Chapter 11 (บทที่ 11)
“Things New and Old”
ทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่
While Christ was teaching the people, He was also educating His disciples for their future work. In all His instruction there were lessons for them. After giving the parable of the net, He asked them, “Have ye understood all these things?” They said unto Him, “Yea, Lord.” Then in another parable He set before them their responsibility in regard to the truths they had received. “Therefore,” He said, “every scribe which is instructed unto the kingdom of heaven is like unto a man that is an householder, which bringeth forth out of his treasure things new and old.” {COL 124.1}
ขณะที่พระคริสต์ทรงสอนประชาชนอยู่นั้น พระองค์ทรงสั่งสอนสาวกของพระองค์ในเรื่องงานของพวกเขาในอนาคตพร้อมกันไปด้วย ในคำสอนทั้งหมดของพระองค์มีบทเรียนสำหรับพวกเขา หลังจากที่ทรงกล่าวอุปมาเรื่องของอวนจับปลาแล้วพระองค์ทรงถามว่า “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” ดังนั้นพระองค์จึงยกอุปมาอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้คนเหล่านี้เห็นถึงความรับผิดชอบที่พวกเชาพึงมีต่อความจริงที่พวกเขาได้รับไว้แล้ว พระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้ พวกธรรมจารย์ทุกคนที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” มัทธิว 13:51, 52 {COL 124.1}
The treasure gained by the householder he does not hoard. He brings it forth to communicate to others. And by use the treasure increases. The householder has precious things both new and old. So Christ teaches that the truth committed to His disciples is to be communicated to the world. And as the knowledge of truth is imparted, it will increase. {COL 124.2}
ทรัพย์สมบัติที่เจ้าของบ้านได้เพิ่มมานั้น เขาไม่ได้เก็บไว้เฉยๆ เขาเอาออกมาเพื่อแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น และด้วยการกระทำเช่นนี้ทำให้สมบัติของเขาเพิ่มขึ้น เจ้าของบ้านมีสมบัติมีค่าทั้งของใหม่และของเก่า ดังนั้นพระคริสต์ทรงสอนว่าความจริงที่มอบหมายให้กับสาวกของพระองค์แล้วนั้นจะต้องแจ้งให้แก่ชาวโลก และในขณะที่มีการแบ่งปันความจริงออกไป ความจริงนั้นก็จะเพิ่มขึ้น {COL 124.2}
All who receive the gospel message into the heart will long to proclaim it. The heaven-born love of Christ must find expression. Those who have put on Christ will relate their experience, tracing step by step the leadings of the Holy Spirit–their hungering and thirsting for the knowledge of God and of Jesus Christ whom He has sent, the results of their searching of the Scriptures, their prayers, their soul agony, and the words of Christ to them, “Thy sins be forgiven thee.” It is unnatural for any to keep these things secret, and those who are filled with the love of Christ will not do so. In proportion as the Lord has made them the depositaries of sacred truth will be their desire that others shall receive the same blessing. And as they make known the rich treasures of God’s grace, more and still more of the grace of Christ will be imparted to them. They will have the heart of a little child in its simplicity and unreserved obedience. Their souls will pant after holiness, and more and more of the treasures of truth and grace will be revealed to them to be given to the world. {COL 125.1}
ทุกคนที่ได้รับข่าวประเสริฐเข้าไว้ในจิตใจจะมีความต้องการที่จะประกาศออกไป ความรักของพระคริสต์ที่ได้มาจากสวรรค์จะต้องประกาศออกไป ผู้ที่สวมพระคริสต์มาไว้ในชีวิตจะบอกเล่าประสบการณ์ของเขา บอกถึงการทรงนำทีละขั้นทีละตอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งก็คือความหิวและความกระหายของพวกเขาในเรื่องความรู้ของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา ผลการศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์ของพวกเขา คำอธิษฐานของพวกเขา ความปวดร้าวในจิตวิญญาณของพวกเขา และพระดำรัสของพระคริสต์ที่มีมายังพวกเขาว่า “บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” มัทธิว 9:2 ปกติแล้วไม่มีผู้ใดจะเก็บสิ่งเหล่านี้ให้เป็นความลับได้ และผู้ที่เต็มล้นไปด้วยความรักของพระคริสต์จะไม่ทำเช่นนั้น ในสัดส่วนความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงฝากพวกเขานั้น เขาก็อยากจะให้ผู้อื่นได้รับพระพรอย่างเดียวกันนี้ด้วย และในขณะที่พวกเขานำสมบัติอันมีค่าแห่งพระคุณของพระเจ้าไปให้แก่ผู้อื่นรับรู้นั้น พระคุณของพระคริสต์ก็จะทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขามากยิ่งขึ้น พวกเขาจะมีจิตใจเหมือนเด็กเล็กๆ ในการเชื่อฟังอย่างง่ายๆ และไม่มีข้อแม้ จิตวิญญาณของพวกเขาจะเรียกหาความบริสุทธิ์ สมบัติแห่งความจริงและพระคุณจะเปิดเผยให้พวกเขารับรู้มากยิ่งขึ้นเพื่อแบ่งปันให้กับชาวโลก {COL 125.1}
The great storehouse of truth is the word of God– the written word, the book of nature, and the book of experience in God’s dealing with human life. Here are the treasures from which Christ’s workers are to draw. In the search after truth they are to depend upon God, not upon human intelligences, the great men whose wisdom is foolishness with God. Through His own appointed channels the Lord will impart a knowledge of Himself to every seeker. {COL 125.2}
คลังสมบัติแห่งความจริงอันยิ่งใหญ่คือพระวจนะของพระเจ้า เป็นหนังสือที่บันทึกเป็นตัวอักษร เป็นหนังสือของธรรมชาติและเป็นหนังสือแห่งประสบการณ์กล่าวถึงการปฏิบัติของพระเจ้าต่อชีวิตมนุษย์ นี่คือแหล่งขุมทรัพย์ที่ผู้รับใช้ของพระคริสต์จะค้นหาได้ ในการค้นหาความจริงนั้น พวกเขาต้องพึ่งพระเจ้า ไม่ใช่พึ่งสติปัญญาความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ สติปัญญาของบุคคลยิ่งใหญ่นั้นเป็นความโง่เขลาของพระเจ้า พระยาห์เวห์จะประทานสติปัญญาในเรื่องของพระองค์เองแก่ทุกคนที่แสวงหาด้วยวิถีทางของพระองค์เอง {COL 125.2}
If the follower of Christ will believe His word and practice it, there is no science in the natural world that he will not be able to grasp and appreciate. There is nothing but that will furnish him means for imparting the truth to others. Natural science is a treasure house of knowledge from which every student in the school of Christ may draw. As we contemplate the beauty of nature, as we study its lessons in the cultivation of the soil, in the growth of the trees, in all the wonders of earth and sea and sky, there will come to us a new perception of truth. And the mysteries connected with God’s dealings with men, the depths of His wisdom and judgment as seen in human life–these are found to be a storehouse rich in treasure. {COL 125.3}
หากผู้ติดตามพระคริสต์เชื่อถ้อยคำของพระองค์และปฏิบัติตาม จะไม่มีศาสตร์แห่งความรู้ใดในโลกของธรรมชาติที่เขารับรู้และซาบซึ้งในคุณค่าไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะไม่ช่วยเขาเพื่อการนำความจริงไปให้แก่ผู้อื่น ศาสตร์จากธรรมชาติเป็นคลังแห่งความรู้ที่นักศึกษาในโรงเรียนของพระคริสต์ค้นหาได้ ในขณะที่เราใคร่ครวญถึงความงดงามของธรรมชาติ ในขณะที่เราศึกษาบทเรียนของการเพาะปลูกพรวนดิน ศึกษาการเจริญเติบโตของต้นไม้ ศึกษาความมหัศจรรย์ของพื้นโลกและมหาสมุทรและท้องฟ้า เราก็จะได้รับความเข้าใจเรื่องความจริงในแง่มุมใหม่ ความล้ำลึกที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ความล้ำลึกของพระปัญญาและการพิพากษาของพระเจ้าที่มองเห็นในชีวิตของมนุษย์ เราจะค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคลังสมบัติอันล้ำค่าบรรจุอยู่ภายใน {COL 125.3}
But it is in the written word that a knowledge of God is most clearly revealed to fallen man. This is the treasure house of the unsearchable riches of Christ. {COL 126.1}
ในถ้อยคำที่จารึกไว้นี้ มีความรู้เรื่องของพระเจ้าที่เปิดเผยไว้อย่างชัดเจนให้แก่มนุษย์ที่ล้มลงในบาป นี่คือคลังสมบัติที่ไม่มีวันเหือดแห้งของพระคริสต์ {COL 126.1}
The word of God includes the Scriptures of the Old Testament as well as of the New. One is not complete without the other. Christ declared that the truths of the Old Testament are as valuable as those of the New. Christ was as much man’s Redeemer in the beginning of the world as He is today. Before He clothed His divinity with humanity and came to our world, the gospel message was given by Adam, Seth, Enoch, Methuselah, and Noah. Abraham in Canaan and Lot in Sodom bore the message, and from generation to generation faithful messengers proclaimed the Coming One. The rites of the Jewish economy were instituted by Christ Himself. He was the foundation of their system of sacrificial offerings, the great antitype of all their religious service. The blood shed as the sacrifices were offered pointed to the sacrifice of the Lamb of God. All the typical offerings were fulfilled in Him. {COL 126.2}
พระวจนะของพระเจ้าประกอบด้วยพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่ แต่ละเล่มจะไม่สมบูรณ์หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป พระคริสต์ทรงประกาศว่าความจริงของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้นมีค่าเท่าเทียบกับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ตั้งแต่ยุคแรกของการสร้างโลกมาจนถึงยุคปัจจุบัน ก่อนที่พระองค์ทรงสวมความเป็นพระเจ้าด้วยสภาพของมนุษย์และเสด็จมายังโลกของเรานั้น ข่าวประเสริฐได้ประกาศออกไปโดยอาดัม เสท เอโนค เมธูเสลาห์และโนอาห์ อับราฮัมที่เมืองคานาอันและโลทที่เมืองโสโดมก็ประกาศข่าวสารนี้ และจากคนชั่วอายุหนึ่งไปสู่คนอีกชั่วอายุหนึ่งบรรดาผู้สื่อข่าวที่สัตย์ซื่อก็ประกาศถึงพระองค์ผู้จะเสด็จมา พระคริสต์เองทรงเป็นผู้สถาปนาพิธีการทางศาสนาทั้งหมดของชาวยิว พระองค์ทรงเป็นพื้นฐานของระบบการถวายบูชาซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของพิธีการทางศาสนาทั้งหมดของพวกเขา โลหิตที่ไหลในการถวายเครื่องบูชาชี้ไปยังการถวายบูชาของพระเมษโปดกของพระเจ้า สัญลักษณ์แห่งการถวายบูชาสำเร็จในพระองค์ {COL 126.2}
Christ as manifested to the patriarchs, as symbolized in the sacrificial service, as portrayed in the law, and as revealed by the prophets, is the riches of the Old Testament. Christ in His life, His death, and His resurrection, Christ as He is manifested by the Holy Spirit, is the treasure of the New Testament. Our Saviour, the outshining of the Father’s glory, is both the Old and the New. {COL 126.3}
พระคริสต์ทรงสำแดงพระองค์เองแก่บรรพบุรุษด้วยรูปแบบของสัญลักษณ์ในพิธีการถวายเครื่องบูชาที่ชี้ไปยังพระองค์ ในรูปแบบของพระบัญญัติ และการเปิดเผยผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พระคริสต์ในการสำแดงนี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่าของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ชีวิต ความมรณะและการกลับเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์ พระคริสต์ทรงสำแดงพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ล้วนเป็นคลังสมบัติอันล้ำค่าของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงฉายแสงสง่าราศีของพระบิดาทรงเป็นพันธสัญญาทั้งภาคเดิมและภาคใหม่ {COL 126.3}
Of Christ’s life and death and intercession, which prophets had foretold, the apostles were to go forth as witnesses. Christ in His humiliation, in His purity and holiness, in His matchless love, was to be their theme. And in order to preach the gospel in its fullness, they must present the Saviour not only as revealed in His life and teachings, but as foretold by the prophets of the Old Testament and as symbolized by the sacrificial service. {COL 127.1}
ชีวิตของพระคริสต์และความมรณาและการทำหน้าที่เป็นคนกลางของพระองค์ที่บรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ไว้เป็นสิ่งที่อัครทูตจะต้องออกไปเป็นพยาน หัวข้อหลักที่พวกเขาจะต้องประกาศคือการ ถ่อมตนของพระคริสต์ ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และความรักที่ไม่มีอะไรเปรียบได้ของพระองค์ ในการทำให้การประกาศข่าวประเสริฐเป็นไปอย่างบริบูรณ์นั้น พวกเขาจะต้องนำเสนอพระผู้ช่วยไม่เพียงแต่ด้วยการแสดงออกมาจากชีวิตและคำสอนของพระองค์เท่านั้น แต่ในสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและที่เป็นสัญลักษณ์ในพิธีถวายบูชาด้วย {COL 127.1}
Christ in His teaching presented old truths of which He Himself was the originator, truths which He had spoken through patriarchs and prophets; but He now shed upon them a new light. How different appeared their meaning! A flood of light and spirituality was brought in by His explanation. And He promised that the Holy Spirit should enlighten the disciples, that the word of God should be ever unfolding to them. They would be able to present its truths in new beauty. {COL 127.2}
ในคำสอนของพระคริสต์ พระองค์ทรงนำเสนอความจริงอันเก่าแก่ ซึ่งพระองค์เองทรงเป็นผู้ทรงริเริ่ม เป็นความจริงที่พระองค์ตรัสผ่านบรรพบุรุษและผู้เผยพระวจนะ แต่บัดนี้พระองค์ทรงฉายแสงให้พวกเขาเห็นด้วยแสงสว่างใหม่ ความหมายที่ปรากฏออกมานั้นช่างมีความแตกต่างกันมากเพียงไร คำอธิบายของพระองค์นำมาซึ่งแสงสว่างที่ฉายเจิดจ้าและชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เต็มล้น และพระองค์ทรงสัญญาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้สาวกมีความเข้าใจมากขึ้น พระคำของพระเจ้าจะปรากฏแจ้งแก่ทุกคนอยู่เสมอ เพื่อเขาจะนำเสนอความจริงด้วยความงดงามใหม่ {COL 127.2}
Ever since the first promise of redemption was spoken in Eden, the life, the character, and the mediatorial work of Christ have been the study of human minds. Yet every mind through whom the Holy Spirit has worked has presented these themes in a light that is fresh and new. The truths of redemption are capable of constant development and expansion. Though old, they are ever new, constantly revealing to the seeker for truth a greater glory and a mightier power. {COL 127.3}
นับตั้งแต่พระสัญญาครั้งแรกของการไถ่บาปที่กล่าวไว้ในสวนเอเดน ชีวิต พระลักษณะนิสัยและภารกิจการเป็นคนกลางของพระคริสต์เป็นหัวข้อศึกษาที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ ถึงกระนั้นก็ตาม จิตใจทุกดวงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานอยู่นั้นได้ทรงเสนอให้เห็นแสงสว่างที่สดชื่นและใหม่อยู่เสมอ ความจริงเรื่องการไถ่จะพัฒนาและขยายความอยู่ตอลดเวลา ถึงแม้จะเก่า แต่ความจริงนี้ก็ยังสดใหม่เสมอ เปิดเผยถึงสง่าราศีและอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้แสวงหาความจริง {COL 127.3}
In every age there is a new development of truth, a message of God to the people of that generation. The old truths are all essential; new truth is not independent of the old, but an unfolding of it. It is only as the old truths are understood that we can comprehend the new. When Christ desired to open to His disciples the truth of His resurrection, He began “at Moses and all the prophets” and “expounded unto them in all the scriptures the things concerning Himself.” Luke 24:27. But it is the light which shines in the fresh unfolding of truth that glorifies the old. He who rejects or neglects the new does not really possess the old. For him it loses its vital power and becomes but a lifeless form. {COL 127.4}
ในทุกยุคจะมีการพัฒนาความจริงใหม่อยู่เสมอเพื่อให้ข่าวสารของพระเจ้าเหมาะสำหรับคนในยุคนั้น ความจริงดั้งเดิมนั้นมีความสำคัญทั้งสิ้น ความจริงใหม่ไม่อาจแยกเป็นเอกเทศจากความจริงเดิม แต่จะช่วยขยายความหมายของความจริงเดิม ความเข้าใจในความจริงเดิมเท่านั้นที่จะช่วยทำให้เราเข้าใจความจริงอันใหม่ได้ ขณะที่พระคริสต์มีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ให้แก่สาวกของพระองค์ พระองค์ทรง “เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด” และ “ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง” ลูกา 24:27 แต่แสงสว่างที่ส่องออกมาจากความจริงใหม่ที่ได้รับการเปิดเผยแล้วทำให้มองเห็นสง่าราศีแห่งความจริงอันเดิม ผู้ที่ปฏิเสธหรือละเลยของใหม่ก็ไม่ได้ครอบครองของเดิมอย่างแท้จริง เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว จะเป็นการสูญเสียพลังชีวิตและกลายเป็นเพียงรูปแบบที่ไม่มีชีวิต {COL 127.4}
There are those who profess to believe and to teach the truths of the Old Testament, while they reject the New. But in refusing to receive the teachings of Christ, they show that they do not believe that which patriarchs and prophets have spoken. “Had ye believed Moses,” Christ said, “ye would have believed Me; for he wrote of Me.” John 5:46. Hence there is no real power in their teaching of even the Old Testament. {COL 128.1}
มีบางคนที่อ้างว่าเชื่อและสั่งสอนความจริงของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ในขณะที่พวกเขาปฏิเสธพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ แต่ในการปฏิเสธที่จะรับคำสอนของพระคริสต์นั้น พวกเขาแสดงให้เห็นว่าไม่เชื่อสิ่งที่อัครปิตาและผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านก็น่าจะเชื่อเราเพราะโมเสสเขียนถึงเรา” ลูกา 5:46 ฉะนั้นคำสอนจึงไม่มีพลังอย่างแท้จริงแม้จะมาจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมก็ตาม {COL 128.1}
Many who claim to believe and to teach the gospel are in a similar error. They set aside the Old Testament Scriptures, of which Christ declared, “They are they which testify of Me.” John 5:39. In rejecting the Old, they virtually reject the New; for both are parts of an inseparable whole. No man can rightly present the law of God without the gospel, or the gospel without the law. The law is the gospel embodied, and the gospel is the law unfolded. The law is the root, the gospel is the fragrant blossom and fruit which it bears. {COL 128.2}
คนจำนวนมากที่อ้างว่าเชื่อและสั่งสอนข่าวประเสริฐก็ทำผิดในลักษณะเดียวกัน พวกเขาละทิ้งพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมซึ่งแม้แต่พระคริสต์เองก็ยังทรงประกาศว่า “พระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้แก่เรา” ยอห์น 5:39 การปฏิเสธพระคัมภีร์เดิมก็เท่ากับปฏิเสธพระคัมภีร์ใหม่ เพราะพระธรรมทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ไม่มีมนุษย์คนใดจะนำเสนอเรื่องพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างถูกต้องได้โดยไม่มีพระกิตติคุณ หรือพระกิตติคุณโดยไม่มีพระบัญญัติ พระบัญญัตินั้นห่อหุ้มด้วยพระกิตติคุณ และกิตติคุณก็คือพระบัญญัติที่ได้รับการเปิดออก พระบัญญัติเป็นรากส่วนพระกิตติคุณเป็นดอกไม้หอมที่เบ่งบานและผลที่ผลิตออกมา {COL 128.2}
The Old Testament sheds light upon the New, and the New upon the Old. Each is a revelation of the glory of God in Christ. Both present truths that will continually reveal new depths of meaning to the earnest seeker. {COL 128.3}
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมส่องแสงสว่างให้แก่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ และพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ส่องแสงสว่างให้แก่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม แต่ละส่วนเป็นการเปิดเผยพระสิริของพระเจ้าในพระคริสต์ ทั้งสองเล่มนี้เสนอความจริงที่จะเปิดเผยความหมายใหม่อันล้ำลึกแก่ผู้ที่ค้นหาอย่างจริงใจ {COL 128.3}
Truth in Christ and through Christ is measureless. The student of Scripture looks, as it were, into a fountain that deepens and broadens as he gazes into its depths. Not in this life shall we comprehend the mystery of God’s love in giving His Son to be the propitiation for our sins. The work of our Redeemer on this earth is and ever will be a subject that will put to the stretch our highest imagination. Man may tax every mental power in the endeavor to fathom this mystery, but his mind will become faint and weary. The most diligent searcher will see before him a boundless, shoreless sea. {COL 128.4}
ความจริงในพระคริสต์และโดยพระคริสต์ไม่อาจที่จะวัดได้ นักศึกษาพระคัมภีร์เมื่อมองจะเห็นเป็นเช่นน้ำพุที่ลึกมากขึ้นและกว้างขยายออกมากขึ้น ในชีวิตนี้เราไม่อาจเข้าใจความล้ำลึกของความรักของพระเจ้าที่ทรงโปรดประทานพระบุตรของพระองค์เพื่อไถ่บาปของเรา ภารกิจในโลกนี้ของพระผู้ช่วยให้รอดจะเป็นหัวข้อสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราต้องคิดคำนึงถึงตลอดไป มนุษย์อาจใช้พลังความคิดทั้งหมดเพื่อพยายามเข้าใจถึงความล้ำลึกนี้ แต่สมองของเขาจะอ่อนเปลี้ยและเพลียไป ผู้ค้นหาที่ขยันขันแข็งที่สุดเท่านั้นจะมองเห็นทะเลอันไร้ขอบเขตซึ่งไม่มีฝั่งมาขวางกั้นปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขา {COL 128.4}
The truth as it is in Jesus can be experienced, but never explained. Its height and breadth and depth pass our knowledge. We may task our imagination to the utmost, and then we shall see only dimly the outlines of a love that is unexplainable, that is as high as heaven, but that stooped to the earth to stamp the image of God on all mankind. {COL 129.1}
ความจริงที่มีอยู่ในพระเยซูนั้นสัมผัสได้ แต่อธิบายไม่ได้ ความสูง ความกว้างและความลึกนี้เกินความรู้ของเรา เราอาจใช้จินตนาการจนถึงที่สุด แต่ก็จะเห็นความรักที่อธิบายไม่ได้นี้เพียงเลือนราง เป็นความรักที่สูงเท่าเทียมท้องฟ้า แต่โน้มต่ำลงมาสู่โลกเพื่อประทับตราพระฉายาของพระเจ้าลงบนมนุษยชาติทั้งมวล {COL 129.1}
Yet it is possible for us to see all that we can bear of the divine compassion. This is unfolded to the humble, contrite soul. We shall understand God’s compassion just in proportion as we appreciate His sacrifice for us. As we search the word of God in humility of heart, the grand theme of redemption will open to our research. It will increase in brightness as we behold it, and as we aspire to grasp it, its height and depth will ever increase. {COL 129.2}
กระนั้น เราก็พอจะมองเห็นทั้งหมดเท่าที่เราจะรับได้ถึงความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า สิ่งนี้จะเปิดเผยให้แก่วิญญาณจิตที่ถ่อมตนและสำนึกผิด เราจะเข้าใจพระเมตตาของพระเจ้าตามสัดส่วนที่เราซาบซึ้งในความเสียสละของพระองค์เพื่อเรา ขณะที่เราค้นหาพระธรรมของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ใจความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของแผนการช่วยให้รอดจะเปิดเผยออกเพื่อให้เราศึกษาและค้นหา เมื่อเราเฝ้ามองดู แสงสว่างนี้ก็จะยิ่งส่องประกายสว่างไสวขึ้นและเมื่อยิ่งพินิจเรื่องนี้เพื่อไขว่คว้าไว้ ความสูงส่งและความลึกซึ้งก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น {COL 129.2}
Our life is to be bound up with the life of Christ; we are to draw constantly from Him, partaking of Him, the living Bread that came down from heaven, drawing from a fountain ever fresh, ever giving forth its abundant treasures. If we keep the Lord ever before us, allowing our hearts to go out in thanksgiving and praise to Him, we shall have a continual freshness in our religious life. Our prayers will take the form of a conversation with God as we would talk with a friend. He will speak His mysteries to us personally. Often there will come to us a sweet joyful sense of the presence of Jesus. Often our hearts will burn within us as He draws nigh to commune with us as He did with Enoch. When this is in truth the experience of the Christian, there is seen in his life a simplicity, a humility, meekness, and lowliness of heart, that show to all with whom he associates that he has been with Jesus and learned of Him. {COL 129.3}
ชีวิตของเราจะต้องผูกติดอยู่กับชีวิตของพระคริสต์ เราจะต้องรับจากพระองค์อย่างต่อเนื่อง มีส่วนร่วมกับพระองค์ ผู้ทรงเป็นอาหารธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ เราจะต้องดื่มจากบ่อน้ำพุที่สดใหม่อยู่เสมอและให้สมบัติอันอุดมออกมาอยู่ตลอดเวลา หากเรามีพระผู้เป็นเจ้าอยู่เบื้องหน้าเราเสมอและให้จิตใจของเราเฝ้าขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์แล้ว ชีวิตฝ่ายศาสนาของเราก็จะมีความสดชื่นตลอดไป คำอธิษฐานต่อพระเจ้าของเราจะเป็นเหมือนเช่นการสนทนากับมิตรสหายคนหนึ่ง พระองค์จะตรัสเรื่องอันล้ำลึกของพระองค์ให้เราทราบเป็นการส่วนตัว บ่อยครั้งความสุขหวานชื่นจะมายังเราเมื่อพระเยซูร่วมสถิตอยู่กับเรา บ่อยครั้งใจของเราจะเร่าร้อนอยู่ภายในขณะที่เราสื่อสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนที่พระองค์ทรงสื่อกับเอโนค เมื่อคริสเตียนรับประสบการณ์แห่งความจริงนี้ ชีวิตของเขาก็จะเรียบง่าย ถ่อมตน อ่อนโยนและมีจิตใจอ่อนสุภาพ ซึ่งเป็นการแสดงให้ทุกคนที่เขาคบหาสมาคมด้วยเห็นว่าเขาอยู่กับพระเยซูและได้เรียนรู้จากพระองค์ {COL 129.3}
In those who possess it, the religion of Christ will reveal itself as a vitalizing, pervading principle, a living, working, spiritual energy. There will be manifest the freshness and power and joyousness of perpetual youth. The heart that receives the word of God is not as a pool that evaporates, not like a broken cistern that loses its treasure. It is like the mountain stream fed by unfailing springs, whose cool, sparkling waters leap from rock to rock, refreshing the weary, the thirsty, the heavy laden. {COL 130.1}
ในตัวของผู้ที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ ศาสนาของพระคริสต์จะแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นถึงหลักการอันมีชีวิตที่แผ่ขยายออกไป ซึ่งเป็นพลังฝ่ายจิตวิญญาณอันมีชีวิตและใช้การได้ จะมีการแสดงออกให้เห็นถึงความสดชื่นและกำลังและความชื่นใจยินดีอันเยาว์วัยตลอดไป จิตใจที่รับพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่สระน้ำที่ระเหย ไม่ใช่ไหที่แตกทำให้สมบัติที่ใส่ไว้หายไป แต่จะเป็นเช่นลำธารจากภูเขาซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำพุที่ไม่เคยหยุดไหลซึ่งมีน้ำใสเย็นฉ่ำเป็นประกายไหลกระทบจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งทำให้ผู้ที่มีภาระหนักอ่อนเพลียและกระหายน้ำได้รับความสดชื่น {COL 130.1}
This experience gives every teacher of truth the very qualifications that will make him a representative of Christ. The spirit of Christ’s teaching will give a force and directness to his communications and to his prayers. His witness to Christ will not be a narrow, lifeless testimony. The minister will not preach over and over the same set discourses. His mind will be open to the constant illumination of the Holy Spirit. {COL 130.2}
ประสบการณ์นี้ทำให้ครูผู้สอนความจริงทุกคนมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาเป็นผู้แทนของพระคริสต์ วิญญาณแห่งคำสอนของพระคริสต์จะให้พลังและแนวทางเที่ยงตรงแก่เขาในการสื่อสารกับผู้อื่นและในคำอธิษฐานของเขา การเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ของเขาจะไม่แคบหรือไม่มีชีวิตชีวา ศาสนาจารย์จะไม่เทศนาหัวข้อเดียวซ้ำไปซ้ำมา สมองของเขาจะถูกเปิดออกเพื่อรับความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ {COL 130.2}
Christ said, “Whoso eateth My flesh, and drinketh My blood, hath eternal life. . . . As the living Father hath sent Me, and I live by the Father; so he that eateth Me, even he shall live by Me. . . . It is the Spirit that quickeneth; . . . the words that I speak unto you, they are spirit, and they are life.” John 6:54-63. {COL 130.3}
พระคริสต์ตรัสว่า “คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์…พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น…พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต…ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต” ยอห์น 6:54 – 63 {COL 130.3}
When we eat Christ’s flesh and drink His blood, the element of eternal life will be found in the ministry. There will not be a fund of stale, oft-repeated ideas. The tame, dull sermonizing will cease. The old truths will be presented, but they will be seen in a new light. There will be a new perception of truth, a clearness and a power that all will discern. Those who have the privilege of sitting under such a ministry will, if susceptible to the Holy Spirit’s influence, feel the energizing power of a new life. The fire of God’s love will be kindled within them. Their perceptive faculties will be quickened to discern the beauty and majesty of truth. {COL 130.4}
เมื่อเรากินเนื้อของพระคริสต์และดื่มพระโลหิตของพระองค์ จะพบความรู้พื้นฐานของชีวิตนิรันดร์อยู่ในการรับใช้ จะไม่พบแหล่งความคิดที่เน่าบูดและซ้ำซาก การเทศนาที่ราบเรียบไม่มีชีวิตจะหมดไป ความจริงดั้งเดิมจะถูกนำมาเสนออีก แต่จะมองเห็นด้วยแสงสว่างใหม่ จะมีการเข้าใจใหม่ในเรื่องของความจริง มีความชัดเจนและเต็มไปด้วยอำนาจจนทุกคนสามารถเข้าใจได้ ผู้ที่มีโอกาสนั่งฟังอยู่ในการรับใช้เช่นนี้หากเขามีความรู้สึกไวต่ออิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะรู้สึกถึงอำนาจที่ให้กำลังของชีวิตใหม่ เพลิงแห่งความรักของพระเจ้าจะลุกโชนขึ้นภายในตัวเขา ความสามารถในการรับรู้ของเขาเพื่อเข้าใจความงดงามและความยิ่งใหญ่ของความจริงจะว่องไวมากยิ่งขึ้น {COL 130.4}
The faithful householder represents what every teacher of the children and youth should be. If he makes the word of God his treasure, he will continually bring forth new beauty and new truth. When the teacher will rely upon God in prayer, the Spirit of Christ will come upon him, and God will work through him by the Holy Spirit upon the minds of others. The Spirit fills the mind and heart with sweet hope and courage and Bible imagery, and all this will be communicated to the youth under his instruction. {COL 131.1}
เจ้าของบ้านที่สัตย์ซื่อเป็นแบบอย่างที่ครูสอนเด็กและเยาวชนทุกจะต้องเป็น หากเขานำพระธรรมของพระเจ้ามาเป็นทรัพย์สมบัติของเขาแล้ว เขาจะนำความจริงที่ใหม่และความงดงามที่ใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อครูพึ่งพระเจ้าโดยการอธิษฐาน พระวิญญาณของพระคริสต์จะเสด็จมาอยู่กับเขา และพระเจ้าจะทรงกระทำผ่านตัวเขาไปยังความคิดของผู้อื่นโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะทรงเติมความคิดและจิตใจด้วยความหวังอันหวานชื่น ความกล้าหาญและมีมโนภาพของพระคัมภีร์ และทั้งหมดนี้จะถ่ายทอดให้แก่เยาวชนที่เขาสอนอยู่ {COL 131.1}
The springs of heavenly peace and joy, unsealed in the soul of the teacher by the words of Inspiration, will become a mighty river of influence to bless all who connect with him. The Bible will not become a tiresome book to the student. Under a wise instructor the word will become more and more desirable. It will be as the bread of life, and will never grow old. Its freshness and beauty will attract and charm the children and youth. It is like the sun shining upon the earth, perpetually imparting brightness and warmth, yet never exhausted. {COL 132.1}
น้ำพุแห่งสันติสุขและชื่นชมยินดีของสวรรค์ที่เปิดออกในชีวิตของครูผ่านทางพระธรรมที่ได้รับการดลใจจะเปลี่ยนเป็นแม่น้ำแห่งอิทธิพลสายใหญ่ที่จะเป็นพรแก่ทุกคนที่ได้สัมผัสกับเขา พระคัมภีร์จะไม่เป็นหนังสือที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับนักเรียน การสอนของครูที่มีปัญญาจะทำให้พระธรรมกลายเป็นสิ่งที่น่าปรารถนายิ่งขึ้น พระธรรมจะเป็นอาหารที่ให้ชีวิตและจะไม่มีวันล้าสมัย ความสดใหม่และความงามของพระธรรมจะดึงดูดและมีเสน่ห์แก่เด็กและเยาวชน จะเป็นดังเช่นดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกให้ความสว่างและความอบอุ่นอยู่อย่างสม่ำเสมอ ถึงกระนั้นก็ไม่รู้จักหมดสิ้น {COL 132.1}
God’s holy, educating Spirit is in His word. A light, a new and precious light, shines forth from every page. Truth is there revealed, and words and sentences are made bright and appropriate for the occasion, as the voice of God speaking to the soul. {COL 132.2}
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ให้การสั่งสอนนั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์ แสงสว่างใหม่และมีค่าส่องสว่างออกมาจากทุกหน้าของพระวจนะ ความจริงถูกเปิดเผยออกมา แต่ละถ้อยคำ แต่ละประโยคถูกเขียนไว้ชัดเจนและเหมาะสำหรับทุกโอกาสในขณะที่พระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับจิตวิญญาณ {COL 132.2}
The Holy Spirit loves to address the youth, and to discover to them the treasures and beauties of God’s word. The promises spoken by the great Teacher will captivate the senses and animate the soul with spiritual power that is divine. There will grow in the fruitful mind a familiarity with divine things that will be as a barricade against temptation. {COL 132.3}
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงชอบพระทัยที่จะตรัสกับเยาวชนเพื่อเปิดให้พวกเขาเห็นขุมทรัพย์และความงดงามแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระสัญญาที่ตรัสโดยพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะจับใจความรู้สึกของเขา และดลบันดาลจิตใจด้วยกำลังฝ่ายจิตวิญญาณจากพระเจ้า ในสมองอันอุดมสมบูรณ์นั้นจะเจริญด้วยความคุ้นเคยกับเรื่องราวของพระเจ้าซึ่งจะเป็นเสมือนป้อมปราการต้านการล่อลวง {COL 132.3}
The words of truth will grow in importance, and assume a breadth and fullness of meaning of which we have never dreamed. The beauty and riches of the word have a transforming influence on mind and character. The light of heavenly love will fall upon the heart as an inspiration. {COL 132.4}
พระวจนะแห่งความจริงจะเพิ่มความสำคัญมากยิ่งขึ้น และจะมีความหมายอันกว้างขวางและบริบูรณ์อย่างที่เราไม่เคยคิดฝันมาก่อน ความงามและความมั่งคั่งของพระวจนะมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงความคิดและอุปนิสัย แสงแห่งความรักของสวรรค์จะฉายลงจิตใจในลักษณะของการดลใจ {COL 132.4}
The appreciation of the Bible grows with its study. Whichever way the student may turn, he will find displayed the infinite wisdom and love of God. {COL 132.5}
ความซาบซึ้งในพระคัมภีร์จะเพิ่มขึ้นด้วยการศึกษา ไม่ว่านักเรียนจะหันไปทางใด เขาจะพบการเปิดเผยถึงพระสติปัญญาและความรักอันไม่จำกัดของพระเจ้า {COL 132.5}
The significance of the Jewish economy is not yet fully comprehended. Truths vast and profound are shadowed forth in its rites and symbols. The gospel is the key that unlocks its mysteries. Through a knowledge of the plan of redemption, its truths are opened to the understanding. Far more than we do, it is our privilege to understand these wonderful themes. We are to comprehend the deep things of God. Angels desire to look into the truths that are revealed to the people who with contrite hearts are searching the word of God, and praying for greater lengths and breadths and depths and heights of the knowledge which He alone can give. {COL 133.1}
นัยสำคัญของพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ของชาวยิวยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างบริบูรณ์ ความจริงยิ่งใหญ่และลึกซึ้งกว้างไกลสะท้อนออกมาผ่านทางพิธีกรรมและสัญลักษณ์ พระกิตติคุณเป็นกุญแจสำคัญเพื่อไขความลี้ลับนี้ ความจริงเหล่านี้เปิดออกให้เราเข้าใจผ่านข้อมูลของแผนการแห่งการไถ่ เรามีสิทธิพิเศษที่จะเข้าใจเรื่องอันอัศจรรย์เหล่านี้มากกว่าที่เราทำอยู่ในเวลานี้ เราจะต้องเข้าใจเรื่องล้ำลึกของพระเจ้า ทูตสวรรค์ทั้งหลายปรารถนาจะร่วมดูความจริงที่เปิดเผยให้แก่มนุษย์ผู้ซึ่งแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจสำนึกผิด และอธิษฐานขอความรู้อันยิ่งใหญ่ที่ทั้งลึกและกว้างไกลซึ่งพระเจ้าประทานให้ได้แต่ผู้เดียว {COL 133.1}
As we near the close of this world’s history, the prophecies relating to the last days especially demand our study. The last book of the New Testament scriptures is full of truth that we need to understand. Satan has blinded the minds of many, so that they have been glad of any excuse for not making the Revelation their study. But Christ through His servant John has here declared what shall be in the last days, and He says, “Blessed is he that readeth, and they that hear the words of this prophecy, and keep those things which are written therein.” Revelation 1:3. {COL 133.2}
ขณะที่เราอยู่ใกล้ช่วงปิดท้ายของประวัติศาสตร์โลก คำพยากรณ์ที่กล่าวถึงวาระสุดท้ายเรียกร้องให้เราศึกษา หนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ใหม่เต็มไปด้วยความจริงที่เราจะต้องเข้าใจ ซาตานทำให้สมองของหลายคนมืดบอดไป เพื่อที่เขาจะแก้ตัวด้วยความยินดีที่ไม่ต้องศึกษาพระธรรมวิวรณ์ แต่พระคริสต์ตรัสผ่านยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์ให้ประกาศว่ายุคสุดท้ายจะเป็นเช่นไร และพระองค์ตรัสว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่อ่านและแก่บรรดาผู้ที่ฟังคำเผยพระวจนะ แล้วประพฤติตามสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้ในนั้น” วิวรณ์ 1:3 {COL 133.2}
“This is life eternal,” Christ said, “that they might know Thee the only true God, and Jesus Christ, whom Thou hast sent.” John 17:3. Why is it that we do not realize the value of this knowledge? Why are not these glorious truths glowing in our hearts, trembling upon our lips, and pervading our whole being? {COL 133.3}
พระคริสต์ตรัสว่า “นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” ยอห์น 17:3 ทำไมพวกเราจึงไม่ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้เหล่านี้เล่า ทำไมความจริงอันรุ่งโรจน์เหล่านี้จึงไม่สว่างไสวขึ้นในใจของเรา สั่นระริกอยู่บนริมฝีปากของเราและซึมซาบไปทั่วตัวตนของเราเล่า {COL 133.3}
In giving us His word, God has put us in possession of every truth essential for our salvation. Thousands have drawn water from these wells of life, yet there is no diminishing of the supply. Thousands have set the Lord before them, and by beholding have been changed into the same image. Their spirit burns within them as they speak of His character, telling what Christ is to them, and what they are to Christ. But these searchers have not exhausted these grand and holy themes. Thousands more may engage in the work of searching out the mysteries of salvation. As the life of Christ and the character of His mission are dwelt upon, rays of light will shine forth more distinctly at every attempt to discover truth. Each fresh search will reveal something more deeply interesting than has yet been unfolded. The subject is inexhaustible. The study of the incarnation of Christ, His atoning sacrifice and mediatorial work, will employ the mind of the diligent student as long as time shall last; and looking to heaven with its unnumbered years he will exclaim, “Great is the mystery of godliness.” {COL 133.4}
ในการประทานพระวจนะของพระองค์แก่เรานั้น พระเจ้าทรงให้เราเป็นเจ้าของความจริงทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับความรอดของเราด้วย คนนับไม่ถ้วนตักน้ำจากบ่อน้ำแห่งชีวิตเหล่านี้ ถึงกระนั้นบ่อนี้ก็ไม่เคยแห้งลง คนนับไม่ถ้วนเทิดทูนพระผู้เป็นเจ้าไว้ต่อหน้าพวกเขาและการเฝ้ามองดูพระองค์ทำให้พวกเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์ จิตวิญญาณของพวกเราเร่าร้อนอยู่ภายใน ในขณะที่เขาพูดถึงพระลักษณะนิสัยของพระองค์ บอกผู้อื่นให้ทราบว่าพระคริสต์มีความหมายต่อพวกเขาอย่างไรและชีวิตของพวกเขามีความหมายต่อพระองค์อย่างไร แต่ผู้ที่ค้นหาความจริงเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เรื่องราวสำคัญอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์นี้เหือดหายไป คนนับไม่ถ้วนยังเข้ามาร่วมงานการค้นหาความล้ำลึกของความรอดได้อีก ในขณะที่มีการไตร่ตรองถึงชีวิตของพระคริสต์และลักษณะพันธกิจของพระองค์ ลำแสงแห่งความสว่างจะส่องลงมาอย่างชัดเจนให้แก่ทุกคนที่พยายามค้นหาความจริง การค้นหาครั้งใหม่แต่ละครั้งจะเปิดเผยให้เห็นถึงสิ่งที่น่าสนใจลึกซึ้งมากขึ้นกว่าที่เคยค้นพบ หัวข้อการศึกษาจะไม่มีที่สิ้นสุด การศึกษาเรื่องการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ เรื่องการไถ่บาปของพระองค์ และเรื่องการเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ของพระองค์ขับเคลื่อนความคิดของนักศึกษาที่กระตือรือลันตราบนานเท่านาน และเมื่อมองไปยังสวรรค์ที่ซึ่งเขาจะมีเวลาศึกษาด้วยเวลาที่ไม่สามารถนับคำนวณได้ อีกนานจนนับไม่ถ้วนเขาจะร้องอุทานขึ้นมาว่า “ความล้ำลึกแห่งความเชื่อของเรานั้นยิ่งใหญ่มาก” 1 ทิโมธี 3:16 {COL 133.4}
In eternity we shall learn that which, had we received the enlightenment it was possible to obtain here, would have opened our understanding. The themes of redemption will employ the hearts and minds and tongues of the redeemed through the everlasting ages. They will understand the truths which Christ longed to open to His disciples, but which they did not have faith to grasp. Forever and forever new views of the perfection and glory of Christ will appear. Through endless ages will the faithful Householder bring forth from His treasure things new and old. {COL 134.1}
ในนิรันดร์กาลเราจะเรียนรู้ถึงสิ่งซึ่งทำให้ความเข้าใจของเราเปิดออกซึ่งเป็นสิ่งที่เรารับได้ในโลกนี้ หากเรายอมรับแสงสว่างนั้น หัวข้อเรื่องการไถ่ให้รอดจะอยู่ในหัวใจและความคิดและลิ้นของผู้ที่ได้รับการไถ่ให้รอดตลอดนิรันดร์ พวกเขาจะเข้าใจความจริงซึ่งพระคริสต์ทรงปรารถนาจะแจ้งให้แก่สาวกของพระองค์แต่สาวกไม่มีความเชื่อเพียงพอที่จะรับได้ มิติใหม่ของความสมบูรณ์แบบและสง่าราศีของพระคริสต์จะปรากฏออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ตลอดนิจนิรันดร์ พระผู้ทรงเป็นเจ้าบ้านสัตย์ซื่อจะทรงนำทรัพย์สมบัติทั้งใหม่และเก่าของพระองค์ออกมา {COL 134.1}
กระนั้น เราก็พอจะมองเห็นทั้งหมดเท่าที่เราจะรับได้ถึงความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า สิ่งนี้จะเปิดเผยให้แก่วิญญาณจิตที่ถ่อมตนและสำนึกผิด เราจะเข้าใจพระเมตตาของพระเจ้าตามสัดส่วนที่เราซาบซึ้งในความเสียสละของพระองค์เพื่อเรา ขณะที่เราค้นหาพระธรรมของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ใจความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของแผนการช่วยให้รอดจะเปิดเผยออกเพื่อให้เราศึกษาและค้นหา เมื่อเราเฝ้ามองดู แสงสว่างนี้ก็จะยิ่งส่องประกายสว่างไสวขึ้นและเมื่อยิ่งพินิจเรื่องนี้เพื่อไขว่คว้าไว้ ความสูงส่งและความลึกซึ้งก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น {COL 129.2}