Chapter 9 (บทที่ 9)
“The Pearl”
ไข่มุก
The blessings of redeeming love our Savior compared to a precious pearl. He illustrated His lesson by the parable of the merchantman seeking goodly pearls “who, when he had found one pearl of great price, went and sold all that he had, and bought it.” Christ Himself is the pearl of great price. In Him is gathered all the glory of the Father, the fullness of the Godhead. He is the brightness of the Father’s glory and the express image of His person. The glory of the attributes of God is expressed in His character. Every page of the Holy Scriptures shines with His light. The righteousness of Christ, as a pure, white pearl, has no defect, no stain. No work of man can improve the great and precious gift of God. It is without a flaw. In Christ are “hid all the treasures of wisdom and knowledge.” Colossians 2:3. He is “made unto us wisdom, and righteousness, and sanctification, and redemption.” 1 Corinthians 1:30. All that can satisfy the needs and longings of the human soul, for this world and for the world to come, is found in Christ. Our Redeemer is the pearl so precious that in comparison all things else may be accounted loss. {COL 115.1}
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเปรียบเทียบพระพรแห่งการไถ่ด้วยความรักกับไข่มุกอันล้ำค่า พระองค์ทรงอธิบายบทเรียนนี้โดยใช้อุปมาของพ่อค้าที่ค้นหาไข่มุกอย่างดี “และเมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายทุกสิ่งซึ่งเขามีอยู่ไปซื้อไข่มุกนั้น” มัทธิว 13:46 พระคริสต์เองทรงเป็นไข่มุกที่มีค่ามหาศาล สง่าราศีทั้งหมดของพระบิดาเก็บรวบรวมไว้ในพระองค์ คือความบริบูรณ์ของพระเจ้าสามพระภาค พระองค์ทรงเป็นความสว่างของสง่าราศีของพระบิดาและเป็นพระฉายาของพระองค์ สง่าราศีที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้านั้นแสดงออกมาทางพระอุปนิสัยของพระองค์ พระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ทุกหน้ามีแสงของพระองค์เปล่งออกมา ความชอบธรรมของพระคริสต์เปรียบเสมือนไข่มุกขาวบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิและด่างพร้อย ความพยายามใดๆ ของมนุษย์แก้ไขปรับปรุงของประทานอันมีค่าและยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอันไร้ตำหนิไม่ได้ ในพระคริสต์ “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่างซ่อนอยู่ในพระองค์” โคโลลี 2:3 พระองค์ทรง “เป็นพระปัญญาจากพระเจ้าสำหรับเรา ทรงเป็นผู้ทำให้เราชอบธรรม ทรงเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์และทรงเป็นผู้ไถ่บาป” 1 โครินธ์ 1:30 ทุกสิ่งที่สนองความต้องการและความหวังของจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งในโลกนี้และโลกที่จะมาถึงมีอยู่ในพระคริสต์ พระผู้ไถ่ของเราทรงเป็นไข่มุกที่มีค่ามาก จนทุกสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนั้นนับได้ว่าไร้ค่า {COL 115.1}
Christ “came unto His own, and His own received Him not.” John 1:11. The light of God shone into the darkness of the world, and “the darkness comprehended it not.” John 1:5. But not all were found indifferent to the gift of heaven. The merchantman in the parable represents a class who were sincerely desiring truth. In different nations there were earnest and thoughtful men who had sought in literature and science and the religions of the heathen world for that which they could receive as the soul’s treasure. Among the Jews there were those who were seeking for that which they had not. Dissatisfied with a formal religion, they longed for that which was spiritual and uplifting. Christ’s chosen disciples belonged to the latter class, Cornelius and the Ethiopian eunuch to the former. They had been longing and praying for light from heaven; and when Christ was revealed to them, they received Him with gladness. {COL 116.1}
พระคริสต์ “เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่ชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ต้อนรับพระองค์” ยอห์น 1:11 ความสว่างของพระเจ้าส่องเข้าไปในความมืดของโลกและ “ความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้” ยอห์น 1:5 แต่ใช่ว่าทุกคนจะไม่สนใจของประทานแห่งสวรรค์เสียทั้งหมด พ่อค้าในคำอุปมาเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่มีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะรู้ความจริง ในประเทศต่างๆ ยังมีคนที่มีความจริงใจและความคิดรอบคอบศึกษาค้นหาจากวรรณกรรมและศาสตร์ต่างๆ และจากศาสนาทางฝ่ายโลก เพื่อเสาะหาสิ่งที่จะรับมาเป็นขุมทรัพย์ของจิตวิญญาณ ในหมู่ชาวยิว ยังมีคนที่พยายามแสวงหาสิ่งที่เขายังขาดอยู่ พวกเขาเบื่อหน่ายกับศาสนาที่เป็นเพียงพิธีการ หวังอยากจะเห็นสิ่งที่เป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณและที่จะทำให้จิตวิญญาณสูงส่งขึ้น อัครสาวกที่พระคริสต์ทรงเลือกนั้นอยู่ในกลุ่มคนรุ่นหลัง ส่วนโครเนลีอัสและขันทีชาวเอธิโอปจัดอยู่ในคนกลุ่มแรก พวกเขารอคอยและอธิษฐานขอแสงสว่างจากสวรรค์และเมื่อได้รับการเปิดเผยให้เห็นพระคริสต์แล้ว พวกเขาก็ต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี {COL 116.1}
In the parable the pearl is not represented as a gift. The merchantman bought it at the price of all that he had. Many question the meaning of this, since Christ is represented in the Scriptures as a gift. He is a gift, but only to those who give themselves, soul, body, and spirit, to Him without reserve. We are to give ourselves to Christ, to live a life of willing obedience to all His requirements. All that we are, all the talents and capabilities we possess, are the Lord’s, to be consecrated to His service. When we thus give ourselves wholly to Him, Christ, with all the treasures of heaven, gives Himself to us. We obtain the pearl of great price. {COL 116.2}
ในอุปมานี้ ไข่มุกไม่ได้หมายถึงสิ่งของที่ให้เปล่าๆ พ่อค้าซื้อไข่มุกนั้นไว้ด้วยสิ่งของทั้งหมดที่เขามีอยู่ มีคนจำนวนมากตั้งข้อสงสัยถึงความหมายของเรื่องนี้ เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าพระคริสต์หมายถึงของประทาน พระองค์เป็นของประทานเฉพาะสำหรับผู้ที่มอบถวายจิตใจ ร่างกายและจิตวิญญาณแด่พระองค์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น เราจะต้องถวายตัวแด่พระคริสต์เพื่อดำรงชีวิตที่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องทั้งหมดของพระองค์ด้วยความเต็มใจ ทุกอย่างที่เรามี ทั้งตะลันต์และความสามารถที่เรามีอยู่ทั้งหมดเป็นของพระเจ้า ที่จะต้องถวายเพื่อการรับใช้พระองค์ เมื่อเราถวายทุกสิ่งให้กับพระองค์แล้ว องค์พระคริสต์พร้อมด้วยขุมทรัพย์ทั้งหมดของสวรรค์ก็จะทรงโปรดประทานพระองค์เองให้แก่เรา เราจึงได้รับไข่มุกที่มีค่ามหาศาล {COL 116.2}
Salvation is a free gift, and yet it is to be bought and sold. In the market of which divine mercy has the management, the precious pearl is represented as being bought without money and without price. In this market all may obtain the goods of heaven. The treasury of the jewels of truth is open to all. “Behold, I have set before thee an open door,” the Lord declares, “and no man can shut it.” No sword guards the way through this door. Voices from within and at the door say, Come. The Saviour’s voice earnestly and lovingly invites us: “I counsel thee to buy of Me gold tried in the fire, that thou mayest be rich.” Revelation 3:8, 18. {COL 116.3}
ความรอดเป็นของขวัญที่ได้รับโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถึงกระนั้นก็ตามเป็นสิ่งที่ต้องซื้อและขาย ในตลาดที่มีพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าเป็นผู้จัดการนั้น เปรียบการซื้อไข่มุกอันมีค่านี้โดยไม่ต้องใช้เงินและไม่มีราคา ในตลาดแห่งนี้ทุกคนรับสินค้าจากสวรรค์ได้ คลังสมบัติเพชรนิลจินดาแห่งความจริงได้ถูกเปิดออกให้แก่ทุกคน พระองค์ตรัสว่า “เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้” ไม่มียามถือดาบเฝ้าทางผ่านไปยังประตูนี้ เสียงจากทั้งภายในและที่ประตูกล่าวว่า เชิญมาเถิด เสียงของพระผู้ช่วยเชิญชวนพวกเราด้วยความจริงใจและความรักว่า “เราแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งมี” วิวรณ์ 3:8, 18 {COL 116.3}
The gospel of Christ is a blessing that all may possess. The poorest are as well able as the richest to purchase salvation; for no amount of worldly wealth can secure it. It is obtained by willing obedience, by giving ourselves to Christ as His own purchased possession. Education, even of the highest class, cannot of itself bring a man nearer to God. The Pharisees were favored with every temporal and every spiritual advantage, and they said with boastful pride, We are “rich, and increased with goods, and have need of nothing”; yet they were “wretched, and miserable, and poor, and blind, and naked.” Revelation 3:17. Christ offered them the pearl of great price; but they disdained to accept it, and He said to them, “The publicans and the harlots go into the kingdom of God before you.” Matthew 21:31. {COL 117.1}
พระกิตติคุณของพระคริสต์เป็นพระพรที่ทุกคนรับเป็นเจ้าของได้ แม้คนยากจนที่สุดก็เท่าเทียมคนที่มั่งมีที่สุดในการซื้อความรอดเพราะไม่มีความร่ำรวยใดๆ ของโลกที่จะซื้อได้ ความรอดได้มาโดยการเชื่อฟังอย่างเต็มใจและโดยการมอบถวายตัวเราให้กับพระคริสต์เพื่อเป็นสมบัติของพระองค์ที่ได้ทรงซื้อเรามา การศึกษาแม้สูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจนำมนุษย์ให้เข้าใกล้พระเจ้าได้ พวกฟาริสีได้เปรียบในทุกแง่ทั้งทางฝ่ายโลกและทางฝ่ายจิตวิญญาณและพวกเขาพูดด้วยความโอ้อวดว่า “ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย” แต่กระนั้นพวกเขา “เป็นคนน่าสมเพช น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอดและเปลือยกาย” วิวรณ์ 3:17 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพวกท่าน” มัทธิว 21:31 {COL 117.1}
We cannot earn salvation, but we are to seek for it with as much interest and perseverance as though we would abandon everything in the world for it. {COL 117.2}
เราซื้อความรอดไม่ได้ แต่เราต้องแสวงหาความรอดด้วยความสนใจและด้วยความเพียรพยายามเสมือนหนึ่งต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกในโลกเพื่อความรอดนั้น {COL 117.2}
We are to seek for the pearl of great price, but not in worldly marts or in worldly ways. The price we are required to pay is not gold or silver, for this belongs to God. Abandon the idea that temporal or spiritual advantages will win for you salvation. God calls for your willing obedience. He asks you to give up your sins. “To him that overcometh,” Christ declares, “will I grant to sit with Me in My throne, even as I also overcame, and am set down with My Father in His throne.” Revelation 3:21. {COL 117.3}
เราจะต้องแสวงหาไข่มุกราคาแพงเม็ดนั้น แต่ไม่ใช่ในตลาดทางฝ่ายโลกหรือด้วยวิธีการแบบชาวโลก ราคาที่เราต้องหามาจ่ายนั้นไม่ใช่เป็นทองหรือเงินเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของพระเจ้า ให้ละทิ้งความคิดที่ว่าผลประโยชน์ทางฝ่ายโลกหรือฝ่ายจิตวิญญาณจะทำให้ท่านได้รับความรอด พระเจ้าทรงเรียกร้องการเชื่อฟังอย่างเต็มใจจากท่าน พระองค์ทรงเรียกร้องให้ท่านละทิ้งบาปทั้งหมด พระคริสต์ตรัสว่า “คนที่ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเราเหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้ว และได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์” วิวรณ์ 3:21 {COL 117.3}
There are some who seem to be always seeking for the heavenly pearl. But they do not make an entire surrender of their wrong habits. They do not die to self that Christ may live in them. Therefore they do not find the precious pearl. They have not overcome unholy ambition and their love for worldly attractions. They do not take up the cross and follow Christ in the path of self-denial and sacrifice. Almost Christians, yet not fully Christians, they seem near the kingdom of heaven, but they cannot enter there. Almost but not wholly saved, means to be not almost but wholly lost. {COL 118.1}
มีบางคนทำตัวราวกับว่าค้นหาไข่มุกแห่งสวรรค์อยู่ตลอดเวลา แต่ พวกเขาไม่ได้ทิ้งนิสัยที่ไม่ดีโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่ได้ตายแก่ตัวเองเพื่อให้พระคริสต์เสด็จเข้ามาอยู่ในเขา ดังนั้นพวกเขาจึงค้นหาไข่มุกอันมีค่าเม็ดนั้นไม่พบ พวกเขาไม่ได้เอาชนะความทะเยอทะยานอันไม่บริสุทธิ์ และความรักที่มีต่อโลก พวกเขาไม่ได้แบกกางเขนและติดตามพระคริสต์ในเส้นทางแห่งการเสียสละและการมอบถวายตนเอง พวกเขาเกือบเป็นคริสเตียนแต่ก็ไม่ใช่คริสเตียนที่แท้จริง พวกเขาดูเหมือนว่ากำลังเข้าใกล้แผ่นดินสวรรค์ แต่ก็เข้าไปไม่ได้ พวกเขาเกือบจะได้รับความรอดแต่ก็ไม่ได้รอดอย่างแท้จริง ประโยคนี้มีความหมายว่าไม่ใช่เกือบหลงหายแต่คือหลงหายไปอย่างแท้จริง {COL 118.1}
The parable of the merchantman seeking goodly pearls has a double significance: it applies not only to men as seeking the kingdom of heaven, but to Christ as seeking His lost inheritance. Christ, the heavenly merchantman seeking goodly pearls, saw in lost humanity the pearl of price. In man, defiled and ruined by sin, He saw the possibilities of redemption. Hearts that have been the battleground of the conflict with Satan, and that have been rescued by the power of love, are more precious to the Redeemer than are those who have never fallen. God looked upon humanity, not as vile and worthless; He looked upon it in Christ, saw it as it might become through redeeming love. He collected all the riches of the universe, and laid them down in order to buy the pearl. And Jesus, having found it, resets it in His own diadem. “For they shall be as the stones of a crown, lifted up as an ensign upon His land.” Zechariah 9:16. “They shall be Mine, saith the Lord of hosts, in that day when I make up My jewels.” Malachi 3:17. {COL 118.2}
อุปมาเรื่องพ่อค้าแสวงหาไข่มุกมีค่ามีความหมายสำคัญอยู่สองประการ คือไม่เพียงหมายถึงคนที่แสวงหาแผ่นดินสวรรค์เท่านั้น แต่หมายถึงพระคริสต์ทรงกำลังแสวงหามรดกที่หายไป พระคริสต์คือนายวานิชแห่งสวรรค์กำลังแสวงหาไข่มุกอันมีค่า ทรงทอดพระเนตรเห็นมนุษย์ที่หลงหายนั้นเป็นไข่มุกที่มีค่า มนุษย์ผู้แปดเปื้อนด้วยมลทินและถูกทำลายด้วยบาป พระองค์ทรงเห็นความเป็นไปได้ที่จะช่วยให้รอด หัวใจที่เคยเป็นสนามรบของการต่อสู้กับซาตาน และได้รับการช่วยเหลือด้วยอำนาจแห่งความรักนั้นมีค่าสำหรับพระผู้ไถ่มากยิ่งกว่าผู้ที่ยังไม่เคยล้มลงในบาป พระเจ้าไม่ได้ทรงมองดูมนุษย์ชาติว่าพวกเขาเป็นคนเลวทรามต่ำช้าและไร้ค่า พระองค์ทอดพระเนตรผ่านทางพระคริสต์ ทรงมองเห็นสื่งที่พวกเขาควรจะเป็นเมื่อผ่านการไถ่ด้วยรัก แล้วพระองค์ทรงรวบรวมสมบัติทั้งหมดของจักรวาลและวางลงไปเพื่อที่จะซื้อไข่มุกเม็ดนี้ และเมื่อพระเยซูทรงพบไข่มุกแล้ว ก็ทรงจัดเก็บไว้ในคลังของพระองค์เอง “เขาจะส่องแสงในแผ่นดินของพระองค์ อย่างกับเพชรที่อยู่ในมงกุฎ” เศคาริยาห์ 9:16 “เขาทั้งหลายจะเป็นคนของเรา เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเรา ในวันที่เราจะประกอบกิจ และเราจะเมตตาผู้ปรนนิบัติเขา” [ฉบับเดิม “วันที่เราจะเก็บรวบรวมสมบัติของเราไว้นั้น”] มาลาคี 3:17 {COL 118.2}
But Christ as the precious pearl, and our privilege of possessing this heavenly treasure, is the theme on which we most need to dwell. It is the Holy Spirit that reveals to men the preciousness of the goodly pearl. The time of the Holy Spirit’s power is the time when in a special sense the heavenly gift is sought and found. In Christ’s day many heard the gospel, but their minds were darkened by false teaching, and they did not recognize in the humble Teacher of Galilee the Sent of God. But after Christ’s ascension His enthronement in His mediatorial kingdom was signalized by the outpouring of the Holy Spirit. On the day of Pentecost the Spirit was given. Christ’s witnesses proclaimed the power of the risen Saviour. The light of heaven penetrated the darkened minds of those who had been deceived by the enemies of Christ. They now saw Him exalted to be “a Prince and a Saviour, for to give repentance to Israel, and forgiveness of sins.” Acts 5:31. They saw Him encircled with the glory of heaven, with infinite treasures in His hands to bestow upon all who would turn from their rebellion. As the apostles set forth the glory of the Only-Begotten of the Father, three thousand souls were convicted. They were made to see themselves as they were, sinful and polluted, and Christ as their friend and Redeemer. Christ was lifted up, Christ was glorified, through the power of the Holy Spirit resting upon men. By faith these believers saw Him as the One who had borne humiliation, suffering, and death that they might not perish but have everlasting life. The revelation of Christ by the Spirit brought to them a realizing sense of His power and majesty, and they stretched forth their hands to Him by faith, saying, “I believe.” {COL 118.3}
แต่เรื่องของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นไข่มุกอันล้ำค่าและโอกาสของเราที่จะรับมาเป็นเจ้าของสมบัติแห่งสวรรค์นี้เป็นหัวข้อที่เราจะต้องใส่ใจให้มากที่สุด พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้เปิดเผยให้มนุษย์เห็นไข่มุกอันมีค่านี้ เวลาแห่งอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในความหมายพิเศษคือเวลาของการแสวงหาและพบของประทานแห่งสวรรค์ ในสมัยของพระคริสต์ มีคนจำนวนมากมายได้ยินข่าวประเสริฐ แต่สมองของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยความมืดของคำสอนเทียมเท็จและพวกเขามองไม่เห็นว่าพระอาจารย์ผู้ทรงถ่อมตนแห่งกาลิลีผู้นี้เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา แต่ภายหลังจากพระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ การหลั่งลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสัญญาณแสดงถึงการที่พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์ในอาณาจักรของพระองค์เพื่อเป็นคนกลางด้วย พระองค์ประทานพระวิญญาณลงมาในวันเพ็นเทคอสต์ พยานของพระคริสต์ประกาศอำนาจของการเป็นขึ้นจากตายของพระผู้ช่วยให้รอด แสงแห่งสวรรค์ส่องทะลุผ่านเข้าไปสู่ความคิดอันมืดของผู้ที่ถูกศัตรูของพระคริสต์หลอกลวง ขณะนี้พวกเขาเห็นพระองค์ถูกยกขึ้นให้เป็น “องค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอดเพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงอภัยบาปของเขาทั้งหลาย” กิจการ 5:31 พวกเขาเห็นสง่าราศีแห่งสวรรค์ห้อมล้อมพระองค์ไว้ พร้อมด้วยสมบัติอันนับไม่ถ้วนในพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อประทานแก่ทุกคนที่จะหันจากการกบฏของเขา ขณะที่อัครสาวกนำสง่าราศีของพระบุตรองค์เดียวของพระบิดามาประกาศนั้น จิตวิญญาณสามพันดวงได้ยอมรับ พวกเขามองเห็นว่าตนเป็นคนบาปหนาและมีมลทิน และเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นมิตรสหายและพระผู้ช่วย พระคริสต์ทรงได้รับการยกชูขึ้น พระคริสต์ทรงได้รับสง่าราศีโดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ร่วมสถิตอยู่กับมนุษย์ ผู้เชื่อเหล่านี้มองเห็นโดยความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้แบกความละอาย ความทุกข์ยากและความตายเพื่อที่พวกเขาจะไม่พินาศแต่ได้ชีวิตนิรันดร์ การเปิดเผยพระคริสต์โดยพระวิญญาณทำให้พวกเขารู้ซึ้งถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระองค์และพวกเขายื่นมือไปหาพระองค์ด้วยความเชื่อทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ” มาระโก 9:24 {COL 118.3}
Then the glad tidings of a risen Saviour were carried to the uttermost bounds of the inhabited world. The church beheld converts flocking to her from all directions. Believers were reconverted. Sinners united with Christians in seeking the pearl of great price. The prophecy was fulfilled, The weak shall be “as David,” and the house of David “as the angel of the Lord.” Zechariah 12:8. Every Christian saw in his brother the divine similitude of benevolence and love. One interest prevailed. One object swallowed up all others. All hearts beat in harmony. The only ambition of the believers was to reveal the likeness of Christ’s character, and to labor for the enlargement of His kingdom. “The multitude of them that believed were of one heart and of one soul. . . . With great power gave the apostles witness of the resurrection of the Lord Jesus; and great grace was upon them all.” Acts 4:32, 33. “And the Lord added to the church daily such as should be saved.” Acts 2:47. The Spirit of Christ animated the whole congregation; for they had found the pearl of great price. {COL 120.1}
ข่าวชื่นชมยินดีของการเป็นขึ้นจากตายของพระผู้ช่วยให้รอดจึงเผยแพร่ไปยังผู้คนที่อาศัยอยู่สุดปลายของแผ่นดินโลก คริสตจักรเห็นคนกลับใจเข้าสู่คริสตจักรจากทุกสารทิศ ผู้ที่เชื่อแล้วก็กลับใจใหม่อีกครั้ง คนบาปเข้าร่วมกับคริสเตียนเพื่อแสวงหาไข่มุกที่มีค่ามหาศาล คำพยากรณ์สำเร็จแล้ว คนที่อ่อนแอก็ “จะเป็นเหมือนดาวิด” และราชวงศ์ของดาวิดจะเป็น “เหมือนทูตของพระยาห์เวห์” เศคาริยาห์ 12:8 คริสเตียนทุกคนมองเห็นลักษณะแห่งความเมตตาและความรักในพี่น้องของเขา สิ่งที่น่าสนใจมีเพียงอย่างเดียว เป้าหมายเดียวปิดบังเป้าหมายอื่นทั้งหมด หัวใจทุกดวงเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ความปรารถนาเพียงสิ่งเดียวที่ผู้เชื่อทั้งหลายต่างมีความต้องการคือการเปิดเผยให้เห็นถึงอุปนิสัยที่เป็นเหมือนพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ และเพื่อทำหน้าที่ขยายอาณาจักรของพระองค์ให้กว้างออกไป “คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน….ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน” กิจการ 4:32, 33 “องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอดเพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน” กิจการ 2:47 พระวิญญาณของพระคริสต์ร่วมสถิตอยู่ในที่ประชุม เพราะเขาเหล่านั้นพบไข่มุกอันมีค่ามากยิ่ง {COL 120.1}
These scenes are to be repeated, and with greater power. The outpouring of the Holy Spirit on the day of Pentecost was the former rain, but the latter rain will be more abundant. The Spirit awaits our demand and reception. Christ is again to be revealed in His fulness by the Holy Spirit’s power. Men will discern the value of the precious pearl, and with the apostle Paul they will say, “What things were gain to me, those I counted loss for Christ. Yea doubtless, and I count all things but loss for the excellency of the knowledge of Christ Jesus my Lord.” Philippians 3:7, 8. {COL 121.1}
ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นซ้ำอีก และด้วยฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่กว่า การหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์เป็นฝนต้นฤดู แต่ฝนปลายฤดูจะยิ่งใหญ่อุดมสมบูรณ์กว่า พระวิญญาณทรงรอคอยที่จะให้เราร้องขอและตอบรับ พระคริสต์จะสำแดงความบริบูรณ์ของพระองค์โดยทางอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์จะเห็นคุณค่าของไข่มุกอันมีค่าและพวกเขาจะกล่าวพร้อมกับอัครทูตเปาโลว่า “แต่ว่าอะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุนเพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” ฟีลิปปี 3:7, 8 {COL 121.1}