Chapter 4 (บทที่ 4)
Confession
การสารภาพบาป

Thai audio version. Please connect to internet to listen

“He that covereth his sins shall not prosper: but whoso confesseth and forsaketh them shall have mercy.” Proverbs 28:13. {SC 37.1} The conditions of obtaining mercy of God are simple and just and reasonable. The Lord does not require us to do some grievous thing in order that we may have the forgiveness of sin. We need not make long and wearisome pilgrimages, or perform painful penances, to commend our souls to the God of heaven or to expiate our transgression; but he that confesseth and forsaketh his sin shall have mercy. {SC 37.2}

“บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา” (สุภาษิต 28:13) {SC 37.1} เงื่อนไขที่จะรับพระเมตตาคุณของพระเจ้านั้นง่ายและยุติธรรมและสมเหตุสมผล พระเจ้าไม่บังคับให้เราต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจะได้การอภัยจากบาป พระองค์ไม่ได้บังคับให้เราเดินทางไปแสวงบุญที่ยืดเยื้อและน่าเบื่อหน่ายหรือแก้บาปด้วยการทรมานร่างกายให้เจ็บปวด เพื่อให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ยอมรับจิตวิญญาณของเราหรือลบล้างบาปการล่วงละเมิดของเรา แต่ผู้ที่สารภาพและละทิ้งบาปจะได้รับพระเมตตาคุณ {SC 37.2}

The apostle says, “Confess your faults one to another, and pray one for another, that ye may be healed.” James 5:16. Confess your sins to God, who only can forgive them, and your faults to one another. If you have given offense to your friend or neighbor, you are to acknowledge your wrong, and it is his duty freely to forgive you.

อัครทูตกล่าวว่า “จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย” (ยากอบ 5:16) จงสารภาพบาปของท่านกับพระเจ้า พระองค์เท่านั้นที่จะทรงให้อภัยบาปได้และจงสารภาพความผิดต่อกันและกัน หากท่านทำผิดต่อมิตรสหายหรือเพื่อนบ้านของท่าน ท่านจะต้องยอมรับผิด และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะอภัยให้ท่านด้วยความเต็มใจ

Then you are to seek the forgiveness of God, because the brother you have wounded is the property of God, and in injuring him you sinned against his Creator and Redeemer. The case is brought before the only true Mediator, our great High Priest, who “was in all points tempted like as we are, yet without sin,” and who is “touched with the feeling of our infirmities,” and is able to cleanse from every stain of iniquity. Hebrews 4:15. {SC 37.3}

แล้วท่านจะต้องทูลขอพระเจ้าทรงอภัยให้ท่านด้วย เพราะพี่น้องที่ท่านได้ทำผิดต่อเขานั้นเป็นสมบัติของพระเจ้า และเมื่อท่านทำร้ายเขา ท่านก็ได้ทำบาปต่อพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขาด้วย และคดีความนี้จะถูกนำขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ไกล่เกลี่ยแท้จริงพระองค์เดียว พระองค์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของเรา “ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” และพระองค์ทรง “เห็นใจในความอ่อนแอของเราทุกประการ” และทรงชำระเราจากความเปรอะเปื้อนของความชั่วทุกประการ (ฮีบรู 4:15) {SC 37.3}

Those who have not humbled their souls before God in acknowledging their guilt, have not yet fulfilled the first condition of acceptance. If we have not experienced that repentance which is not to be repented of, and have not with true humiliation of soul and brokenness of spirit confessed our sins, abhorring our iniquity, we have never truly sought for the forgiveness of sin; and if we have never sought, we have never found the peace of God.

ผู้ที่ไม่ได้ถ่อมจิตใจลงเพื่อยอมรับความผิดของเขาต่อพระเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อแรกเพื่อให้พระเจ้าทรงยอมรับ หากเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ของการกลับใจ ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไปและไม่ได้ถ่อมจิตใจลงอย่างแท้จริงและวิญญาณจิตไม่รู้สึกชอกช้ำที่ต้องสารภาพความบาปและรู้สึกเกลียดชังความชั่วของตัวเองแล้ว เราก็ยังไม่เคยทูลขอการอภัยบาปอย่างแท้จริง และหากเรายังไม่เคยทูลขอ เราก็จะยังไม่เคยพบกับสันติสุขในพระเจ้า

The only reason why we do not have remission of sins that are past is that we are not willing to humble our hearts and comply with the conditions of the word of truth. Explicit instruction is given concerning this matter. Confession of sin, whether public or private, should be heartfelt and freely expressed. It is not to be urged from the sinner. It is not to be made in a flippant and careless way, or forced from those who have no realizing sense of the abhorrent character of sin. The confession that is the outpouring of the inmost soul finds its way to the God of infinite pity. The psalmist says, “The Lord is nigh unto them that are of a broken heart; and saveth such as be of a contrite spirit.” Psalm 34:18. {SC 37.4}

มีเหตุผลเดียวที่ทำให้บาปผิดในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้รับการอภัยคือ เราไม่เต็มใจที่จะถ่อมจิตใจของเราลงและทำตามเงื่อนไขที่จารึกไว้ในพระวจนะแห่งความจริง สำหรับเรื่องนี้ได้ทรงประทานคำแนะนำไว้อย่างชัดเจน การสารภาพบาปไม่ว่าจะทำในที่ลี้ลับหรือในที่สาธารณะจะต้องทำด้วยความจริงใจและด้วยความสมัครใจ คนบาปจะต้องไม่ถูกบีบบังคับให้สารภาพบาป การสารภาพบาปจะต้องไม่ทำอย่างเล่นๆ หรืออย่างไม่ใส่ใจ หรือเป็นการบังคับผู้ที่ไม่รู้สึกสำนึกถึงความน่ารังเกียจของความบาป การสารภาพบาปที่ทำด้วยการเปิดส่วนลึกที่สุดของจิตใจออก จะพบหนทางที่นำไปถึงพระเจ้า ผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาที่ไม่มีขอบเขต ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำและทรงช่วยผู้ที่จิตใจสำนึกผิด” (สดุดี 34:18) {SC 37.4}

True confession is always of a specific character, and acknowledges particular sins. They may be of such a nature as to be brought before God only; they may be wrongs that should be confessed to individuals who have suffered injury through them; or they may be of a public character, and should then be as publicly confessed. But all confession should be definite and to the point, acknowledging the very sins of which you are guilty. {SC 38.1}

การสารภาพบาปที่จริงใจจะต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและยอมรับบาปที่ได้ทำไปแล้ว อาจจะเป็นความบาปที่เราต้องสารภาพต่อพระเจ้าเท่านั้นหรือเป็นความบาปที่เราต้องสารภาพกับบุคคลที่ต้องทนทุกข์อันเนื่องมาจากความผิดที่เราได้ทำไป หรือเป็นความบาปที่ทำต่อส่วนรวมซึ่งต้องสารภาพอย่างเปิดเผย แต่การสารภาพความบาปทั้งปวงนั้นจะต้องชัดเจนและเจาะจง ยอมรับบาปที่ท่านได้ทำไป {SC 38.1}

In the days of Samuel the Israelites wandered from God. They were suffering the consequences of sin; for they had lost their faith in God, lost their discernment of His power and wisdom to rule the nation, lost their confidence in His ability to defend and vindicate His cause. They turned from the great Ruler of the universe and desired to be governed as were the nations around them.

ในสมัยของซามูเอล ชนชาติอิสราเอลเดินหลงออกไปจากทางของพระเจ้า พวกเขาต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากอันเนื่องจากผลของความบาป เพราะพวกเขาได้ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า มองไม่เห็นอำนาจและพระปัญญาของพระองค์ที่ปกครองประเทศ สูญเสียความเชื่อมั่นในอำนาจของพระเจ้าที่พิทักษ์และรักษาผลประโยชน์ของพระองค์ พวกเขาหันออกไปจากพระเจ้ายิ่งใหญ่ผู้ทรงปกครองจักรวาลและปรารถนาการปกครองแบบเดียวกันกับประเทศที่อยู่รอบข้าง

Before they found peace they made this definite confession: “We have added unto all our sins this evil, to ask us a king.” 1 Samuel 12:19. The very sin of which they were convicted had to be confessed. Their ingratitude oppressed their souls and severed them from God. {SC 38.2}

ก่อนที่พวกเขาจะพบกับสันติสุขได้อีกครั้งหนึ่งนั้น พวกเขาได้สารภาพบาปอย่างตรงๆ ว่า “เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเราคือขอให้มีพระราชาสำหรับเราทั้งหลาย” (2 ซามูเอล 12:19) พวกเขาต้องสารภาพบาปที่ได้ทำไปแล้ว ความอกตัญญูของพวกเขาบีบบังคับจิตวิญญาณและได้ตัดพวกเขาออกไปจากพระเจ้า {SC 38.2}

Confession will not be acceptable to God without sincere repentance and reformation. There must be decided changes in the life; everything offensive to God must be put away. This will be the result of genuine sorrow for sin. The work that we have to do on our part is plainly set before us: “Wash you, make you clean; put away the evil of your doings from before Mine eyes; cease to do evil; learn to do well; seek judgment, relieve the oppressed, judge the fatherless, plead for the widow.” Isaiah 1:16, 17.

พระเจ้าจะไม่ยอมรับการสารภาพบาปที่ปราศจากการกลับใจและการปฏิรูปด้วยความจริงใจ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแน่วแน่ จะต้องขจัดสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจทิ้งไปให้หมด เป็นผลงานที่เกิดจากการเสียใจต่อบาปอย่างสุดซึ้ง ส่วนที่เราจะต้องทำนั้นได้จัดวางไว้อยู่หน้าเราอย่างชัดเจนว่า .”จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย” (อิสยาห์ 1:16, 17)

“If the wicked restore the pledge, give again that he had robbed, walk in the statutes of life, without committing iniquity; he shall surely live, he shall not die.” Ezekiel 33:15. Paul says, speaking of the work of repentance: “Ye sorrowed after a godly sort, what carefulness it wrought in you, yea, what clearing of yourselves, yea, what indignation, yea, what fear, yea, what vehement desire, yea, what zeal, yea, what revenge! In all things ye have approved yourselves to be clear in this matter.” 2 Corinthians 7:11. {SC 39.1}

“ถ้าคนอธรรมได้คืนของประกัน ขโมยอะไรของเขามาก็คืนเสีย และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ไม่กระทำความบาปชั่วเลย เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่ เขาไม่ต้องตาย” เปาโลกล่าวถึงการกลับใจว่า “จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทน ความตื่นตัว ความอาลัย และความกระตือรือร้น และการลงโทษในทุกสิ่งเหล่านี้ ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด” (2 โครินธ์ 7:11) {SC 39.1}

When sin has deadened the moral perceptions, the wrongdoer does not discern the defects of his character nor realize the enormity of the evil he has committed; and unless he yields to the convicting power of the Holy Spirit he remains in partial blindness to his sin. His confessions are not sincere and in earnest. To every acknowledgment of his guilt he adds an apology in excuse of his course, declaring that if it had not been for certain circumstances he would not have done this or that for which he is reproved. {SC 40.1}

เมื่อความบาปทำให้การรับรู้ทางศีลธรรมตายด้านไป ผู้ที่ทำผิดมองไม่เห็นความบกพร่องในอุปนิสัยของตนเอง หรือตระหนักถึงความร้ายกาจของความชั่วที่เขาได้ทำ และถ้าเขาไม่ยอมรับอำนาจการตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ตาของเขาก็จะยังคงมืดมนต่อความบาปที่เขาได้ทำ เขาจะไม่จริงใจและไม่จริงจังต่อการสารภาพของเขา สำหรับความผิดทุกเรื่องที่เขารู้ เขาจะมีข้ออ้างเพื่อแก้ตัวให้กับสิ่งที่เขาทำ โดยกล่าวว่า หากไม่ใช่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับแล้ว เขาก็คงจะไม่ทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ที่ทำให้ตัวเขาต้องถูกตำหนิ {SC 40.1}

After Adam and Eve had eaten of the forbidden fruit, they were filled with a sense of shame and terror. At first their only thought was how to excuse their sin and escape the dreaded sentence of death. When the Lord inquired concerning their sin, Adam replied, laying the guilt partly upon God and partly upon his companion: “The woman whom Thou gavest to be with me, she gave me of the tree, and I did eat.” The woman put the blame upon the serpent, saying, “The serpent beguiled me, and I did eat.” Genesis 3: 12, 13.

หลังจากอาดัมและเอวาได้รับประทานผลไม้ต้องห้ามแล้ว พวกเขาอับอายและหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ในช่วงแรก พวกเขาได้แต่คิดว่าจะแก้ตัวให้กับการกระทำบาปอย่างไรและหนีให้พ้นความตายซึ่งเป็นคำตัดสินที่น่ากลัวได้อย่างไร เมื่อพระเจ้าตรัสถามถึงบาปของเขา อาดัมตอบด้วยการโยนความผิดส่วนหนึ่งให้พระเจ้าและอีกส่วนหนึ่งให้แก่คู่ชีวิตของเขาเอง “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้นส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน” ส่วนหญิงนั้นโยนความผิดใส่งูด้วยการพูดว่า “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” (ปฐมกาล 3:12, 13)

Why did You make the serpent? Why did You suffer him to come into Eden? These were the questions implied in her excuse for her sin, thus charging God with the responsibility of their fall. The spirit of self-justification originated in the father of lies and has been exhibited by all the sons and daughters of Adam.

ทำไมพระองค์จึงทรงสร้างงู ทำไมพระองค์จึงทรงปล่อยให้มันเข้ามาในสวนเอเดน นี่คือความหมายของคำตอบที่เธอใช้แก้ตัวให้กับบาปของเธอ ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาจึงโยนความรับผิดชอบต่อการล้มลงในบาปให้พระเจ้า วิญญาณแห่งการชอบแก้ตัวที่กาเนิดมาจากบิดาแห่งการพูดมุสาจึงปรากฏอยู่ในบุตรชายบุตรหญิงทั้งปวงของอาดัม

Confessions of this order are not inspired by the divine Spirit and will not be acceptable to God. True repentance will lead a man to bear his guilt himself and acknowledge it without deception or hypocrisy. Like the poor publican, not lifting up so much as his eyes unto heaven, he will cry, “God be merciful to me a sinner,” and those who do acknowledge their guilt will be justified, for Jesus will plead His blood in behalf of the repentant soul. {SC 40.2}

การสารภาพบาปในรูปแบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าและพระองค์จะไม่ทรงยอมรับ การกลับใจที่แท้จริงจะนำบุคคลนั้นให้ยอมรับความผิดว่าเป็นของตนเองและยอมรับโดยไม่มีการแอบแฝงหรือเสแสร้ง เขาจะเป็นเหมือนคนเก็บภาษีผู้น่าสงสารซึ่งไม่กล้าแม้จะแหงนหน้าดูฟ้า แต่ได้ร้องว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13) และผู้ที่ยอมรับความผิดของตนเองจะได้รับการแก้ไขให้เป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าพระเยซูจะทรงทูลขอแทนจิตวิญญาณที่ได้กลับใจด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง {SC 40.2}

The examples in God’s word of genuine repentance and humiliation reveal a spirit of confession in which there is no excuse for sin or attempt at self-justification. Paul did not seek to shield himself; he paints his sin in its darkest hue, not attempting to lessen his guilt.

แบบอย่างของการกลับใจด้วยความจริงใจและถ่อมใจดังที่มีจารึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้านั้น เปิดเผยให้เห็นการสารภาพบาปโดยไม่มีการแก้ตัวหรือพยายามทำให้ตนเองไม่มีความผิด เปาโลไม่ได้คอยหาทางที่จะปกปิดตัวเอง ท่านป้ายสีความบาปของท่านด้วยสีเข้มที่สุดซึ่งไม่ทำให้ความผิดของท่านเบาบางลง

He says, “Many of the saints did I shut up in prison, having received authority from the chief priests; and when they were put to death, I gave my voice against them. And I punished them oft in every synagogue, and compelled them to blaspheme; and being exceedingly mad against them, I persecuted them even unto strange cities.” Acts 26: 10, 11. He does not hesitate to declare that “Christ Jesus came into the world to save sinners; of whom I am chief.” 1 Timothy 1:15. {SC 41.1}

ท่านกล่าวว่า “สิ่งเหล่านั้นข้าพระบาทได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อข้าพระบาทรับอำนาจจากพวกมหาปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย ข้าพระบาทได้ทำโทษเขาบ่อยๆในธรรมศาลาทุกแห่งและบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า และเพราะข้าพระบาทโกรธเขายิ่งนัก ข้าพระบาทได้ตามไปข่มเหงถึงหัวเมืองในต่างประเทศ” ท่านไม่รีรอที่จะประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (1 ทิโมธี 1:15) {SC 41.1}

The humble and broken heart, subdued by genuine repentance, will appreciate something of the love of God and the cost of Calvary; and as a son confesses to a loving father, so will the truly penitent bring all his sins before God. And it is written, “If we confess our sins, He is faithful and just to forgive us our sins, and to cleanse us from all unrighteousness.” 1 John 1:9. {SC 41.2}

ผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงและมีจิตใจที่ถ่อมและชอกช้ำจะซาบซึ้งกับความรักของพระเจ้าและราคาที่พระองค์ต้องทรงชำระที่บนกางเขนแห่งคาล์วารีและดังเช่นบุตรที่เข้ามาสารภาพความผิดกับบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ที่สำนึกผิดอย่างจริงจังและนำความบาปทั้งสิ้นของเขาเข้ามายังพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้น ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9) {SC 41.2}