Chapter 7 (บทที่ 7)
The Test of Discipleship
การทดสอบการเป็นสาวก
Thai audio version. Please connect to internet to listen
“If any man be in Christ, he is a new creature: old things are passed away; behold, all things are become new.” 2 Corinthians 5:17. {SC 57.1} A person may not be able to tell the exact time or place, or trace all the chain of circumstances in the process of conversion; but this does not prove him to be unconverted. Christ said to Nicodemus, “The wind bloweth where it listeth, and thou hearest the sound thereof, but canst not tell whence it cometh, and whither it goeth: so is everyone that is born of the Spirit.” John 3:8.
ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น‛ (2 โครินธ์ 5:17) {SC 57.1} คนๆหนึ่งไม่อาจบอกเวลาหรือสถานที่แน่นอนหรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขบวนการของการกลับใจ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้กลับใจ พระคริสต์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า ‚ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน‛ (ยอห์น 3:8)
Like the wind, which is invisible, yet the effects of which are plainly seen and felt, is the Spirit of God in its work upon the human heart. That regenerating power, which no human eye can see, begets a new life in the soul; it creates a new being in the image of God. While the work of the Spirit is silent and imperceptible, its effects are manifest.
พระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นเหมือนเช่นลมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เรามองเห็นและสัมผัสผลของพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทำงานในจิตใจมนุษย์ได้อย่างชัดเจน อำนาจการบังเกิดใหม่ซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจจะมองเห็นได้นั้นจะทำให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นในจิตวิญญาณ อำนาจนั้นสร้างคนใหม่ที่มีพระฉายาของพระเจ้าในตัวเขา ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเงียบๆและสัมผัสไม่ได้ แต่ผลของการกระทำนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
If the heart has been renewed by the Spirit of God, the life will bear witness to the fact. While we cannot do anything to change our hearts or to bring ourselves into harmony with God; while we must not trust at all to ourselves or our good works, our lives will reveal whether the grace of God is dwelling within us. A change will be seen in the character, the habits, the pursuits. The contrast will be clear and decided between what they have been and what they are. The character is revealed, not by occasional good deeds and occasional misdeeds, but by the tendency of the habitual words and acts. {SC 57.2}
หากพระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเป็นพยานให้เห็นถึงความจริง ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราและนำตนเองให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าไม่ได้ ในขณะที่เราจะต้องไม่วางใจในตัวเราหรือในการดีที่เราทำ แต่ชีวิตของเราจะแสดงออกให้เห็นว่า เรามีพระคุณของพระเจ้าทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยหรือไม่ เราจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุคลิก ในอุปนิสัยและในการงาน เราจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตในอดีตที่ผ่านมากับชีวิตในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนและแน่นอน เราจะมองเห็นอุปนิสัยที่โน้มเอียงในการทำการดีทั้งทางวาจาและการกระทำ แทนที่จะเป็นการกระทำความชอบในโอกาสนี้และทำการไม่ดีในโอกาสอื่น {SC 57.2}
It is true that there may be an outward correctness of deportment without the renewing power of Christ. The love of influence and the desire for the esteem of others may produce a well-ordered life. Self-respect may lead us to avoid the appearance of evil. A selfish heart may perform generous actions. By what means, then, shall we determine whose side we are on? {SC 58.1}
ความประพฤติดีที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกอาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากอำนาจการบังเกิดใหม่ของพระคริสต์ จิตใจที่ปรารถนาจะได้อำนาจเหนือผู้อื่นและได้คำสรรเสริญจากผู้อื่น อาจทำให้ชีวิตมีระเบียบขึ้นมาได้ ความเคารพตนเองนำเราให้หลีกเลี่ยงการกระทำชั่ว จิตใจที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอาจแสดงตนเป็นผู้ที่มีใจกว้างได้ แล้วจะนำอะไรมาใช้เพื่อตัดสินว่าเราอยู่ฝ่ายใด {SC 58.1}
Who has the heart? With whom are our thoughts? Of whom do we love to converse? Who has our warmest affections and our best energies? If we are Christ’s, our thoughts are with Him, and our sweetest thoughts are of Him. All we have and are is consecrated to Him. We long to bear His image, breathe His spirit, do His will, and please Him in all things. {SC 58.2}
ใครเป็นผู้ครอบครองหัวใจของเรา ใครอยู่ในความนึกคิดของเรา เราชื่นชอบที่จะสนทนากับผู้ใด ใครได้ความรู้สึกดีที่สุดและได้พละกำลังที่ดีเลิศสุดของเรา หากเราเป็นของพระคริสต์ ความนึกคิดของเราจะอยู่กับพระองค์ และความคิดหวานชื่นที่สุดจะเป็นเรื่องของพระคริสต์ ทุกสิ่งที่เรามีและที่เราเป็นอยู่จะมอบถวายให้พระองค์ เราปรารถนาที่จะได้พระฉายาของพระองค์ หายใจด้วยวิญญาณของพระองค์ กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์และทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ {SC 58.2}
Those who become new creatures in Christ Jesus will bring forth the fruits of the Spirit, “love, joy, peace, long-suffering, gentleness, goodness, faith, meekness, temperance.” Galatians 5:22, 23.
ผู้ที่ได้รับการสร้างใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์จะเกิดผลของพระวิญญาณ ‚ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน‛ (กาลาเทีย 5:22,23)
They will no longer fashion themselves according to the former lusts, but by the faith of the Son of God they will follow in His steps, reflect His character, and purify themselves even as He is pure. The things they once hated they now love, and the things they once loved they hate. The proud and self-assertive become meek and lowly in heart. The vain and supercilious become serious and unobtrusive.
พวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อกิเลสตัณหาในอดีต แต่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า พวกเขาจะดำเนินตามพระองค์ สะท้อนพระอุปนิสัยของพระองค์และชำระตัวให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ สิ่งที่เขาเคยเกลียดชัง บัดนี้เขารัก และสิ่งที่เขาเคยรักบัดนี้เขาเกลียดชัง ผู้ที่ยโสและเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นคนที่สงบเสงี่ยมและมีใจอ่อนสุภาพ ผู้ที่หยิ่งและจองหองจะกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังและไม่โอ้อวด
The drunken become sober, and the profligate pure. The vain customs and fashions of the world are laid aside. Christians will seek not the “outward adorning,” but “the hidden man of the heart, in that which is not corruptible, even the ornament of a meek and quiet spirit.” 1 Peter 3:3, 4. {SC 58.3}
คนเมากลับเป็นคนที่มีเหตุมีผลและคนไร้ศีลธรรมกลายเป็นคนที่ไม่มีราคี ธรรมเนียมและความนิยมของชาวโลกจะถูกปัดทิ้งไป คริสเตียนจะไม่แสวงหา ‚การประดับภายนอก‛ แต่จะ ‚ประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลายคือ ด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ‛ (1 เปโตร 3:3,4) {SC 58.3}
There is no evidence of genuine repentance unless it works reformation. If he restore the pledge, give again that he had robbed, confess his sins, and love God and his fellow men, the sinner may be sure that he has passed from death unto life. {SC 59.1}
ไม่มีหลักฐานใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกลับใจที่แท้จริงนอกจากว่าการกลับใจนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิรูป หากเขาทำตามสิ่งที่ได้สัญญาไว้ ส่งคืนสิ่งของที่ได้ปล้นมา สารภาพบาปของเขาและรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ คนบาปนั้นจึงอาจจะมั่นใจได้ว่าเขาได้ก้าวจากความตายไปสู่ชีวิต {SC 59.1}
When, as erring, sinful beings, we come to Christ and become partakers of His pardoning grace, love springs up in the heart. Every burden is light, for the yoke that Christ imposes is easy. Duty becomes a delight, and sacrifice a pleasure. The path that before seemed shrouded in darkness, becomes bright with beams from the Sun of Righteousness. {SC 59.2}
เมื่อเราเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพของคนบาปและได้รับพระคุณแห่งการอภัยบาปของพระองค์แล้ว ความรักจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทุกภาระจะเบาลง เพราะแอกที่พระคริสต์ทรงวางไว้ให้นั้นพอเหมาะ ภาระหน้าที่กลายเป็นเรื่องที่ทำด้วยความยินดี การเสียสละจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุข หนทางเบื้องหน้าที่เคยดูประหนึ่งว่า ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด จะสว่างไสวด้วยลำแสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม {SC 59.2}
The loveliness of the character of Christ will be seen in His followers. It was His delight to do the will of God. Love to God, zeal for His glory, was the controlling power in our Saviour’s life. Love beautified and ennobled all His actions. Love is of God. The unconsecrated heart cannot originate or produce it. It is found only in the heart where Jesus reigns. “We love, because He first loved us.” 1 John 4:19, R.V.
พระลักษณะที่น่ารักของพระคริสต์จะปรากฏให้เห็นในตัวของผู้ติดตามพระองค์ พระคริสต์ทรงชื่นชอบกับการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ความรักที่พระองค์ถวายพระเจ้าและความร้อนรนในการถวายพระสิริให้พระเจ้าคืออำนาจที่คอยควบคุมในชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ความรักส่งผลให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแลดูสวยงามและสูงส่ง ความรักมาจากพระเจ้า จิตใจที่ยังไม่ได้อุทิศถวายพระเจ้าจะก่อให้เกิดหรือแสดงความรักเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ความรักเช่นนี้จะพบได้ในจิตใจที่มีพระเยซูครอบครองอยู่เท่านั้น ‚เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน‛ (1 ยอห์น 4:19)
In the heart renewed by divine grace, love is the principle of action. It modifies the character, governs the impulses, controls the passions, subdues enmity, and ennobles the affections. This love, cherished in the soul, sweetens the life and sheds a refining influence on all around. {SC 59.3}
ในจิตใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยพระคุณของพระเจ้านั้นจะมีความรักเป็นหลักการของการกระทำ ความรักนี้จะหล่อหลอมอุปนิสัย บังคับความรู้สึก ควบคุมกิเลสตัณหา ลดความเป็นศัตรูกันและทำให้ความรักสูงส่ง ความรักเช่นนี้จะถนอมจิตวิญญาณและทำให้ชีวิตหวานชื่นและกระจายอิทธิพลบริสุทธิ์ให้แก่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง {SC 59.3}
There are two errors against which the children of God–particularly those who have just come to trust in His grace–especially need to guard. The first, already dwelt upon, is that of looking to their own works, trusting to anything they can do, to bring themselves into harmony with God.
มีความผิดอยู่สองประการที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องระวังโดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามามอบความวางใจในพระคุณของพระองค์ได้ไม่นาน ประการแรก เป็นเรื่องที่กล่าวมาแล้ว คือการมองไปที่ผลงานของตนเองและเชื่อมั่นในการกระทำเพื่อนำตัวเองให้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า
He who is trying to become holy by his own works in keeping the law, is attempting an impossibility. All that man can do without Christ is polluted with selfishness and sin. It is the grace of Christ alone, through faith, that can make us holy. {SC 59.4}
ผู้ที่พยายามทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยการถือรักษาพระบัญญัติกำลังพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การกระทำทั้งหมดที่มนุษย์ทำไปโดยปราศจากพระคริสต์ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป มีเพียงพระคุณของพระเจ้าที่เราได้รับโดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้เราบริสุทธิ์ {SC 59.4}
The opposite and no less dangerous error is that belief in Christ releases men from keeping the law of God; that since by faith alone we become partakers of the grace of Christ, our works have nothing to do with our redemption. {SC 60.1}
ความผิดในทางกลับกันและอันตรายไม่น้อยกว่ากันคือการเชื่อว่าพระคริสต์ทรงปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเราจะมีส่วนในพระคุณของพระคริสต์ได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น การกระทำไม่มีผลต่อความรอดของเราเลย {SC 60.1}
But notice here that obedience is not a mere outward compliance, but the service of love. The law of God is an expression of His very nature; it is an embodiment of the great principle of love, and hence is the foundation of His government in heaven and earth. If our hearts are renewed in the likeness of God, if the divine love is implanted in the soul, will not the law of God be carried out in the life?
แต่ขอให้สังเกตว่า การเชื่อฟังไม่ใช่เป็นการร่วมมือที่ปรากฏให้เห็นแต่เพียงภายนอก การเชื่อฟังเป็นการรับใช้แห่งรัก พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติของพระเจ้า เป็นศูนย์รวมแห่งหลักการที่ยิ่งใหญ่ของความรักและเป็นรากฐานการปกครองของพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนโลก หากหัวใจของเราถูกเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนของพระเจ้า หากบัญญัติแห่งรักของพระเจ้าถูกปลูกฝังเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณ พระบัญญัติของพระเจ้าจะไม่ปรากฏออกให้เห็นในชีวิตของเราหรือ
When the principle of love is implanted in the heart, when man is renewed after the image of Him that created him, the new-covenant promise is fulfilled, “I will put My laws into their hearts, and in their minds will I write them.” Hebrews 10:16.
เมื่อหลักการแห่งความรักถูกปลูกฝังลงในจิตใจ เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเขามานั้น พระสัญญาใหม่ก็จะเกิดขึ้น “เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในใจของเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกพระธรรมนั้นไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย” (ฮีบรู 10:16)
And if the law is written in the heart, will it not shape the life? Obedience–the service and allegiance of love–is the true sign of discipleship. Thus the Scripture says, “This is the love of God, that we keep His commandments.” “He that saith, I know Him, and keepeth not His commandments, is a liar, and the truth is not in him.” 1 John 5:3; 2:4.
และหากบทบัญญัติถูกจารึกลงไปในใจของเขาแล้ว พระบัญญัติจะไม่หล่อหลอมชีวิตของเขาหรือ การเชื่อฟังซึ่งเป็นการรับใช้และความภักดีของความรักจะเป็นหมายสำคัญของการเป็นสาวกที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงได้กล่าวไว้ว่า ‚นี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์‛ ‚คนใดที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์’ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย‛ (1 ยอห์น 5:3; 2:4)
Instead of releasing man from obedience, it is faith, and faith only, that makes us partakers of the grace of Christ, which enables us to render obedience. {SC 60.2}
เราไม่ได้ถูกปลดปล่อยให้พ้นจากการต้องเชื่อฟัง แต่ด้วยความเชื่อและความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้เรามีส่วนในพระคุณของพระคริสต์และทำให้เราเชื่อฟัง {SC 60.2}
We do not earn salvation by our obedience; for salvation is the free gift of God, to be received by faith. But obedience is the fruit of faith. “Ye know that He was manifested to take away our sins; and in Him is no sin. Whosoever abideth in Him sinneth not: whosoever sinneth hath not seen Him, neither known Him.” 1 John 3:5, 6.
เราไม่ได้รับความรอดเป็นค่าจ้างตอบแทนการเชื่อฟัง เพราะความรอดเป็นของประทานของพระเจ้าที่ทรงประทานให้เปล่าๆ ซึ่งเราจะรับมาได้โดยความเชื่อ แต่การเชื่อฟังเป็นผลของความเชื่อ ‚ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์‛ (1 ยอห์น 3:5,6)
Here is the true test. If we abide in Christ, if the love of God dwells in us, our feelings, our thoughts, our purposes, our actions, will be in harmony with the will of God as expressed in the precepts of His holy law. “Little children, let no man deceive you: he that doeth righteousness is righteous, even as He is righteous.” 1 John 3:7. Righteousness is defined by the standard of God’s holy law, as expressed in the ten precepts given on Sinai. {SC 61.1}
นี่คือการทดสอบที่แท้จริง หากเราอยู่ในพระคริสต์ หากความรักของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา ความรู้สึกของเรา ความคิดของเรา เป้าหมายของเรา การกระทำของเราจะประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระเจ้าตามที่พระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ได้สอนไว้ว่า ‚ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์ชอบธรรม‛ (1 ยอห์น 3:7) ความชอบธรรมถูกกำหนดด้วยมาตรฐานพระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้สำแดงให้เห็นในหลักการสิบประการที่ทรงโปรดประทานจากภูเขาซีนาย {SC 61.1}
That so-called faith in Christ which professes to release men from the obligation of obedience to God, is not faith, but presumption. “By grace are ye saved through faith.” But “faith, if it hath not works, is dead.” Ephesians 2:8; James 2:17.
ความเชื่อในพระคริสต์ที่อ้างว่าได้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากการถูกกำหนดให้เชื่อฟังพระเจ้า แท้จริงแล้วไม่ใช่ความเชื่อแต่เป็นการทึกทักคิดขึ้นมาเอง ‚เราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ‛ แต่ ‚ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล‛ (เอเฟซัส 2:8; ยากอบ 2:17)
Jesus said of Himself before He came to earth, “I delight to do Thy will, O My God: yea, Thy law is within My heart.” Psalm 40:8. And just before He ascended again to heaven He declared, “I have kept My Father’s commandments, and abide in His love.” John 15:10.
พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองในสมัยก่อนที่พระองค์จะเสด็จมายังโลกว่า ‚ข้าพระองค์ปีติยินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์‛ (สดุดี 40:8) ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังสวรรค์เพียงเล็กน้อย พระองค์ทรงประกาศว่า ‚เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดาและยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์‛ (ยอห์น 15:10)
The Scripture says, “Hereby we do know that we know Him, if we keep His commandments. . . . He that saith he abideth in Him ought himself also so to walk even as He walked.” 1 John 2:3-6. “Because Christ also suffered for us, leaving us an example, that ye should follow His steps.” 1 Peter 2:21. {SC 61.2}
พระคัมภีร์กล่าวว่า ‚เราจะมั่นใจได้ว่าเราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์…..ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น‛ (1 ยอห์น 2:3-6) ‚เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์‛ (1 เปโตร 2:21) {SC 61.2}
The condition of eternal life is now just what it always has been,–just what it was in Paradise before the fall of our first parents,–perfect obedience to the law of God, perfect righteousness. If eternal life were granted on any condition short of this, then the happiness of the whole universe would be imperiled. The way would be open for sin, with all its train of woe and misery, to be immortalized. {SC 62.1}
ในเวลานี้ เงื่อนไขที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นเหมือนกับครั้งที่เป็นอยู่ในสรวงสวรรค์ก่อนที่บรรพบุรุษคู่แรกล้มลงในบาป นั่นคือการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างบริบูรณ์ มีผลให้เกิดความชอบธรรมที่สมบูรณ์ หากจะลดเงื่อนไขการรับชีวิตนิรันดร์ลง ความผาสุกของทั่วทั้งจักรวาลก็จะตกอยู่ในอันตราย เป็นการเปิดทางให้ความบาปนำความทุกข์และความโศกเศร้าให้ยั่งยืนเป็นอมตะตลอดไป {SC 62.1}
It was possible for Adam, before the fall, to form a righteous character by obedience to God’s law. But he failed to do this, and because of his sin our natures are fallen and we cannot make ourselves righteous. Since we are sinful, unholy, we cannot perfectly obey the holy law. We have no righteousness of our own with which to meet the claims of the law of God.
ก่อนอาดัมล้มลงในบาป บุคลิคชอบธรรมของอาดัมพัฒนาได้มาด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อาดัมพลาดในเรื่องนี้ และเนื่องจากความบาปของอาดัม ธรรมชาติของเราจึงตกต่ำลงและเราทำให้ตัวเราเองชอบธรรมไม่ได้ เนื่องจากเราเป็นคนบาปหนา ไม่บริสุทธิ์ เราจึงเชื่อฟังบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ เราไม่มีความชอบธรรมของเราเองที่จะนำมาชดใช้ค่าเสียหายตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าเรียกร้องได้
But Christ has made a way of escape for us. He lived on earth amid trials and temptations such as we have to meet. He lived a sinless life. He died for us, and now He offers to take our sins and give us His righteousness. If you give yourself to Him, and accept Him as your Saviour, then, sinful as your life may have been, for His sake you are accounted righteous. Christ’s character stands in place of your character, and you are accepted before God just as if you had not sinned. {SC 62.2}
แต่พระคริสต์ทรงจัดหาหนทางให้เราหลุดพ้น พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาป พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราและบัดนี้พระองค์ทรงเสนอตัวรับบาปของเราและประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้แก่เรา หากท่านจะถวายตัวให้พระองค์และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านแล้ว ไม่ว่าท่านจะมีบาปหนาเพียงไรและโดยหนทางของพระองค์ ท่านจะได้เป็นคนชอบธรรม พระลักษณะของพระคริสต์จะเข้ามาในอุปนิสัยของท่านและต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ท่านจะได้รับการยอมรับว่าท่านไม่เคยทำบาปมาก่อนเลย {SC 62.2}
More than this, Christ changes the heart. He abides in your heart by faith. You are to maintain this connection with Christ by faith and the continual surrender of your will to Him; and so long as you do this, He will work in you to will and to do according to His good pleasure. So you may say, “The life which I now live in the flesh I live by the faith of the Son of God, who loved me, and gave Himself for me.” Galatians 2:20.
นอกเหนือจากนี้ พระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านได้ และโดยความเชื่อพระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจของท่าน และท่านจะต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้โดยความเชื่อและมอบถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์เรื่อยไป และตราบเท่าที่ท่านยังคงทำเช่นนี้ พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในตัวท่านเพื่อให้ความต้องการและความปรารถนาของท่านเป็นไปตามชอบพระทัยของพระองค์ แล้วท่านจะพูดได้ว่า ‚ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เพื่อข้าพเจ้า‛ (กาลาเทีย 2:20)
So Jesus said to His disciples, “It is not ye that speak, but the Spirit of your Father which speaketh in you.” Matthew 10:20. Then with Christ working in you, you will manifest the same spirit and do the same good works –works of righteousness, obedience. {SC 62.3}
ดังที่พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ‚ผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่านผู้ตรัสทางท่าน‛ (มัทธิว 10:20) เมื่อท่านมีพระคริสต์กระทาการในตัวท่าน ท่านก็จะมีจิตวิญญาณที่เหมือนของพระองค์และกระทางานที่ดีแบบเดียวกัน นั่นคืองานของความชอบธรรมและการเชื่อฟัง {SC 62.3}
So we have nothing in ourselves of which to boast. We have no ground for self-exaltation. Our only ground of hope is in the righteousness of Christ imputed to us, and in that wrought by His Spirit working in and through us. {SC 63.1}
ดังนั้นเราจึงไม่มีสิ่งใดในตัวเราที่จะอวด เราไม่มีข้ออ้างใดที่จะยกชูตัวของเราเองให้สูงขึ้น พื้นฐานของความหวังเดียวของเราอยู่ในความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ทรงประทานให้แก่เราและพระวิญญาณของพระองค์ที่กระทำการอยู่ในตัวของเราและสำเร็จในเรา {SC 63.1}
When we speak of faith, there is a distinction that should be borne in mind. There is a kind of belief that is wholly distinct from faith. The existence and power of God, the truth of His word, are facts that even Satan and his hosts cannot at heart deny. The Bible says that “the devils also believe, and tremble;” but this is not faith. James 2:19.
เมื่อเราพูดถึงความเชื่อแล้ว มีความแตกต่างที่เราต้องใส่ใจ มีความเชื่อบางประการที่แตกต่างจากความเชื่อที่กล่าวมาแล้วโดยสิ้นเชิง การดำรงอยู่ของพระเจ้าและอำนาจของพระองค์ ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่แม้ซาตานและบริวารของมันก็ไม่อาจปฏิเสธ พระคัมภีร์กล่าวว่า ‚ปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น‛ แต่นี่ไม่ใช่ความเชื่อ (ยากอบ 2:19)
Where there is not only a belief in God’s word, but a submission of the will to Him; where the heart is yielded to Him, the affections fixed upon Him, there is faith–faith that works by love and purifies the soul. Through this faith the heart is renewed in the image of God.
เราจะต้องไม่เพียงเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่เราจะต้องนำความต้องการมามอบถวายให้พระองค์ เราจะต้องมอบถวายจิตใจให้พระองค์ ให้ความรู้สึกติดสนิทอยู่กับพระองค์ การทำเช่นนี้ต้องมีความเชื่อ ความเชื่อที่กระทำการโดยความรักและการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ความเชื่อเช่นนี้จะสร้างหัวใจขึ้นมาใหม่ในพระฉายาของพระเจ้า
And the heart that in its unrenewed state is not subject to the law of God, neither indeed can be, now delights in its holy precepts, exclaiming with the psalmist, “O how love I Thy law! it is my meditation all the day.” Psalm 119:97. And the righteousness of the law is fulfilled in us, “who walk not after the flesh, but after the Spirit.” Romans 8:1. {SC 63.2}
และหัวใจที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จะอยู่ภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้และจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ แต่บัดนี้ปีติยินดีในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จะร้องขึ้นพร้อมกับผู้ประพันธ์สดุดีว่า ‚แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่า‛ (สดุดี 119:97) และความชอบธรรมของพระบัญญัติสำเร็จในเรา ‚ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ‛ (โรม 8:1) {SC 63.2}
There are those who have known the pardoning love of Christ and who really desire to be children of God, yet they realize that their character is imperfect, their life faulty, and they are ready to doubt whether their hearts have been renewed by the Holy Spirit.
ยังมีผู้ที่เคยรู้จักความรักแห่งการอภัยของพระคริสต์และพวกเขามีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นพวกเขารู้ดีว่าอุปนิสัยของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ ชีวิตของเขายังด่างพร้อยและเขาก็สงสัยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาใหม่แล้วหรือยัง
To such I would say, Do not draw back in despair. We shall often have to bow down and weep at the feet of Jesus because of our shortcomings and mistakes, but we are not to be discouraged. Even if we are overcome by the enemy, we are not cast off, not forsaken and rejected of God. No; Christ is at the right hand of God, who also maketh intercession for us. Said the beloved John, “These things write I unto you, that ye sin not. And if any man sin, we have an advocate with the Father, Jesus Christ the righteous.” 1 John 2:1.
ข้าพเจ้าขอบอกกับคนเหล่านี้ว่า อย่าหันกลับด้วยความท้อใจถึงแม้บ่อยครั้งเราจะต้องก้มลงและร้องไห้แทบพระบาทของพระองค์เพราะความบกพร่องและความผิดของเรา แต่เราจะต้องไม่ท้อถอย ถึงแม้ว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อศัตรู แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ขับไล่ ทอดทิ้งและปฏิเสธเรา ไม่ใช่เช่นนั้น พระคริสต์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า พระองค์ทรงทูลขอเพื่อเรา ยอห์นผู้เป็นที่รักยิ่งของพระคริสต์ได้กล่าวว่า ‚ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น‛ (1 ยอห์น 2:1)
And do not forget the words of Christ, “The Father Himself loveth you.” John 16:27. He desires to restore you to Himself, to see His own purity and holiness reflected in you. And if you will but yield yourself to Him, He that hath begun a good work in you will carry it forward to the day of Jesus Christ. Pray more fervently; believe more fully. As we come to distrust our own power, let us trust the power of our Redeemer, and we shall praise Him who is the health of our countenance. {SC 64.1}
และขอให้ท่านอย่าลืมพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า ‚พระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย‛ (ยอห์น 16:27) พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนาท่านกลับมายังพระองค์เพื่อให้ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์สะท้อนออกมาจากตัวท่าน และหากท่านจะยอมมอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์ พระองค์ผู้ได้ทรงเริ่มต้นการดีในตัวท่าน จะทรงกระทำการต่อไปจนถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้อธิษฐานด้วยใจร้อนรนมากยิ่งขึ้น เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เมื่อเรามาถึงจุดที่เราไม่วางใจในอำนาจของตนเอง ขอให้เราวางใจในอำนาจของพระผู้ไถ่และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นความไพบูลย์ในชีวิตของเรา {SC 64.1}
The closer you come to Jesus, the more faulty you will appear in your own eyes; for your vision will be clearer, and your imperfections will be seen in broad and distinct contrast to His perfect nature. This is evidence that Satan’s delusions have lost their power; that the vivifying influence of the Spirit of God is arousing you. {SC 64.2}
เมื่อท่านเข้าใกล้พระเยซูมากยิ่งขึ้นเพียงไร ท่านก็จะยิ่งมองเห็นความบกพร่องในตัวของท่านเองมากขึ้นเท่านั้น เพราะสายตาของท่านจะมองเห็นได้ดียิ่งขึ้นและเมื่อท่านเทียบกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ ท่านก็จะเห็นความไม่สมบูรณ์ในตัวของท่านได้โจ่งแจ้งและมีความชัดเจนมากขึ้น นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า อำนาจการหลอกลวงของซาตานได้เสื่อมถอยไปแล้วและอิทธิพลที่ให้ชีวิตของพระวิญญาณของพระเจ้าได้ปลุกท่านให้ตื่นขึ้น {SC 64.2}
No deep-seated love for Jesus can dwell in the heart that does not realize its own sinfulness. The soul that is transformed by the grace of Christ will admire His divine character; but if we do not see our own moral deformity, it is unmistakable evidence that we have not had a view of the beauty and excellence of Christ. {SC 65.1}
ความรักที่มีต่อพระเยซูจะฝังลึกเข้าไปในจิตใจที่ไม่สำนึกในความบาปของตนไม่ได้ จิตวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระคริสต์จะชื่นชมกับพระลักษณะของพระเจ้า แต่หากเรามองไม่เห็นความบกพร่องทางคุณธรรมของเราแล้ว นั่นก็คือหลักฐานที่เด่นชัดว่า เรายังมองไม่เห็นความงามและคุณความดีของพระคริสต์ {SC 65.1}
The less we see to esteem in ourselves, the more we shall see to esteem in the infinite purity and loveliness of our Saviour. A view of our sinfulness drives us to Him who can pardon; and when the soul, realizing its helplessness, reaches out after Christ, He will reveal Himself in power. The more our sense of need drives us to Him and to the word of God, the more exalted views we shall have of His character, and the more fully we shall reflect His image. {SC 65.2}
เมื่อเรายิ่งประเมินค่าในตัวของเราเองให้น้อยลงเพียงไร เราก็จะประเมินค่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความดีงามของพระผู้ช่วยให้รอดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ภาพของความผิดบาปของเราจะผลักดันเราให้ไปหาพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยบาปผิดของเราได้ และเมื่อจิตวิญญาณตระหนักถึงความไม่สามารถช่วยตัวเองได้และยื่นมือไปหาพระคริสต์ พระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์เองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อความรู้สึกถึงความขาดแคลนของเราผลักเราให้เข้าไปหาพระองค์และพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพียงไร เราก็จะมองเห็นพระลักษณะของพระเจ้าได้สูงส่งมากขึ้นและเราก็จะสะท้อนพระฉายาของพระเจ้าได้บริบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น {SC 65.2}