Chapter 3 (บทที่ 3)
Repentance
การกลับใจ
Thai audio version. Please connect to internet to listen
How shall a man be just with God? How shall the sinner be made righteous? It is only through Christ that we can be brought into harmony with God, with holiness; but how are we to come to Christ? Many are asking the same question as did the multitude on the Day of Pentecost, when, convicted of sin, they cried out, “What shall we do?” The first word of Peter’s answer was, “Repent.” Acts 2:37, 38. At another time, shortly after, he said, “Repent, . . . and be converted, that your sins may be blotted out.” Acts 3:19. {SC 23.1}
มนุษย์จะทำตัวให้เป็นคนเที่ยงธรรมจำเพาะพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปจะทำตัวให้เป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร โดยทางพระคริสต์เท่านั้นที่เราจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและร่วมในความบริสุทธิ์ของพระองค์ได้ แต่เราจะเข้ามาหาพระคริสต์ได้อย่างไร มีคนมากมายได้ถามคำถามเดียวกันกับฝูงชนที่สำนึกในบาปถามกันในวันเพ็นเทคอสต์ว่า “เราจะทำอย่างไรดี” ประโยคแรกที่เปโตรตอบคือ “จงกลับใจใหม่” (กิจการของอัครทูต 2:37, 38) หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้พูดอีกว่า “จงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กิจการของอัครทูต 3:19) {SC 23.1}
Repentance includes sorrow for sin and a turning away from it. We shall not renounce sin unless we see its sinfulness; until we turn away from it in heart, there will be no real change in the life. {SC 23.2}
การกลับใจจะต้องมีการเสียใจในความบาปที่ได้ทำลงไปและหันหลังให้กับบาปนั้น เราจะไม่ละทิ้งความบาปนอกเสียจากว่าเราจะมองเห็นความชั่วร้ายของมัน ชีวิตของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจนกว่าเราจะหันหลังให้กับความบาปด้วยความเต็มใจ {SC 23.2}
There are many who fail to understand the true nature of repentance. Multitudes sorrow that they have sinned and even make an outward reformation because they fear that their wrongdoing will bring suffering upon themselves. But this is not repentance in the Bible sense. They lament the suffering rather than the sin. Such was the grief of Esau when he saw that the birthright was lost to him forever. Balaam, terrified by the angel standing in his pathway with drawn sword, acknowledged his guilt lest he should lose his life; but there was no genuine repentance for sin, no conversion of purpose, no abhorrence of evil. Judas Iscariot, after betraying his Lord, exclaimed, “I have sinned in that I have betrayed the innocent blood.” Matthew 27:4. {SC 23.3}
มีคนมากมายที่ไม่เข้าใจธาตุแท้ของการกลับใจ คนมากมายเสียใจกับความบาปที่ได้ทำลงไปและยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกเพราะกลัวว่าความผิดของเขาจะนำความทุกข์ยากมายังตัวเขาเอง แต่นี่ไม่ใช่การกลับใจที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้ พวกเขาโศกเศร้าให้กับความทุกข์ยากแทนที่จะโศกเศร้าให้กับความบาป เอซาวตกลงสู่ความโศกเศร้าทุกข์ใจเช่นนี้เมื่อเขารู้สึกตัวว่าได้สูญเสียสิทธิบุตรหัวปีไปตลอดกาล บาลาอัมตกใจกลัวเมื่อเห็นทูตสวรรค์ยืนถือดาบขวางอยู่กลางทาง เขายอมรับผิดเพราะกลัวตาย แต่ไม่ได้กลับใจจากความบาปอย่างจริงใจ เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจและไม่ได้รังเกียจความชั่วของเขา เมื่อยูดาส อิสคาริโอทได้ทรยศพระอาจารย์ของเขาแล้ว เขาได้ร้องอุทานขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้อายัดคนบริสุทธิ์มาให้ถึงความตาย” (มัทธิว 27:4) {SC 23.3}
The confession was forced from his guilty soul by an awful sense of condemnation and a fearful looking for of judgment. The consequences that were to result to him filled him with terror, but there was no deep, heartbreaking grief in his soul, that he had betrayed the spotless Son of God and denied the Holy One of Israel. Pharaoh, when suffering under the judgments of God, acknowledged his sin in order to escape further punishment, but returned to his defiance of Heaven as soon as the plagues were stayed. These all lamented the results of sin, but did not sorrow for the sin itself. {SC 24.1}
คำสารภาพเช่นนี้ถูกบีบคั้นออกมาจากจิตใจที่รู้สึกผิด โดยกลัวว่าจะถูกกำหนดโทษและกลัวการพิพากษาที่เขาจะต้องเผชิญ ตัวเขาเต็มล้นไปด้วยความหวาดผวาต่อผลที่เขาจะได้รับ แต่ภายในจิตวิญญาณของเขา เขาไม่ได้เสียใจอย่างลึกซึ้งและไม่มีความปวดร้าวอยู่ภายในใจของเขา เขาได้ทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากความผิดและปฏิเสธองค์ผู้บริสุทธิ์ของชนชาติอิสราเอล เมื่อฟาโรห์ต้องตกลงสู่ความทุกข์ในการพิพากษาของพระเจ้า เขายอมรับบาปของเขาเพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากการต้องรับโทษเพิ่มเติม แต่เขาหวนกลับเยาะเย้ยพระเจ้าแห่งสวรรค์อีกในทันทีที่ภัยพิบัติสงบลง คนเหล่านี้โศกเศร้ากับผลของความบาป แต่ไม่ได้เสียใจให้กับความบาปที่ได้ทำไป {SC 24.1}
But when the heart yields to the influence of the Spirit of God, the conscience will be quickened, and the sinner will discern something of the depth and sacredness of God’s holy law, the foundation of His government in heaven and on earth. The “Light, which lighteth every man that cometh into the world,” illumines the secret chambers of the soul, and the hidden things of darkness are made manifest. John 1:9. Conviction takes hold upon the mind and heart. The sinner has a sense of the righteousness of Jehovah and feels the terror of appearing, in his own guilt and uncleanness, before the Searcher of hearts. He sees the love of God, the beauty of holiness, the joy of purity; he longs to be cleansed and to be restored to communion with Heaven. {SC 24.2}
แต่เมื่อหัวใจยอมอยู่ภายใต้อิทธิพลพระวิญญาณของพระเจ้า ความสำนึกของเขาก็จะตื่นขึ้น และคนบาปก็จะเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์บางประการที่มีอยู่ในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองของทั้งในสวรรค์และในโลก แสง “สว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก” ได้ส่องเข้าไปในห้องชั้นในของจิตวิญญาณและทำให้มองเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ในความมืด (ยอห์น 1:9) ความรู้สึกสำนึกจะเกิดขึ้นภายในความนึกคิดและในจิตใจ คนบาปจะรู้สึกถึงความชอบธรรมของพระเยโฮวาห์และรู้สึกกลัวที่จะต้องไปปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจพร้อมกับสภาพที่ผิดและไม่สะอาดของเขา เขามองเห็นความรักของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ที่งดงามยิ่ง ความบริสุทธิ์ที่น่าชื่นชม เขาหวังที่จะได้รับการชำระและนำกลับคืนไปสู่การสื่อสัมพันธ์กับสวรรค์ {SC 24.2}
The prayer of David after his fall, illustrates the nature of true sorrow for sin. His repentance was sincere and deep. There was no effort to palliate his guilt; no desire to escape the judgment threatened, inspired his prayer. David saw the enormity of his transgression; he saw the defilement of his soul; he loathed his sin. It was not for pardon only that he prayed, but for purity of heart. He longed for the joy of holiness–to be restored to harmony and communion with God. This was the language of his soul:
คำอธิษฐานของดาวิดหลังจากที่ท่านล้มลงในความบาปเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นถึงสภาพของความเสียใจต่อความบาปอย่างแท้จริง การกลับใจของท่านนั้นจริงใจและลึกซึ้ง คำอธิษฐานของท่านไม่ได้เกิดจากความพยายามที่จะลดโทษความผิดของท่านลงไป หรือต้องการหลีกเลี่ยงการพิพากษาที่ท่านจะต้องเผชิญ ดาวิดมองเห็นถึงความเลวร้ายของการล่วงละเมิดของตนเอง ท่านมองเห็นความสกปรกในจิตวิญญาณของท่าน ท่านรังเกียจบาปของท่าน ท่านอธิษฐานไม่ใช่เพียงเพื่อขอการอภัยเท่านั้น แต่ได้ทูลขอจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วย ท่านปรารถนาที่จะได้รับความบริสุทธิ์ที่ก่อให้เกิดความสุข เพื่อจะได้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเข้าสัมพันธ์กับพระเจ้า คำพูดที่ออกมาจากจิตวิญญาณของท่านมีอยู่ว่า
“Blessed is he whose transgression is forgiven, whose sin is covered. Blessed is the man unto whom the Lord imputeth not iniquity, And in whose spirit there is no guile.” Psalm 32:1, 2.
“บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา” (สดุดี 32:1, 2)
“Have mercy upon me, O God, according to Thy loving-kindness: According unto the multitude of Thy tender mercies blot out my transgressions. . . . For I acknowledge my transgressions: and my sin is ever before me. . . . Purge me with hyssop, and I shall be clean: wash me, and I shall be whiter than snow. . . . Create in me a clean heart, O God; And renew a right spirit within me. Cast me not away from Thy presence; And take not Thy Holy Spirit from me. Restore unto me the joy of Thy salvation; And uphold me with Thy free spirit. . . . Deliver me from bloodguiltiness, O God, Thou God of my salvation: And my tongue shall sing aloud of Thy righteousness.” Psalm 51:1-14. {SC 24.3}
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงของพระองค์ ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไป ตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์….. เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ….. ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ ข้าพระองค์จึงจะสะอาด ขอทรงล้างข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ….. ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์ และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์ ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปเสียจากเบื้องพระพักตร์พระองค์ และขออย่าทรงนำวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์ ขอทรงคืนความชื่นบานในความรอดแก่ข้าพระองค์ และชูข้าพระองค์ไว้ด้วยเต็มพระทัย….. ข้าแต่พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากกรรมชั่วเพราะทำโลหิตเขาตก และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่อง การช่วยกู้ของพระองค์” (สดุดี 51:1-14) {SC 24.3}
A repentance such as this, is beyond the reach of our own power to accomplish; it is obtained only from Christ, who ascended up on high and has given gifts unto men. {SC 25.1}
การกลับใจเช่นนี้อยู่ไกลเกินกว่าอำนาจของเราเองที่จะกระทำให้สำเร็จได้ การกลับใจเช่นนี้จะได้มาโดยทางพระคริสต์เท่านั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปยังที่สูงแล้วและทรงประทานของขวัญให้แก่บรรดามนุษย์ {SC 25.1}
Just here is a point on which many may err, and hence they fail of receiving the help that Christ desires to give them. They think that they cannot come to Christ unless they first repent, and that repentance prepares for the forgiveness of their sins. It is true that repentance does precede the forgiveness of sins; for it is only the broken and contrite heart that will feel the need of a Saviour. But must the sinner wait till he has repented before he can come to Jesus? Is repentance to be made an obstacle between the sinner and the Saviour? {SC 26.1}
มีคนมากมายเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปและจึงไม่ได้รับการทรงช่วยที่พระคริสต์ทรงปรารถนาจะประทานให้แก่พวกเขา พวกเขาคิดว่าจะเข้ามาหาพระคริสต์ไม่ได้นอกเสียจากได้กลับใจแล้วและการกลับใจนี้จะเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับการอภัยจากบาป จริงอยู่ การกลับใจจะต้องเกิดขึ้นก่อนการอภัยบาป มีเพียงจิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำที่จะรู้สึกว่าเขาต้องการพระผู้ช่วยให้รอด แต่คนบาปจะต้องรอจนกว่าเขากลับใจเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาหาพระเยซูหรือ จะต้องปล่อยให้การกลับใจเป็นอุปสรรคระหว่างคนบาปและพระผู้ช่วยให้รอดหรือ {SC 26.1}
The Bible does not teach that the sinner must repent before he can heed the invitation of Christ, “Come unto Me, all ye that labor and are heavy-laden, and I will give you rest.” Matthew 11:28. It is the virtue that goes forth from Christ, that leads to genuine repentance. Peter made the matter clear in his statement to the Israelites when he said, “Him hath God exalted with His right hand to be a Prince and a Saviour, for to give repentance to Israel, and forgiveness of sins.” Acts 5:31. We can no more repent without the Spirit of Christ to awaken the conscience than we can be pardoned without Christ. {SC 26.2}
พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าคนบาปจะต้องกลับใจก่อนแล้วจึงตอบสนองคำเชิญของพระคริสต์ได้ “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) เป็นเพราะพระคุณความดีที่ออกมาจากพระคริสต์ต่างหากที่นำให้เกิดการกลับใจที่แท้จริง เมื่อเปโตรพูดกับชนชาติอิสราเอลถึงเรื่องนี้ ท่านได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่า “พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา” (กิจการของอัครทูต 5:31) เรากลับใจไม่ได้เมื่อปราศจากพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่นขึ้นฉันใด เราก็จะรับการอภัยบาปไม่ได้เมื่อปราศจากพระคริสต์ฉันนั้น {SC 26.2}
Christ is the source of every right impulse. He is the only one that can implant in the heart enmity against sin. Every desire for truth and purity, every conviction of our own sinfulness, is an evidence that His Spirit is moving upon our hearts. {SC 26.3}
พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจที่ดีทั้งปวง พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงปลูกฝังความเป็นคู่อริต่อความบาปเข้าไปในจิตใจได้ ในทุกความปรารถนาที่อยากได้ความจริงและความบริสุทธิ์ ในทุกความสำนึกที่มีต่อบาปหนาของเรา ล้วนเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระองค์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของเรา {SC 26.3}
Jesus has said, “I, if I be lifted up from the earth, will draw all men unto Me.” John 12:32. Christ must be revealed to the sinner as the Saviour dying for the sins of the world; and as we behold the Lamb of God upon the cross of Calvary, the mystery of redemption begins to unfold to our minds and the goodness of God leads us to repentance. In dying for sinners, Christ manifested a love that is incomprehensible; and as the sinner beholds this love, it softens the heart, impresses the mind, and inspires contrition in the soul. {SC 26.4}
พระเยซูตรัสไว้ว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา” (ยอห์น 12:32) เราจะต้องเปิดเผยให้คนบาปมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของโลก และเมื่อเรามองดูพระเมษโปดกของพระเจ้าบนกางเขนแห่งคาล์วารี ความลึกลับของการไถ่บาปจะเริ่มปรากฏขึ้นในสมองของเราและพระคุณความดีของพระเจ้าจะทรงนำเราให้กลับใจ ในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อคนบาปนั้น พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นความรักที่เราไม่อาจจะเข้าใจได้ และเมื่อคนบาปมองดูความรักนี้ ความรักนี้จะทำให้จิตใจอ่อนลง ประทับลงในความคิดและดลบันดาลให้จิตวิญญาณเกิดการสำนึกผิด {SC 26.4}
It is true that men sometimes become ashamed of their sinful ways, and give up some of their evil habits, before they are conscious that they are being drawn to Christ. But whenever they make an effort to reform, from a sincere desire to do right, it is the power of Christ that is drawing them. An influence of which they are unconscious works upon the soul, and the conscience is quickened, and the outward life is amended.
จริงอยู่ ในบางครั้งมนุษย์อาจจะรู้สึกอับอายต่อชีวิตบาปของเขาและละทิ้งนิสัยชั่วบางประการของเขาไป ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามปฏิรูปด้วยความตั้งใจจริงที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นั่นก็เป็นเพราะอำนาจของพระคริสต์กำลังชักนำเขาอยู่ เป็นอิทธิพลที่ทำงานในจิตวิญญาณของเขาโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว และปลุกจิตใต้สำนึกของเขาให้ตื่นขึ้น และชีวิตภายนอกของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง
And as Christ draws them to look upon His cross, to behold Him whom their sins have pierced, the commandment comes home to the conscience. The wickedness of their life, the deep-seated sin of the soul, is revealed to them. They begin to comprehend something of the righteousness of Christ, and exclaim, “What is sin, that it should require such a sacrifice for the redemption of its victim? Was all this love, all this suffering, all this humiliation, demanded, that we might not perish, but have everlasting life?” {SC 27.1}
และในขณะที่พระคริสต์ทรงชักนำให้เขาหันไปมองกางเขนของพระองค์ มองดูความบาปของเขาที่ได้แทงพระองค์ พระบัญญัติของพระเจ้าจะกลับเข้ามายังสามัญสำนึกของเขา ความบาปชั่วในชีวิตของเขาและที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณก็จะถูกเปิดเผยให้เขามองเห็น พวกเขาจะเริ่มเข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระคริสต์ได้บางส่วนและร้องออกมาว่า “ความบาปคืออะไรหนอที่ทำให้ต้องมีการเสียสละมากมายเช่นนี้เพื่อไถ่บาปของเหยื่อเหล่านั้น จะต้องใช้ความรักทั้งหมดนี้ การทรมานทั้งหมดนี้ การขายหน้าทั้งหมดนี้เพื่อให้เราไม่ต้องพินาศและมีชีวิตนิรันดร์หรือ” {SC 27.1}
The sinner may resist this love, may refuse to be drawn to Christ; but if he does not resist he will be drawn to Jesus; a knowledge of the plan of salvation will lead him to the foot of the cross in repentance for his sins, which have caused the sufferings of God’s dear Son. {SC 27.2}
คนบาปอาจต่อต้านความรักนี้ เขาอาจปฏิเสธไม่ยอมเข้ามาหาพระคริสต์ แต่หากเขาไม่ดื้อดึง เขาก็จะถูกชักนำให้เข้ามายังพระเยซู ความรู้เรื่องแผนการแห่งการไถ่ให้รอดจะนำเขาเข้าไปยังกางเขนด้วยการกลับใจจากบาปของเขา ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้พระบุตรของพระเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมาน {SC 27.2}
The same divine mind that is working upon the things of nature is speaking to the hearts of men and creating an inexpressible craving for something they have not. The things of the world cannot satisfy their longing. The Spirit of God is pleading with them to seek for those things that alone can give peace and rest–the grace of Christ, the joy of holiness. Through influences seen and unseen, our Saviour is constantly at work to attract the minds of men from the unsatisfying pleasures of sin to the infinite blessings that may be theirs in Him. To all these souls, who are vainly seeking to drink from the broken cisterns of this world, the divine message is addressed, “Let him that is athirst come. And whosoever will, let him take the water of life freely.” Revelation 22:17. {SC 28.1}
พระปัญญาเดียวกันกับที่กระทำการในธรรมชาติกำลังตรัสกับจิตใจของมนุษย์และก่อให้เกิดความกระหายในสิ่งที่เขาไม่มี สิ่งของในโลกสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาไม่ได้ พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังอ้อนวอนเขาให้ค้นหาสิ่งเดียวที่จะให้สันติสุขและการพักผ่อนได้ สิ่งนั้นคือพระคุณของพระคริสต์ ซึ่งเป็นความสุขที่บริสุทธิ์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำการอยู่อย่างต่อเนื่องโดยผ่านทางอิทธิพลที่ตามองเห็นและมองไม่เห็นเพื่อดึงดูดความคิดของมนุษย์ให้ออกจากความสุขสำราญของความบาปที่ไม่รู้จักอิ่มไปยังพระพรของพระเจ้าที่จะตกเป็นของเขาเมื่อเขาอยู่ในพระองค์ สำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้ที่ยังค้นหาเพื่อที่จะดื่มน้ำจากถังน้ำแตกของโลกแต่ต้องพบกับความผิดหวังนั้น ข่าวของพระเจ้าที่มายังเขาคือ “ให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนาก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์ 22:17) {SC 28.1}
You who in heart long for something better than this world can give, recognize this longing as the voice of God to your soul. Ask Him to give you repentance, to reveal Christ to you in His infinite love, in His perfect purity. In the Saviour’s life the principles of God’s law–love to God and man–were perfectly exemplified. Benevolence, unselfish love, was the life of His soul. It is as we behold Him, as the light from our Saviour falls upon us, that we see the sinfulness of our own hearts. {SC 28.2}
สำหรับท่านที่มีจิตใจปรารถนาที่จะได้บางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่โลกนี้จะมอบให้ได้นั้น จะมองเห็นว่าความปรารถนานี้เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับวิญญาณจิต จงทูลขอให้พระองค์ทรงประทานการกลับใจให้แก่ท่าน ขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่ท่านด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ให้ท่านมีความบริสุทธิ์อันไพบูลย์ของพระองค์ ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหลักการแห่งพระบัญญัติของพระเจ้า หลักการนั้นคือรักพระเจ้าและรักมนุษย์ ความเมตตากรุณาและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นชีวิตของจิตวิญญาณของพระองค์ ในขณะที่เราเฝ้ามองพระองค์เมื่อแสงสว่างจากพระผู้ช่วยให้รอดส่องลงมายังเรา เราก็จะมองเห็นจิตใจของเราเองที่เต็มไปด้วยความบาป {SC 28.2}
We may have flattered ourselves, as did Nicodemus, that our life has been upright, that our moral character is correct, and think that we need not humble the heart before God, like the common sinner: but when the light from Christ shines into our souls, we shall see how impure we are; we shall discern the selfishness of motive, the enmity against God, that has defiled every act of life. Then we shall know that our own righteousness is indeed as filthy rags, and that the blood of Christ alone can cleanse us from the defilement of sin, and renew our hearts in His own likeness. {SC 28.3}
เราอาจมีลักษณะเหมือนนิโคเดมัสที่ยกยอตัวเราเองว่าชีวิตของเรานั้นซื่อตรง อุปนิสัยทางฝ่ายศีลธรรมของเราถูกต้องและคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถ่อมใจลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเหมือนเช่นคนบาปทั่วไป แต่เมื่อแสงสว่างจากพระคริสต์ส่องลงมายังจิตวิญญาณของเราแล้ว เราก็จะมองเห็นว่าเราเองนั้นเปรอะเปื้อนเพียงไร เราจะมองเห็นความตั้งใจที่เห็นแก่ตัว ความเป็นคู่อริกับพระเจ้าที่ทำให้ทุกสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นมลทิน แล้วเราจะได้รู้ว่าความชอบธรรมของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงผ้าขี้ริ้ว และมีเพียงพระโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะชำระเราจากความสกปรกของบาปและเปลี่ยนจิตใจของเราใหม่ให้เหมือนของพระองค์ได้ {SC 28.3}
One ray of the glory of God, one gleam of the purity of Christ, penetrating the soul, makes every spot of defilement painfully distinct, and lays bare the deformity and defects of the human character. It makes apparent the unhallowed desires, the infidelity of the heart, the impurity of the lips. The sinner’s acts of disloyalty in making void the law of God, are exposed to his sight, and his spirit is stricken and afflicted under the searching influence of the Spirit of God. He loathes himself as he views the pure, spotless character of Christ. {SC 29.1}
แสงแห่งพระสิริของพระเจ้าเพียงลำแสงเดียว ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เพียงแวบเดียวที่ส่องทะลุผ่านจิตวิญญาณจะทำให้มองเห็นรอยเปื้อนของมลทินได้ มองเห็นทุกรอยได้อย่างเด่นชัดจนน่าเจ็บปวดและจะเปิดเผยความผิดปกติและจุดบกพร่องในอุปนิสัยของมนุษย์ ทำให้เขามองเห็นความปรารถนาที่ไม่ได้ผ่านการชำระ หัวใจที่ไม่สัตย์ซื่อ ริมฝีปากที่ไม่บริสุทธิ์ การกระทำที่ไม่จงรักภักดีของคนบาปในการลบล้างธรรมบัญญัติจะถูกเปิดออกให้เขามองเห็น และภายใต้อิทธิพลการตรวจสอบของพระวิญญาณของพระเจ้า วิญญาณจิตของเขาจะได้รับผลกระทบและเกิดความปวดร้าว เมื่อเขามองเห็นพระลักษณะที่บริสุทธิ์และไร้ตำหนิของพระเจ้าเขาจะรังเกียจตนเอง {SC 29.1}
When the prophet Daniel beheld the glory surrounding the heavenly messenger that was sent unto him, he was overwhelmed with a sense of his own weakness and imperfection. Describing the effect of the wonderful scene, he says, “There remained no strength in me: for my comeliness was turned in me into corruption, and I retained no strength.” Daniel 10:8.
เมื่อผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้มองเห็นพระสิริที่ล้อมรอบผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ที่ได้รับบัญชาให้มาหาท่านนั้นท่านรู้สึกว่าความอ่อนแอและความไม่บริบูรณ์ในตัวได้ครอบงำตัวท่านเองไว้ ท่านได้บรรยายถึงผลลัพธ์จากเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้ไว้ว่า “ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรง” (ดาเนียล 10:8)
The soul thus touched will hate its selfishness, abhor its self-love, and will seek, through Christ’s righteousness, for the purity of heart that is in harmony with the law of God and the character of Christ. {SC 29.2}
จิตวิญญาณที่ได้รับการสัมผัสเช่นนี้จะเกลียดชังความเห็นแก่ตัวในตัวของเขาเอง รังเกียจการรักตนเอง และเขาจะแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตใจผ่านทางความชอบธรรมของพระคริสต์ เพื่อจะผสานเป็นหนึ่งกับพระบัญญัติของพระเจ้าและพระลักษณะของพระคริสต์ {SC 29.2}
Paul says that as “touching the righteousness which is in the law”–as far as outward acts were concerned –he was “blameless” (Philippians 3:6); but when the spiritual character of the law was discerned, he saw himself a sinner. Judged by the letter of the law as men apply it to the outward life, he had abstained from sin; but when he looked into the depths of its holy precepts, and saw himself as God saw him, he bowed in humiliation and confessed his guilt.
เปาโลพูดถึงตัวเองโดยใช้ “ความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ” มาตัดสินภาพลักษณ์ภายนอก ซึ่ง “ไม่มีที่ติได้” (ฟีลิปปี 3:6) แต่เมื่อท่านนำสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติมาพิจารณาแล้ว ท่านมองเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป เมื่อตัดสินตามตัวอักษรของธรรมบัญญัติดังที่มนุษย์นำมาใช้กับชีวิตภายนอกแล้ว ท่านได้ละเว้นจากบาป แต่เมื่อท่านมองเข้าไปถึงส่วนลึกของพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์และได้มองเห็นตนเองดังที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว ท่านจึงได้กราบลงด้วยความถ่อมใจและสารภาพความผิด
He says, “I was alive without the law once: but when the commandment came, sin revived, and I died.” Romans 7:9. When he saw the spiritual nature of the law, sin appeared in its true hideousness, and his self-esteem was gone. {SC 29.3}
ท่านกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น บาปก็เกิดขึ้นและข้าพเจ้าก็ตาย” (โรม 7: 9) เมื่อท่านมองเห็นสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติ ความบาปพร้อมกับความน่าเกลียดที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้นและความหยิ่งผยองของท่านก็หายไป {SC 29.3}
God does not regard all sins as of equal magnitude; there are degrees of guilt in His estimation, as well as in that of man; but however trifling this or that wrong act may seem in the eyes of men, no sin is small in the sight of God. Man’s judgment is partial, imperfect; but God estimates all things as they really are. The drunkard is despised and is told that his sin will exclude him from heaven; while pride, selfishness, and covetousness too often go unrebuked.
พระเจ้าไม่ได้ทรงถือว่าความบาปทั้งหมดมีความรุนแรงเท่ากัน พระองค์ทรงประเมินความผิดไว้หลายระดับ เช่นเดียวกับการประเมินของมนุษย์ แต่ไม่ว่าสายตาของมนุษย์จะเห็นว่าการกระทำผิดนี้หรือการกระทำผิดโน้นจะเล็กน้อยเพียงไรก็ตาม ไม่มีบาปใดจะเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า การตัดสินของมนุษย์นั้นลำเอียง ไม่สมบูรณ์ แต่พระเจ้าประเมินทุกสิ่งตามความเป็นจริง คนขี้เมาจะถูกดูหมิ่นและถูกตราว่าความบาปของเขาจะทำให้เขาไม่มีส่วนในแผ่นดินสวรรค์ ในขณะที่ความหยิ่งยโส ความเห็นแก่ตัวและความโลภมักจะไม่ถูกตำหนิ
But these are sins that are especially offensive to God; for they are contrary to the benevolence of His character, to that unselfish love which is the very atmosphere of the unfallen universe. He who falls into some of the grosser sins may feel a sense of his shame and poverty and his need of the grace of Christ; but pride feels no need, and so it closes the heart against Christ and the infinite blessings He came to give. {SC 30.1}
แต่พระเจ้าทรงรังเกียจความบาปเหล่านี้มาก เพราะความบาปเหล่านี้มีลักษณะตรงข้ามกับพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ที่มีแต่ความกรุณา เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งบรรยากาศที่แท้จริงของจักรวาลที่ไม่ล้มลงในความบาปจะเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าอาจจะรู้สึกอับอายและขัดสน และเขาต้องการพระคุณของพระคริสต์ แต่ความทะนงทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความต้องการของตนเอง เขาจึงปิดประตูหัวใจให้กับพระคริสต์และปฏิเสธพระพรมากมายที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประทานให้แก่เขา {SC 30.1}
The poor publican who prayed, “God be merciful to me a sinner” (Luke 18:13), regarded himself as a very wicked man, and others looked upon him in the same light; but he felt his need, and with his burden of guilt and shame he came before God, asking for His mercy.
คนเก็บภาษีผู้น่าสงสารได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13) เขาคิดว่าตนเองเป็นคนชั่วมากและคนอื่นๆ ก็มองดูเขาด้วยแนวคิดเดียวกัน แต่เขารู้สึกถึงความต้องการของเขาและเขาได้เข้ามาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภาระความผิดและความอับอาย เขาได้ทูลขอพระเมตตาของพระองค์
His heart was open for the Spirit of God to do its gracious work and set him free from the power of sin. The Pharisee’s boastful, self-righteous prayer showed that his heart was closed against the influence of the Holy Spirit. Because of his distance from God, he had no sense of his own defilement, in contrast with the perfection of the divine holiness. He felt no need, and he received nothing. {SC 30.2}
จิตใจของเขาเปิดออกให้กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อให้พระองค์กระทำการแห่งความเมตตาและปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาป ส่วนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีที่โอ้อวดและคิดว่าตนเองชอบธรรม แสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาไม่ได้รับอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากเขาเหินห่างจากพระเจ้าของเขา เขาจึงไม่รู้สึกถึงความโสมมของตนเอง เมื่อเทียบกับความสมบูรณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เขารู้สึกว่าเขาไม่ขาดสิ่งใดและเขาจึงไม่ได้รับอะไรเลย {SC 30.2}
If you see your sinfulness, do not wait to make yourself better. How many there are who think they are not good enough to come to Christ. Do you expect to become better through your own efforts? “Can the Ethiopian change his skin, or the leopard his spots? then may ye also do good, that are accustomed to do evil.” Jeremiah 13:23.
หากท่านมองเห็นความบาปในตัวท่าน อย่ารีรอที่จะทำตัวเองให้ดีก่อน มีสักกี่คนที่คิดว่าตนเองยังดีไม่พอที่จะมาหาพระคริสต์ ท่านหวังที่จะเป็นคนดีขึ้นด้วยความพยายามของตัวท่านเองหรือ “คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่วจะมากระทำความดีก็ได้” (เยเรมีย์ 13:23)
There is help for us only in God. We must not wait for stronger persuasions, for better opportunities, or for holier tempers. We can do nothing of ourselves. We must come to Christ just as we are. {SC 31.1}
การช่วยเหลือมีไว้ให้แก่เรา เป็นการช่วยเหลือซึ่งจะพบได้ในพระเจ้าเท่านั้น เราจะต้องไม่คอยให้มีการเรียกร้องมากกว่านี้ คอยโอกาสที่ดีกว่านี้ หรือคอยให้มีอารมณ์ที่บริสุทธิ์กว่านี้ โดยลำพังตัวเราเองแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้เลย เราจะต้องเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพที่เป็นอยู่ {SC 31.1}
But let none deceive themselves with the thought that God, in His great love and mercy, will yet save even the rejecters of His grace. The exceeding sinfulness of sin can be estimated only in the light of the cross. When men urge that God is too good to cast off the sinner, let them look to Calvary.
แต่อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตนเองด้วยความคิดว่า พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่ พระองค์จะประทานความรอดให้แม้กับคนที่ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ด้วย มีเพียงแสงสว่างจากกางเขนเท่านั้นที่จะประเมินความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ของความบาปได้ เมื่อมนุษย์เร้าให้เชื่อว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้าประเสริฐเกินที่จะทำลายคนบาป ก็ขอให้มองไปยังกางเขนคาล์วารี
It was because there was no other way in which man could be saved, because without this sacrifice it was impossible for the human race to escape from the defiling power of sin, and be restored to communion with holy beings,–impossible for them again to become partakers of spiritual life,–it was because of this that Christ took upon Himself the guilt of the disobedient and suffered in the sinner’s stead.
เป็นเพราะไม่มีหนทางอื่นแล้วที่มนุษย์จะรอดได้ เป็นเพราะว่าถ้าปราศจากการเสียสละเช่นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางหนีให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายของบาปและกลับไปสื่อสัมพันธ์กับบรรดาชาวสวรรค์ที่บริสุทธิ์ได้ ไม่มีทางใดที่มนุษย์จะมีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้ ด้วยเหตุฉะนี้พระคริสต์จึงทรงต้องรับความผิดของการไม่เชื่อฟังและรับความทุกข์ของคนบาปมาไว้กับพระองค์เอง
The love and suffering and death of the Son of God all testify to the terrible enormity of sin and declare that there is no escape from its power, no hope of the higher life, but through the submission of the soul to Christ. {SC 31.2}
ความรักและการทนทุกข์ทรมานและความมรณาของพระบุตรของพระเจ้าจึงเป็นพยานถึงความน่ากลัวอย่างมหันต์ของบาปและประกาศว่าไม่มีทางที่จะหนีให้พ้นจากอำนาจของมัน ไม่มีความหวังที่จะได้ชีวิตที่สูงส่งกว่า นอกจากด้วยการมอบถวายจิตวิญญาณแด่พระคริสต์ {SC 31.2}
The impenitent sometimes excuse themselves by saying of professed Christians, “I am as good as they are. They are no more self-denying, sober, or circumspect in their conduct than I am. They love pleasure and self-indulgence as well as I do.” Thus they make the faults of others an excuse for their own neglect of duty. But the sins and defects of others do not excuse anyone, for the Lord has not given us an erring human pattern. The spotless Son of God has been given as our example, and those who complain of the wrong course of professed Christians are the ones who should show better lives and nobler examples. If they have so high a conception of what a Christian should be, is not their own sin so much the greater? They know what is right, and yet refuse to do it. {SC 32.1}
บางครั้ง คนที่ไม่สำนึกผิดจะแก้ตัวด้วยการเปรียบเทียบกับคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนว่า “ฉันก็เป็นคนดีพอๆกับพวกเขา ฉันไม่เห็นว่าความประพฤติของพวกเขาในเรื่องการตามใจตนเอง ความสุขุมหรือรอบคอบดีกว่าฉัน พวกเขาชอบความสนุกสนานและปล่อยตัวตามใจตนเองพอๆกับฉัน” ด้วยการทำเช่นนี้ เขาเอาความผิดของผู้อื่นมาใช้แก้ตัวกับการละเลยหน้าที่ของเขาเอง แต่ความบาปและความบกพร่องของผู้อื่นไม่อาจแก้ต่างให้กับผู้ใดได้ เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานมนุษย์ที่ทำผิดมาเป็นแบบอย่างของเรา พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงปราศจากด่างพร้อยเป็นแบบอย่างแก่เรา และคนที่ตำหนิผู้ที่อ้างตนเป็นคริสเตียนว่าประพฤติผิด เขาเองควรจะต้องแสดงให้เห็นชีวิตและแบบอย่างที่ประเสริฐกว่านี้ หากเขามีแนวคิดที่สูงส่งว่าคริสเตียนควรจะเป็นเช่นไรแล้ว ความบาปของเขาเองจะไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือ เพราะเขารู้ว่าอะไรถูกและยังปฏิเสธที่จะทำตาม {SC 32.1}
Beware of procrastination. Do not put off the work of forsaking your sins and seeking purity of heart through Jesus. Here is where thousands upon thousands have erred to their eternal loss. I will not here dwell upon the shortness and uncertainty of life; but there is a terrible danger–a danger not sufficiently understood–in delaying to yield to the pleading voice of God’s Holy Spirit, in choosing to live in sin; for such this delay really is. Sin, however small it may be esteemed, can be indulged in only at the peril of infinite loss. What we do not overcome, will overcome us and work out our destruction. {SC 32.2}
ขอให้ท่านระวังเรื่องของการผลัดวันประกันพรุ่ง อย่ารอช้าที่จะละทิ้งความบาปของท่านและแสวงหาความบริสุทธิ์ในจิตใจโดยผ่านทางพระเยซู จุดนี้เองที่ทำให้คนนับพันต้องหลงหายไปชั่วนิรันดร์ ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องของชีวิตที่แสนสั้นและไม่แน่นอน แต่จะกล่าวถึงเรื่องน่ากลัวที่เป็นภัยอันตราย เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยังไม่ดีพอ นั่นคือการรีรอไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เชิญชวนอยู่ แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาป เพราะการรีรอเช่นนี้คือบาป การปล่อยตัวให้แก่บาป ไม่ว่าความบาปนั้นจะดูเล็กน้อยเพียงไร จะนำมาซึ่งความพินาศที่จะหลงหายไปตลอดกาล สิ่งที่เราเอาชนะไม่ได้ สิ่งนั้นจะชนะเราและจะนำเราไปสู่ความพินาศ {SC 32.2}
Adam and Eve persuaded themselves that in so small a matter as eating of the forbidden fruit there could not result such terrible consequences as God had declared. But this small matter was the transgression of God’s immutable and holy law, and it separated man from God and opened the floodgates of death and untold woe upon our world. Age after age there has gone up from our earth a continual cry of mourning, and the whole creation groaneth and travaileth together in pain as a consequence of man’s disobedience. Heaven itself has felt the effects of his rebellion against God. Calvary stands as a memorial of the amazing sacrifice required to atone for the transgression of the divine law. Let us not regard sin as a trivial thing. {SC 33.1}
อาดัมและเอวาปลอบใจตัวเองให้เชื่อว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นการรับประทานผลไม้ต้องห้ามไม่น่าส่งผลลัพธ์น่ากลัวตามที่พระเจ้าทรงประกาศไว้ แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เป็นการล่วงละเมิดพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่แปรเปลี่ยนไม่ได้ และแยกมนุษย์ออกไปจากพระเจ้าและเปิดประตูให้แก่ความตายและความหายนะเหลือคณานับให้ไหลบ่าเข้ามาในโลกของเรา ยุคแล้วยุคเล่า เสียงร้องโศกเศร้าดังมาจากโลกของเราอย่างต่อเนื่อง และสภาพทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างต่างร้องคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วยกันอย่างเจ็บปวดจากผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ แม้สวรรค์เองก็ยังสัมผัสได้กับผลการกบฏของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า กางเขนคาล์วารีตั้งเด่นเป็นอนุสรณ์ของการเสียสละอันอัศจรรย์ที่กำหนดไว้เพื่อไถ่บาปที่ได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า ให้เราอย่าถือว่าบาปเป็นเรื่องเล็ก {SC 33.1}
Every act of transgression, every neglect or rejection of the grace of Christ, is reacting upon yourself; it is hardening the heart, depraving the will, benumbing the understanding, and not only making you less inclined to yield, but less capable of yielding, to the tender pleading of God’s Holy Spirit. {SC 33.2}
การล่วงละเมิดของแต่ละครั้ง การละเลยหรือปฏิเสธพระคุณของพระคริสต์ในแต่ละคราวจะมีผลกระทบต่อตัวของท่านเอง ทำให้จิตใจแข็งกระด้างไป การตัดสินใจถูกริดรอน ความเข้าใจเฉื่อยชาลง และไม่เพียงแต่ทำให้การยอมมอบถวายของท่านลดลงเท่านั้น แต่จะทำให้ความสามารถในการยอมจำนนต่อการทรงเรียกด้วยความอ่อนโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลดลงไปด้วย {SC 33.2}
Many are quieting a troubled conscience with the thought that they can change a course of evil when they choose; that they can trifle with the invitations of mercy, and yet be again and again impressed. They think that after doing despite to the Spirit of grace, after casting their influence on the side of Satan, in a moment of terrible extremity they can change their course. But this is not so easily done. The experience, the education, of a lifetime, has so thoroughly molded the character that few then desire to receive the image of Jesus. {SC 33.3}
มีคนจำนวนมากทำให้ความว้าวุ่นของสามัญสำนึกสงบลงด้วยความคิดที่ว่าเขาเปลี่ยนวิถีทางแห่งความชั่วตามที่เขาต้องการได้ ฉะนั้น เขาจึงล้อเล่นกับคำเชิญชวนแห่งพระเมตตาและคาดว่าจะยังคงได้รับคำเชื้อเชิญนี้ต่อไปอีกซ้าแล้วซ้าเล่า พวกเขาคิดว่าหลังจากที่เขาได้ทำสิ่งที่ดูแคลนพระวิญญาณแห่งพระคุณ หลังจากที่เขาได้รับอิทธิพลอยู่ในฝ่ายของซาตาน เขาจะยังคงสามารถเปลี่ยนวิถีทางของตนเองได้ภายในเสี้ยวเวลาอันสั้นเมื่อวิกฤติร้ายแรงมาถึง แต่การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ประสบการณ์และการศึกษาที่มีมาตลอดทั้งชีวิตได้หล่อหลอมอุปนิสัยของพวกเขาอย่างเต็มที่ จนมีคนจำนวนน้อยคิดอยากรับพระฉายาของพระเยซู {SC 33.3}
Even one wrong trait of character, one sinful desire, persistently cherished, will eventually neutralize all the power of the gospel. Every sinful indulgence strengthens the soul’s aversion to God. The man who manifests an infidel hardihood, or a stolid indifference to divine truth, is but reaping the harvest of that which he has himself sown. In all the Bible there is not a more fearful warning against trifling with evil than the words of the wise man that the sinner “shall be holden with the cords of his sins.” Proverbs 5:22. {SC 34.1}
หากเราจะทะนุถนอมลักษณะอุปนิสัยที่ผิดไว้แม้เพียงประการเดียว ความปรารถนาชั่วเพียงอันเดียว ในที่สุดสิ่งเหล่านี้จะลบล้างอำนาจของพระกิตติคุณไป การปล่อยตัวให้กับความบาปทุกครั้งจะทำให้จิตวิญญาณเกลียดชังพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่ทนต่อการนอกรีตหรือดื้อดึงไม่ใส่ใจต่อความจริงของพระเจ้ากำลังเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาเองเป็นผู้หว่าน ไม่มีคำเตือนใดในพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่น่ากลัวไปกว่าคำเตือนของนักปราชญ์ต่อการเล่นกับความชั่วซึ่งกล่าวไว้ว่า คนบาปจะ “ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา” (สุภาษิต 5:22) {SC 34.1}
Christ is ready to set us free from sin, but He does not force the will; and if by persistent transgression the will itself is wholly bent on evil, and we do not desire to be set free, if we will not accept His grace, what more can He do? We have destroyed ourselves by our determined rejection of His love. “Behold, now is the accepted time; behold, now is the day of salvation.” “Today if ye will hear His voice, harden not your hearts.” 2 Corinthians 6:2; Hebrews 3:7, 8. {SC 34.2}
พระคริสต์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความบาป แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับความตั้งใจของเราและถ้าหากเรายังยืนกรานที่จะล่วงละเมิด ความตั้งใจของเราจะโอนเอียงให้กับความชั่วต่อไปและเราก็ไม่ต้องการรับการปลดปล่อย หากเราไม่ยอมรับพระคุณของพระองค์ พระองค์จะทรงทำอะไรให้เราได้อีก เราทำลายตัวเราเองด้วยการมุ่งมั่นปฏิเสธความรักของพระองค์ “นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด” “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น” (2 โครินธ์ 6:2; ฮีบรู 3: 7, 8) {SC 34.2}
“Man looketh on the outward appearance, but the Lord looketh on the heart”–the human heart, with its conflicting emotions of joy and sorrow; the wandering, wayward heart, which is the abode of so much impurity and deceit. 1 Samuel 16:7.
“มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” จิตใจมนุษย์ที่มีอารมณ์ความสุขและความเศร้าใจขัดแย้งกันอยู่ จิตใจที่คอยตีตัวออกห่าง เต็มไปด้วยความไม่สะอาดและความหลอกลวง (1 ซามูเอล 16:7)
He knows its motives, its very intents and purposes. Go to Him with your soul all stained as it is. Like the psalmist, throw its chambers open to the all-seeing eye, exclaiming, “Search me, O God, and know my heart: try me, and know my thoughts: and see if there be any wicked way in me, and lead me in the way everlasting.” Psalm 139: 23, 24. {SC 34.3}
พระองค์ทรงทราบเจตนา ความตั้งใจและเป้าหมายของเขา จงไปหาพระองค์ด้วยสภาพวิญญาณจิตที่เปรอะเปื้อนอยู่ จงทำอย่างผู้ประพันธ์สดุดีที่ได้เปิดจิตใจทุกห้องออกให้ตรวจสอบและร้องทูลขอว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบ จิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์ และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์” (สดุดี 139:23, 24) {SC 34.3}
Many accept an intellectual religion, a form of godliness, when the heart is not cleansed. Let it be your prayer, “Create in me a clean heart, O God; and renew a right spirit within me.” Psalm 51:10. Deal truly with your own soul. Be as earnest, as persistent, as you would be if your mortal life were at stake. This is a matter to be settled between God and your own soul, settled for eternity. A supposed hope, and nothing more, will prove your ruin. {SC 35.1}
คนมากมายยอมรับศาสนาที่ใช้ปัญญา นี่เป็นการถือศาสนาแต่เปลือกนอกแบบหนึ่งเมื่อจิตใจไม่ได้ผ่านการชำระ ขอให้คำอธิษฐานนี้เป็นของท่าน “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” (สดุดี 51:10) ขอให้ท่านจัดการกับจิตวิญญาณของท่านอย่างจริงจัง ให้ทำกันอย่างจริงใจ แน่วแน่ เสมือนหนึ่งว่าชีวิตของท่านตกอยู่ในอันตราย นี่เป็นเรื่องที่ท่านต้องจัดการระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของท่านเอง เป็นการจัดการเพื่อชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นความหวังและไม่มีสิ่งอื่นใดจะนำความหายนะมาให้แก่ท่านได้ {SC 35.1}
Study God’s word prayerfully. That word presents before you, in the law of God and the life of Christ, the great principles of holiness, without which “no man shall see the Lord.” Hebrews 12:14. It convinces of sin; it plainly reveals the way of salvation. Give heed to it as the voice of God speaking to your soul. {SC 35.2}
จงศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน พระคำซึ่งอยู่เบื้องหน้าท่าน ทั้งในพระบัญญัติของพระเจ้าและในชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของความบริสุทธิ์ หากปราศจากหลักการนี้แล้ว “จะไม่มีผู้ใดเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14) หลักการนี้ทำให้รู้สึกสำนึกในความบาป และเปิดเผยให้เห็นถึงทางที่จะนำไปสู่ความรอดได้อย่างชัดเจน ในขณะที่พระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับจิตวิญญาณของท่านอยู่นั้น ขอให้ท่านใส่ใจในเรื่องนี้ {SC 35.2}
As you see the enormity of sin, as you see yourself as you really are, do not give up to despair. It was sinners that Christ came to save. We have not to reconcile God to us, but–O wondrous love!–God in Christ is “reconciling the world unto Himself.” 2 Corinthians 5:19.
ขณะที่ท่านมองเห็นความร้ายกาจของความบาป ขณะที่ท่านมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวท่านเองว่าเป็นเช่นไร จงอย่าปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง พระคริสต์เสด็จลงมาช่วยคนบาป เราไม่จำเป็นต้องหาทางคืนดีกับพระเจ้า แต่ด้วยความรักอัศจรรย์อันประเสริฐ พระเจ้า “ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์” (2 โครินธ์ 5:19)
He is wooing by His tender love the hearts of His erring children. No earthly parent could be as patient with the faults and mistakes of his children, as is God with those He seeks to save. No one could plead more tenderly with the transgressor. No human lips ever poured out more tender entreaties to the wanderer than does He. All His promises, His warnings, are but the breathing of unutterable love. {SC 35.3}
พระองค์ทรงตามหาลูกๆ ที่ทำผิดของพระองค์ด้วยความรักอ่อนโยน ไม่มีพ่อแม่คนใดในโลกที่จะอดทนต่อความบกพร่องและความผิดของลูกๆ ได้มากไปกว่าความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่พระองค์ทรงแสวงหาเพื่อจะทรงช่วยให้รอด ไม่มีผู้ใดจะอ้อนวอนต่อผู้ล่วงละเมิดได้อย่างอ่อนโยนมากเท่านี้ ไม่มีริมฝีปากของมนุษย์คนใดที่จะอ้อนวอนอย่างอ่อนโยนต่อผู้ที่หลงไปได้เท่ากับพระองค์ พระสัญญาทั้งหมดของพระองค์ คำตักเตือนของพระองค์ เป็นแต่เพียงลมหายใจของความรักที่ไม่อาจพรรณนาได้ {SC 35.3}
When Satan comes to tell you that you are a great sinner, look up to your Redeemer and talk of His merits. That which will help you is to look to His light. Acknowledge your sin, but tell the enemy that “Christ Jesus came into the world to save sinners” and that you may be saved by His matchless love. 1 Timothy 1:15.
เมื่อซาตานมาบอกกับท่านว่า ท่านเป็นคนบาปหนา จงหันไปหาพระผู้ไถ่ของท่านและพูดถึงพระคุณความดีของพระองค์ สิ่งที่จะช่วยท่านได้คือให้ท่านมองไปยังแสงสว่างของพระองค์ ให้ท่านยอมรับบาปของท่านและบอกศัตรูของท่านว่า “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด” และความรักของพระองค์ที่ไม่มีรักใดเปรียบได้จะช่วยท่านให้รอดได้ (1 ทิโมธี 1:15)
Jesus asked Simon a question in regard to two debtors. One owed his lord a small sum, and the other owed him a very large sum; but he forgave them both, and Christ asked Simon which debtor would love his lord most. Simon answered, “He to whom he forgave most.” Luke 7:43.
พระเยซูตรัสถามซีโมนในเรื่องลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้นายของเขาเพียงเล็กน้อยและอีกคนเป็นหนี้ก้อนใหญ่ แต่นายได้ยกหนี้ให้ทั้งสองคน และพระคริสต์ตรัสถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนจะรักนายของเขามากที่สุด ซีโมนตอบว่า “คนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มากก็เป็นคนที่รักนายมาก” (ลูกา 7:43)
We have been great sinners, but Christ died that we might be forgiven. The merits of His sacrifice are sufficient to present to the Father in our behalf. Those to whom He has forgiven most will love Him most, and will stand nearest to His throne to praise Him for His great love and infinite sacrifice. It is when we most fully comprehend the love of God that we best realize the sinfulness of sin. When we see the length of the chain that was let down for us, when we understand something of the infinite sacrifice that Christ has made in our behalf, the heart is melted with tenderness and contrition. {SC 35.4}
เราเป็นคนบาปหนา แต่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้รับการอภัย พระคุณความดีของการเสียสละของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะนำเสนอพระบิดาเพื่อเรา ผู้ที่ได้รับการอภัยจากพระองค์มากจะรักพระองค์มากและจะยืนอยู่ใกล้ชิดพระบัลลังก์ของพระองค์มากที่สุดเพื่อสรรเสริญพระองค์สำหรับความรักและการเสียสละอันยิ่งใหญ่ เราจะตระหนักถึงความร้ายกาจของบาปได้ก็ต่อมื่อเราเข้าใจความรักของพระเจ้าอย่างเต็มที่เท่านั้น เมื่อเรามองเห็นความยาวของโซ่ที่หย่อนลงมาให้เรา เมื่อเราเข้าใจเรื่องการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเราแล้ว จิตใจของเราก็จะหลอมละลายลงด้วยความอ่อนโยนและสำนึกผิด {SC 35.4}