Chapter 10 (บทที่ 10)
Helping the Tempted
การช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในการทดลอง
Not because we first loved Him did Christ love us; but “while we were yet sinners” He died for us. He does not treat us according to our desert. Although our sins have merited condemnation, He does not condemn us. Year after year He has borne with our weakness and ignorance, with our ingratitude and waywardness. Notwithstanding our wanderings, our hardness of heart, our neglect of His Holy Word, His hand is stretched out still. {MH 161.1}
การที่พระคริสต์ทรงรักเรานั่นมิใช่เพราะว่าเราได้มีใจรักในพระองค์ก่อน แต่ “ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป” พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา พระองค์มิได้ทรงปฏิบัติต่อเราตามการกระทำที่เราสมควรจะได้รับ ถึงแม้ว่าบาปของเราจะทำให้เราสมควรที่จะได้รับโทษก็ตาม แต่พระองค์ก็หาได้ทรงพิพากษาลงโทษเราไม่ ปีแล้วปีเล่าที่พระองค์ได้ทรงอดทนต่อความอ่อนแอและความโง่เขลาของเรา ความอกตัญญูต่อพระคุณและความดื้อรั้นของเรา แม้ว่าเราจะได้เหินห่างไปจากพระองค์ มีจิตใจที่แข็งกระด้าง หรือ เพิกเฉยต่อพระวจนะอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระหัตถ์ของพระองค์ก็ยังทรงเหยียดออกเพื่อเราอยู่เสมอ {MH 161.1}
Grace is an attribute of God exercised toward undeserving human beings. We did not seek for it, but it was sent in search of us. God rejoices to bestow His grace upon us, not because we are worthy, but because we are so utterly unworthy. Our only claim to His mercy is our great need. {MH 161.2}
พระคุณเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่ประทานให้แก่มนุษย์ผู้ไม่สมควรจะได้รับ เรามิได้แสวงหาพระคุณนั้น แต่พระเจ้าได้ทรงแสวงหาเพื่อที่จะประทานพระคุณนั้นให้แก่เรา พระเจ้าทรงยินดีที่จะประทานพระคุณของพระองค์ให้แก่เรา มิใช่เพราะเรามีค่าคู่ควรที่จะได้รับ แต่เพราะเราไม่มีค่าคู่ควรอย่างสิ้นเชิงที่จะได้รับพระคุณนั้นต่างหาก สิ่งเดียวที่เราจะทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ ก็คือ ความจำเป็นอย่างยิ่งยวดของเราเท่านั้น {MH 161.2}
The Lord God through Jesus Christ holds out His hand all the day long in invitation to the sinful and fallen. He will receive all. He welcomes all. It is His glory to pardon the chief of sinners. He will take the prey from the mighty, He will deliver the captive, He will pluck the brand from the burning. He will lower the golden chain of His mercy to the lowest depths of human wretchedness, and lift up the debased soul contaminated with sin.{MH 161.3}
โดยอาศัยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ตลอดทั้งวันเพื่อที่จะเชื้อเชิญมนุษย์ที่หลงกระทำผิดบาปให้เข้ามาหาพระองค์ พระองค์ทรงยอมรับทุกคน พระองค์ทรงต้อนรับทุกคนด้วยความยินดี การอภัยโทษต่อผู้ที่กระทำผิดบาปมากที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่สำแดงถึงสง่าราศีของพระองค์ พระองค์จะทรงนำเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายออกมาจากซาตานผู้มีอำนาจ พระองค์จะทรงปลดปล่อยเชลยให้ได้รับความเป็นไท พระองค์จะทรงฉวยดุ้นฟืนออกมาจากกองเพลิง พระองค์จะทรงโรยโซ่ทองแห่งพระเมตตาคุณของพระองค์จากสวรรค์ลงสู่เบื้องลึกที่สุดในความทุกข์ยากของมนุษย์ และจะทรงยกชูจิตวิญญาณที่แปดเปื้อนด้วยบาป {MH 161.3}
Every human being is the object of loving interest to Him who gave His life that He might bring men back to God. Souls guilty and helpless, liable to be destroyed by the arts and snares of Satan, are cared for as a shepherd cares for the sheep of his flock. {MH 162.1}
พระคริสต์ทรงสนพระทัยและทรงรักใคร่ในมนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อที่จะนำมนุษย์ให้กลับคืนดีกับพระเจ้า จิตวิญญาณที่หลงกระทำผิดและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ซึ่งตกอยู่ในสภาพพร้อมจะถูกทำลาย ด้วยเล่ห์อุบายและบ่วงแร้วของซาตานจะได้รับการดูแลและฟื้นฟูเหมือนดังเช่นผู้เลี้ยงที่คอยปกป้องฝูงแกะของตน {MH 162.1}
The Saviour’s example is to be the standard of our service for the tempted and the erring. The same interest and tenderness and long-suffering that He has manifested toward us, we are to manifest toward others. “As I have loved you,” He says, “that ye also love one another.” John 13:34. If Christ dwells in us, we shall reveal His unselfish love toward all with whom we have to do. As we see men and women in need of sympathy and help, we shall not ask, “Are they worthy?” but “How can I benefit them?” {MH 162.2}
แบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดจะต้องเป็นมาตรฐานแห่งการปรนนิบัติรับใช้ของเราต่อผู้ที่ถูกทดลองและหลงกระทำผิด ความสนพระทัย ความสุภาพอ่อนโยนและความอดทนนานที่พระองค์ได้ทรงสาธิตต่อเรานั้น เราจะต้องสำแดงสิ่งเดียวกันนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้อื่นด้วย พระองค์ตรัสว่า “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” ยอห์น 13:34 หากพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราก็จะต้องเปิดเผยถึงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ต่อทุกๆ คนที่เราติดต่อเกี่ยวข้องด้วย เมื่อเราพบเห็นมนุษย์ชายหญิงที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือ เราจะไม่ถามว่า “เขาเป็นผู้สมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือหรือไม่” แต่เราควรจะถามว่า “ข้าพเจ้าจะ ทำประโยชน์อะไรให้แก่เขาเหล่านั้นได้บ้าง” {MH 162.2}
Rich and poor, high and low, free and bond, are God’s heritage. He who gave His life to redeem man sees in every human being a value that exceeds finite computation. By the mystery and glory of the cross we are to discern His estimate of the value of the soul. When we do this, we shall feel that human beings, however degraded, have cost too much to be treated with coldness or contempt. We shall realize the importance of working for our fellow men, that they may be exalted to the throne of God. {MH 162.3}
ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน คนชั้นสูงและคนชั้นต่ำ ไทและทาสล้วนเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อจะไถ่มนุษย์ทั้งหลายให้รอดพ้นจากบาปนั้น ทรงมองเห็นว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีค่ามากเกินกว่าจะประมาณได้ โดยความล้ำลึกและสง่าราศีของกางเขนนั้น เราจึงได้มองเห็นถึงการประเมินค่าต่อจิตวิญญาณมนุษย์ของพระองค์ เมื่อเราได้ทราบอย่างถ่องแท้เช่นนี้แล้ว เราย่อมจะรู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเลวทรามต่ำช้าสักเพียงใด เขาก็มีค่าเกินกว่าที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยความเย็นชาหรือด้วยการดูถูกเหยียดหยาม เราควรจะตระหนักถึงความสำคัญของงานที่เราจะกระทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่าเขาควรได้รับการยกชูให้สูงขึ้นสู่พระที่นั่งของพระเจ้า {MH 162.3}
The lost coin, in the Saviour’s parable, though lying in the dirt and rubbish, was a piece of silver still. Its owner sought it because it was of value. So every soul, however degraded by sin, is in God’s sight accounted precious. As the coin bore the image and superscription of the reigning power, so man at his creation bore the image and superscription of God. Though now marred and dim through the influence of sin, the traces of this inscription remain upon every soul. God desires to recover that soul and to retrace upon it His own image in righteousness and holiness. {MH 163.1}
ในคำอุปมาของพระผู้ช่วยให้รอดเกี่ยวกับเรื่องเหรียญเงินที่หายไปนั้น แม้ว่าจะตกอยู่ในกองขยะโสโครกก็ตาม เหรียญนั้นก็ยังเป็นเหรียญเงินอยู่เช่นเดิม เจ้าของเหรียญย่อมจะเสาะแสวงหาเพราะมันเป็นสิ่งที่มีค่า ดังนั้น จิตวิญญาณทั้งหลาย แม้ว่าจะเสื่อมทรามไปเพราะความผิดบาป ก็ยังมีค่าประเสริฐในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นเดียวกับเหรียญเงินที่มีพระฉายาลักษณ์และคำจารึกของกษัตริย์ผู้มีอำนาจครอบครองประเทศฉันใด มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างย่อมมีพระฉายาและคำจารึกของพระเจ้าประทับอยู่ฉันนั้น ถึงแม้ว่าในเวลานี้จิตวิญญาณเหล่านั้นจะได้เสื่อมเสียและมัวหมองไปเพราะอิทธิพลของความผิดบาป แต่กระนั้นร่องรอยของคำจารึกก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในจิตวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้น พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะนำจิตวิญญาณเหล่านั้นกลับคืนมาและประทับพระฉายาแห่งความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระองค์ลงไปอีกครั้ง {MH 163.1}
How little do we enter into sympathy with Christ on that which should be the strongest bond of union between us and Him–compassion for depraved, guilty, suffering souls, dead in trespasses and sins! The inhumanity of man toward man is our greatest sin. Many think that they are representing the justice of God while they wholly fail of representing His tenderness and His great love. Often the ones whom they meet with sternness and severity are under the stress of temptation. Satan is wrestling with these souls, and harsh, unsympathetic words discourage them and cause them to fall a prey to the tempter’s power. {MH 163.2}
เราต่างมีความเข้าใจถึงความเห็นอกเห็นใจตามแบบอย่างของพระคริสต์แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว สิ่งนี้ควรจะเป็นสายใยที่ได้ผูกพันเรากับพระองค์ไว้อย่างแนบแน่นที่สุด อันเป็นความเห็นอกเห็นใจด้วยความเมตตาสงสารต่อจิตวิญญาณที่ต่ำช้า จิตวิญญาณที่หลงกระทำผิดและต้องทนทุกข์ทรมาน และสุดท้ายก็ต้องตายไปด้วยการล่วงละเมิดและความผิดบาป ความไร้มนุษยธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถือว่าเป็นความผิดบาปที่ร้ายแรงที่สุดของเรา หลายคนคิดว่าเขาเป็นแบบอย่างความยุติธรรมของพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันเขาหาได้แสดงถึงแบบอย่างความสุภาพอ่อนโยนและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อผู้อื่นไม่ บ่อยครั้งที่เขาได้ปฏิบัติต่อคนทั้งหลายด้วยความเกรี้ยวกราดและความรุนแรง จนคนเหล่านั้นต้องตกอยู่ในภาวะที่กดดันและอาจจะต้องพ่ายแพ้ต่อการทดลอง ซาตานกำลังพยายามที่จะฉกฉวยแย่งชิงจิตวิญญาณเหล่านี้ไป ดังนั้น ถ้อยคำที่เกรี้ยวกราดหยาบคายและปราศจากความเห็นอกเห็นใจ จะทำให้คนเหล่านั้นเกิดความท้อถอยและผลักไสคนเหล่านั้นต้องตกเป็นเหยื่อต่ออำนาจของผู้ทดลอง {MH 163.2}
It is a delicate matter to deal with minds. Only He who reads the heart knows how to bring men to repentance. Only His wisdom can give us success in reaching the lost. You may stand up stiffly, feeling, “I am holier than thou,” and it matters not how correct your reasoning or how true your words; they will never touch hearts. The love of Christ, manifested in word and act, will win its way to the soul, when the reiteration of precept or argument would accomplish nothing. {MH 163.3}
การเข้าถึงจิตใจของคนทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงอ่านจิตใจของมนุษย์ได้เท่านั้นที่ทรงนำมนุษย์ให้กลับใจใหม่ได้ มีเพียงพระปัญญาของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้เราประสบผลในการเข้าถึงคนที่หลงหายได้ ท่านอาจจะยืนตัวตรงและรู้สึกว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมกว่าตัวท่าน” และไม่ว่าเหตุผลของท่านจะถูกต้องอย่างไรหรือถ้อยคำของท่านจะเป็นความจริงมากสักเพียงไร ถ้อยคำนั้นย่อมมิอาจที่จะเข้าถึงและสัมผัสจิตใจของผู้ใดได้ ความรักของพระคริสต์ที่ได้สำแดงให้ปรากฏในคำพูดและการกระทำต่างหาก ที่จะทำให้ประสบผลในการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่นได้ ในขณะที่การกล่าวซ้ำซากถึงข้อบังคับคำสั่งสอนหรือการโต้แย้งย่อมไม่ก่อให้บังเกิดผลแต่ประการใด {MH 163.3}
We need more of Christlike sympathy; not merely sympathy for those who appear to us to be faultless, but sympathy for poor, suffering, struggling souls, who are often overtaken in fault, sinning and repenting, tempted and discouraged. We are to go to our fellow men, touched, like our merciful High Priest, with the feeling of their infirmities. {MH 164.1}
เราต้องมีความเห็นอกเห็นใจตามแบบอย่างของพระคริสต์ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมิใช่ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่เราเห็นว่าเป็นคนที่ปราศจากตำหนิด่างพร้อยเท่านั้น แต่เราต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนยากคนจน คนที่ตกทุกข์ได้ยากและจิตวิญญาณที่กำลังต่อสู้ดิ้นรน ซึ่งถูกครอบงำอยู่ในความผิดบาป และจมอยู่กับความรู้สึกเสียใจที่ได้กระทำผิดไป ต้องถูกการทดลองและมีจิตใจที่ท้อแท้สิ้นหวัง เราจะต้องเข้าไปหาเพื่อนมนุษย์ด้วยการเข้าถึงและสัมผัสจิตใจพวกเขาด้วยความรู้สึกถึงความอ่อนแอของพวกเขา เหมือนดังเช่นพระมหาปุโรหิตของเราผู้ทรงกอปรด้วยพระทัยกรุณา {MH 164.1}
It was the outcast, the publican and sinner, the despised of the nations, that Christ called and by His loving-kindness compelled to come unto Him. The one class that He would never countenance was those who stood apart in their self-esteem and looked down upon others. {MH 164.2}
คนที่สังคมรังเกียจเดียดฉันท์ คนเก็บภาษีและคนบาป ซึ่งประชาชนต่างดูถูกเหยียดหยามเหล่านั้นต่างหากที่พระคริสต์ทรงเรียกและด้วยความรักอันมั่นคงของพระองค์ เป็นแรงเร่งเร้าคนเหล่านั้นให้เข้ามาหาพระองค์ มีบุคคลจำพวกเดียวที่พระคริสต์มิทรงยอมรับ นั่นก็คือผู้ที่ถือว่าตนเองดีเลิศและดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น {MH 164.2}
“Go out into the highways and hedges, and compel them to come in,” Christ bids us, “that My house may be filled.” In obedience to this word we must go to the heathen who are near us, and to those who are afar off. The “publicans and harlots” must hear the Saviour’s invitation. Through the kindness and long-suffering of His messengers the invitation becomes a compelling power to uplift those who are sunken in the lowest depths of sin. {MH 164.3}
พระคริสต์ทรงรับสั่งแก่เราว่า “จงออกไปตามทางใหญ่ซอกน้อย และเร่งเร้าเขาให้เข้ามา เพื่อเรือนของเราจะเต็ม” ในการที่จะปฏิบัติตามพระดำรัสสั่งนี้เราจะต้องไปหาผู้ที่ยังไม่ได้นับถือพระเจ้าทั้งที่อยู่ใกล้เราและอยู่ห่างไกลออกไป “คนเก็บภาษีและหญิงเพศยา” จะต้องได้ยินคำเชื้อเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด โดยอาศัยความเมตตากรุณาและความอดทนของทูตผู้นำข่าวของพระองค์ คำเชื้อเชิญของพระคริสต์จะกลายเป็นฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยยกชูผู้ที่จมดิ่งลึกลงสู่ก้นบึ้งของความผิดบาปให้ขึ้นมาได้ {MH 164.3}
Christian motives demand that we work with a steady purpose, an undying interest, an ever-increasing importunity, for the souls whom Satan is seeking to destroy. Nothing is to chill the earnest, yearning energy for the salvation of the lost. {MH 164.4}
แรงบันดาลใจในการทำงานของคริสเตียนย่อมต้องการความตั้งใจที่มุ่งมั่น ความเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง และความปรารถนาอย่างไม่ลดละต่อจิตวิญญาณทั้งหลายที่ซาตานพยายามทำลายเสีย อย่าให้มีสิ่งใดมาทำให้ความร้อนรนและความปรารถนาอันลึกซึ้งที่จะช่วยผู้ที่หลงหายให้ได้รับความรอดนั้นต้องเยือกเย็นลงไป {MH 164.4}
Mark how all through the word of God there is manifest the spirit of urgency, of imploring men and women to come to Christ. We must seize upon every opportunity, in private and in public, presenting every argument, urging every motive of infinite weight, to draw men to the Saviour. With all our power we must urge them to look unto Jesus and to accept His life of self-denial and sacrifice. We must show that we expect them to give joy to the heart of Christ by using every one of His gifts in honoring His name. {MH 164.5}
จงสังเกตดูว่าในพระวจนะของพระเจ้าที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นถ้อยคำที่ทรงเรียกร้องให้มนุษย์ชายหญิงกลับมาหาพระคริสต์อย่างเร่งด่วน เราจำต้องฉกฉวยทุกๆ โอกาสที่มีทั้งเป็นการส่วนตัวและในที่สาธารณชน โดยนำเสนอเหตุผลทั้งปวง ถ่ายทอดแรงกระตุ้นในทุกระดับ เพื่อชักนำมนุษย์ให้กลับมาหาพระผู้ช่วยให้รอด เราจะต้องเร่งเร้าคนทั้งหลายด้วยกำลังทั้งหมดของเรา ให้มองไปที่พระเยซู และยอมรับเอาชีวิตที่เสียสละและไม่เห็นแก่ตนของพระองค์ เราจะต้องแสดงให้เห็นว่าเราหวังที่จะให้คนเหล่านั้นทำให้พระคริสต์ทรงมีพระทัยชื่นชมยินดี ด้วยการที่เราได้ใช้ของประทานทุกอย่างเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ {MH 164.5}
Saved by Hope
รอดได้ด้วยความหวังใจ
“We are saved by hope.” Romans 8:24. The fallen must be led to feel that it is not too late for them to be men. Christ honored man with His confidence and thus placed him on his honor. Even those who had fallen the lowest He treated with respect. It was a continual pain to Christ to be brought into contact with enmity, depravity, and impurity; but never did He utter one expression to show that His sensibilities were shocked or His refined tastes offended. Whatever the evil habits, the strong prejudices, or the overbearing passions of human beings, He met them all with pitying tenderness. As we partake of His Spirit, we shall regard all men as brethren, with similar temptations and trials, often falling and struggling to rise again, battling with discouragements and difficulties, craving sympathy and help. Then we shall meet them in such a way as not to discourage or repel them, but to awaken hope in their hearts. As they are thus encouraged, they can say with confidence, “Rejoice not against me, O mine enemy: when I fall, I shall arise; when I sit in darkness, the Lord shall be a light unto me.” He will “plead my cause, and execute judgment for me: He will bring me forth to the light, and I shall behold His righteousness.” Micah 7:8, 9. God “looketh upon all the inhabitants of the earth. He fashioneth their hearts alike.” Psalm 33:14, 15. {MH 165.1}
“เรารอดโดยความหวังใจ” โรม 8:24 (THSV) เราจะต้องชักนำผู้ที่หลงไปในความผิดบาปให้รู้สึกว่ายังไม่สายเกินไปที่เขาจะกลับใจเสียใหม่ พระคริสต์ประทานเกียรติให้แก่มนุษย์ด้วยความไว้วางพระทัย โดยประการฉะนี้แหละ เขาจึงได้มีส่วนในศักดิ์ศรีร่วมกันกับพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่ได้หลงกระทำผิดบาปอย่างมหันต์ พระองค์ก็ยังทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความนับถือ พระคริสต์ทรงเจ็บปวดพระทัยอยู่เสมอ จากการที่พระองค์ต้องประสบกับผู้ที่มองพระองค์ว่าเป็นศัตรู กับความชั่วร้ายและสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ แต่พระองค์ก็มิเคยตรัสแสดงว่าพระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนพระทัย หรือทำให้พระทัยอันบริสุทธิ์ของพระองค์ต้องขุ่นเคือง มาตรว่ามนุษย์จะมีอุปนิสัยอันชั่วร้าย มีอคติที่คอยรังเกียจเดียดฉันท์ต่อพระองค์อย่างรุนแรง หรือมีกิเลสตัณหาที่เข้าครอบงำอยู่ก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังทรงเผชิญกับคนทั้งหลายเหล่านั้นด้วยพระทัยที่รักใคร่สงสาร เมื่อเราได้มีส่วนร่วมในน้ำพระทัยแบบเดียวกันกับพระคริสต์ เราก็จะถือว่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนเป็นพี่น้องกับเรา ที่ต้องถูกการทดลองและได้รับความยากลำบากเฉกเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่เขาต้องล้มลุกคลุกคลานและต้องตะเกียกตะกายที่จะลุกขึ้นมาใหม่ ต้องต่อสู้กับความผิดหวังและความยากลำบาก และเขาต่างวอนหาความเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือ เมื่อเราได้ตระหนักถึงสิ่งนี้แล้ว เราก็จะปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นโดยไม่ทำให้เขาต้องหมดกำลังใจหรือคอยที่จะขับไล่ไสสง แต่กลับจะปลุกจิตใจให้เกิดความหวัง เมื่อเขาได้รับการปลุกปลอบใจเช่นนี้แล้ว เขาก็จะพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า “ศัตรูของข้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าเลย เมื่อข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้านั่งอยู่ในความมืด พระเจ้าจะทรงเป็นความสว่างแก่ข้า” “พระองค์จะทรงแก้คดีของข้าพเจ้า และกระทำการตัดสินเพื่อข้าพเจ้า พระองค์จะทรงนำข้าพเจ้าไปยังความสว่าง และข้าพเจ้าจะเห็นการช่วยกู้ของพระองค์” มีคาห์ 7:8, 9 “พระองค์ทอดพระเนตรเหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น พระองค์ผู้ทรงประดิษฐ์จิตใจของเขาทั้งหลายทุกคน” สดุดี 33:14, 15 {MH 165.1}
He bids us, in dealing with the tempted and the erring, consider “thyself, lest thou also be tempted.” Galatians 6:1. With a sense of our own infirmities, we shall have compassion for the infirmities of others. {MH 166.1}
ในการติดต่อข้องเกี่ยวกับผู้ที่ถูกทดลองและหลงกระทำผิดนั้น พระองค์ทรงรับสั่งว่า ขอให้เราได้คิดถึง “ตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย” กาลาเทีย 6:1 เมื่อเราได้รู้สึกถึงความอ่อนแอของตัวเราแล้ว เราก็จะมีความเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของผู้อื่นด้วยเช่นกัน {MH 166.1}
“Who maketh thee to differ from another? and what hast thou that thou didst not receive? “One is your Master; . . . and all ye are brethren.” “Why dost thou judge thy brother? or why dost thou set at nought thy brother?” “Let us not therefore judge one another: . . . but judge this rather, that no man put a stumbling block or an occasion to fall in his brother’s way.” 1 Corinthians 4:7; Matthew 23:8; Romans 14:10, 13. {MH 166.2}
“ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา” “ท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียว และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด” “เหตุไฉนท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือท่านผู้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง” “ดังนั้นเราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจเสียดีกว่า ว่าจะไม่วางสิ่งซึ่งทำให้สะดุด หรือสิ่งกีดขวางทางของพี่น้อง” 1 โครินธ์ 4:7; มัทธิว 23:8; โรม 14:10, 13 {MH 166.2}
It is always humiliating to have one’s errors pointed out. None should make the experience more bitter by needless censure. No one was ever reclaimed by reproach; but many have thus been repelled and have been led to steel their hearts against conviction. A tender spirit, a gentle, winning deportment, may save the erring and hide a multitude of sins. {MH 166.3}
การที่เราชี้ให้ผู้อื่นได้มองเห็นถึงความผิดของตัวเขานั้นย่อมจะทำให้เขาเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ขออย่าให้มีใครที่ทำให้ผู้ที่กระทำผิดต้องรู้สึกขมขื่นไปมากกว่าเดิมด้วยการว่ากล่าวตำหนิติเตียนโดยไม่จำเป็น การตำหนิติเตียนไม่เคยทำให้ผู้ใดกลับใจใหม่ได้ มีแต่จะรังให้หลายคนต้องถูกผลักไสและทำให้จิตใจที่ควรจะได้รับการชักนำให้เข้ามานั้นต้องแข็งกระด้างไปในที่สุด การมีน้ำใจที่อ่อนโยน ท่าทางที่น่ารักสุภาพ ย่อมสามารถที่จะช่วยผู้ที่หลงผิดให้ได้รอดพ้นจากความตายและช่วยปกปิดความผิดบาปได้เป็นอันมาก {MH 166.3}
The apostle Paul found it necessary to reprove wrong, but how carefully he sought to show that he was a friend to the erring! How anxiously he explained to them the reason of his action! He made them understand that it cost him pain to give them pain. He showed his confidence and sympathy toward the ones who were struggling to overcome. {MH 166.4}
อัครสาวกเปาโลเห็นว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องตักเตือนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เปาโลได้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมิตรกับคนที่ได้กระทำผิด เขาได้อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องตักเตือนด้วยความห่วงใย เปาโลได้อธิบายให้พวกเขาได้เข้าใจว่า เขารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อจะต้องทำให้พวกเขาเจ็บปวด เปาโลได้แสดงออกถึงความไว้วางใจและความเห็นอกเห็นใจต่อคนทั้งหลายที่กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะได้รับชัยชนะ {MH 166.4}
“Out of much affliction and anguish of heart,” he said, “I wrote unto you with many tears; not that ye should be grieved, but that ye might know the love which I have more abundantly unto you.” 2 Corinthians 2:4. “For though I made you sorry with my epistle, I do not regret it: though I did regret it, . . . I now rejoice, not that ye were made sorry, but that ye were made sorry unto repentance. . . . For behold, this selfsame thing, that ye were made sorry after a godly sort, what earnest care it wrought in you, yea what clearing of yourselves, yea what indignation, yea what fear, yea what longing, yea what zeal, yea what avenging! In everything ye approved yourselves to be pure in the matter. . . . Therefore we have been comforted.” 2 Corinthians 7:8-13, A.R.V. {MH 166.5}
เปาโลได้กล่าวว่า “เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนหนังสือถึงท่าน เพราะข้าพเจ้ามีความทุกข์ระทมใจมากและน้ำตาไหล มิใช่เพื่อจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ แต่เพื่อจะให้ท่านรู้จักความรักอย่างมากมาย ซึ่งข้าพเจ้ามีต่อท่านทั้งหลาย” 2 โครินธ์ 2:4 “เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะได้ทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนี้ ข้าพเจ้าจะเสียใจบ้าง……แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจใหม่……จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทน ความตื่นตัว ความอาลัย และความกระตือรือร้น และการลงโทษ ในทุกสิ่งเหล่านี้ ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด…..โดยเหตุนี้เราจึงมีความชูใจ” 2 โครินธ์ 7:8-13 {MH 166.5}
“I rejoice that in everything I am of good courage concerning you.” “I thank my God upon every remembrance of you, always in every prayer of mine for you all making request with joy, for your fellowship in the gospel from the first day until now;” “being confident of this very thing, that He who began a good work in you will perfect it until the day of Jesus Christ: even as it is right for me to be thus minded on behalf of you all, because I have you in my heart.” “Therefore, my brethren dearly beloved and longed for, my joy and crown, so stand fast in the Lord, my dearly beloved.” “Now we live, if ye stand fast in the Lord.” Verse 16, A.R.V.; Philippians 1:3-5; 1:6, 7, A.R.V.; 4:1; 1 Thessalonians 3:8. {MH 167.1}
“ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี เพราะว่าข้าพเจ้าไว้ใจท่านได้ทุกอย่าง” “ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าทุกครั้ง และทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่าน ข้าพเจ้าก็ทูลขอด้วยความยินดี เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในข่าวประเสริฐด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกมาจนกระทั่งบัดนี้” “ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ การที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นเนื่องด้วยท่านทั้งหลายก็สมควรแล้ว เพราะว่าข้าพเจ้ามีใจรักท่านทุกคน” “เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ปรารถนา เป็นที่ยินดี และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า พวกที่รักของข้าพเจ้า จงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” “เมื่อท่านมั่นคงอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเราก็สดชื่น” 2 โครินธ์ 7:16; ฟีลิปปี 1:3-5; 1:6, 7; 4:1; 1 เธสะโลนิกา 3:8 {MH 167.1}
Paul wrote to these brethren as “saints in Christ Jesus;” but he was not writing to those who were perfect in character. He wrote to them as men and women who were striving against temptation and who were in danger of falling. He pointed them to “the God of peace, that brought again from the dead our Lord Jesus, that Great Shepherd of the sheep.” He assured them that “through the blood of the everlasting covenant” He will “make you perfect in every good work to do His will, working in you that which is well pleasing in His sight, through Jesus Christ.” Hebrews 13:20, 21. {MH 167.2}
เปาโลเขียนถึงพี่น้องเหล่านี้ในฐานะที่เขาเป็น “ธรรมิกชนในพระเยซูคริสต์” แต่เขามิได้เขียนถึงคนทั้งหลายที่มีอุปนิสัยอันงดงามปราศจากที่ติ เขาเขียนถึงพวกพี่น้องทั้งหลายในฐานะที่คนเหล่านั้นต่างก็เป็นชายหญิงที่กำลังต่อสู้กับการทดลองและกำลังตกอยู่ในอันตรายที่อาจจะล้มลงได้ เขาชี้ให้คนเหล่านั้นได้เห็นถึง “พระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าของเราเป็นขึ้นมาจากความตาย คือผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีเลิศ” เขาให้ความมั่นใจแก่พวกเขาว่า “โดยโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์นั้น ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีทุกสิ่งที่ดี เพื่อจะได้ปฏิบัติตามพระทัยพระองค์ และทรงทำงานในท่านทั้งหลาย ให้เกิดผลเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ โดยพระเยซูคริสต์” ฮีบรู 13:20, 21 {MH 167.2}
When one at fault becomes conscious of his error, be careful not to destroy his self-respect. Do not discourage him by indifference or distrust. Do not say, “Before giving him my confidence, I will wait to see whether he will hold out.” Often this very distrust causes the tempted one to stumble. {MH 167.3}
เมื่อคนที่ทำผิดรู้สึกตัวว่าได้กระทำผิดไป จงระมัดระวังที่จะไม่ไปทำลายความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเขา อย่าทำให้เขาต้องหมดสิ้นกำลังใจด้วยการแสดงอาการเฉยเมยหรือความไม่ไว้วางใจ จงอย่ากล่าวว่า “ก่อนที่ฉันจะไว้ใจเขาได้ ฉันจะต้องคอยดูเสียก่อนว่าเขาจะมีความอดทนหรือไม่” การแสดงความไม่ไว้วางใจเช่นนี้ บ่อยครั้งได้เป็นเหตุให้คนที่ถูกทดลองต้องสะดุดล้มลงได้ {MH 167.3}
We should strive to understand the weakness of others. We know little of the heart trials of those who have been bound in chains of darkness and who lack resolution and moral power. Most pitiable is the condition of him who is suffering under remorse; he is as one stunned, staggering, sinking into the dust. He can see nothing clearly. The mind is beclouded, he knows not what steps to take. Many a poor soul is misunderstood, unappreciated, full of distress and agony–a lost, straying sheep. He cannot find God, yet he has an intense longing for pardon and peace. {MH 168.1}
เราควรที่จะพยายามทำความเข้าใจถึงความอ่อนแอของผู้อื่น เรามีความเข้าใจแต่เพียงเล็กน้อยว่า ผู้ที่ถูกผูกมัดไว้ด้วยโซ่ตรวนแห่งความมืด ผู้ที่มีจิตใจที่ขาดซึ่งความหนักแน่นและอำนาจในฝ่ายศีลธรรมนั้นต่างมีความทุกข์ลำบากอยู่ภายในจิตใจมากเพียงใด ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารที่สุด ก็คือคนที่กำลังทนทุกข์ด้วยความรู้สึกเสียใจที่ได้กระทำผิดไป เขาเป็นเหมือนคนที่กำลังสับสน เดินโซซัดโซเซและกำลังจะจมลงสู่ผงคลี เขามองไม่เห็นอะไรๆ ได้อย่างชัดเจน จิตใจของเขามืดมน และไม่รู้ว่าจะก้าวไปในทางไหน มีคนที่น่าสงสารเช่นนี้อยู่หลายคนที่ถูกเข้าใจผิด ไม่มีใครที่มองเห็นคุณค่า จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความเจ็บปวดรวดร้าว เขาเป็นเหมือนลูกแกะที่สูญหายและหลงเจิ่นไป เขาหาพระเจ้าไม่พบ แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้รับการอภัยบาปและมีสันติสุข {MH 168.1}
Oh, let no word be spoken to cause deeper pain! To the soul weary of a life of sin, but knowing not where to find relief, present the compassionate Saviour. Take him by the hand, lift him up, speak to him words of courage and hope. Help him to grasp the hand of the Saviour. {MH 168.2}
ขออย่ากล่าวคำพูดใดๆ ที่จะทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดมากไปกว่าเดิม จงชักนำผู้ที่มีจิตใจอ่อนระอาจากชีวิตที่ผิดบาป อีกทั้งยังไม่รู้ถึงหนทางที่จะปลดเปลื้องความทุกข์นั้นให้ออกไปได้อย่างไร ให้เขาได้เห็นถึงพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระทัยกรุณา จงจับมือของเขาไว้ ช่วยพยุงเขาขึ้น และกล่าวถ้อยคำเพื่อให้เขาได้มีกำลังใจและความหวัง จงช่วยเขาให้ยึดพระหัตถ์ของพระผู้ช่วยให้รอดไว้ให้มั่น {MH 168.2}
We become too easily discouraged over the souls who do not at once respond to our efforts. Never should we cease to labor for a soul while there is one gleam of hope. Precious souls cost our self-sacrificing Redeemer too dear a price to be lightly given up to the tempter’s power. {MH 168.3}
เรามักจะมีความท้อถอยง่ายเกินไปเมื่อจิตวิญญาณของคนเหล่านั้นมิได้ตอบสนองต่อความพยายามของเราในทันที เราไม่ควรที่จะละความพยายามในการที่จะต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณ แม้ว่าจะมีความหวังเหลืออยู่อย่างริบหรี่ก็ตาม จิตวิญญาณที่มีค่าเหล่านี้ พระผู้ไถ่ได้ทรงซื้อมาด้วยราคาอันสูงยิ่งด้วยการยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์เอง ซึ่งย่อมจะมีค่ามากเกินกว่าที่จะปล่อยให้จิตวิญญาณเหล่านี้ให้ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ที่ทดลองอย่างง่าย โดยที่เราไม่ได้เอาใจใส่ใดๆเลย {MH 168.3}
We need to put ourselves in the place of the tempted ones. Consider the power of heredity, the influence of evil associations and surroundings, the power of wrong habits. Can we wonder that under such influences many become degraded? Can we wonder that they should be slow to respond to efforts for their uplifting? {MH 168.4}
เราจำเป็น ต้องคิดว่าหากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับผู้ที่ถูกทดลอง ลองคิดถึงอิทธิพลที่ผ่านมาทางสายเลือด ผลกระทบอันเกิดจากการคบหาสมาคมและการอยู่ในสภาพแวดล้อมของสิ่งที่ชั่วร้าย และอำนาจครอบงำของอุปนิสัยที่ผิดๆ มิน่าสงสัยเลยใช่ไหมว่า ภายใต้อิทธิพลเช่นนี้ หลายคนจึงได้เสื่อมทรามลงไป และเราย่อมจะ ไม่ประหลาดใจอีกเช่นกัน ที่คนเหล่านี้จะเฉื่อยชาในการตอบสนองต่อความพยายามที่เราได้ทุ่มเทเพื่อที่จะช่วยยกระดับจิตวิญญาณของเขาให้สูงขึ้น {MH 168.4}
Often, when won to the gospel, those who appeared coarse and unpromising will be among its most loyal adherents and advocates. They are not altogether corrupt. Beneath the forbidding exterior there are good impulses that might be reached. Without a helping hand many would never recover themselves, but by patient, persistent effort they may be uplifted. Such need tender words, kind consideration, tangible help. They need that kind of counsel which will not extinguish the faint gleam of courage in the soul. Let the workers who come in contact with them consider this. {MH 168.5}
บ่อยครั้ง ผู้ที่มีอุปนิสัยอันหยาบช้าเลวทรามและแทบจะไม่มีความหวังใดๆ ที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่เมื่อข่าวประเสริฐได้ชักนำพวกเขาให้หันกลับจากความผิดบาปแล้ว คนเหล่านี้ได้กลับกลายเป็นสาวกและเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูที่ซื่อสัตย์ที่สุด เขาหาใช่ผู้ที่มีอุปนิสัยชั่วช้าเสียทีเดียว ภายใต้กิริยาอาการภายนอกที่ดูน่ารังเกียจนั้น ก็ยังมีความใฝ่ดีที่ซ่อนอยู่ หากปราศจากซึ่งความช่วยเหลือเสียแล้ว หลายคนย่อมไม่อาจที่จะหลุดพ้นจากความชั่วร้ายได้ แต่ด้วยความเพียรอดทน และความพยายามที่แน่วแน่ จิตวิญญาณของเขาย่อมสามารถที่จะได้รับการยกชูให้สูงขึ้นได้ คนเหล่านี้ต่างต้องการถ้อยคำที่อ่อนหวานนุ่มนวล ความเห็นอกเห็นใจด้วยความเมตตาและความช่วยเหลืออย่างจริงใจ เขาต้องการคำแนะนำตักเตือนในลักษณะที่จะไม่ทำให้ประกายแห่งกำลังใจที่มีเหลือในจิตวิญญาณซึ่งริบหรี่อยู่นั้นต้องดับสูญไป ขอให้ผู้ที่ทำงานของพระเจ้าที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ให้ได้คิดถึงสิ่งนี้ {MH 168.5}
Some will be found whose minds have been so long debased that they will never in this life become what under more favorable circumstances they might have been. But the bright beams of the Sun of Righteousness may shine into the soul. It is their privilege to have the life that measures with the life of God. Plant in their minds uplifting, ennobling thoughts. Let your life make plain to them the difference between vice and purity, darkness and light. In your example let them read what it means to be a Christian. Christ is able to uplift the most sinful and place them where they will be acknowledged as children of God, joint heirs with Christ to the immortal inheritance. {MH 169.1}
บางท่านอาจจะได้พบกับผู้ที่มีจิตใจที่เสื่อมทรามมาช้านาน จนเรารู้สึกว่าในชั่วชีวิตของเขาย่อมไม่มีทางที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่ลำแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมย่อมจะส่องฉายเข้าไปถึงจิตวิญญาณ เขาจะได้รับสิทธิพิเศษที่จะได้มีชีวิตใหม่ที่เทียบเคียงได้กับพระชนม์ชีพของพระเจ้า จงช่วยกันปลูกฝังความคิดที่มีคุณธรรมอันสูงส่งไว้ในจิตใจของเขา จงให้ชีวิตของท่านได้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างความชั่วร้ายและความบริสุทธิ์ ความมืดและความสว่าง จากแบบอย่างของท่านให้เขาได้เข้าใจถึงความหมายของการเป็นคริสเตียน พระคริสต์ทรงสามารถที่จะช่วยยกชูคนที่มีบาปผิดที่สุดและวางเขาไว้ในที่ๆ จะมีคนยอมรับว่าเขาเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นทายาทผู้ร่วมรับมรดกชั่วนิรันดร์กับพระคริสต์ {MH 169.1}
By the miracle of divine grace, many may be fitted for lives of usefulness. Despised and forsaken, they have become utterly discouraged; they may appear stoical and stolid. But under the ministration of the Holy Spirit, the stupidity that makes their uplifting appear so hopeless will pass away. The dull, clouded mind will awake. The slave of sin will be set free. Vice will disappear, and ignorance will be overcome. Through the faith that works by love, the heart will be purified and the mind enlightened. {MH 169.2}
โดยความอัศจรรย์ในพระคุณของพระเจ้า หลายคนอาจจะปรับปรุงชีวิตให้เป็นคนที่มีประโยชน์ได้ คนเหล่านี้เคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและถูกทอดทิ้งจนทำให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังอย่างที่สุด ทำให้กลายเป็นคนที่ไม่ยินดียินร้ายและเฉื่อยชา แต่ภายใต้ความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความโฉดเขลาที่ทำให้รู้สึกว่าการยกชูจิตวิญญาณของเขาให้สูงขึ้นได้นั้นเป็นเรื่องที่สิ้นหวังก็จะหมดสิ้นไป จิตใจที่ขุ่นมัวและด้านชาก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ผู้ที่ตกเป็นทาสของความผิดบาปก็จะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ความชั่วร้ายจะมลายสิ้นไป และเขาจะได้รับชัยชนะเหนือความโฉดเขลาที่มีอยู่โดยอาศัยความเชื่อที่เกิดจากความรัก จิตใจก็จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และความคิดก็จะเกิดความเห็นแจ้ง {MH 169.2}