยชี้นำและทรงค้ำจุน ทำให้เขาเกิดความสงบและเข้มแข็งขึ้นในจิตใจ การสัมผัสของพระคริสต์บนมือของแพทย์ย่อมนำมาซึ่งกำลังวังชา ความสงบผ่อนคลาย ความมั่นใจและนำพลังความสามารถมาสู่แพทย์ {MH 119.1}

When the crisis is safely passed, and success is apparent, let a few moments be spent with the patient in prayer. Give expression to your thankfulness for the life that has been spared. As words of gratitude flow from the patient to the physician, let the praise and thanksgiving be directed to God. Tell the patient his life has been spared because he was under the heavenly Physician’s protection. {MH 119.2}

เมื่อคนไข้ได้ผ่านพ้นวิกฤติโดยปลอดภัยและเห็นว่าทุกอย่างได้ประสบผล ขอให้แพทย์ได้ใช้เวลาสักครู่หนึ่งเพื่ออธิษฐานร่วมกับคนไข้ จงกล่าวขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ทรงรักษาชีวิตไว้ เมื่อคนไข้ได้กล่าวขอบคุณแพทย์ จงนำคำสรรเสริญและคำโมทนาพระคุณไปยังพระเจ้า ให้แพทย์บอกคนไข้ว่าการที่เขารอดชีวิตเพราะเขาได้รับการคุ้มครองดูแลจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ของเขา {MH 119.2}

The physician who follows such a course is leading his patient to the One upon whom he is dependent for life, the One who can save to the uttermost all who come to Him. {MH 119.3}

แพทย์ที่ปฏิบัติได้เช่นนี้ ย่อมนำคนไข้ของเขาไปยังพระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของชีวิต พระผู้ทรงสามารถช่วยมนุษย์ทุกคนที่มาหาพระองค์ให้รอดได้จนถึงที่สุด {MH 119.3}

Into the medical missionary work should be brought a deep yearning for souls. To the physician equally with the gospel minister is committed the highest trust ever committed to man. Whether he realizes it or not, every physician is entrusted with the cure of souls. {MH 119.4}

ผู้ที่ทำงานประกาศด้านการแพทย์ควรจะมีความปรารถนาอันลึกซึ้งต่อจิตวิญญาณของคนทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงมอบความไว้วางใจอันสูงสุดเท่าที่พระองค์ทรงเคยมอบให้กับมนุษย์แก่แพทย์ซึ่งเทียบเท่ากับที่ทรงมอบให้กับอาจารย์สอนศาสนาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ว่าเขาจะตระหนักถึงหรือไม่ก็ตาม แพทย์ทุกคนต่างได้รับมอบหมายให้ทำการรักษาจิตวิญญาณด้วย {MH 119.4}

In their work of dealing with disease and death, physicians too often lose sight of the solemn realities of the future life. In their earnest effort to avert the peril of the body, they forget the peril of the soul. The one to whom they are ministering may be losing his hold on life. Its last opportunities are slipping from his grasp. This soul the physician must meet again at the judgment seat of Christ. {MH 119.5}

ในงานของแพทย์ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บและความตาย บ่อยครั้งแพทย์กลับมองไม่เห็นถึงความเป็นจริงที่สำคัญของชีวิตในอนาคต ด้วยความพยายามอย่างจริงจังของเขาที่จะบำบัดรักษาภัยอันตรายทางร่างกายทำให้พวกเขาลืมถึงภัยอันตรายทางจิตวิญญาณ คนไข้ที่เขากำลังให้การรักษาอยู่นั้นอาจจะต้องสูญเสียชีวิต โอกาสสุดท้ายกำลังจะหลุดมือไป จิตวิญญาณดวงนี้แหละที่แพทย์จะต้องพบกันอีกครั้งที่บัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระคริสต์ {MH 119.5}

Often we miss the most precious blessings by neglecting to speak a word in season. If the golden opportunity is not watched for, it will be lost. At the bedside of the sick no word of creed or controversy should be spoken. Let the sufferer be pointed to the One who is willing to save all that come to Him in faith. Earnestly, tenderly strive to help the soul that is hovering between life and death. {MH 120.1}

เรามักจะสูญเสียพระพรอันประเสริฐที่สุดไปจากการที่เราละเลยที่จะประกาศพระคำของพระเจ้าในเวลาที่เราควรจะทำ หากเราไม่ได้เฝ้าระวังที่จะฉกฉวยโอกาสที่ดีนั้นเอาไว้ โอกาสนั้นก็อาจจะหลุดลอยไป ที่ข้างเตียงของคนป่วยเราไม่ควรจะพูดถึงหลักความเชื่อในศาสนาหรือสิ่งที่จะก่อให้เกิดการโต้แย้งกัน เราควรจะชี้ให้ผู้ที่เจ็บป่วยทรมานนั้นได้หันไปหาพระองค์ผู้ทรงเต็มพระทัยที่จะช่วยทุกคนที่มาหาพระองค์ด้วยความเชื่อให้ได้รับความรอด จงพยายามช่วยเหลือจิตวิญญาณของผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างชีวิตและความตายด้วยความจริงใจและอ่อนโยน {MH 120.1}

The physician who knows that Christ is his personal Saviour, because he himself has been led to the Refuge, knows how to deal with the trembling, guilty, sin-sick souls who turn to him for help. He can respond to the inquiry, “What must I do to be saved?” He can tell the story of the Redeemer’s love. He can speak from experience of the power of repentance and faith. In simple, earnest words he can present the soul’s need to God in prayer and can encourage the sick one also to ask for and accept the mercy of the compassionate Saviour. As he thus ministers at the bedside of the sick, striving to speak words that will bring help and comfort, the Lord works with him and through him. As the mind of the sufferer is directed to the Saviour, the peace of Christ fills his heart, and the spiritual health that comes to him is used as the helping hand of God in restoring the health of the body. {MH 120.2}

แพทย์ที่ทราบว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเขา เพราะตัวเขาเองก็ได้ถูกนำไปยังพระองค์ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัย เขาย่อมที่จะรู้ถึงวิธีที่จะปฏิบัติต่อจิตวิญญาณที่เป็นทุกข์ สำนึกในความผิดและเจ็บป่วยด้วยความผิดบาปซึ่งได้หันไปหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาสามารถที่จะตอบคำถามที่ว่า “เราต้องทำประการใดจึงจะรอด” เขาสามารถที่จะเล่าเรื่องความรักของพระผู้ไถ่ได้ เขาสามารถที่จะพูดได้จากประสบการณ์ถึงฤทธิ์อำนาจที่สามารถช่วยให้กลับใจใหม่และทำให้มีความเชื่อ ด้วยคำพูดที่เรียบง่ายและจริงใจ เขาสามารถที่จะทูลขอต่อพระเจ้าถึงความต้องการของจิตวิญญาณด้วยการอธิษฐานและสามารถที่จะหนุนจิตใจคนป่วยเจ็บให้ทูลขอและรับเอาซึ่งพระกรุณาธิคุณของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร เมื่อแพทย์ให้การบำบัดรักษาเช่นนี้ที่ข้างเตียงของคนไข้และพยายามกล่าวถ้อยคำที่เอื้ออาทรและปลอบประโลมจิตใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำการร่วมกับเขาและโดยอาศัยเขา เมื่อจิตใจของคนที่เจ็บป่วยทรมานได้รับการชักนำไปยังพระผู้ช่วยให้รอด สันติสุขของพระคริสต์ก็จะได้รับการเติมเต็มไว้ในจิตใจ และสุขภาพจิตวิญญาณที่ได้ฟื้นคืนกลับมานี้เองที่พระเจ้าจะใช้เป็นพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อช่วยให้สุขภาพทางกายของคนป่วยได้ฟื้นคืนกลับมา {MH 120.2}

In attending the sick, the physician will often find opportunity for ministering to the friends of the afflicted one. As they watch by the bed of suffering, feeling powerless to prevent one pang of anguish, their hearts are softened. Often grief concealed from others is expressed to the physician. Then is the opportunity to point these sorrowing ones to Him who has invited the weary and heavy-laden to come unto Him. Often prayer can be offered for and with them, presenting their needs to the Healer of all woes, the Soother of all sorrows. {MH 121.1}

ในการดูแลรักษาคนป่วยเจ็บนั้น แพทย์มักจะมีโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือมิตรสหายของคนป่วยด้วย ในขณะที่พวกเขาได้เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วยอยู่นั้น จิตใจของพวกเขาจะอ่อนลงเพราะพวกเขารู้สึกหมดหวังที่จะช่วยระงับความเจ็บปวดของผู้ป่วยได้ บ่อยครั้งที่คนเหล่านี้มักจะระบายความโศกเศร้าที่ตนเองพยายามปิดบังจากคนอื่นให้แพทย์ทราบ ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสของแพทย์ที่จะชี้ให้ผู้ที่มีความทุกข์โศกเหล่านี้ได้เห็นถึงพระองค์ผู้ทรงเชิญคนทั้งหลายที่เหนื่อยล้าและแบกภาระหนักให้มาหาพระองค์ บ่อยครั้งแพทย์สามารถที่จะอธิษฐานเผื่อพวกเขาและอธิษฐานร่วมกับพวกเขาได้ โดยการทูลเสนอความต้องการของพวกเขาไปยังแพทย์ผู้ทรงรักษาโรคทั้งปวงและพระผู้ทรงเล้าโลมจิตใจให้คลายเศร้าได้ {MH 121.1}

God’s Promises

พระสัญญาของพระเจ้า

The physician has precious opportunities for directing his patients to the promises of God’s word. He is to bring from the treasure house things new and old, speaking here and there the words of comfort and instruction that are longed for. Let the physician make his mind a storehouse of fresh thoughts. Let him study the word of God diligently, that he may be familiar with its promises. Let him learn to repeat the comforting words that Christ spoke during His earthly ministry when giving His lessons and healing the sick. He should talk of the works of healing wrought by Christ, of His tenderness and love. Never should he neglect to direct the minds of his patients to Christ, the Chief Physician. {MH 121.2}

แพทย์มีโอกาสอันล้ำค่ามากมายในการชักนำคนไข้ของเขาให้ไปยังพระสัญญาของพระวจนะของพระเจ้า เขาจะต้องนำสมบัติใหม่และสมบัติเก่าออกจากคลังสมบัติ เป็นคำพูดที่นั่นนิด ที่นี่หน่อย ซึ่งจะเล้าโลมจิตใจและเป็นคำแนะนำสั่งสอนที่พวกเขาต่างโหยหา ขอให้แพทย์สร้างจิตใจของเขาให้เป็นเหมือนคลังสินค้าที่สะสมความคิดใหม่ๆ ไว้ ให้เขาศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยความขยันหมั่นเพียร เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์ ให้เขาเรียนรู้ที่จะกล่าวทวนถ้อยคำที่ปลอบประโลมจิตใจแบบเดียวกับที่พระคริสต์ตรัสในระหว่างที่พระองค์ทรงปรนนิบัติรับใช้อยู่ในโลก ในขณะที่พระองค์ทรงกำลังสอนบทเรียน และทำการรักษาพยาบาลคนไข้ เขาควรจะพูดถึงพระราชกิจของพระคริสต์ในการรักษาผู้ป่วย พูดถึงความอ่อนโยนและความรักของพระองค์ เขาไม่ควรละเลยที่จะชักจูงจิตใจของคนไข้ให้ไปยังพระคริสต์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นนายแพทย์ใหญ่ {MH 121.2}

The same power that Christ exercised when He walked visibly among men is in His word. It was by His word that Jesus healed disease and cast out demons; by His word He stilled the sea and raised the dead, and the people bore witness that His word was with power. He spoke the word of God, as He had spoken to all the prophets and teachers of the Old Testament. The whole Bible is a manifestation of Christ. {MH 122.1}

ฤทธิ์อำนาจเดียวกันกับที่พระคริสต์ได้ทรงใช้เมื่อพระองค์ทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ก็คือพระวจนะของพระองค์ พระเยซูทรงรักษาโรคและขับผีร้ายออกโดยพระวจนะนั้น ทรงห้ามคลื่นลมในทะเลให้สงบและทรงโปรดให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ และประชาชนต่างเป็นพยานว่า พระวจนะของพระองค์นั้นประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ เช่นเดียวกับที่ตรัสกับบรรดาผู้เผยพระวจนะและอาจารย์ทั้งหลายในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ทั้งเล่มคือพยานที่สำแดงถึงพระคริสต์ {MH 122.1}

The Scriptures are to be received as God’s word to us, not written merely, but spoken. When the afflicted ones came to Christ, He beheld not only those who asked for help, but all who throughout the ages should come to Him in like need and with like faith. When He said to the paralytic, “Son, be of good cheer; thy sins be forgiven thee;” when He said to the woman of Capernaum, “Daughter, be of good comfort: thy faith hath made thee whole; go in peace,” He spoke to other afflicted, sin-burdened ones who should seek His help. Matthew 9:2; Luke 8:48. {MH 122.2}

เราจะต้องยอมรับว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่เพียงคำที่มีเขียนไว้เท่านั้น แต่เป็นพระวจนะที่พระองค์ตรัสด้วย เมื่อคนที่ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากได้เข้ามาหาพระคริสต์ พระองค์มิได้ทรงมองเห็นแต่เพียงคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือเท่านั้น แต่ทรงมองเห็นบรรดาคนทั้งหลายจากทุกยุคทุกสมัยที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากที่น่าจะเข้ามาหาพระองค์ด้วยความต้องการและด้วยความเชื่ออย่างเดียวกัน เมื่อพระองค์ตรัสแก่คนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” เมื่อพระองค์ตรัสกับหญิงที่เมืองคาเปอรนาอูมว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด” พระองค์ได้ตรัสกับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ที่มีความทุกข์ยากและต้องแบกภาระของความผิดบาปซึ่งมาขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ มัทธิว 9:2; ลูกา 8:48 {MH 122.2}

So with all the promises of God’s word. In them He is speaking to us individually, speaking as directly as if we could listen to His voice. It is in these promises that Christ communicates to us His grace and power. They are leaves from that tree which is “for the healing of the nations.” Revelation 22:2. Received, assimilated, they are to be the strength of the character, the inspiration and sustenance of the life. Nothing else can have such healing power. Nothing besides can impart the courage and faith which give vital energy to the whole being. {MH 122.3}

พระสัญญาทั้งหมดในพระวจนะของพระเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ด้วยพระสัญญาเหล่านี้ พระองค์ตรัสกับเราแต่ละคนโดยตรงเสมือนหนึ่งว่าเราสามารถจะสดับฟังพระสุรเสียงของพระองค์ได้ ในพระสัญญาเหล่านี้แหละที่พระคริสต์ได้ทรงสื่อกับเราถึงพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ อันเป็นเหมือนใบจากต้นไม้ที่ “รักษาบรรดาประชาชาติให้หาย” ได้ วิวรณ์ 22:2 เมื่อเราได้ยอมรับให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตัวเราแล้ว ก็จะทำให้เรามีอุปนิสัยที่เข้มแข็ง จะเป็นแรงบันดาลใจและช่วยบำรุงหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมีฤทธิ์อำนาจในการรักษาโรคภัยให้หายได้ ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้อีกแล้วที่จะให้ทั้งกำลังใจและความเชื่อซึ่งจะเสริมกำลังที่ประทานชีวิตให้แก่ร่างกายและจิตใจ {MH 122.3}

To one who stands trembling with fear on the brink of the grave, to the soul weary of the burden of suffering and sin, let the physician as he has opportunity repeat the words of the Saviour–for all the words of Holy Writ are His: {MH 122.4}

สำหรับคนที่ยืนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวบนขอบหลุมฝังศพ สำหรับจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้าระอาใจด้วยภาระของความทุกข์ยากและความผิดบาป เมื่อมีโอกาสขอให้แพทย์ได้กล่าวย้ำถึงพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอด เพราะพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์นั้นเป็นพระวจนะของพระองค์ {MH 122.4}

“Fear not: for I have redeemed thee, I have called thee by thy name; thou art Mine. When thou passest through the waters, I will be with thee; and through the rivers, they shall not overflow thee: when thou walkest through the fire, thou shalt not be burned; neither shall the flame kindle upon thee. For I am the Lord thy God, the Holy One of Israel, thy Saviour. . . . Since thou wast precious in My sight, thou hast been honorable, and I have loved thee.” “I, even I, am He that blotteth out thy transgressions for Mine own sake, and will not remember thy sins.” “Fear not: for I am with thee.” Isaiah 43:1-4, 25, 5. {MH 122.5}

“อย่ากลัวเลย เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า เพราะเราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลผู้ช่วยให้รอดของเจ้า ….. เพราะว่าเจ้าประเสริฐในสายตาของเรา และได้รับเกียรติและเรารักเจ้า” “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะนำเผ่าพันธุ์ของเจ้ามาจากตะวันออก และเราจะรวบรวมเจ้ามาจากตะวันตก” อิสยาห์ 43:1-4, 25, 5 {MH 122.5}

“Like as a father pitieth his children, so the Lord pitieth them that fear Him. For He knoweth our frame; He remembereth that we are dust.” Psalm 103:13, 14. {MH 123.1}

“บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น เพราะพระองค์ทรงทราบโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” สดุดี 103:13, 14 {MH 123.1}

“Only acknowledge thine iniquity, that thou hast transgressed against the Lord thy God.” “If we confess our sins, He is faithful and just to forgive us our sins, and to cleanse us from all unrighteousness.” Jeremiah 3:13; 1 John 1:9. {MH 123.2}

“เพียงแต่ยอมรับความผิดของเจ้า ว่าเจ้าได้กบฏต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า““ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” เยเรมีย์ 3:13; 1 ยอห์น 1:9 {MH 123.2}

“I have blotted out, as a thick cloud, thy transgressions, and, as a cloud, thy sins: return unto Me; for I have redeemed thee.” Isaiah 44:22. {MH 123.3}

“เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” อิสยาห์ 44:22 {MH 123.3}

“Come now, and let us reason together, saith the Lord: though your sins be as scarlet, they shall be as white as snow; though they be red like crimson, they shall be as wool. If ye be willing and obedient, ye shall eat the good of the land.” Isaiah 1:18, 19. {MH 123.4}

“มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน” อิสยาห์ 1:18, 19 {MH 123.4}

“I have loved thee with an everlasting love: therefore with loving-kindness have I drawn thee.” “I hid My face from thee for a moment; but with everlasting kindness will I have mercy on thee.” Jeremiah 31:3; Isaiah 54:8. {MH 123.5}

”เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” “เราได้ซ่อนหน้าของเราจากเจ้า ด้วยความพิโรธอันท่วมท้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความรักนิรันดร์ เรามีความสมเพชเจ้า” เยเรมีย์ 31:3 อิสยาห์ 54:8 {MH 123.5}

“Let not your heart be troubled.” “Peace I leave with you, My peace I give unto you: not as the world giveth, give I unto you. Let not your heart be troubled, neither let it be afraid.” John 14:1, 27. {MH 123.6}

“อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย” “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย” ยอห์น 14:1, 27 {MH 123.6}

“A Man shall be as an hiding place from the wind, and a covert from the tempest; as rivers of water in a dry place, as the shadow of a great rock in a weary land.” Isaiah 32:2. {MH 124.1}

“ผู้หนึ่งจะเหมือนที่กำบังจากลม เป็นที่คุ้มให้พ้นจากพายุฝน เหมือนธารน้ำในที่แห้ง เหมือนร่มเงาศิลามหึมาในแผ่นดินที่อ่อนเปลี้ย” อิสยาห์ 32:2 {MH 124.1}

“When the poor and needy seek water, and there is none, and their tongue faileth for thirst, I the Lord will hear them, I the God of Israel will not forsake them.” Isaiah 41:17. {MH 124.2}

“คนจนและคนขัดสนแสวงน้ำ และไม่มี และลิ้นของเขาก็แห้งผากเพราะความกระหาย เราคือพระเจ้า จะตอบเขาเอง เรา พระเจ้าของอิสราเอล จะไม่ละทิ้งเขา” อิสยาห์ 41:17 {MH 124.2}

“Thus saith the Lord that made thee”: “I will pour water upon him that is thirsty, and floods upon the dry ground: I will pour My Spirit upon thy seed, and My blessing upon thine offspring.” Isaiah 44:2, 3. {MH 124.3}

“พระเจ้าผู้ทรงสร้างเจ้า…..ตรัสดังนี้ว่า” “เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหาย และลำธารลงบนดินแห้ง เราจะเทวิญญาณของเราเหนือเชื้อสายของเจ้า และพรของเราเหนือลูกหลานของเจ้า” อิสยาห์ 44:2, 3 {MH 124.3}

“Look unto Me, and be ye saved, all the ends of the earth.” Isaiah 45:22. {MH 124.4}

“มวลมนุษย์ทั่วแผ่นดินโลกเอ๋ย จงหันมาหาเราและรับการช่วยให้รอด” อิสยาห์ 45:22 {MH 124.4}

“Himself took our infirmities, and bare our sicknesses.” “He was wounded for our transgressions, He was bruised for our iniquities: the chastisement of our peace was upon Him; and with His stripes we are healed.” Matthew 8:17; Isaiah 53:5. {MH 124.5}

“ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป” “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” มัทธิว 8:17; อิสยาห์ 53:5 {MH 124.5}