Chapter 8 (บทที่ 8)
Growing Up Into Christ
เติบใหญ่ขึ้นในพระเยซู
Thai audio version. Please connect to internet to listen
The change of heart by which we become children of God is in the Bible spoken of as birth. Again, it is compared to the germination of the good seed sown by the husbandman. In like manner those who are just converted to Christ are, “as new-born babes,” to “grow up” to the stature of men and women in Christ Jesus. 1 Peter 2:2; Ephesians 4:15.
พระคัมภีร์เรียกการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าว่า การบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ยังเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่นี้กับการแตกหน่อของเมล็ดดีที่ชาวนาหว่านลงไป ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่กลับใจใหม่ในพระคริสต์เปรียบเหมือน “ทารกแรกเกิด” “เพื่อจะจำเริญขึ้น” เป็นชายและหญิงในพระเยซูคริสต์ (1 เปโตร 2:2; เอเฟซัส 4:15)
Or like the good seed sown in the field, they are to grow up and bring forth fruit. Isaiah says that they shall “be called trees of righteousness, the planting of the Lord, that He might be glorified.” Isaiah 61:3. So from natural life, illustrations are drawn, to help us better to understand the mysterious truths of spiritual life. {SC 67.1}
ดั่งเมล็ดดีที่หว่านลงในทุ่งนาเจริญงอกงามขึ้นและเกิดผล อิสยาห์กล่าวว่า “คนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์” (อิสยาห์ 61:3) ดังนั้น จึงได้มีการนำเรื่องราวชีวิตในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยอธิบายให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกลับของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ {SC 67.1}
Not all the wisdom and skill of man can produce life in the smallest object in nature. It is only through the life which God Himself has imparted, that either plant or animal can live. So it is only through the life from God that spiritual life is begotten in the hearts of men. Unless a man is “born from above,” he cannot become a partaker of the life which Christ came to give. John 3:3, margin. {SC 67.2}
ปัญญาและความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ไม่อาจทำให้เกิดชีวิตเล็กที่สุดในธรรมชาติได้ ทั้งพืชหรือสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้เท่านั้น เช่นเดียวกัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะบังเกิดขึ้นในหัวใจมนุษย์ได้ก็ด้วยชีวิตที่มาจากพระเจ้า ถ้ามนุษย์ไม่ได้ “บังเกิดใหม่จากเบื้องบน” เขาจะมีส่วนในชีวิตซึ่งพระคริสต์เสด็จมาประทานให้ไม่ได้ (ยอห์น 3:3) {SC 67.2}
As with life, so it is with growth. It is God who brings the bud to bloom and the flower to fruit. It is by His power that the seed develops, “first the blade, then the ear, after that the full corn in the ear.” Mark 4:28. And the prophet Hosea says of Israel, that “he shall grow as the lily.” “They shall revive as the corn, and grow as the vine.” Hosea 14:5, 7.
การเติบใหญ่ขึ้นจะมีลักษณะเหมือนเช่นกับการมีชีวิต พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้ดอกตูมนั้นบานและจากดอกทำให้เกิดเป็นผล ด้วยอำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เมล็ดเกิดขึ้น “เป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” (มาระโก 4:28) และผู้เผยพระวจนะโฮเชยากล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า “เขาจะเบิกบานอย่างดอกพลับพลึง” “เขาจะเจริญขึ้นเหมือนอุทยาน จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น” (โฮเยา 14:5, 7)
And Jesus bids us “consider the lilies how they grow.” Luke 12:27. The plants and flowers grow not by their own care or anxiety or effort, but by receiving that which God has furnished to minister to their life. The child cannot, by any anxiety or power of its own, add to its stature. No more can you, by anxiety or effort of yourself, secure spiritual growth.
และพระเยซูทรงบัญชาให้เรา “พิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร” (ลูกา 12:27) ต้นพืชและดอกไม้ไม่อาจงอกงามขึ้นด้วยการใส่ใจหรือความร้อนใจหรือความพยายามของมันเอง แต่จะเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อเลี้ยงดูชีวิตของมัน เด็กไม่อาจขยายรูปร่างของตนให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยความห่วงใยหรือด้วยพละกำลังของตนเอง ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านไม่อาจเติบใหญ่ขึ้นได้จากความทุกข์ร้อนใจ ความกังวลหรือความพยายามของตัวท่านเอง
The plant, the child, grows by receiving from its surroundings that which ministers to its life –air, sunshine, and food. What these gifts of nature are to animal and plant, such is Christ to those who trust in Him. He is their “everlasting light,” “a sun and shield.” Isaiah 60:19; Psalm 84:11.
ต้นพืช เด็ก เติบใหญ่ขึ้นด้วยการรับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่รับใช้ชีวิตของเขาทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ อากาศ แสงแดด และอาหาร ธรรมชาติให้ของขวัญเหล่านี้แก่ทั้งพืชและสัตว์ ในทำนองเดียวกันพระเจ้าทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่วางใจในพระองค์ พระองค์ทรงเป็น “ความสว่างเป็นนิตย์ของเขา” “เป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่” (อิสยาห์ 60:19; สดุดี 84:11)
He shall be as “the dew unto Israel.” “He shall come down like rain upon the mown grass.” Hosea 14:5; Psalm 72:6. He is the living water, “the Bread of God . . . which cometh down from heaven, and giveth life unto the world.” John 6:33. {SC 67.3}
พระองค์ทรง “เป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล” “เป็นเหมือนฝนที่ตกบนหญ้าที่ตัดแล้ว” (โฮเชยา 14:5; สดุดี 72:6) พระองค์ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต เป็น “อาหารของพระเจ้า…..ที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ยอห์น 6:33) {SC 67.3}
In the matchless gift of His Son, God has encircled the whole world with an atmosphere of grace as real as the air which circulates around the globe. All who choose to breathe this life-giving atmosphere will live and grow up to the stature of men and women in Christ Jesus. {SC 68.1}
เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นของขวัญที่ไม่อาจพระเมินค่าได้ พระองค์ได้ทรงโอบล้อมโลกทั้งใบนี้ไว้ด้วยบรรยากาศแห่งพระคุณ เหมือนกับอากาศที่กระจายอยู่รอบโลก ทุกคนที่เลือกหายใจด้วยบรรยากาศที่ให้ชีวิตนี้ จะมีชีวิตและเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายและหญิงในพระคริสต์ {SC 68.1}
As the flower turns to the sun, that the bright beams may aid in perfecting its beauty and symmetry, so should we turn to the Sun of Righteousness, that heaven’s light may shine upon us, that our character may be developed into the likeness of Christ. {SC 68.2}
เช่นเดียวกับที่ดอกไม้หันเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างจะช่วยให้ดอกไม้นั้นงดงามและสมดุลอย่างสมบูรณ์ เราจึงควรหันไปยังดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อแสงสว่างจากสวรรค์จะส่องลงมายังเรา เพื่ออุปนิสัยของเราจะได้พัฒนาขึ้นจนเป็นเหมือนพระฉายาของพระคริสต์ {SC 68.2}
Jesus teaches the same thing when He says, “Abide in Me, and I in you. As the branch cannot bear fruit of itself, except it abide in the vine; no more can ye, except ye abide in Me. . . . Without Me ye can do nothing.” John 15:4, 5.
พระเยซูทรงสอนเรื่องเดียวกันนี้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะเกิดผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้…..เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยอห์น 15:4, 5)
You are just as dependent upon Christ, in order to live a holy life, as is the branch upon the parent stock for growth and fruitfulness. Apart from Him you have no life. You have no power to resist temptation or to grow in grace and holiness. Abiding in Him, you may flourish. Drawing your life from Him, you will not wither nor be fruitless. You will be like a tree planted by the rivers of water. {SC 68.3}
ท่านจะต้องพึ่งพระคริสต์ เพื่อชีวิตของท่านจะบริสุทธิ์ เหมือนเช่นกิ่งที่ต้องพึ่งลำต้นเพื่อจะงอกและเกิดผล หากท่านแยกตัวเองออกจากพระองค์ ท่านจะไม่มีชีวิต ท่านไม่มีอำนาจต่อต้านการทดลองหรืออำนาจที่จะเจริญขึ้นในพระคุณและความบริสุทธิ์ จงเข้าสนิทกับพระองค์ แล้วท่านจะรุ่งเรือง จงหล่อเลี้ยงชีวิตของท่านจากพระองค์ เพื่อท่านจะไม่เหี่ยวเฉาหรือไร้ผล ท่านจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ {SC 68.3}
Many have an idea that they must do some part of the work alone. They have trusted in Christ for the forgiveness of sin, but now they seek by their own efforts to live aright. But every such effort must fail. Jesus says, “Without Me ye can do nothing.”
มีคนมากมายคิดว่าเขาต้องทำบางอย่างด้วยตัวเอง พวกเขาวางใจพระคริสต์ที่ให้อภัยความบาป แต่บัดนี้เขาใช้ความสามารถของตนเองเพื่อดำรงชีวิตให้ถูกต้อง แต่ความพยายามเหล่านี้จะล้มเหลว พระเยซูตรัสว่า “แยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
Our growth in grace, our joy, our usefulness,–all depend upon our union with Christ. It is by communion with Him, daily, hourly,–by abiding in Him, –that we are to grow in grace. He is not only the Author, but the Finisher of our faith. It is Christ first and last and always. He is to be with us, not only at the beginning and the end of our course, but at every step of the way. David says, “I have set the Lord always before me: because He is at my right hand, I shall not be moved.” Psalm 16:8. {SC 69.1}
การเติบใหญ่ขึ้นในพระคุณ ความสุขของเรา การทำงานที่เกิดประโยชน์ สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ โดยการติดต่อกับพระองค์ทุกวัน ทุกชั่วโมง ซึ่งเป็นการติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เราจะเติบใหญ่ในพระคุณได้ พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้บุกเบิกความเชื่อของเราเท่านั้นแต่ยังทรงเป็นผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายและทรงเป็นอยู่ตลอดกาล พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับเรา ไม่ใช่ที่จุดเริ่มต้นและที่จุดสุดปลายเท่านั้น แต่ตลอดทุกย่างก้าว กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว” (สดุดี 16:8) {SC 69.1}
Do you ask, “How am I to abide in Christ?” In the same way as you received Him at first. “As ye have therefore received Christ Jesus the Lord, so walk ye in Him.” “The just shall live by faith.” Colossians 2:6; Hebrews 10:38.
ท่านถามใช่หรือไม่ว่า “ข้าพเจ้าจะติดสนิทกับพระคริสต์ได้อย่างไร” ก็ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ท่านได้ยอมรับพระองค์ตั้งแต่ต้น “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น” “คนชอบธรรม…..จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ” (โคโลสี 2:6; ฮีบรู 10:38)
You gave yourself to God, to be His wholly, to serve and obey Him, and you took Christ as your Saviour. You could not yourself atone for your sins or change your heart; but having given yourself to God, you believe that He for Christ’s sake did all this for you. By faith you became Christ’s, and by faith you are to grow up in Him–by giving and taking.
ท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้วเพื่อให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพื่อรับใช้และเชื่อฟังพระองค์ และท่านรับพระคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านไถ่บาปของท่านเองด้วยตัวของท่านเองไม่ได้หรือเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านเองไม่ได้ แต่ท่านเชื่อว่า โดยการมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงกระทำการทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยเห็นแก่พระคริสต์ โดยความเชื่อท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว และโดยความเชื่อท่านจะเติบใหญ่ขึ้นในพระองค์ ทั้งจากการมอบให้และการรับ
You are to give all,–your heart, your will, your service,–give yourself to Him to obey all His requirements; and you must take all,–Christ, the fullness of all blessing, to abide in your heart, to be your strength, your righteousness, your everlasting helper,–to give you power to obey. {SC 69.2}
ท่านจะต้องมอบทุกสิ่งรวมทั้งจิตใจ ความตั้งใจและการรับใช้ของท่าน มอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของพระองค์ และท่านจะต้องยอมรับทั้งหมด คือ พระคริสต์ผู้ทรงเต็มล้นด้วยพระพรทั้งหมด ให้เข้ามาสถิตในดวงใจของท่าน เพื่อเป็นกำลังของท่าน เป็นความชอบธรรมของท่าน เป็นพระผู้ช่วยนิรันดร์ของท่าน และพระองค์จะทรงประทานอำนาจให้แก่ท่านที่จะเชื่อปฏิบัติตามได้ {SC 69.2}
Consecrate yourself to God in the morning; make this your very first work. Let your prayer be, “Take me, O Lord, as wholly Thine. I lay all my plans at Thy feet. Use me today in Thy service. Abide with me, and let all my work be wrought in Thee.” This is a daily matter. Each morning consecrate yourself to God for that day. Surrender all your plans to Him, to be carried out or given up as His providence shall indicate. Thus day by day you may be giving your life into the hands of God, and thus your life will be molded more and more after the life of Christ. {SC 70.1}
จงถวายตัวของท่านให้พระเจ้าทุกเช้า ให้เป็นงานแรกที่ท่านทำ ให้อธิษฐานว่า “โอข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดรับข้าพระองค์ให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด ข้าพระองค์ขอวางแผนการทั้งหมดของข้าพระองค์ไว้ที่เบื้องพระบาทของพระองค์ โปรดใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้ ขอทรงโปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์และโปรดให้งานทั้งหมดของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” นี่คือสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน ท่านจะต้องมอบถวายตัวให้พระเจ้าทุกเช้า มอบถวายแผนการทั้งหมดของท่านให้พระองค์เพื่อจะทำให้สำเร็จหรือล้มเลิกไปตามการทรงนำของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ ท่านจะมอบถวายชีวิตของท่านให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทุกวัน และชีวิตของท่านจะถูกปั้นแต่งให้เหมือนชีวิตของพระคริสต์ได้มากยิ่งขึ้น {SC 70.1}
A life in Christ is a life of restfulness. There may be no ecstasy of feeling, but there should be an abiding, peaceful trust. Your hope is not in yourself; it is in Christ. Your weakness is united to His strength, your ignorance to His wisdom, your frailty to His enduring might. So you are not to look to yourself, not to let the mind dwell upon self, but look to Christ.
ชีวิตในพระคริสต์เป็นชีวิตที่สุขสบาย เป็นชีวิตที่อาจจะไม่ตื่นเต้น แต่จะมีความวางใจที่เชื่อถือและสงบสุข ความหวังของท่านไม่ได้อยู่ในตัวของท่านเอง แต่อยู่ในพระคริสต์ ความอ่อนแอของท่านประสานเข้ากับพละกำลังของพระองค์ ความโง่เขลาของท่านประสานเข้ากับพระปัญญาของพระองค์ ความเปราะบางของท่านประสานเข้ากับอำนาจที่ยั่งยืนของพระองค์ ดังนั้นท่านจึงไม่ควรมองตัวเอง อย่าให้สมองของท่านคิดถึงแต่ตัวเอง แต่ให้มองไปยังพระคริสต์
Let the mind dwell upon His love, upon the beauty, the perfection, of His character. Christ in His self-denial, Christ in His humiliation, Christ in His purity and holiness, Christ in His matchless love –this is the subject for the soul’s contemplation. It is by loving Him, copying Him, depending wholly upon Him, that you are to be transformed into His likeness. {SC 70.2}
จงให้ความนึกคิดของท่านพักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ในความงดงาม ความดีรอบคอบที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์ จงให้จิตวิญญาณใคร่ครวญอยู่เสมอถึงเรื่องการละทิ้งตนของพระคริสต์ การถ่อมตนของพระองค์ ความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในบุคคลของพระองค์ ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระองค์ ท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการรักพระองค์ ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และพึ่งพิงในพระองค์อย่างเต็มที่ {SC 70.2}
Jesus says, “Abide in Me.” These words convey the idea of rest, stability, confidence. Again He invites,”Come unto Me, . . . and I will give you rest.” Matthew 11:28. The words of the psalmist express the same thought: “Rest in the Lord, and wait patiently for Him.” And Isaiah gives the assurance, “In quietness and in confidence shall be your strength.” Psalm 37:7; Isaiah 30:15.
พระเยซูตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา” ข้อความนี้ให้แนวคิดของการพักผ่อน ความมั่นคง และความมั่นใจ พระองค์ยังทรงเชิญชวนต่อไปว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) ผู้ประพันธ์สดุดีให้แนวคิดในทำนองเดียวกันว่า “จงสงบอยู่ต่อพระเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์อยู่” และอิสยาห์ให้ความมั่นใจไว้ว่า “กำลังของเจ้าจะอยู่ในความสงบและความไว้วางใจ” (สดุดี 37:7; อิสยาห์ 30:15)
This rest is not found in inactivity; for in the Saviour’s invitation the promise of rest is united with the call to labor: “Take My yoke upon you: . . . and ye shall find rest.” Matthew 11:29. The heart that rests most fully upon Christ will be most earnest and active in labor for Him. {SC 71.1}
การพักผ่อนนี้ไม่ใช่เป็นการไม่ทำอะไร เพราะในคำเชื้อเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด การพักผ่อนที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานให้นั้น มีคำร้องเรียกให้ทำงานรับใช้ด้วย “จงเอาแอกของเราแบกไว้…..ท่านทั้งหลายจะได้พัก” (มัทธิว 11:29) จิตใจที่พักพิงอยู่ในพระคริสต์อย่างเต็มที่จะทำงานรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจและจริงจังมากที่สุด {SC 71.1}
When the mind dwells upon self, it is turned away from Christ, the source of strength and life. Hence it is Satan’s constant effort to keep the attention diverted from the Saviour and thus prevent the union and communion of the soul with Christ. The pleasures of the world, life’s cares and perplexities and sorrows, the faults of others, or your own faults and imperfections–to any or all of these he will seek to divert the mind. Do not be misled by his devices.
เมื่อความคิดของเราหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ความนึกคิดของเราก็จะหันออกไปจากพระคริสต์พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพละกำลังและชีวิต ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงคอยพยายามอยู่เสมอที่จะหันเหความสนใจของเราออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นการกีดกันจิตวิญญาณจากการเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์และจากการสื่อสารกับพระองค์ ความสุขสำราญทางฝ่ายโลก ความกังวล ความยุ่งเหยิงและความโศกเศร้าในชีวิต ความผิดของผู้อื่นหรือความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์ของตัวท่านเอง ซาตานจะใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือทั้งหมดนี้เพื่อหันเหความคิดของเรา จงอย่าให้มันใช้เล่ห์กลของมันนำท่านให้หลง
Many who are really conscientious, and who desire to live for God, he too often leads to dwell upon their own faults and weaknesses, and thus by separating them from Christ he hopes to gain the victory. We should not make self the center and indulge anxiety and fear as to whether we shall be saved.
มีคนมากมายที่มีความนึกคิดที่รอบคอบและมีความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้า เขามักจะถูกมารชักนำให้หมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดและความอ่อนแอของตัวเขาเองอยู่เสมอ และซาตานหวังที่จะได้ชัยชนะด้วยการทำให้เขาแยกตัวเองออกไปจากพระคริสต์ เราจะต้องไม่เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางและหมกมุ่นอยู่กับความกังวลและความกลัวว่าเราจะได้รับความรอดหรือไม่
All this turns the soul away from the Source of our strength. Commit the keeping of your soul to God, and trust in Him. Talk and think of Jesus. Let self be lost in Him. Put away all doubt; dismiss your fears. Say with the apostle Paul, “I live; yet not I, but Christ liveth in me: and the life which I now live in the flesh I live by the faith of the Son of God, who loved me, and gave Himself for me.” Galatians 2:20.
เรื่องทั้งหมดนี้จะหันเหเราออกไปจากแหล่งกำลังของเรา จงมอบการดูแลจิตวิญญาณของท่านให้พระเจ้าและวางใจในพระองค์ จงพูดและคิดถึงพระเยซู จงให้ตัวของท่านจมหายไปในพระองค์ ขจัดความสงสัยออกไปให้หมด ขับไล่ความกลัวให้ออกไป และกล่าวร่วมกับอัครทูตเปาโลว่า “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าจะดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20)
Rest in God. He is able to keep that which you have committed to Him. If you will leave yourself in His hands, He will bring you off more than conqueror through Him that has loved you. {SC 71.2}
จงเข้าพักพิงอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงคอยเฝ้ารักษาสิ่งที่ท่านมอบถวายให้พระองค์ หากท่านจะยอมมอบถวายตัวของท่านเองให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว พระองค์จะทรงนำพาท่านให้เป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยนะโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักท่าน {SC 71.2}
When Christ took human nature upon Him, He bound humanity to Himself by a tie of love that can never be broken by any power save the choice of man himself. Satan will constantly present allurements to induce us to break this tie–to choose to separate ourselves from Christ. Here is where we need to watch, to strive, to pray, that nothing may entice us to choose another master; for we are always free to do this.
เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้ในพระองค์ พระองค์ทรงผูกมัดมนุษยชาติไว้ด้วยความรักที่ไม่มีอำนาจใดจะทำให้ขาดสะบั้นไป ยกเว้นแต่เป็นทางเลือกของเขาเอง ซาตานจะคอยยื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อชักชวนให้เราตัดความสัมพันธ์นี้อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เราเลือกที่จะแยกตัวเราเองออกไปจากพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราต้องคอยเฝ้าระวัง คอยบากบั่น คอยอธิษฐานเพื่อไม่ให้สิ่งใดมาชักนำให้เราเลือกนายอื่น เพราะเรามีเสรีภาพที่จะทำเช่นนี้ได้เสมอ
But let us keep our eyes fixed upon Christ, and He will preserve us. Looking unto Jesus, we are safe. Nothing can pluck us out of His hand. In constantly beholding Him, we “are changed into the same image from glory to glory, even as by the Spirit of the Lord.” 2 Corinthians 3:18. {SC 72.1}
แต่ขอให้สายตาของเราจ้องมองไปยังพระคริสต์และพระองค์จะทรงคุ้มครองรักษาเรา เมื่อเรามองไปยังพระเยซูคริสต์ เราจะปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดจะถอนเราให้ออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ เมื่อเราเฝ้ามองพระองค์อยู่เสมอ เราจะ “เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ” (2 โครินธ์ 3:18) {SC 72.1}
It was thus that the early disciples gained their likeness to the dear Saviour. When those disciples heard the words of Jesus, they felt their need of Him. They sought, they found, they followed Him. They were with Him in the house, at the table, in the closet, in the field.
นี่เป็นวิธีที่อัครสาวกในยุคแรกได้รับพระฉายาของพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รักยิ่งของเขาทั้งหลาย เมื่อสาวกเหล่านั้นได้ยินพระดำรัสของพระเยซู พวกเขาตระหนักดีว่า พวกเขาต้องการพระองค์ พวกเขาตามหาและได้พบ พวกเขาจึงได้ติดตามพระองค์ไป พวกเขาอยู่ร่วมกับพระองค์ในบ้าน ที่โต๊ะอาหารในห้องชั้นใน ในทุ่งนา
They were with Him as pupils with a teacher, daily receiving from His lips lessons of holy truth. They looked to Him, as servants to their master, to learn their duty. Those disciples were men “subject to like passions as we are.” James 5:17. They had the same battle with sin to fight. They needed the same grace, in order to live a holy life. {SC 72.2}
พวกเขาอยู่กับพระองค์ในฐานะนักเรียนอยู่กับอาจารย์ พวกเขารับบทเรียนแห่งความจริงศักดิ์สิทธิ์จากพระโอษฐ์ของพระองค์ทุกวัน พวกเขามองดูพระองค์เช่นเดียวกับบ่าวที่มองดูนายเพื่อการเรียนรู้หน้าที่สาวกเหล่านั้น “เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย” (ยากอบ 5:17) พวกเขามีสงครามที่จะต้องต่อสู้กับความบาปเหมือนกับเรา พวกเขาต้องการพระคุณเดียวกันเพื่อจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ {SC 72.2}
Even John, the beloved disciple, the one who most fully reflected the likeness of the Saviour, did not naturally possess that loveliness of character. He was not only self-assertive and ambitious for honor, but impetuous, and resentful under injuries. But as the character of the Divine One was manifested to him, he saw his own deficiency and was humbled by the knowledge.
แม้กระทั่ง ยอห์น สาวกที่พระองค์ทรงรัก ซึ่งเป็นผู้ที่สะท้อนพระลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากที่สุด ก็ไม่ได้มีอุปนิสัยที่น่ารักนี้ติดตัวมาโดยธรรมชาติ ท่านไม่เพียงแต่เป็นคนที่ถือรักษาสิทธิของตนเองและทะเยอทะยานมุ่งหาเกียรติยศเท่านั้น ท่านยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นและไม่พอใจเมื่อถูกคุกคาม แต่เมื่อท่านได้มองเห็นพระลักษณะของพระองค์ ท่านก็มองเห็นความบกพร่องในตัวเองและได้ถ่อมใจลง ท่านได้มองเห็นพละกำลังและความอดทน
The strength and patience, the power and tenderness, the majesty and meekness, that he beheld in the daily life of the Son of God, filled his soul with admiration and love. Day by day his heart was drawn out toward Christ, until he lost sight of self in love for his Master. His resentful, ambitious temper was yielded to the molding power of Christ.
อำนาจและความอ่อนโยน ความยิ่งใหญ่และความถ่อมตนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของพระบุตรของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ได้เติมจิตวิญญาณของท่านให้เต็มล้นด้วยความเลื่อมใสและความรัก วันแล้ววันเล่า จิตใจของท่านถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์ จนกระทั่งความรักที่ท่านมีเพื่อถวายพระอาจารย์ของท่านทำให้ท่านมองไม่เห็นตนเอง อารมณ์ขุ่นเคืองและทะเยอทะยานได้ยอมสยบต่ออำนาจแห่งการหล่อหลอมของพระคริสต์
The regenerating influence of the Holy Spirit renewed his heart. The power of the love of Christ wrought a transformation of character. This is the sure result of union with Jesus. When Christ abides in the heart, the whole nature is transformed. Christ’s Spirit, His love, softens the heart, subdues the soul, and raises the thoughts and desires toward God and heaven. {SC 73.1}
อิทธิพลของการบังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ อำนาจของความรักที่ท่านมีในพระคริสต์ได้กระทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไป นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อเราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเยซู เมื่อพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในจิตใจ ธรรมชาติทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณของพระคริสต์ ความรักของพระองค์ทำให้จิตใจอ่อนโยน วิญญาณจิตสงบและยกระดับความคิดและความปรารถนาไปยังพระเจ้าและสวรรค์ {SC 73.1}
When Christ ascended to heaven, the sense of His presence was still with His followers. It was a personal presence, full of love and light. Jesus, the Saviour, who had walked and talked and prayed with them, who had spoken hope and comfort to their hearts, had, while the message of peace was still upon His lips, been taken up from them into heaven, and the tones of His voice had come back to them, as the cloud of angels received Him–“Lo, I am with you alway, even unto the end of the world.” Matthew 28:20.
เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับสวรรค์ ผู้ติดตามของพระองค์ยังคงรู้สึกว่าพระองค์ยังสถิตร่วมอยู่ด้วย เป็นความรู้สึกของการทรงสถิตอยู่ด้วยแบบส่วนตัว ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและมีชีวิตชีวา พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ได้ทรงดำเนิน สนทนา และอธิษฐานร่วมกับพวกเขา พระองค์ผู้ได้ทรงตรัสความหวังและปลอบประโลมจิตใจของพวกเขา ในขณะที่ข่าวสารแห่งสันติสุขยังอยู่ที่ริมพระโอษฐ์นั้น พระองค์ได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ พระสุรเสียงของพระองค์ดังกลับมาจากหมู่เมฆอันเป็นที่ประกอบด้วยเหล่าทูตสวรรค์ที่กำลังรับพระองค์ขึ้นไปนั้นว่า “นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20)
He had ascended to heaven in the form of humanity. They knew that He was before the throne of God, their Friend and Saviour still; that His sympathies were unchanged; that He was still identified with suffering humanity. He was presenting before God the merits of His own precious blood, showing His wounded hands and feet, in remembrance of the price He had paid for His redeemed. They knew that He had ascended to heaven to prepare places for them, and that He would come again and take them to Himself. {SC 73.2}
พระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ด้วยพระวรกายของมนุษย์ พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องพระที่นั่งของพระเจ้ายังทรงเป็นพระสหายและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา พระเมตตาของพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมกับมนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก พระองค์ทรงนำเสนออำนาจที่มีอยู่ในพระโลหิตประเสริฐต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาทรงแสดงให้เห็นบาดแผลที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายเพื่อผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ทรงเสด็จไปสวรรค์เพื่อเตรียมที่ให้พวกเขา และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกและรับพวกเขาให้ไปอยู่กับพระองค์ {SC 73.2}
As they met together after the ascension they were eager to present their requests to the Father in the name of Jesus. In solemn awe they bowed in prayer, repeating the assurance, “Whatsoever ye shall ask the Father in My name, He will give it you. Hitherto have ye asked nothing in My name: ask, and ye shall receive, that your joy may be full.” John 16:23, 24.
เมื่อพวกเขาร่วมประชุมกันภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์ พวกเขาร้อนรนเพื่อทูลขอต่อพระบิดาในนามของพระเยซู พวกเขาก้มลงอธิษฐานด้วยความเกรงขามและจริงจัง พวกเขาทบทวนคำสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิด แล้วจะได้เพื่อความชื่นชมยินดาของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 16:23,24)
They extended the hand of faith higher and higher with the mighty argument, “It is Christ that died, yea rather, that is risen again, who is even at the right hand of God, who also maketh intercession for us.” Romans 8:34. And Pentecost brought them the presence of the Comforter, of whom Christ had said, He “shall be in you.” And He had further said, “It is expedient for you that I go away: for if I go not away, the Comforter will not come unto you; but if I depart, I will send Him unto you.” John 14:17; 16:7.
พวกเขายื่นมือแห่งความเชื่อให้สูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นไป ด้วยข้อสรุปที่ยิ่งใหญ่ว่า “พระเยซูคริสต์…..ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้วและยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย” (โรม 8:34) และในเทศกาลเพ็นเทคศเต องค์พระผู้ช่วยก็ได้เสด็จมาอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย เป็นองค์พระผู้ช่วยที่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงว่า “ทรงสถิตอยู่กับท่าน” และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” (ยอห์น 14:17; 16:7)
Henceforth through the Spirit, Christ was to abide continually in the hearts of His children. Their union with Him was closer than when He was personally with them. The light, and love, and power of the indwelling Christ shone out through them, so that men, beholding, “marveled; and they took knowledge of them, that they had been with Jesus.” Acts 4:13. {SC 74.1}
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระคริสต์ก็ได้สถิตอยู่ร่วมในจิตใจของเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์โดยทางพระวิญญาณอยู่ตลอดเวลา การเข้าร่วมเป็นหนึ่งระหว่างพวกเขากับพระองค์ก็ใกล้ชิดยิ่งกว่าในสมัยที่พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา ความมีชีวิตชีวา และความรักและอำนาจที่พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ร่วมกับพวกได้ส่องผ่านพวกเขาออกมา เพื่อให้มนุษย์ที่มองเห็นพวกเขาจะ “ประหลาดใจแล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” (กิจการของอัครทูต 4:13) {SC 74.1}
All that Christ was to the disciples, He desires to be to His children today; for in that last prayer, with the little band of disciples gathered about Him, He said, “Neither pray I for these alone, but for them also which shall believe on Me through their word.” John 17:20. {SC 75.1}
พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งของเหล่าสาวกทั้งหลาย ในทุกวันนี้ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นทุกสิ่งของบรรดาบุตรของพระองค์ด้วย เพราะในคำอธิษฐานสุดท้ายร่วมกับสาวกกลุ่มเล็กๆ ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์นั้น พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา” (ยอห์น 17:20) {SC 75.1}
Jesus prayed for us, and He asked that we might be one with Him, even as He is one with the Father. What a union is this! The Saviour has said of Himself, “The Son can do nothing of Himself;” “the Father that dwelleth in Me, He doeth the works.” John 5:19; 14:10.
พระเยซูอธิษฐานเผื่อเราและพระองค์ทรงเชิญชวนให้เราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์ เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดา ช่างเป็นการเข้าร่วมเป็นหนึ่งที่ดีอะไรเช่นนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า “พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” “พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเราได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์” (ยอห์น 5:19; 14:10)
Then if Christ is dwelling in our hearts, He will work in us “both to will and to do of His good pleasure.” Philippians 2:13. We shall work as He worked; we shall manifest the same spirit. And thus, loving Him and abiding in Him, we shall “grow up into Him in all things, which is the head, even Christ.” Ephesians 4:15. {SC 75.2}
เมื่อพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจของเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในเรา “ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13) เราจะกระทำกิจเหมือนเช่นที่พระองค์ทรงทำ เราจะแสดงออกด้วยวิญญาณจิตเดียวกัน ด้วยประการฉะนี้ เราจะรักและเข้าสนิทกับพระองค์ เราจะ “เจริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:15) {SC 75.2}