Chapter 8 (บทที่ 8)
“Hidden Treasure”
ขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้

“Again, the kingdom of heaven is like unto treasure hid in a field; the which when a man hath found, he hideth, and for joy thereof goeth and selleth all that he hath, and buyeth the field.” {COL 103.1}

“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น” มัทธิว 13:44 {COL 103.1}

In ancient times it was customary for men to hide their treasures in the earth. Thefts and robberies were frequent. And whenever there was a change in the ruling power, those who had large possessions were liable to be put under heavy tribute. Moreover the country was in constant danger of invasion by marauding armies. As a consequence, the rich endeavored to preserve their wealth by concealing it, and the earth was looked upon as a safe hiding place. But often the place of concealment was forgotten; death might claim the owner, imprisonment or exile might separate him from his treasure, and the wealth he had taken such pains to preserve was left for the fortunate finder. In Christ’s day it was not uncommon to discover in neglected land old coins and ornaments of gold and silver. {COL 103.2}

ธรรมเนียมของคนในสมัยโบราณมักซ่อนสมบัติไว้ใต้ดิน เพราะมีการลักขโมยและจี้ปล้นเกิดขึ้นบ่อยๆ และเมื่อใดที่มีการเปลี่ยนอำนาจการปกครองผู้ที่มีสมบัติมากจะต้องชำระค่าบรรณาการอย่างสูง นอกจากนี้ แผ่นดินก็ยังตกอยู่ภายใต้ภัยอันตรายของทหารที่เที่ยวออกปล้นสะดมอยู่เสมอ ผลที่ตามมาก็คือคนร่ำรวยพยายามเก็บทรัพย์สมบัติด้วยการซ่อนไว้ และพื้นดินถือว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่บ่อยครั้งสถานที่ซ่อนถูกละลืมไป เจ้าของอาจจะตายไปหรือถูกกักขังหรือถูกเนรเทศ ทำให้เขาถูกแยกออกจากสมบัติของตน และทรัพย์สมบัติที่เขาอุตส่าห์เก็บซ่อนด้วยความลำบากถูกทิ้งไว้ให้คนที่โชคดีมาพบ ในสมัยของพระคริสต์ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเงินเหรียญเก่าๆ และเครื่องประดับทองและเงินในพื้นดินที่ถูกทอดทิ้ง {COL 103.2}

A man hires land to cultivate, and as the oxen plow the soil, buried treasure is unearthed. As the man discovers this treasure, he sees that a fortune is within his reach. Restoring the gold to its hiding place, he returns to his home and sells all that he has, in order to purchase the field containing the treasure. His family and his neighbors think that he is acting like a madman. Looking on the field, they see no value in the neglected soil. But the man knows what he is doing; and when he has a title to the field, he searches every part of it to find the treasure that he has secured. {COL 103.3}

ชายคนหนึ่งเช่าที่ดินเพื่อใช้เพาะปลูก และในขณะที่วัวไถนาอยู่นั้น ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ได้โพล่ขึ้นเหนือดิน เมื่อชายนั้นค้นพบสมบัติล้ำค่านี้แล้ว เขามองเห็นว่าโชคลาภกำลังอยู่แค่เอื้อม เขาซ่อนหีบทองคำไว้ในที่เดิม แล้วรีบกลับไปบ้านของตน และไปขายสรรพสิ่งที่เขามีอยู่เพื่อไปซื้อผืนดินที่มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ ครอบครัวของเขาและเพื่อนบ้านของเขาคิดว่าเขากำลังทำเหมือนคนเสียสติ เมื่อมองไปยังทุ่งนา พวกเขามองไม่เห็นคุณค่าที่ดินที่ถูกทอดทิ้ง แต่ชายผู้นี้ทราบดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อเขาได้รับโฉนดการเป็นเจ้าของที่นาผืนนี้แล้ว เขาค้นที่ดินที่ตนเองได้ซื้อไว้ทุกมุมเพื่อหาขุมทรัพย์ {COL 103.3}

This parable illustrates the value of the heavenly treasure, and the effort that should be made to secure it. The finder of the treasure in the field was ready to part with all that he had, ready to put forth untiring labor, in order to secure the hidden riches. So the finder of heavenly treasure will count no labor too great and no sacrifice too dear, in order to gain the treasures of truth. {COL 104.1}

อุปมานี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ และต้องใช้ความพยายามเพื่อให้ได้มา ชายที่พบขุมทรัพย์ในนาพร้อมที่จะสละทิ้งทุกอย่างที่เขามี พร้อมที่จะทุ่มเทการทำงานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เพื่อจะได้ความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ ผู้ที่ค้นพบสมบัติของสวรรค์ก็เช่นกัน เขาจะถือว่าไม่มีการทำงานใดที่ใหญ่เกินไปและไม่มีการเสียสละใดที่มีคุณค่ามากเกินไปกว่าการกระทำเพื่อที่จะได้มาซึ่งสมบัติแห่งความจริง {COL 104.1}

In the parable the field containing the treasure represents the Holy Scriptures. And the gospel is the treasure. The earth itself is not so interlaced with golden veins and filled with precious things as is the word of God. {COL 104.2}

ในอุปมานี้ ทุ่งนาที่มีขุมทรัพย์หมายถึงพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และข่าวประเสริฐเป็นขุมทรัพย์ พื้นดินหาได้มีสายธารทองคำสอดแทรกไปทั่วหรือของมีค่าอยู่ทั่วไปดังเช่นพระวจนะของพระเจ้า {COL 104.2}

How Hidden the treasures of the gospel are said to be hidden. By those who are wise in their own estimation, who are puffed up by the teaching of vain philosophy, the beauty and power and mystery of the plan of redemption are not perceived. Many have eyes, but they see not; they have ears, but they hear not; they have intellect, but they discern not the hidden treasure. {COL 104.3}

ซ่อนไว้อย่างไร กล่าวกันว่าทรัพย์สมบัติของข่าวประเสริฐได้ถูกซ่อนไว้ สำหรับคนที่ฉลาดตามที่พวกเขาประเมินตนเอง ผู้ที่ทะนงด้วยคำสอนของปรัชญาที่หาประโยชน์ไม่ได้นั้นจะไม่เข้าใจถึงความงามและความมหัศจรรย์ของแผนการแห่งความรอดได้ หลายคนมีตาแต่กลับมองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยิน พวกเขาฉลาด แต่ไม่เข้าใจขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ {COL 104.3}

A man might pass over the place where treasure had been concealed. In dire necessity he might sit down to rest at the foot of a tree, not knowing of the riches hidden at its roots. So it was with the Jews. As a golden treasure, truth had been intrusted to the Hebrew people. The Jewish economy, bearing the signature of Heaven, had been instituted by Christ Himself. In types and symbols the great truths of redemption were veiled. Yet when Christ came, the Jews did not recognize Him to whom all these symbols pointed. They had the word of God in their hands; but the traditions which had been handed down from generation to generation, and the human interpretation of the Scriptures, hid from them the truth as it is in Jesus. The spiritual import of the sacred writings was lost. The treasure house of all knowledge was open to them, but they knew it not. {COL 104.4}

ชายคนหนึ่งอาจผ่านไปยังที่ๆ ที่มีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ ด้วยความอ่อนเพลียอย่างมากเขาอาจนั่งลงเพื่อพักผ่อนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งโดยไม่รู้ว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ที่รากของมัน ชาวยิวก็เป็นเช่นนี้ ความจริงดั่งขุมทรัพย์ทองคำได้ถูกฝากไว้กับคนฮีบรู องค์ประกอบของความเป็นชาติของชาวยิวที่มีตราประทับจากสวรรค์นั้นพระคริสต์เองทรงเป็นผู้สถาปนา ด้วยการใช้รูปและสัญลักษณ์ ความจริงยิ่งใหญ่ของการไถ่ให้รอดจึงถูกบดบังไว้ ถึงกระนั้นเมื่อพระคริสต์เสด็จมาแล้ว ชาวยิวกลับมองไม่เห็นพระองค์ ทั้งๆ ที่เครื่องหมายทั้งหมดเหล่านี้ต่างชี้ไปยังพระองค์ พวกเขามีพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในมือ แต่ประเพณีต่างๆ ซึ่งได้รับการสืบสานจากคนชั่วอายุหนึ่งไปยังอีกชั่วอายุหนึ่งและการแปลความหมายของพระวจนะได้ซ่อนความจริงจากพวกเขาเหมือนกับความจริงที่ซ่อนอยู่ในพระเยซู ความสำคัญทางฝ่ายจิตวิญญาณของพระธรรมสูญหายไป คลังสมบัติแห่งความรู้ทั้งมวลได้ถูกเปิดออกเพื่อเขาทั้งหลาย แต่พวกเขาหาทราบไม่ {COL 104.4}

God does not conceal His truth from men. By their own course of action they make it obscure to themselves. Christ gave the Jewish people abundant evidence that He was the Messiah; but His teaching called for a decided change in their lives. They saw that if they received Christ, they must give up their cherished maxims and traditions, their selfish, ungodly practices. It required a sacrifice to receive changeless, eternal truth. Therefore they would not admit the most conclusive evidence that God could give to establish faith in Christ. They professed to believe the Old Testament Scriptures, yet they refused to accept the testimony contained therein concerning Christ’s life and character. They were afraid of being convinced lest they should be converted and be compelled to give up their preconceived opinions. The treasure of the gospel, the Way, the Truth, and the Life, was among them, but they rejected the greatest gift that Heaven could bestow. {COL 105.1}

พระเจ้าไม่ทรงปกปิดความจริงจากมนุษย์ การกระทำของพวกเขาเองที่ปกปิดความจริงจากตนเอง พระคริสต์ทรงโปรดให้ชาวยิวเห็นหลักฐานมากมายว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ แต่คำสอนของพระองค์เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างเด็ดขาด พวกเขามองเห็นว่าหากยอมรับพระคริสต์ พวกเขาจะต้องทิ้งกฎเกณฑ์และประเพณีที่เขารักและถนอม ทิ้งความเห็นแก่ตัว การกระทำอธรรมต่างๆ ของตนเอง การยอมรับความจริงอันเป็นนิรันดร์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเรียกร้องให้เสียสละ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับหลักฐานอันชัดเจนของพระเจ้าที่ประทานให้เพื่อสร้างความเชื่อในพระคริสต์ พวกเขาอ้างว่าเชื่อในพระคริสตธรรมภาคพันธสัญญาเดิม แต่ปฏิเสธที่จะยอมรับคำพยานที่กล่าวถึงชีวิตและพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ คนเหล่านี้กลัวที่ถูกชักจูงให้กลับใจ และถูกบังคับให้ละทิ้งความคิดที่ครอบงำอยู่แต่เดิมมา ทรัพย์สมบัติของพระกิตติคุณซึ่งเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต อยู่ท่ามกลางพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดที่สวรรค์ประทานมาให้แก่พวกเขา {COL 105.1}

“Among the chief rulers also many believed on Him,” we read; “but because of the Pharisees they did not confess Him, lest they should be put out of the synagogue.” John 12:42. They were convinced; they believed Jesus to be the Son of God; but it was not in harmony with their ambitious desires to confess Him. They had not the faith that would have secured for them the heavenly treasure. They were seeking worldly treasure. {COL 105.2}

“อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา” ยอห์น 12:42 พวกเขายอมรับและเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่การยอมรับพระองค์ขัดแย้งกับความต้องการมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขา คนเหล่านี้ไม่มีความเชื่อที่จะทำให้เขาได้สมบัติของสวรรค์ พวกเขาต้องการแสวงหาแต่สมบัติทางฝ่ายโลก {COL 105.2}

And today men are eagerly seeking for earthly treasure. Their minds are filled with selfish, ambitious thoughts. For the sake of gaining worldly riches, honor, or power, they place the maxims, traditions, and requirements of men above the requirements of God. From them the treasures of His word are hidden. {COL 106.1}

และทุกวันนี้มนุษย์เอาจริงเอาจังกับการแสวงหาสมบัติทางฝ่ายโลก ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว และความคิดมักใหญ่ใฝ่สูง เพื่อเห็นแก่การได้มาซึ่งความร่ำรวย เกียรติยศหรืออำนาจทางฝ่ายโลก พวกเขาได้ตั้งแนวคิด ประเพณีนิยมและกฎเกณฑ์ของมนุษย์ไว้เหนือกฎเกณฑ์ของพระเจ้า สมบัติของพระวจนะของพระองค์จึงถูกปิดซ่อนจากพวกเขา {COL 106.1}

“The natural man receiveth not the things of the Spirit of God; for they are foolishness unto him; neither can he know them, because they are spiritually discerned,” 1 Corinthians 2:14. {COL 106.2}

“คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ” 1 โครินธ์ 2:14 {COL 106.2}

“If our gospel be hid, it is hid to them that are lost; in whom the god of this world hath blinded the minds of them which believe not, lest the light of the glorious gospel of Christ, who is the image of God, should shine unto them.” 2 Corinthians 4:3, 4. {COL 106.3}

“แต่ถ้าแม้ข่าวประเสริฐของเรายังถูกปิดบังไว้อีก ก็ถูกปิดบังไว้จากพวกที่กำลังจะพินาศ คือในกรณีของพวกเขา พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป เพื่อไม่ให้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า” 2 โครินธ์ 4:3,4 {COL 106.3}

Value of the Treasure The Saviour saw that men were absorbed in getting gain, and were losing sight of eternal realities. He undertook to correct this evil. He sought to break the infatuating spell that was paralyzing the soul. Lifting up His voice He cried, “What is a man profited, if he shall gain the whole world, and lose his own soul? or what shall a man give in exchange for his soul?” Matthew 16:26. He presents before fallen humanity the nobler world they have lost sight of, that they may behold eternal realities. He takes them to the threshold of the Infinite, flushed with the indescribable glory of God, and shows them the treasure there. {COL 106.4}

คุณค่าของขุมทรัพย์ พระผู้ช่วยทรงมองเห็นว่ามนุษย์มุ่งแต่การหากำไร และมองไม่เห็นความจริงอันเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงรับภาระเพื่อแก้ไขความชั่วนี้ พระองค์ทรงแสวงหาทางปลดปล่อยเสน่ห์แห่งความหลงใหลที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นอัมพาต พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงว่า “เขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา” มัทธิว 16:26 พระองค์ทรงนำเสนอโลกที่ประเสริฐกว่าซึ่งมองไม่เห็นให้แก่มนุษย์ชาติที่ล้มลงในบาป เพื่อพวกเขาจะมองเห็นความจริงอันเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงนำพวกเขาไปยังธรณีประตูของพระผู้สูงสุด ที่ซึ่งเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าและทรงแสดงให้เขาทั้งหลายเห็นขุมทรัพย์ที่อยู่ในนั้น {COL 106.4}

The value of this treasure is above gold or silver. The riches of earth’s mines cannot compare with it. “The depth saith, It is not in me; And the sea saith, It is not with me. It can not be gotten for gold, Neither shall silver be weighed for the price thereof. It can not be valued with the gold of Ophir, With the precious onyx, or the sapphire. The gold and the crystal can not equal it; And the exchange of it shall not be for jewels of fine gold. No mention shall be made of coral or of pearls, For the price of wisdom is above rubies.” Job 28:14-18. {COL 107.1}

“ที่ลึกพูดว่า ที่ข้าไม่มี และทะเลกล่าวว่า ไม่อยู่กับข้า จะเอาทองซื้อก็ไม่ได้ และจะชั่งเงินให้ตามราคาก็ไม่ได้ จะตีราคาเป็นทองคำเมืองโอฟีร์ก็ไม่ได้ หรือเป็นโอนิกซ์ล้ำค่าหรือไพลินก็ไม่ได้ จะเทียบเท่าทองคำและแก้วก็ไม่ได้ หรือจะแลกกับเครื่องทองคำนพคุณก็ไม่ได้ อย่าเอ่ยถึงกัลปังหาและแก้วผลึกเลย ค่าของปัญญาสูงกว่าทับทิม” {COL 107.1}

This is the treasure that is found in the Scriptures. The Bible is God’s great lesson book, His great educator. The foundation of all true science is contained in the Bible. Every branch of knowledge may be found by searching the word of God. And above all else it contains the science of all sciences, the science of salvation. The Bible is the mine of the unsearchable riches of Christ. {COL 107.2}

ขุมทรัพย์นี้มีค่ามากกว่าทองคำหรือเงิน ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพย์ในดินไม่อาจที่จะเปรียบเสมอได้ นี่คือขุมทรัพย์ที่พบได้ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เป็นหนังสือเรียนที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เป็นนักการศึกษายิ่งใหญ่ของพระองค์ พื้นฐานของศาสตร์ที่แท้จริงทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ ทุกสาขาของความรู้จะหาพบได้ด้วยการค้นหาพระวจนะของพระเจ้า และเหนือสิ่งอื่นใด พระธรรมประกอบด้วยความรู้เหนือความรู้ทั้งปวง นั่นคือศาสตร์แห่งความรอด พระคัมภีร์เป็นเหมืองสมบัติอันมหาศาลของพระคริสต์ที่ขุดค้นไม่รู้จักหมด {COL 107.2}

The true higher education is gained by studying and obeying the word of God. But when God’s word is laid aside for books that do not lead to God and the kingdom of heaven, the education acquired is a perversion of the name. {COL 107.3}

การศึกษาระดับสูงที่แท้จริงได้มาโดยการศึกษาและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า แต่เมื่อเราปัดพระธรรมของพระองค์ทิ้งไป และนำหนังสือที่ไม่นำเราไปถึงพระเจ้าและแผ่นดินสวรรค์เข้ามาแทน การศึกษาที่ได้รับนี้เป็นเพียงการบิดเบือนเอาชื่อการศึกษามาใช้เท่านั้น {COL 107.3}

There are wonderful truths in nature. The earth, the sea, and the sky are full of truth. They are our teachers. Nature utters her voice in lessons of heavenly wisdom and eternal truth. But fallen man will not understand. Sin has obscured his vision, and he cannot of himself interpret nature without placing it above God. Correct lessons cannot impress the minds of those who reject the word of God. The teaching of nature is by them so perverted that it turns the mind away from the Creator. {COL 107.4}

ในธรรมชาติมีความจริงที่น่าพิศวงมากมาย ทั้งพื้นโลก ทะเล และท้องฟ้าเต็มไปด้วยความจริง สิ่งเหล่านี้เป็นครูของเรา ธรรมชาติเปล่งเสียงเป็นบทเรียนของปัญญาแห่งสวรรค์และความจริงนิรันดร์ แต่มนุษย์ผู้ล้มลงในบาปจะไม่เข้าใจ บาปได้ปิดบังสายตาของเขาและโดยตัวเขาเองไม่สามารถแปลความหมายของธรรมชาติได้นอกจากเขาจะนำมันมาวางไว้ต่อพระเจ้าเบื้องบน บทเรียนที่ถูกต้องไม่อาจประทับลงบนความคิดของผู้ที่ปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าได้ พวกเขาสอนเรื่องธรรมชาติผิดเพี้ยนไป จนทำให้ความคิดหันเหไปจากพระผู้สร้าง {COL 107.4}

By many, man’s wisdom is thought to be higher than the wisdom of the divine Teacher, and God’s lesson book is looked upon as old-fashioned, stale, and uninteresting. But by those who have been vivified by the Holy Spirit it is not so regarded. They see the priceless treasure, and would sell all to buy the field that contains it. Instead of books containing the suppositions of reputedly great authors, they choose the word of Him who is the greatest author and the greatest teacher the world has ever known, who gave His life for us, that through Him we might have everlasting life. {COL 107.5}

คนจำนวนมากคิดว่าปัญญาของมนุษย์เหนือกว่าพระปัญญาของพระอาจารย์ และถือว่าหนังสือบทเรียนของพระเจ้าล้าสมัย น่าเบื่อหน่าย และไม่น่าสนใจ แต่สำหรับผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาเห็นเป็นขุมทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้และพร้อมที่จะขายทุกสิ่งเพื่อซื้อทุ่งนาที่มีขุมทรัพย์นี้ แทนที่จะเลือกหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนที่ลือชื่อ พวกเขาเลือกพระธรรมของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้ประพันธ์และพระอาจารย์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยรู้จัก ผู้ทรงสละชีวิตเพื่อเรา เพื่อว่าโดยพระองค์เราจะได้ชีวิตนิรันดร์ {COL 107.5}

Results of Neglecting the Treasure Satan works on human minds, leading them to think that there is wonderful knowledge to be gained apart from God. By deceptive reasoning he led Adam and Eve to doubt God’s word, and to supply its place with a theory that led to disobedience. And his sophistry is doing today what it did in Eden. Teachers who mingle the sentiments of infidel authors with the education they are giving, plant in the minds of youth thoughts that will lead to distrust of God and transgression of His law. Little do they know what they are doing. Little do they realize what will be the result of their work. {COL 108.1}

ผลของการละเลยขุมทรัพย์ ซาตานทำงานในความคิดของมนุษย์ นำพวกเขาให้คิดว่ามีความรู้มหัศจรรย์มากมายที่จะได้มานอกเหนือจากการเรียนรู้จากพระเจ้า โดยเหตุผลที่หลอกลวง มารล่อลวงอาดัมและเอวาให้สงสัยในพระวจนะของพระเจ้าและเอาทฤษฎีที่นำไปสู่การไม่เชื่อฟังเข้ามาแทนที่ และทุกวันนี้มารก็ใช้วิธีตบตาแบบเดียวกับที่เคยใช้ในสวนเอเดน ครูที่ผสมผสานความรู้สึกนึกคิดของนักประพันธ์ที่ไม่เชื่อพระเจ้าลงไปในการศึกษา กำลังปลูกฝังความคิดที่จะนำไปสู่การไม่วางใจพระเจ้า และการล่วงละเมิดบัญญัติของพระองค์เข้าไปในความคิดของเยาวชน พวกเขาหาได้เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาหาได้ตระหนักว่าผลที่จะเกิดจากการกระทำนั้นเป็นเช่นไร {COL 108.1}

A student may go through all the grades of the schools and colleges of today. He may devote all his powers to acquiring knowledge. But unless he has a knowledge of God, unless he obeys the laws that govern his being, he will destroy himself. By wrong habits he loses his power of self-appreciation. He loses self-control. He cannot reason correctly about matters that concern him most closely. He is reckless and irrational in his treatment of mind and body. By wrong habits he makes of himself a wreck. Happiness he cannot have; for his neglect to cultivate pure, healthful principles places him under the control of habits that ruin his peace. His years of taxing study are lost, for he has destroyed himself. He has misused his physical and mental powers, and the temple of the body is in ruins. He is ruined for this life and for the life to come. By acquiring earthly knowledge he thought to gain a treasure, but by laying his Bible aside he sacrificed a treasure worth everything else. {COL 108.2}

นักเรียนคนหนึ่งอาจเรียนผ่านทุกชั้นเรียนของโรงเรียนและวิทยาลัยของยุคปัจจุบัน เขาอาจทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อแสวงหาความรู้ แต่หากว่าเขาไม่ได้มีความรู้ของพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามกฎที่ควบคุมชีวิตของตนแล้ว เขาจะทำลายตัวเขาเอง เขาสูญเสียอำนาจของคุณค่าชีวิตของตนเพราะอุปนิสัยที่ผิดๆ เขาสูญเสียการควบคุมตนเอง เขาให้เหตุผลที่ถูกต้องในเรื่องที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตัวเองไม่ได้ เขาปฏิบัติต่อความคิดและร่างกายของตนเองด้วยความสะเพร่าและไร้เหตุผล เขาทำลายตัวเองด้วยนิสัยที่ผิดของตนเอง เขามีความสุขไม่ได้เพราะการที่เขาละเลยที่จะปลูกฝังหลักการอันบริสุทธิ์และถูกต้อง ได้นำตัวเขาไปตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนิสัยที่ทำลายสันติสุขของตนเอง การทุ่มเทเพื่อการเรียนของเขาสูญเสียไปสิ้น เพราะเขาทำลายตัวเอง เขาใช้พลังทางกายและทางความคิดไปในทางที่ผิดและวิหารของร่างกายอยู่ในสภาพทรุดโทรม เขาทำลายทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า เขาใฝ่หาความรู้ทางโลกโดยคิดว่าจะทำให้ได้มาซึ่งสมบัติอันมีค่า แต่โดยการละทิ้งพระคัมภีร์เขาได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดไปเสีย {COL 108.2}

Search for the Treasure The word of God is to be our study. We are to educate our children in the truths found therein. It is an inexhaustible treasure; but men fail to find this treasure because they do not search until it is within their possession. Very many are content with a supposition in regard to the truth. They are content with a surface work, taking for granted that they have all that is essential. They take the sayings of others for truth, being too indolent to put themselves to diligent, earnest labor, represented in the word as digging for hidden treasure. But man’s inventions are not only unreliable, they are dangerous; for they place man where God should be. They place the sayings of men where a “Thus saith the Lord” should be. {COL 109.1}

จงค้นหาขุมทรัพย์ เราควรใส่ใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้า เราจะต้องสอนบุตรของเราถึงความจริงที่มีอยู่ในนั้น พระวจนะเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดสิ้น แต่มนุษย์ไม่พบขุมทรัพย์นี้เพราะพวกเขาไม่ได้ค้นหาจนกระทั่งได้มาเป็นเจ้าของ มีคนจำนวนมากพึงพอใจกับสมมติฐานในเรื่องของความจริง พวกเขาพอใจกับการลงแรงอย่างผิวเผินโดยถือว่าตนเองได้รับสิ่งที่จำเป็นหมดแล้ว พวกเขายึดคำพูดของผู้อื่นว่าเป็นความจริง เพราะเขาเองมีความเกียจคร้านเกินกว่าที่จะลงแรงอย่างขยันขันแข็งและจริงจัง ดังที่แสดงในพระวจนะนั้นว่าจะต้องลงมือขุดเองเพื่อหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ แต่การคิดค้นของมนุษย์ไม่เพียงแต่ไว้ใจไม่ได้เท่านั้นแต่ยังเป็นอันตรายด้วยเพราะเขายกมนุษย์ไปวางไว้แทนที่พระเจ้า เขาถือคำพูดของมนุษย์แทนคำว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า” เยเรมีห์ 27:16 {COL 109.1}

Christ is the truth. His words are truth, and they have a deeper significance than appears on the surface. All the sayings of Christ have a value beyond their unpretending appearance. Minds that are quickened by the Holy Spirit will discern the value of these sayings. They will discern the precious gems of truth, though these may be buried treasures. {COL 110.1}

พระคริสต์ทรงเป็นองค์แห่งสัจจะ พระวจนะของ พระองค์ทรงเป็นความจริงและพระวจนะนั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่เห็นได้จากสภาพภายนอก พระดำรัสทั้งหมดของพระคริสต์มีคุณค่าเกินกว่าลักษณะการแสดงออกภายนอก จิตใจที่ได้รับการกระตุ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะเห็นคุณค่าของพระดำรัสเหล่านี้ เขาจะมองเห็นอัญมณีแห่งความจริงอันมีคุณค่า ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ก็ตาม {COL 110.1}

Human theories and speculations will never lead to an understanding to God’s word. Those who suppose that they understand philosophy think that their explanations are necessary to unlock the treasures of knowledge and to prevent heresies from coming into the church. But it is these explanations that have brought in false theories and heresies. Men have made desperate efforts to explain what they thought to be intricate scriptures; but too often their efforts have only darkened that which they tried to make clear. {COL 110.2}

ทฤษฎีและสมมติฐานของมนุษย์จะนำไปสู่ความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้เป็นอันขาด ผู้ที่ถือว่าตนเข้าใจปรัชญา คิดว่าคำอธิบายของพวกเขานั้นมีความจำเป็นเพื่อใช้เปิดขุมทรัพย์แห่งความรู้ และเพื่อป้องกันความเชื่อผิดๆ ที่จะเข้ามาในคริสตจักร แต่คำอธิบายเหล่านี้ต่างหากที่ได้นำทฤษฎีเทียมเท็จและความเชื่อที่ผิดเข้ามา มนุษย์ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออธิบายข้อพระคัมภีร์ที่เขาคิดว่ายุ่งยาก แต่บ่อยครั้งความพยายามของเขากลับทำให้สิ่งที่พยายามทำให้แจ่มแจ้งมืดมัวไปยิ่งกว่าเดิม {COL 110.2}

The priests and Pharisees thought they were doing great things as teachers by putting their own interpretation upon the word of God, but Christ said of them, “Ye know not the scriptures, neither the power of God.” Mark 12:24. He charged them with the guilt of “teaching for doctrines the commandments of men.” Mark 7:7. Though they were the teachers of the oracles of God, though they were supposed to understand His word, they were not doers of the word. Satan had blinded their eyes that they should not see its true import. {COL 110.3}

ปุโรหิตและฟาริสีคิดว่าพวกเขาทำงานยิ่งใหญ่ในฐานะของผู้สอนโดยการใส่คำอธิบายของตนลงไปในพระวจนะของพระเจ้า แต่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” มาระโก 12:24 พระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาว่า “เอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน” มาระโก 7:7 แม้ว่าพวกเขาเป็นครูสอนพระดำรัสของพระเจ้า แม้จะถือว่าเป็นผู้ที่เข้าใจพระวจนะของพระองค์ แต่พวกเขาหาใช่ผู้ปฎิบัติตามพระวจนะนั้นไม่ ซาตานทำให้ตาของพวกเขาบอดเพื่อไม่ให้มองเห็นความสำคัญที่แท้จริง {COL 110.3}

This is the work of many in our day. Many churches are guilty of this sin. There is danger, great danger, that the supposed wise men of today will repeat the experience of the Jewish teachers. They falsely interpret the divine oracles, and souls are brought into perplexity and shrouded in darkness because of their misconception of divine truth. {COL 110.4}

นี่คืองานของคนมากมายในยุคของเรา คริสตจักรจำนวนมากทำผิดด้วยบาปชนิดนี้ มีอันตรายอันใหญ่หลวงสำหรับคนในยุคนี้ซึ่งถือว่าตนเป็นคนฉลาดที่จะเดินซ้ำรอยประสบการณ์ของพวกอาจารย์ชาวยิว พวกเขาแปลคำสอนของพระเจ้าไปในทางผิดและทำให้จิตวิญญาณจำนวนมากเกิดความสับสนและถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมนเนื่องจากเข้าใจความจริงของพระเจ้าผิดไป {COL 110.4}

The Scriptures need not be read by the dim light of tradition or human speculation. As well might we try to give light to the sun with a torch as to explain the Scriptures by human tradition or imagination. God’s holy word needs not the torchlight glimmer of earth to make its glories distinguishable. It is light in itself–the glory of God revealed, and beside it every other light is dim. {COL 111.1}

เราไม่จำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วยแสงสลัวของประเพณีนิยมหรือการคาดเดาของมนุษย์ เมื่อใดที่เราอธิบายพระคัมภีร์ด้วยขนบธรรมเนียมหรือจินตนาการ ก็เหมือนกับความพยายามใช้โคมไฟส่องแสงให้แก่ดวงอาทิตย์ พระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าไม่ต้องการแสงจากโคมไฟของโลกเพื่อทำให้สง่าราศีเด่นชัดยิ่งขึ้น เพราะพระวจนะนั้นมีแสงสว่างอยู่ในตัว เป็นสง่าราศีของพระเจ้าที่เปิดเผยออกมา นอกเหนือจากแสงสว่างนี้แล้วแสงสว่างอื่นๆ ก็เป็นแต่เพียงแสงสลัวเท่านั้น {COL 111.1}

But there must be earnest study and close investigation. Sharp, clear perceptions of truth will never be the reward of indolence. No earthy blessing can be obtained without earnest, patient, persevering effort. If men attain success in business, they must have a will to do and a faith to look for results. And we cannot expect to gain spiritual knowledge without earnest toil. Those who desire to find the treasures of truth must dig for them as the miner digs for the treasure hidden in the earth. No halfhearted, indifferent work will avail. It is essential for old and young, not only to read God’s word, but to study it with wholehearted earnestness, praying and searching for truth as for hidden treasure. Those who do this will be rewarded, for Christ will quicken the understanding. {COL 111.2}

แต่การศึกษาอย่างจริงจังและสำรวจอย่างถี่ถ้วนนั้นเป็นสิ่งจำเป็น คนเกียจคร้านจะไม่ได้รับความเข้าใจความจริงอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งเป็นการตอบแทน ไม่มีพรใดของโลกจะได้มาโดยไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างเอาจริงเอาจัง อดทนและพากเพียร ผู้ที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจจะต้องมีความตั้งใจในการทำงานและความเชื่อที่จะมองหาความสำเร็จ และเราไม่อาจหวังที่จะได้ความรู้ฝ่ายจิตวิญญาณโดยไม่ต้องทำงานหนัก ผู้ที่ต้องการจะค้นพบขุมทรัพย์แห่งความจริงจะต้องขุดหาความจริงเหมือนคนขุดแร่หาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน ไม่มีงานใดที่ทำอย่างครึ่งๆ กลางๆ จะให้ผลตอบแทน นี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่และเยาวชน พวกเขาไม่ควรเพียงแต่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ควรศึกษาพระธรรมนั้นด้วยความเพียรอย่างจริงใจ อธิษฐานและค้นความจริงเสมือนหนึ่งค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ ผู้ที่กระทำเช่นนี้จะได้ผลตอบแทน เพราะพระคริสต์จะทรงเสริมความเข้าใจให้ {COL 111.2}

Our salvation depends on a knowledge of the truth contained in the Scriptures. It is God’s will that we should possess this. Search, O search the precious Bible with hungry hearts. Explore God’s word as the miner explores the earth to find veins of gold. Never give up the search until you have ascertained your relation to God and His will in regard to you. Christ declared, “Whatsoever ye shall ask in My name, that will I do, that the Father may be glorified in the Son. If ye shall ask anything in My name, I will do it.” John 14:13, 14. {COL 111.3}

ความรู้ในความจริงที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้เราเป็นเจ้าของสิ่งนี้ จงค้นหาเถิด จงค้นหาจากพระคัมภีร์อันมีค่าด้วยใจที่หิวกระหาย สำรวจพระธรรมของพระเจ้าเช่นคนขุดแร่สำรวจผิวโลกเพื่อหาสายธารทองคำ อย่ายอมแพ้ต่อการค้นหาจนกว่าท่านมั่นใจในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อท่าน พระคริสต์ทรงเปิดเผยว่า “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น” ยอห์น 14:13, 14 {COL 111.3}

Men of piety and talent catch views of eternal realities, but often they fail of understanding, because the things that are seen eclipse the glory of the unseen. He who would seek successfully for the hidden treasure must rise to higher pursuits than the things of this world. His affections and all His capabilities must be consecrated to the search. {COL 112.1}

ความรอดของเราขึ้นกับ คนที่เคร่งครัดศาสนาและผู้ที่มีความรู้สูงรับความจริงนิรันดร์ได้ แต่บ่อยครั้งพวกเขาไม่เข้าใจเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นปิดบังสง่าราศีที่มองไม่เห็น ผู้ที่อยากจะได้รับความสำเร็จในการค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้จะต้องก้าวให้สูงขึ้นกว่าการแสวงหาสิ่งของในโลกนี้ ความพอใจและความสามารถทั้งหมดของเขาจะต้องมอบถวายเพื่อการแสวงหา {COL 112.1}

Disobedience has closed the door to a vast amount of knowledge that might have been gained from the Scriptures. Understanding means obedience to God’s commandments. The Scriptures are not to be adapted to meet the prejudice and jealousy of men. They can be understood only by those who are humbly seeking for a knowledge of the truth that they may obey it. {COL 112.2}

การไม่เชื่อฟังปิดประตูทำให้ความรู้อันมหาศาลที่ควรจะได้จากพระคัมภีร์ผ่านเข้าไปไม่ได้ ความเข้าใจคือการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า ไม่ควรปรับพระคัมภีร์ให้เข้ากับอคติและความอิจฉาริษยาของมนุษย์ มีเพียงผู้ที่ถ่อมใจแสวงหาความรู้แห่งความจริงเพื่อจะปฏิบัติตามเท่านั้นจึงจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้ {COL 112.2}

Do you ask, What shall I do to be saved? You must lay your preconceived opinions, your hereditary and cultivated ideas, at the door of investigation. If you search the Scriptures to vindicate your own opinions, you will never reach the truth. Search in order to learn what the Lord says. If conviction comes as you search, if you see that your cherished opinions are not in harmony with the truth, do not misinterpret the truth in order to suit your own belief, but accept the light given. Open mind and heart that you may behold wondrous things out of God’s word. {COL 112.3}

ท่านถามว่า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอด ท่านจะต้องนำความคิดเห็นที่เกิดขึ้นในใจ ความนึกคิดที่ถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์และความนึกคิดที่ได้รับการสั่งสมมาทั้งหมดวางลงที่ประตูแห่งการตรวจสอบ หากท่านค้นหาพระคัมภีร์เพื่อพิสูจน์ความคิดเห็นของท่านเอง ท่านไม่มีทางไปถึงความจริง จงแสวงหาเพื่อเรียนรู้ว่าพระยาห์เวห์ตรัสอย่างไร หากท่านเกิดความสำนึกในใจในขณะที่ศึกษา หากท่านเห็นว่าความนึกคิดที่ท่านชอบไม่สอดคล้องกับความจริง จงอย่าแปลความหมายของความจริงนั้นผิดไปเพียงเพื่อต้องการให้เข้ากับความเชื่อของท่าน แต่จงยอมรับแสงสว่างที่ได้ประทานให้ จงเปิดความคิดและจิตใจเพื่อท่านจะสามารถเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระธรรมของพระเจ้าได้ {COL 112.3}

Faith in Christ as the world’s Redeemer calls for an acknowledgment of the enlightened intellect controlled by a heart that can discern and appreciate the heavenly treasure. This faith is inseparable from repentance and transformation of character. To have faith means to find and accept the gospel treasure, with all the obligations which it imposes. {COL 112.4}

ความเชื่อในพระคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลกนั้นเรียกร้องให้เรายอมรับแสงสว่างแห่งปัญญาซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของจิตใจ เป็นจิตใจที่มองเห็นและรู้สำนึกถึงคุณค่าของขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ ความเชื่อนี้จะแยกจากการกลับใจใหม่และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยไม่ได้ การจะมีความเชื่อหมายถึงการค้นหาและการยอมรับขุมทรัพย์ของข่าวประเสริฐภายใต้ข้อผูกพันทั้งหมดที่กำหนดไว้ {COL 112.4}

“Except a man be born again, he cannot see the kingdom of God.” John 3:3. He may conjecture and imagine, but without the eye of faith he cannot see the treasure. Christ gave His life to secure for us this inestimable treasure; but without regeneration through faith in His blood, there is no remission of sins, no treasure for any perishing soul. {COL 112.5}

“ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า” ยอห์น 3:3 เขาคนนั้นอาจคาดเดาหรือวาดมโนภาพ แต่ถ้าขาดสายตาแห่งความเชื่อ เขาก็ไม่อาจจะมองเห็นขุมทรัพย์ได้ พระคริสต์ทรงพลีพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อให้เราได้รับขุมทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่หากไม่เกิดใหม่ด้วยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์แล้วจะไม่มีการยกโทษความผิดบาปและจะไม่มีขุมทรัพย์สำหรับจิตวิญญาณใดที่กำลังพินาศ {COL 112.5}

We need the enlightenment of the Holy Spirit in order to discern the truths in God’s word. The lovely things of the natural world are not seen until the sun, dispelling the darkness, floods them with its light. So the treasures in the word of God are not appreciated until they are revealed by the bright beams of the Sun of Righteousness. {COL 113.1}

เราต้องการแสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเข้าใจความจริงในพระวจนะของพระเจ้า เราจะยังมองไม่เห็นสิ่งที่สวยงามในธรรมชาติของโลกจนกว่าดวงอาทิตย์จะขับไล่ความมืดไปด้วยแสงสว่างที่ส่องกระจายไปทั่ว ในทำนองเดียวกันเราจะไม่สำนึกในคุณค่าของขุมทรัพย์ในพระธรรมของพระเจ้าจนกว่าจะได้รับการเปิดเผยโดยลำแสงอันสว่างไสวของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม {COL 113.1}

The Holy Spirit, sent from heaven by the benevolence of infinite love, takes the things of God and reveals them to every soul that has an implicit faith in Christ. By His power the vital truths upon which the salvation of the soul depends are impressed upon the mind, and the way of life is made so plain that none need err therein. As we study the Scriptures, we should pray for the light of God’s Holy Spirit to shine upon the word, that we may see and appreciate its treasures. {COL 113.2}

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงโปรดประทานมาจากสวรรค์โดยพระเมตตาแห่งความรักที่ไร้ขอบเขต ทรงนำเรื่องราวของพระเจ้ามาเปิดเผยให้แก่จิตวิญญาณทุกดวงที่มีความเชื่ออย่างไม่สงสัยในพระคริสต์ โดยอำนาจของพระองค์ความจริงอันสำคัญที่นำไปสู่ความรอดของจิตวิญญาณจะฝังลึกลงสู่ความนึกคิด และทางแห่งชีวิตจะเปิดกว้างเพื่อไม่ให้ผู้ใดเดินหลงไปในทางผิด ในขณะที่ศึกษาพระคัมภีร์ เราควรอธิษฐานขอให้แสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าส่องบนพระธรรม เพื่อเราจะเห็นและซาบซึ้งขุมทรัพย์ที่มีอยู่ในนั้น {COL 113.2}

Reward of Searching Let none think that there is no more knowledge for them to gain. The depth of human intellect may be measured; the works of human authors may be mastered; but the highest, deepest, broadest flight of the imagination cannot find out God. There is infinity beyond all that we can comprehend. We have seen only the glimmering of divine glory and of the infinitude of knowledge and wisdom; we have, as it were, been working on the surface of the mine, when rich golden ore is beneath the surface, to reward the one who will dig for it. The shaft must be sunk deeper and yet deeper in the mine, and the result will be glorious treasure. Through a correct faith, divine knowledge will become human knowledge. {COL 113.3}

ผลตอบแทนจากการค้นหา อย่าให้ผู้ใดคิดว่าไม่มีความรู้ใดที่เขาจะเรียนเพิ่มได้อีก ความล้ำลึกในปัญญาของมนุษย์อาจวัดกันได้ การงานที่มนุษย์คิดสร้างอาจทำให้ชำนาญได้ แต่ความนึกคิดสูงที่สุด ลึกที่สุดและกว้างที่สุดไม่อาจค้นหาพระเจ้าได้ ยังมีความไม่มีที่สิ้นสุดอยู่เหนือสิ่งที่เราจะเข้าใจได้ เราได้เห็นพระสิริของพระเจ้า เห็นความรู้และพระปัญญาอันไม่มีสิ้นสุดเพียงเลือนรางเท่านั้นราวกับว่าเรกำลังค้นหาทองคำอยู่เพียงแค่หน้าดินของเหมือง ในขณะที่แร่ทองคำอีกมหาศาลซึ่งซ่อนอยู่เบื้องล่างพร้อมที่จะเป็นรางวัลตอบแทนให้แก่ผู้ที่จะขุดค้นมัน เราจะต้องขุดอุโมงค์ลงไปในเหมืองให้ลึกลงไป และลึกลงไปให้มากที่สุด และผลที่ได้รับคือขุมทรัพย์อันเต็มด้วยสง่าราศี โดยความเชื่อที่ถูกต้อง ความรู้เรื่องพระเจ้าจะกลายมาเป็นความรู้ของมนุษย์ {COL 113.3}

No one can search the Scriptures in the spirit of Christ without being rewarded. When man is willing to be instructed as a little child, when he submits wholly to God, he will find the truth in His word. If men would be obedient, they would understand the plan of God’s government. The heavenly world would open its chambers of grace and glory for exploration. Human beings would be altogether different from what they now are, for by exploring the mines of truth men would be ennobled. The mystery of redemption, the incarnation of Christ, His atoning sacrifice, would not be as they are now, vague in our minds. They would be not only better understood, but altogether more highly appreciated. {COL 114.1}

ไม่มีผู้ใดที่ค้นหาพระคัมภีร์ด้วยจิตวิญญาณของพระคริสต์จะไม่ได้รับการตอบแทน เมื่อมนุษย์ยอมที่จะรับการสั่งสอนเหมือนเช่นเด็กเล็ก เมื่อเขายอมถวายตัวแด่พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เขาจะพบความจริงในพระธรรมของพระองค์ หากมนุษย์ยอมเชื่อฟัง เขาก็จะเข้าใจแผนการปกครองของพระเจ้า ดินแดนสวรรค์จะเปิดห้องโถงใหญ่แห่งพระคุณและสง่าราศีออกให้กว้างเพื่อการสำรวจ หากมนุษย์สำรวจเหมืองแร่แห่งความจริง เขาก็จะมีจิตใจที่สูงขึ้นและจะมีความแตกต่างจากที่เขาเป็นอยู่ขณะนี้อย่างสิ้นเชิง ความล้ำลึกของการทรงช่วยให้รอด การมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ การยอมเสียสละเพื่อไถ่บาปของพระองค์ ในความคิดของเราจะไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ชัดเจนเหมือนเช่นทุกวันนี้ จะไม่เป็นเพียงเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้นแต่จะมีความซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้น {COL 114.1}

In His prayer to the Father, Christ gave to the world a lesson which should be graven on mind and soul. “This is life eternal,” He said, “that they might know Thee the only true God, and Jesus Christ, whom Thou hast sent.” John 17:3. This is true education. It imparts power. The experimental knowledge of God and of Jesus Christ whom He has sent, transforms man into the image of God. It gives to man the mastery of himself, bringing every impulse and passion of the lower nature under the control of the higher powers of the mind. It makes its possessor a son of God and an heir of heaven. It brings him into communion with the mind of the Infinite, and opens to him the rich treasures of the universe. {COL 114.2}

ในคำอธิษฐานของพระคริสต์ต่อพระบิดา พระองค์ประทานบทเรียนให้แก่โลกที่จะต้องจารึกลงในความคิดและจิตใจ พระองค์ทรงทูลว่า “นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” ยอห์น 17:3 นี่คือการศึกษาที่แท้จริง เป็นการศึกษาที่ให้พละกำลัง ประสบการณ์ในความรู้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งพระองค์ประทานมานั้นจะเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นตามแบบพระฉายของพระเจ้าได้ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์ควบคุมตนเองเพื่อนำแรงกระตุ้นและกิเลสตัณหาฝ่ายต่ำตามธรรมชาติให้ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจเบื้องสูงของจิตใจ ความรู้นี้ทำให้ผู้ครอบครองเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นผู้รับมรดกของสวรรค์ นำเขาให้สื่อสารกับพระทัยของพระองค์ผู้ทรงไม่มีที่สิ้นสุดและเปิดคลังสมบัติอันมหาศาลของจักรวาลให้แก่เขา {COL 114.2}

This is the knowledge which is obtained by searching the word of God. And this treasure may be found by every soul who will give all to obtain it. {COL 114.3}

นี่คือความรู้ที่จะได้มาโดยการค้นหาจากพระวจนะของพระเจ้า และจิตวิญญาณทุกดวงที่เสียสละทุกอย่างเพื่อการค้นหาขุมทรัพย์จะได้มาเป็นของตน {COL 114.3}

“If thou criest after knowledge, and liftest up thy voice for understanding; if thou seekest her as silver, and searchest for her as for hid treasures; then shalt thou understand the fear of the Lord, and find the knowledge of God.” Proverbs 2:3-5. {COL 114.4}

“ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ ถ้าเจ้าแสวงหาปัญญาเหมือนหาเงิน และเสาะเธออย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ แล้วเจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระยาห์เวห์และพบความรู้ของพระเจ้า” สุภาษิต 2:3-5 {COL 114.4}