Chapter 4 (บทที่ 4)
Tares
ข้าวละมาน

“Another parable put He forth unto them, saying, The kingdom of heaven is likened unto a man which sowed good seed in his field; but while men slept, his enemy came and sowed tares among the wheat, and went his way. But when the blade was sprung up, and brought forth fruit, then appeared the tares also.” {COL 70.1}

“พระองค์ตรัสอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย” มัทธิว 13:24-26 {COL 70.1}

“The field,” Christ said, “is the world.” But we must understand this as signifying the church of Christ in the world. The parable is a description of that which pertains to the kingdom of God, His work of salvation of men; and this work is accomplished through the church.

พระคริสต์ตรัสว่า “นานั้นได้แก่โลก” มัทธิว 13:38 แต่เราจะต้องเข้าใจว่านี่หมายถึงคริสตจักรของพระคริสต์ในโลกนี้ อุปมาเป็นคำพรรณนาอธิบายถึงสิ่งที่เกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์สำหรับความรอดบาปของมนุษย์และพระราชกิจนี้จะสำเร็จได้โดยผ่านทางคริสตจักร

True, the Holy Spirit has gone out into all the world; everywhere it is moving upon the hearts of men; but it is in the church that we are to grow and ripen for the garner of God. {COL 70.2}

เป็นความจริงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จไปทั่วโลกแล้ว พระองค์ทรงประกอบกิจและเคลื่อนไหวในจิตใจของมนุษย์ในทุกแห่งหน แต่ว่าเราจะเจริญขึ้นและเติบโตในคริสตจักร เพื่อจะเก็บเกี่ยวไว้ในยุ้งฉางของพระเจ้า {COL 70.2}

“He that sowed the good seed is the Son of man. . . . The good seed are the children of the kingdom; but the tares are the children of the wicked one.”

“ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์….เมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย” มัทธิว 13:37, 38

The good seed represents those who are born of the word of God, the truth. The tares represent a class who are the fruit or embodiment of error, of false principles. “The enemy that sowed them is the devil.”

เมล็ดพืชดีนั้นหมายถึงผู้ที่เกิดจากพระวจนะแห่งความจริงของพระเจ้า ข้าวละมานนั้นหมายถึงประชากรผู้เป็นผลมาจากหลักเกณฑ์ผิดๆ “ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น” มัทธิว 13:39

Neither God nor His angels ever sowed a seed that would produce a tare. The tares are always sown by Satan, the enemy of God and man. {COL 70.3}

พระเจ้าหรือทูตของพระองค์ไม่ได้เป็นผู้หว่านพืชซึ่งเติบโตเป็นข้าวละมาน ข้าวละมานนั้นซาตานผู้เป็นศัตรูของพระเจ้าและมนุษย์เป็นผู้หว่านเสมอ {COL 70.3}

In the East, men sometimes took revenge upon an enemy by strewing his newly sown fields with the seeds of some noxious weed that, while growing, closely resembled wheat. Springing up with the wheat, it injured the crop and brought trouble and loss to the owner of the field.

ในทางตะวันออก มีบางคนแก้แค้นศัตรูด้วยการหว่านวัชพืชอื่นลงบนนาที่หว่านเรียบร้อยแล้ว ขณะที่วัชพืชชนิดนี้โตขึ้น จะมีลักษณะคล้ายต้นข้าว เมื่องอกขึ้นพร้อมกับต้นข้าวมันก็เป็นภัยแก่พืชที่โตขึ้นมาด้วยกัน สร้างปัญหาและความสูญเสียมายังเจ้าของนา

So it is from enmity to Christ that Satan scatters his evil seed among the good grain of the kingdom. The fruit of his sowing he attributes to the Son of God. By bringing into the church those who bear Christ’s name while they deny His character, the wicked one causes that God shall be dishonored, the work of salvation misrepresented, and souls imperiled. {COL 71.1}

ในทำนองเดียวกันซาตานผู้เป็นศัตรูกับพระคริสต์ หว่านพืชชั่วท่ามกลางพืชดีของแผ่นดิน ผลที่เกิดจากการหว่านของมันนั้นมันก็อ้างว่ามาจากพระบุตรของพระจ้า ด้วยการนำคนเหล่านี้เข้ามายังคริสตจักร ผู้ที่อ้างว่าตนถือพระนามของพระคริสต์แต่ปฏิเสธพระลักษณะนิสัยของพระองค์ คนชั่วเหล่านี้จึงทำให้พระเจ้าเสื่อมพระเกียรติ ทำให้แผนงานแห่งการช่วยให้รอดมีภาพพจน์ที่ผิดไปและทำให้จิตวิญญาณจำนวนมากต้องพินาศ {COL 71.1}

Christ’s servants are grieved as they see true and false believers mingled in the church. They long to do something to cleanse the church. Like the servants of the householder, they are ready to uproot the tares.

ผู้รับใช้ของพระคริสต์เศร้าใจเมื่อเห็นผู้เชื่อที่แท้จริงและเทียมเท็จรวมกันอยู่ในคริสตจักร พวกเขาอยากจะชำระคริสตจักร ดังเช่นบ่าวของเจ้าของนาข้าว พวกเขาพร้อมที่จะถอนข้าวละมานออกไปเสีย

But Christ says to them, “Nay; lest while ye gather up the tares, ye root up also the wheat with them. Let both grow together until the harvest.” {COL 71.2}

แต่พระคริสต์ตรัสกับพวกเขาว่า “อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว” มัทธิว 13:29, 30 {COL 71.2}

Christ has plainly taught that those who persist in open sin must be separated from the church, but He has not committed to us the work of judging character and motive. He knows our nature too well to entrust this work to us. Should we try to uproot from the church those whom we suppose to be spurious Christians, we should be sure to make mistakes.

พระคริสต์ทรงสั่งสอนอย่างชัดเจนว่าผู้ที่ยังขืนปล่อยตัวทำบาปอย่างเปิดเผยจะต้องถูกแยกออกจากคริสตจักร แต่พระองค์ก็ไม่ได้ให้เราทำหน้าที่ตัดสินความประพฤติและความนึกคิดของบุคคลอื่น พระองค์ทรงทราบธรรมชาติของเราเกินกว่าที่จะมอบหน้าที่นี้ให้ ถ้าเราขืนพยายามถอนผู้ที่เราสงสัยว่าไม่ใช่คริสเตียนที่แท้จริงออกจากคริสตจักร อาจจะตัดสินผิดพลาดได้

Often we regard as hopeless subjects the very ones whom Christ is drawing to Himself. Were we to deal with these souls according to our imperfect judgment, it would perhaps extinguish their last hope. Many who think themselves Christians will at last be found wanting.

บ่อยครั้งที่เราถือว่าบางคนสิ้นหวังแล้ว ทั้งที่พระคริสต์ทรงกำลังนำคนนั้นเข้ามาหาพระองค์เอง ถ้าปล่อยให้เราเป็นผู้พิจารณาจิตวิญญาณคนเหล่านี้ ตามการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบของเราแล้ว อาจทำให้โอกาสสุดท้ายของพวกเขาหมดไปก็ได้ มีหลายคนที่คิดว่ตนเป็นคริสเตียนที่แท้จริง แต่สุดท้ายนั้นอาจพบว่าพวกเขายังบกพร่องอยู่

Many will be in heaven who their neighbors supposed would never enter there. Man judges from appearance, but God judges the heart. The tares and the wheat are to grow together until the harvest; and the harvest is the end of probationary time. {COL 71.3}

มีหลายคนจะปรากฏตัวในสวรรค์ เป็นคนที่เพื่อนบ้านของเขาไม่เคยคิดว่าจะเข้าสวรรค์ได้ มนุษย์ตัดสินจากรูปกายภายนอก แต่พระเจ้าทรงตัดสินที่จิตใจ ข้าวละมานและข้าวดีจะต้องเจริญขึ้นด้วยกันจนถึงวันเก็บเกี่ยว และเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวนั้นคือวันที่พระกรุณาของพระเจ้าสิ้นสุดลง {COL 71.3}

There is in the Saviour’s words another lesson, a lesson of wonderful forbearance and tender love. As the tares have their roots closely intertwined with those of the good grain, so false brethren in the church may be closely linked with true disciples.

ในพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดยังมีบทเรียนอีกบทหนึ่ง เป็นบทเรียนเกี่ยวกับความอดทนนานอันน่าอัศจรรย์ และความรักอันอ่อนโยน ดังเช่นข้าวละมานซึ่งมีรากแทรกอยู่ท่ามกลางข้าวดี เช่นเดียงกัน พี่น้องเทียมเท็จในคริสตจักรอาจจะอยู่ใกล้ชิดกับสาวกที่แท้จริง

The real character of these pretended believers is not fully manifested. Were they to be separated from the church, others might be caused to stumble, who but for this would have remained steadfast. {COL 72.1}

อุปนิสัยอันแท้จริงของผู้เชื่อเทียมเท็จเหล่านี้ยังไม่ปรากฏแจ้งอย่างเด่นชัด ถ้าจะแยกพวกเขาเหล่านี้ออกจากคริสตจักรแล้วผู้อื่นอาจจะสะดุดล้มลงเพราะเรื่องนี้ {COL 72.1}

The teaching of this parable is illustrated in God’s own dealing with men and angels. Satan is a deceiver. When he sinned in heaven, even the loyal angels did not fully discern his character. This was why God did not at once destroy Satan.

คำสอนของอุปมานี้เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์และบรรดาทูตสวรรค์ ซาตานเป็นผู้หลอกลวง เมื่อมันทำบาปในสวรรค์แม้กระทั่งเหล่าทูตสวรรค์ที่สัตย์ซื่อยังมองไม่เห็นความประพฤติของมันอย่างชัดแจ้ง นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายมันทันที

Had He done so, the holy angels would not have perceived the justice and love of God. A doubt of God’s goodness would have been as evil seed that would yield the bitter fruit of sin and woe. Therefore the author of evil was spared, fully to develop his character.

เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น ทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ก็จะไม่เห็นถึงความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า ความสงสัยในคุณความดีของพระเจ้าเป็นเช่นเมล็ดชั่วที่ให้ผลอันขมขื่นแห่งบาปและความวิบัติ ฉะนั้นต้นกำเนิดแห่งความชั่วจึงถูกเก็บรักษาไว้ เพื่อให้อุปนิสัยอันแท้ของมันพัฒนาอย่างเต็มที่

Through long ages God has borne the anguish of beholding the work of evil, He has given the infinite Gift of Calvary, rather than leave any to be deceived by the misrepresentations of the wicked one; for the tares could not be plucked up without danger of uprooting the precious grain. And shall we not be as forbearing toward our fellow men as the Lord of heaven and earth is toward Satan? {COL 72.2}

ตลอดชั่วอายุอันยาวนานที่ผ่านมา พระเจ้าทรงอดกลั้นด้วยความเจ็บปวดต่อการที่ต้องทนเห็นกิจการของความชั่ว พระองค์ประทานของขวัญอันล้ำค่าแห่งคาลวารีแทนที่จะปล่อยให้ผู้หนึ่งผู้ใดถูกหลอกด้วยการสำแดงแบบผิดๆ ของมารชั่ว เพราะเหตุว่าไม่สามารถถอนข้าวละมานโดยไม่กระทบกระเทือนถึงรากของข้าวดีอันมีค่า และเราจะไม่ทำตนเป็นผู้อดทนต่อเพื่อนมนุษย์ของเราดังเช่นพระผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ และโลกนี้ที่ทรงความอดทนต่อการกระทำของซาตานหรือ {COL 72.2}

The world has no right to doubt the truth of Christianity because there are unworthy members in the church, nor should Christians become disheartened because of these false brethren. How was it with the early church?

โลกนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะสงสัยความจริงของคริสต์ศาสนาเพียงเพราะมีสมาชิกที่ไม่สมควรอยู่ในคริสตจักร ทำนองเดียวกันคริสเตียนก็ไม่ควรท้อใจ เพราะพี่น้องคริสเตียนจอมปลอมเหล่านั้น คริสตจักรในยุคต้นนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

Ananias and Sapphira joined themselves to the disciples. Simon Magus was baptized. Demas, who forsook Paul, had been counted a believer. Judas Iscariot was numbered with the apostles.

อานาเนียและสัปฟีราเข้าร่วมกับสาวก ซีโมนมากัสรับบัพติสมา เดมัสที่ละทิ้งเปาโลก็ยังนับว่าเป็นผู้เชื่อ ยูดาส อิสคาริโอทเป็นหนึ่งในอัครสาวก

The Redeemer does not want to lose one soul; His experience with Judas is recorded to show His long patience with perverse human nature; and He bids us bear with it as He has borne. He has said that false brethren will be found in the church till the close of time. {COL 72.3}

พระผู้ไถ่ไม่ทรงปรารถนาจะสูญเสียจิตวิญญาณไปแม้แต่ดวงเดียว ประสบการณ์ของพระองค์กับยูดาสนั้นบันทึกไว้เพื่อเปิดเผยให้เห็นถึงความอดทนนานของพระองค์ต่อธรรมชาติอันดื้อรั้นของมนุษย์ พระองค์ทรงเรียกให้เราอดทน ดังเช่นที่พระองค์ทรงอดกลั้น พระองค์ตรัสว่าพี่น้องจอมปลอมเหล่านั้นจะมีอยู่ในคริสตจักรจนกระทั่งวันสุดท้าย {COL 72.3}

Notwithstanding Christ’s warning, men have sought to uproot the tares. To punish those who were supposed to be evildoers, the church has had recourse to the civil power.

มนุษย์ก็ยังคงพยายามถอนข้าวละมานอยู่ ทั้งที่พระคริสต์ทรงเตือนไว้แล้ว คริสตจักรใช้อำนาจทางศาลจัดการลงโทษคนเหล่านั้นที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด

Those who differed from the established doctrines have been imprisoned, put to torture and to death, at the instigation of men who claimed to be acting under the sanction of Christ. But it is the spirit of Satan, not the Spirit of Christ, that inspires such acts.

บุคคลผู้มีความแตกต่างจากคำสอนที่บัญญัติไว้ต้องถูกกักขังไว้ในเรือนจำ ถูกทรมานจนถึงตาย โดยคนที่อ้างว่าทำหน้าที่ภายใต้กฎของพระคริสต์ แต่แท้จริงแล้ว เป็นวิญญาณของซาตานที่ดลใจให้กระทำเช่นนี้ไม่ใช่พระวิญญาณของพระคริสต์

This is Satan’s own method of bringing the world under his dominion. God has been misrepresented through the church by this way of dealing with those supposed to be heretics. {COL 74.1}

นี่คือวิธีการของซาตานที่จะชักนำโลกให้อยู่ภายใต้อำนาจของมัน การที่คริสตจักรปฏิบัติเช่นนี้ต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาว่านอกรีตนั้นทำให้คนอื่นมองพระเจ้าในทางที่ผิด {COL 74.1}

Not judgment and condemnation of others, but humility and distrust of self, is the teaching of Christ’s parable. Not all that is sown in the field is good grain. The fact that men are in the church does not prove them Christians. {COL 74.2}

คำสอนจากอุปมาของพระคริสต์หาใช่การพิพากษาและกล่าวโทษผู้อื่นไม่ แต่คือการถ่อมใจลงและไม่วางใจในตนเอง ใช่ว่าเมล็ดทั้งหมดที่หว่านลงในทุ่งนาจะเป็นพืชดี ข้อเท็จจริงก็คือ คนที่อยู่ในคริสตจักรก็หาได้พิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนไม่ {COL 74.2}

The tares closely resembled the wheat while the blades were green; but when the field was white for the harvest, the worthless weeds bore no likeness to the wheat that bowed under the weight of its full, ripe heads.

ข้าวละมานมีลักษณะคล้ายคลึงข้าวดีในขณะที่ลำต้นยังเขียวอยู่ แต่เมื่อทุ่งนั้นเหลืองอร่ามเพื่อการเกี่ยว จึงปรากฏเด่นชัดว่าข้าวละมานนั้นไม่เหมือนกับข้าวดีที่โน้มลำต้นลงเพราะรวงข้าวที่เติบโตเต็มที่

Sinners who make a pretension of piety mingle for a time with the true followers of Christ, and the semblance of Christianity is calculated to deceive many; but in the harvest of the world there will be no likeness between good and evil. Then those who have joined the church, but who have not joined Christ, will be manifest. {COL 74.3}

คนบาปที่ทำตัวเป็นคนเคร่งศาสนาก็รวมอยู่กับผู้ติดตามพระคริสต์ที่แท้จริงได้ชั่วขณะหนึ่ง และการแฝงตัวอยู่ร่วมกับคริสเตียนก็ทำให้หลายคนถูกหลอก แต่เมื่อถึงเวลาการเก็บเกี่ยวของโลกนี้ จะไม่มีความคล้ายคลึงระหว่างความดีและความชั่ว เมื่อนั้นผู้ที่เข้าร่วมกับคริสตจักรแต่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์จะปรากฏตัวให้เห็น {COL 74.3}

The tares are permitted to grow among the wheat, to have all the advantage of sun and shower; but in the time of harvest ye shall “return, and discern between the righteous and the wicked, between him that serveth God and him that serveth Him not.” Malachi 3:18.

ข้าวละมานถูกปล่อยให้เติบโตไปพร้อมกับข้าวดี ได้รับประโยชน์จากทั้งแสงอาทิตย์และน้ำฝน แต่เมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว “เจ้าจะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและอธรรม ระหว่างคนที่ปรนนิบัติพระเจ้ากับคนที่ไม่ปรนนิบัติพระองค์” มาลาคี 3:18

Christ Himself will decide who are worthy to dwell with the family of heaven. He will judge every man according to his words and his works. Profession is as nothing in the scale. It is character that decides destiny. {COL 74.4}

พระเยซูคริสต์เองจะทรงพิจารณาผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมกับครอบครัวแห่งแผ่นดินสวรรค์ พระองค์จะทรงพิพากษาทุกคนตามคำพูดและการกระทำของเขา คนที่กล่าวว่าตนเองเป็นคริสเตียนจะไม่ถูกนับเข้าไป แต่อุปนิสัยต่างหากที่จะตัดสินบั้นปลายชีวิตของพวกเขา {COL 74.4}

The Saviour does not point forward to a time when all the tares become wheat. The wheat and tares grow together until the harvest, the end of the world. Then the tares are bound in bundles to be burned, and the wheat is gathered into the garner of God.

พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ชี้ไปยังเวลาในอนาคตว่าข้าวละมานจะกลับกลายเป็นข้าวดี ข่าวดีและข้าวละมานเติบโตขึ้นพร้อมกันจนกระทั่งถึงเวลาเก็บเกี่ยวคือวันสิ้นโลก เมื่อนั้นข้าวละมานจะถูกรวบรวมมัดเป็นฟ่อนเพื่อเผาทิ้งเสีย ส่วนข้าวดีจะถูกรวบรวมเข้าในการเก็บเกี่ยวของพระเจ้า

“Then shall the righteous shine forth as the sun in the kingdom of their Father.” Then “the Son of man shall send forth His angels, and they shall gather out of His kingdom all things that offend, and them which do iniquity; and shall cast them into a furnace of fire; there shall be wailing and gnashing of teeth.” {COL 75.1}

“เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์” เมื่อนั้น “บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่านและจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” มัทธิว 13:43, 41, 42 {COL 75.1}