Chapter 5 (บทที่ 5)
Consecration
การอุทิศถวายตน

Thai audio version. Please connect to internet to listen

God’s promise is, “Ye shall seek Me, and find Me, when ye shall search for Me with all your heart.” Jeremiah 29:13. {SC 43.1}

พระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้วว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า“ (เยเรมีย์ 29:13) {SC 43.1}

The whole heart must be yielded to God, or the change can never be wrought in us by which we are to be restored to His likeness. By nature we are alienated from God.

เราจะต้องมอบถวายจิตใจทั้งหมดให้แด่พระเจ้า มิฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำเรากลับคืนสู่พระฉายาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นไม่ได้ โดยธรรมชาติแล้ว เราห่างเหินจากพระเจ้า

The Holy Spirit describes our condition in such words as these: “Dead in trespasses and sins;” “the whole head is sick, and the whole heart faint;” “no soundness in it.” We are held fast in the snare of Satan, “taken captive by him at his will.” Ephesians 2:1; Isaiah 1:5, 6; 2 Timothy 2:26. God desires to heal us, to set us free. But since this requires an entire transformation, a renewing of our whole nature, we must yield ourselves wholly to Him. {SC 43.2}

พระวิญญาณบริสุทธิ์บรรยายสภาพของเราไว้ดังนี้ว่า “ตายแล้วโดยการละเมิดและความบาป” “ศีรษะก็เจ็บหมด จิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น” “ไม่มีความปกติในนั้นเลย” เราถูกกับดักของซาตานผูกมัดไว้อย่างแน่นหนา “ดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน” (เอเฟซัส 2:1; อิสยาห์ 1: 5, 6; 2 ทิโมธี 2:26) พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะรักษาเราให้หาย เพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ แต่จะทำเช่นนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติทั้งหมดของเรา เราจึงต้องยอมมอบถวายตัวของเราทั้งหมดให้พระองค์ {SC 43.2}

The warfare against self is the greatest battle that was ever fought. The yielding of self, surrendering all to the will of God, requires a struggle; but the soul must submit to God before it can be renewed in holiness. {SC 43.3}

สงครามยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการต่อสู้มาคือ การต่อสู้กับตนเอง การยอมถวายตน มอบถวายทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นจำเป็นต้องมีการดิ้นรนต่อสู้ แต่เราจะต้องยอมมอบถวายจิตวิญญาณของเราให้พระเจ้าก่อน แล้วความบริสุทธิ์ในจิตใจจึงจะถูกสร้างใหม่ได้ {SC 43.3}

The government of God is not, as Satan would make it appear, founded upon a blind submission, an unreasoning control. It appeals to the intellect and the conscience. “Come now, and let us reason together” is the Creator’s invitation to the beings He has made. Isaiah 1:18.

การปกครองของพระเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการของการเชื่อฟังอย่างไม่ลืมหูลืมตาซึ่งเป็นการควบคุมอย่างไม่มีเหตุผลตามที่ซาตานต้องการให้ทุกคนเชื่อ ผู้ที่มีปัญญาและมีจิตสำนึกจะซาบซึ้งกับการปกครองของพระองค์ คำเชิญชวนของพระผู้สร้างที่ทรงยื่นให้แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้นคือ “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน” (อิสยาห์ 1:18)

God does not force the will of His creatures. He cannot accept an homage that is not willingly and intelligently given. A mere forced submission would prevent all real development of mind or character; it would make man a mere automaton. Such is not the purpose of the Creator.

พระเจ้าไม่บังคับความนึกคิดของผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์จะไม่ทรงยอมรับความจงรักภักดีที่ไม่ได้มอบถวายด้วยความเต็มใจและด้วยความเข้าใจอย่างมีสติ การบังคับให้เชื่อฟังจะกีดขวางการพัฒนาสติปัญญาและอุปนิสัยที่แท้จริงทั้งหมด และทำให้มนุษย์เป็นแต่เพียงเครื่องจักร สภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระผู้สร้าง

He desires that man, the crowning work of His creative power, shall reach the highest possible development. He sets before us the height of blessing to which He desires to bring us through His grace. He invites us to give ourselves to Him, that He may work His will in us. It remains for us to choose whether we will be set free from the bondage of sin, to share the glorious liberty of the sons of God. {SC 43.4}

พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ซึ่งเป็นจิตรกรรมล้ำเลิศที่สุดของอำนาจการทรงสร้างของพระองค์ก้าวไปให้ถึงการพัฒนาสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระองค์ทรงจัดวางพระพรอันประเสริฐที่สุดไว้อยู่ต่อหน้าเราเพื่อนำเราให้ไปถึงพระคุณของพระองค์ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรามอบถวายตัวเราเองให้พระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ในตัวเรา ที่เหลือจะขึ้นกับเราว่าเราเลือกจะให้หลุดพ้นจากการจองจำของความบาป เพื่อมีส่วนร่วมกับเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระบุตรของพระเจ้าหรือไม่ {SC 43.4}

In giving ourselves to God, we must necessarily give up all that would separate us from Him. Hence the Saviour says, “Whosoever he be of you that forsaketh not all that he hath, he cannot be My disciple.” Luke 14:33.

เมื่อเรามอบถวายตัวเราเองให้พระเจ้าแล้วนั้นเราจำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่จะแยกตัวเราออกไปจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้ว่า “ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33)

Whatever shall draw away the heart from God must be given up. Mammon is the idol of many. The love of money, the desire for wealth, is the golden chain that binds them to Satan. Reputation and worldly honor are worshiped by another class. The life of selfish ease and freedom from responsibility is the idol of others. But these slavish bands must be broken. We cannot be half the Lord’s and half the world’s. We are not God’s children unless we are such entirely. {SC 44.1}

เราต้องสละทิ้งทุกสิ่งที่จะชักนำจิตใจให้เหินห่างออกจากพระเจ้า ทรัพย์สมบัติเป็นรูปเคารพของคนมากมาย การรักเงินทอง ความปรารถนาที่จะได้สมบัติเป็นโซ่ทองคำที่ผูกมัดเขาเหล่านั้นเข้ากับซาตาน ชื่อเสียงและเกียรติยศทางฝ่ายโลกเป็นสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งบูชา ชีวิตที่สุขสบายอย่างเห็นแก่ตัวและอิสระจากการรับผิดชอบเป็นรูปเคารพของคนอีกกลุ่มหนึ่ง โซ่ความเป็นทาสที่ผูกมัดเหล่านี้จะต้องถูกตัดให้ขาด เราเป็นคนของพระเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นของโลกไม่ได้ เรามิใช่บุตรของพระเจ้าเว้นเสียแต่ว่าเราจะเป็นของพระองค์อย่างเต็มบริบูรณ์เท่านั้น {SC 44.1}

There are those who profess to serve God, while they rely upon their own efforts to obey His law, to form a right character, and secure salvation. Their hearts are not moved by any deep sense of the love of Christ, but they seek to perform the duties of the Christian life as that which God requires of them in order to gain heaven. Such religion is worth nothing. When Christ dwells in the heart, the soul will be so filled with His love, with the joy of communion with Him, that it will cleave to Him; and in the contemplation of Him, self will be forgotten.

มีคนที่อ้างตนว่ารับใช้พระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็พึ่งพาความสามารถของตนเองในการประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า ปั้นแต่งอุปนิสัยให้ถูกต้อง และแสวงหาความรอด ความรักที่มีต่อพระคริสต์ไม่ได้ขับเคลื่อนอยู่ในจิตใจของเขา แต่เขาพยายามประพฤติตามวิถีทางของคริสเตียนตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อจะได้ครอบครองสวรรค์ ศาสนาเช่นนี้ไม่มีคุณค่าเลย เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาอยู่ในจิตใจ จิตวิญญาณก็จะเต็มล้นด้วยความรักของพระองค์ การสื่อสัมพันธ์กับพระองค์จะสร้างความสุขให้แก่เขาอย่างเต็มล้น เขาจะติดสนิทอยู่กับพระองค์ และเมื่อเขาเพ่งพิจพินิจถึงพระองค์ เขาก็จะลืมมองตนเองไป

Love to Christ will be the spring of action. Those who feel the constraining love of God, do not ask how little may be given to meet the requirements of God; they do not ask for the lowest standard, but aim at perfect conformity to the will of their Redeemer. With earnest desire they yield all and manifest an interest proportionate to the value of the object which they seek. A profession of Christ without this deep love is mere talk, dry formality, and heavy drudgery. {SC 44.2}

ความรักที่มีต่อพระคริสต์จะเป็นแหล่งกำเนิดให้เกิดการกระทำ ผู้ที่สัมผัสกับความรักของพระเจ้าที่กำลังผลักดันเขาอยู่ จะไม่ถามว่าเขาต้องมอบถวายให้น้อยเพียงไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายที่พระเจ้ากำหนด พวกเขาจะไม่ถามหามาตรฐานต่ำที่สุด แต่จะตั้งเป้าหมายที่จะทำตามพระประสงค์ของพระผู้ไถ่ให้สมบูรณ์ที่สุด ด้วยความปรารถนาที่จริงใจ พวกเขามอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างและแสดงความสนใจเทียบเท่ากับคุณค่าของสิ่งที่เขาแสวงหา การยอมรับพระคริสต์โดยขาดความรักที่ลึกซึ้งนี้จะเป็นแต่เพียงการคุยโว เป็นพิธีกรรมที่แห้งแล้งและเป็นภาระหนักที่น่าเบื่อหน่าย {SC 44.2}

Do you feel that it is too great a sacrifice to yield all to Christ? Ask yourself the question, “What has Christ given for me?” The Son of God gave all–life and love and suffering–for our redemption. And can it be that we, the unworthy objects of so great love, will withhold our hearts from Him?

ท่านมีความรู้สึกว่า การมอบถวายทุกสิ่งให้พระคริสต์เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินไปหรือ จงถามคำถามนี้กับตนเองว่า “พระคริสต์ทรงประทานอะไรให้แก่ข้าพเจ้า” พระบุตรของพระเจ้าทรงประทานทุกสิ่ง พระองค์ทรงประทานชีวิต ความรักและการทนทุกข์ทรมานเพื่อความรอดของเรา แล้วเราผู้เป็นเป้าหมายอันไม่คู่ควรกับความรักอันยิ่งใหญ่นี้จะยับยั้งหัวใจของเราออกจากพระองค์กระนั้นหรือ

Every moment of our lives we have been partakers of the blessings of His grace, and for this very reason we cannot fully realize the depths of ignorance and misery from which we have been saved. Can we look upon Him whom our sins have pierced, and yet be willing to do despite to all His love and sacrifice? In view of the infinite humiliation of the Lord of glory, shall we murmur because we can enter into life only through conflict and self-abasement? {SC 45.1}

ทุกเสี้ยววินาทีในชีวิตของเรา เราได้รับพระพรแห่งพระคุณของพระองค์ และด้วยเหตุผลนี้ เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างเต็มที่ว่า เราถูกช่วยให้หลุดรอดออกมาจากบ่อลึกของความโง่เขลาและความทุกข์ยากได้อย่างไร เราจะมองไปยังพระองค์ที่เราได้ทิ่มแทงด้วยความบาปของเรา และยังเต็มใจดูหมิ่นความรักและการเสียสละทั้งปวงของพระองค์ได้หรือ เมื่อเรามองเห็นการถ่อมตนอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระสิริของพระเจ้าแล้ว เราจะมัวบ่นพึมพำเพียงเพราะเราต้องผ่านความขัดแย้งและการถ่อมตน เพื่อจะได้ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตเท่านั้นหรือ {SC 45.1}

The inquiry of many a proud heart is, “Why need I go in penitence and humiliation before I can have the assurance of my acceptance with God?” I point you to Christ. He was sinless, and, more than this, He was the Prince of heaven; but in man’s behalf He became sin for the race. “He was numbered with the transgressors; and He bare the sin of many, and made intercession for the transgressors.” Isaiah 53:12. {SC 45.2}

หัวใจเย่อหยิ่งของมนุษย์จำนวนมากถามว่า “ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องสำนึกผิดและถ่อมใจลงก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงยอมรับข้าพเจ้า” ข้าพเจ้าขอชี้ให้ท่านมองไปยังพระคริสต์ พระองค์ผู้ทรงปราศจากบาปและยิ่งกว่านี้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสวรรค์ แต่เพื่อมนุษย์ พระองค์ได้ทรงรับความบาปของมนุษยชาติ พระองค์ “ถูกนับเข้ากับคนทรยศ ถึงกระนั้นท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ทรยศ” (อิสยาห์ 53:12) {SC 45.2}

But what do we give up, when we give all? A sin-polluted heart, for Jesus to purify, to cleanse by His own blood, and to save by His matchless love. And yet men think it hard to give up all! I am ashamed to hear it spoken of, ashamed to write it. {SC 46.1}

แต่เมื่อเราสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเราได้ละทิ้งอะไรไปบ้าง จิตใจที่เปรอะเปื้อนด้วยความบาปเพื่อให้พระเยซูชำระให้บริสุทธิ์ ให้พระองค์ทรงล้างด้วยพระโลหิตของพระองค์ และประทานความรอดให้ด้วยความรักที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเสมอได้ แต่ถึงกระนั้น มนุษย์ยังคิดว่า เป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกินที่จะยอมทิ้งทุกสิ่งไป ข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ รู้สึกอับอายที่จำต้องเขียนคำพูดเช่นนี้ {SC 46.1}

God does not require us to give up anything that it is for our best interest to retain. In all that He does, He has the well-being of His children in view. Would that all who have not chosen Christ might realize that He has something vastly better to offer them than they are seeking for themselves.

พระเจ้าไม่ได้บังคับให้เราละทิ้งสิ่งที่ดีใดๆที่เราต้องเก็บรักษาไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น พระองค์ทรงมองดูความผาสุกของบุตรทั้งหลายของพระองค์ หากว่าคนทั้งหลายที่ไม่เลือกพระคริสต์จะตระหนักว่าพระองค์ทรงมีสิ่งที่ดีกว่าที่จะมอบให้แก่เขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เขาสามารถสรรหามาให้แก่ตนเองได้

Man is doing the greatest injury and injustice to his own soul when he thinks and acts contrary to the will of God. No real joy can be found in the path forbidden by Him who knows what is best and who plans for the good of His creatures. The path of transgression is the path of misery and destruction. {SC 46.2}

เมื่อมนุษย์คิดและทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เขากำลังนำอันตรายและความไม่เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดมายังจิตวิญญาณของเขาเอง เมื่อเขาไปในทิศทางที่พระองค์ทรงตรัสห้ามไว้ เขาจะพบกับความสุขที่แท้จริงไม่ได้ พระองค์ทรงทราบดีว่าเส้นทางใดดีที่สุด และทรงเป็นผู้วางแผนเพื่อให้เกิดผลดีแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้น ส่วนเส้นทางแห่งการล่วงละเมิดเป็นทางแห่งความทุกข์ลำบากและความพินาศ {SC 46.2}

It is a mistake to entertain the thought that God is pleased to see His children suffer. All heaven is interested in the happiness of man. Our heavenly Father does not close the avenues of joy to any of His creatures. The divine requirements call upon us to shun those indulgences that would bring suffering and disappointment, that would close to us the door of happiness and heaven.

เป็นเรื่องผิดที่จะคิดว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เห็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ชาวสวรรค์ทั้งหมดให้ความสนใจกับความสุขของมนุษย์ พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปิดช่องทางแห่งความสุขของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ข้อบังคับของพระเจ้าทรงเรียกให้เราละทิ้งการหมกมุ่นที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานและความผิดหวัง และนำเราออกไปจากประตูแห่งความสุขและประตูของสวรรค์

The world’s Redeemer accepts men as they are, with all their wants, imperfections, and weaknesses; and He will not only cleanse from sin and grant redemption through His blood, but will satisfy the heart-longing of all who consent to wear His yoke, to bear His burden.

พระผู้ไถ่ของโลกทรงยอมรับมนุษย์ในสภาพที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการ ความไม่ดีพร้อม และความอ่อนแอ และพระองค์จะไม่ทรงชำระเขาจากบาปและประทานความรอดโดยทางพระโลหิตของพระองค์เท่านั้น แต่จะทรงประทานความพึงพอใจให้แก่หัวใจทุกดวงที่แสวงหาพระองค์ ซึ่งยอมรับแอกและแบกรับภาระของพระองค์

It is His purpose to impart peace and rest to all who come to Him for the bread of life. He requires us to perform only those duties that will lead our steps to heights of bliss to which the disobedient can never attain. The true, joyous life of the soul is to have Christ formed within, the hope of glory. {SC 46.3}

เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทรงประทานสันติสุขและความสงบสุขให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์อาหารแห่งชีวิต พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสุขสำราญซึ่งผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะก้าวไปไม่ถึง ชีวิตเที่ยงแท้ ความสุขที่แท้จริงจะต้องมีพระคริสต์ทรงสถิตร่วมอยู่ภายใน พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังใจแห่งพระสิริ {SC 46.3}

Many are inquiring, “How am I to make the surrender of myself to God?” You desire to give yourself to Him, but you are weak in moral power, in slavery to doubt, and controlled by the habits of your life of sin. Your promises and resolutions are like ropes of sand. You cannot control your thoughts, your impulses, your affections.

คนมากมายถามว่า “ข้าพเจ้าจะมอบถวายตนเองให้พระเจ้าได้อย่างไร” ท่านประสงค์ที่จะถวายตนเองให้พระองค์ แต่อำนาจฝ่ายศีลธรรมของท่านนั้นอ่อนแอ เป็นทาสของความสงสัย และชีวิตของท่านถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยของความบาปผิด คำมั่นสัญญาและความตั้งใจของท่านเปรียบเหมือนกับเชือกที่ทำด้วยทราย ท่านควบคุมความคิด แรงผลักดัน ความรู้สึกของท่านเองไม่ได้

The knowledge of your broken promises and forfeited pledges weakens your confidence in your own sincerity, and causes you to feel that God cannot accept you; but you need not despair. What you need to understand is the true force of the will. This is the governing power in the nature of man, the power of decision, or of choice. Everything depends on the right action of the will. The power of choice God has given to men; it is theirs to exercise.

ท่านตระหนักว่า การผิดคำมั่นสัญญาและการไม่รักษาคำพูดได้บั่นทอนความมั่นใจในความจริงใจของท่าน และทำให้ท่านรู้สึกว่าพระเจ้าทรงรับท่านไม่ได้ แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจคือ กำลังที่แท้จริงของความตั้งใจ สิ่งนี้คืออำนาจที่ควบคุมธรรมชาติของมนุษย์ เป็นอำนาจในการตัดสินใจหรือการเลือก ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าทรงประทานอำนาจแห่งการเลือกให้แก่มนุษย์ ซึ่งเขาจะต้องนำมาใช้

You cannot change your heart, you cannot of yourself give to God its affections; but you can choose to serve Him. You can give Him your will; He will then work in you to will and to do according to His good pleasure. Thus your whole nature will be brought under the control of the Spirit of Christ; your affections will be centered upon Him, your thoughts will be in harmony with Him. {SC 47.1}

ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านไม่ได้ ท่านถวายความรักของท่านให้พระเจ้าด้วยลำพังตัวของท่านเองไม่ได้ แต่ท่านเลือกที่จะรับใช้พระองค์ได้ ท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์ได้ แล้วพระองค์จะทรงกระทำกิจภายในตัวท่านเพื่อให้ความตั้งใจและการกระทำของท่านเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมชาติทั้งหมดของท่านจะเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณของพระคริสต์ ความรู้สึกของท่านจะมีศูนย์กลางอยู่ในพระองค์ ความคิดของท่านจะประสานเข้ากับพระประสงค์ของพระองค์ {SC 47.1}

Desires for goodness and holiness are right as far as they go; but if you stop here, they will avail nothing. Many will be lost while hoping and desiring to be Christians. They do not come to the point of yielding the will to God. They do not now choose to be Christians. {SC 47.2}

ความปรารถนาคุณความดีและความบริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หากท่านหยุดแค่นี้ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความปรารถนานี้ คนมากมายสูญหายไปในขณะที่เขาหวังและอยากเป็นคริสเตียน พวกเขาเข้ามาไม่ถึงจุดที่จะยอมมอบถวายความตั้งใจให้พระเจ้า เขาจึงไม่ได้เลือกที่จะเป็นคริสเตียน {SC 47.2}

Through the right exercise of the will, an entire change may be made in your life. By yielding up your will to Christ, you ally yourself with the power that is above all principalities and powers. You will have strength from above to hold you steadfast, and thus through constant surrender to God you will be enabled to live the new life, even the life of faith. {SC 48.1}

เมื่อท่านใช้ความตั้งใจอย่างถูกต้อง ชีวิตของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เมื่อท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระคริสต์ ท่านได้นาตัวของท่านเองเข้ามาผูกพันกับอำนาจที่เหนือกว่าเจ้าผู้ครอบครองและอำนาจใดๆทั้งสิ้น ท่านจะมีกำลังจากเบื้องบนที่คอยพยุงให้ท่านมั่นคง และด้วยการมอบถวายตัวให้พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ท่านจะดำเนินชีวิตใหม่ได้ ซึ่งเป็นชีวิตแห่งความเชื่อ {SC 48.1}