Chapter 9 (บทที่ 9)
Teaching and Healing
การสั่งสอนและการบำบัดรักษา
When Christ sent out the twelve disciples on their first missionary tour, He bade them, “As ye go, preach, saying, The kingdom of heaven is at hand. Heal the sick, cleanse the lepers, raise the dead, cast out devils: freely ye have received, freely give.” Matthew 10:7, 8. {MH 139.1}
เมื่อพระคริสต์ทรงส่งเหล่าสาวกทั้งสิบสองคนออกไปประกาศศาสนาในครั้งแรกนั้น พระองค์ทรงรับสั่งแก่พวกเขาว่า “จงไปพลางประกาศพลางว่า แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ” มัทธิว 10:7, 8 {MH 139.1}
To the Seventy sent forth later He said: “Into whatsoever city ye enter, . . . heal the sick that are therein, and say unto them, The kingdom of God is come nigh unto you.” Luke 10:8, 9. The presence and power of Christ was with them, “and the Seventy returned again with joy, saying, Lord, even the devils are subject unto us through Thy name.” Verse 17. {MH 139.2}
พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกอีกเจ็ดสิบคนที่ทรงส่งออกไปในภายหลังว่า “ถ้าท่านจะเข้าไปในเมืองใดๆ …….จงรักษาคนป่วยในเมืองนั้นให้หาย และแจ้งแก่เขาว่า แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว” ลูกา 10:8, 9 พระคริสต์และฤทธิ์อำนาจของพระองค์อยู่กับพวกเขา “ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” ลูกา 10:17 {MH 139.2}
After Christ’s ascension the same work was continued. The scenes of His own ministry were repeated. “Out of the cities round about” there came a multitude “unto Jerusalem, bringing sick folks, and them which were vexed with unclean spirits: and they were healed every one.” Acts 5:16. {MH 139.3}
หลังจากที่พระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้วกิจการอย่างเดียวกันยังคงดำเนินต่อไป ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ของพระราชกิจของพระองค์บังเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง “ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย” กิจการ 5:16 {MH 139.3}
And the disciples “went forth, and preached everywhere, the Lord working with them.” “Philip went down to the city of Samaria, and preached Christ unto them. And the people with one accord gave heed unto those things which Philip spake. . . . For unclean spirits . . . came out of many that were possessed with them: and many taken with palsies, and that were lame, were healed. And there was great joy in that city.” Mark 16:20; Acts 8:5-8. {MH 139.4}
และเหล่าสาวก “จึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล และพระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขา” “ส่วนฟีลิปก็ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ ……..ด้วยว่าผีโสโครก…….ได้พากัน……ออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น” มาระโก 16:20; กิจการ 8:5-8 {MH 139.4}
Work of the Disciples
กิจการของเหล่าอัครทูต
Luke, the writer of the Gospel that bears his name, was a medical missionary. In the Scriptures he is called “the beloved physician.” Colossians 4:14. The apostle Paul heard of his skill as a physician, and sought him out as one to whom the Lord had entrusted a special work. He secured his co-operation, and for some time Luke accompanied him in his travels from place to place. After a time, Paul left Luke at Philippi, in Macedonia. Here he continued to labor for several years, both as a physician and as a teacher of the gospel. In his work as a physician he ministered to the sick, and then prayed for the healing power of God to rest upon the afflicted ones. Thus the way was opened for the gospel message. Luke’s success as a physician gained for him many opportunities for preaching Christ among the heathen. It is the divine plan that we shall work as the disciples worked. Physical healing is bound up with the gospel commission. In the work of the gospel, teaching and healing are never to be separated. {MH 140.1}
ลูกาเขียนหนังสือพระกิตติคุณซึ่งได้ตั้งชื่อตามนามของเขา เขาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาในด้านการแพทย์ ในพระคัมภีร์ได้เรียกชื่อของเขาว่า “ลูกาแพทย์ที่รัก” โคโลสี 4:14 อัครสาวกเปาโลเคยได้ยินถึงกิตติศัพท์ความสามารถของลูกาในฐานะที่เป็นแพทย์และได้แสวงหาที่จะได้พบเขาในฐานะบุคคลผู้หนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบหมายงานชิ้นพิเศษให้เขาได้กระทำ เปาโลได้เชื้อเชิญให้ลูกาได้เข้ามาทำงานร่วมกัน และลูกาเองก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกันกับเปาโลในช่วงระยะเวลาหนึ่งด้วย ต่อมาในภายหลัง เปาโลได้ละลูกาไว้ที่เมืองฟีลิปปีในแคว้นมาซีโดเนีย ที่นี่ ลูกาได้ทำงานต่อไปทั้งในฐานะของแพทย์และผู้เทศนาสั่งสอนข่าวประเสริฐเป็นเวลาอีกหลายปี ในหน้าที่ของแพทย์ เขาได้ให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่เจ็บป่วย จากนั้นก็ได้อธิษฐานขอให้ฤทธิ์อำนาจในการรักษาของพระเจ้าได้มาสถิตเหนือผู้ป่วย ด้วยวิธีการเช่นนี้ได้เปิดทางให้แก่กิตติคุณข่าวประเสริฐ ความสำเร็จของลูกาในฐานะแพทย์ ทำให้เขาได้รับโอกาสมากมายในการเทศนาสั่งสอนเรื่องของพระคริสต์ในหมู่ผู้ไม่เชื่อ พระเจ้าทรงมีแผนการที่จะให้เราทำงานเหมือนที่เหล่าสาวกได้กระทำ การรักษาโรคภัยถูกผนวกกับการประกาศข่าวประเสริฐ การเทศนาสั่งสอนและการเยียวยารักษาจะต้องไม่ถูกแยกออกจากกัน {MH 140.1}
The work of the disciples was to spread a knowledge of the gospel. To them was committed the work of proclaiming to all the world the good news that Christ brought to men. That work they accomplished for the people of their time. To every nation under heaven the gospel was carried in a single generation. {MH 141.1}
กิจการของเหล่าสาวกก็คือ การเผยแพร่ข่าวประเสริฐ พวกเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ในการประกาศให้ทั่วทั้งโลกได้ยินข่าวประเสริฐที่พระคริสต์ได้ทรงนำมาให้แก่มวลมนุษย์ ซึ่งเป็นกิจการที่พวกเขาได้กระทำสำเร็จลุล่วงเพื่อประชาชนในยุคสมัยของเขา ข่าวประเสริฐได้ถูกนำไปเผยแพร่แก่ชนทุกชาติทั่วใต้ฟ้าในช่วงเวลาของคนชั่วอายุเดียว {MH 141.1}
The giving of the gospel to the world is the work that God has committed to those who bear His name. For earth’s sin and misery the gospel is the only antidote. To make known to all mankind the message of the grace of God is the first work of those who know its healing power. {MH 141.2}
การนำข่าวประเสริฐไปประกาศแก่มวลมนุษย์เป็นงานที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้แก่คนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์ ข่าวประเสริฐเป็นสารแก้พิษขนานเดียวที่ใช้ในการบำบัดรักษาความผิดบาปและความทุกข์ยากของโลก งานชิ้นแรกของหมู่คนที่รู้จักฤทธิ์อำนาจในการรักษาก็คือ การประกาศข่าวแห่งพระคุณของพระเจ้าไปยังมนุษยชาติ {MH 141.2}
When Christ sent forth the disciples with the gospel message, faith in God and His word had well-nigh departed from the world. Among the Jewish people, who professed to have a knowledge of Jehovah, His word had been set aside for tradition and human speculation. Selfish ambition, love of ostentation, greed of gain, absorbed men’s thoughts. As reverence for God departed, so also departed compassion toward men. Selfishness was the ruling principle, and Satan worked his will in the misery and degradation of mankind. {MH 142.1}
เมื่อพระคริสต์ทรงส่งเหล่าสาวกออกไปประกาศข่าวประเสริฐนั้น ความเชื่อในพระเจ้าและในพระวจนะของพระองค์แทบจะสูญหายไปจากโลกเสียสิ้น ในหมู่ชนชาวยิวผู้แสดงตนว่ามีความรู้แจ้งในพระเยโฮวาห์ พระวจนะของพระองค์กลับถูกขนบธรรมเนียมประเพณี บทบัญญัติและกฎเกณฑ์ต่างๆ ของมนุษย์มาแทนที่ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว ความชื่นชอบ การโอ้อวดและความละโมบโลภมาก ได้เข้าครอบงำจิตใจของมนุษย์ เมื่อความเคารพยำเกรงในพระเจ้าได้ถูกละทิ้งไป ความเมตตาสงสารที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจึงได้จางหายตามไปด้วย ความเห็นแก่ตัวได้กลายเป็นหลักยึดปฏิบัติ และซาตานกระทำการตามความมุ่งหมายของมันด้วยการนำความทุกข์ยากและความเสื่อมทรามมาสู่มวลมนุษย์ {MH 142.1}
Satanic agencies took possession of men. The bodies of human beings, made for the dwelling place of God, became the habitation of demons. The senses, the nerves, the organs of men were worked by supernatural agencies in the indulgence of the vilest lust. The very stamp of demons was impressed upon the countenances of men. Human faces reflected the expression of the legions of evil with which men were possessed. {MH 142.2}
เหล่าตัวแทนของซาตานได้เข้าครอบงำมนุษย์ ร่างกายซึ่งได้รับการทรงสร้างมาเพื่อเป็นนิเวศของพระเจ้า กลับกลายเป็นที่สิงสู่ของเหล่ามารร้าย เหล่าตัวแทนที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติได้เอาความรู้สึกนึกคิด ระบบประสาท และอวัยวะต่างๆของมนุษย์มาใช้จนจมลงสู่การปล่อยตัวสนองตัณหาราคะอันชั่วช้าอย่างที่สุด วิญญาณของมารร้ายได้สำแดงออกมาทางรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ ใบหน้าของมนุษย์สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของเหล่ากองทัพปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ภายใน {MH 142.2}
What is the condition in the world today? Is not faith in the Bible as effectually destroyed by the higher criticism and speculation of today as it was by tradition and rabbinism in the days of Christ? Have not greed and ambition and love of pleasure as strong a hold on men’s hearts now as they had then? In the professedly Christian world, even in the professed churches of Christ, how few are governed by Christian principles. In business, social, domestic, even religious circles, how few make the teachings of Christ the rule of daily living. Is it not true that “justice standeth afar off: . . . equity cannot enter. . . . And he that departeth from evil maketh himself a prey”? Isaiah 59:14, 15. {MH 142.3}
สภาพของโลกในทุกวันนี้เป็นอย่างไร ความเชื่อในพระคัมภีร์ในทุกวันนี้มิได้ถูกทำลายอย่างได้ผลโดยคำวิจารณ์ที่เข้มข้นกว่าและการคาดเดาของโลกปัจจุบันเช่นเดียวกับที่ได้ถูกทำลายมาแล้วโดยขนบธรรมเนียมประเพณีและหลักจารีตคำสอนของเหล่าอาจารย์รับบีในสมัยของพระคริสต์อย่างนั้นหรือ ความละโมบ ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความรักสนุกสนานมิได้ครอบครองจิตใจของมนุษย์ในยุคสมัยนี้ไว้อย่างแน่นหนาเหมือนอย่างในสมัยก่อนล่ะหรือ ในโลกของคริสเตียน แม้แต่โบสถ์ต่างๆ ที่อ้างตนว่าเป็นคริสตจักรของพระคริสต์ มีอยู่สักกี่รายที่ปกครองตามหลักคำสอนของคริสเตียน ในวงการธุรกิจ ในวงสังคม ในครอบครัว และแม้แต่ในแวดวงศาสนา มีอยู่สักกี่คนที่ได้นำคำสั่งสอนของพระคริสต์มาเป็นบรรทัดฐานในชีวิต ไม่เป็นความจริงหรือที่ว่า “ความชอบธรรมก็ยืนอยู่แต่ไกล…….ความเที่ยงตรงเข้าไปไม่ได้…….และผู้ใดที่พรากจากความชั่วก็ทำตัวให้เป็นเหยื่อ” อิสยาห์ 59:14, 15 {MH 142.3}
We are living in the midst of an “epidemic of crime,” at which thoughtful, God-fearing men everywhere stand aghast. The corruption that prevails, it is beyond the power of the human pen to describe. Every day brings fresh revelations of political strife, bribery, and fraud. Every day brings its heart-sickening record of violence and lawlessness, of indifference to human suffering, of brutal, fiendish destruction of human life. Every day testifies to the increase of insanity, murder, and suicide. Who can doubt that satanic agencies are at work among men with increasing activity to distract and corrupt the mind, and defile and destroy the body? {MH 142.4}
เราทั้งหลายกำลังมีชีวิตอยู่ท่ามกลาง “บาปที่แพร่ระบาดไปทั่ว” ในทั่วทุกหนแห่ง ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าได้แต่ปริวิตกมองดูด้วยความหวาดหวั่น การคดโกงมีอยู่ดาษดื่น เกินคำบรรยาย ในแต่ละวัน จะมีเรื่องของความขัดแย้งทางการเมือง การติดสินบนและการกระทำในทางทุจริตที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ถูกเปิดเผยให้เห็นอยู่เสมอ ทุกๆ วันจะมีการรายงานถึงสิ่งอันน่าสลดหดหู่ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงและการกระทำที่ผิดกฎหมาย ความไม่แยแสต่อความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความโหดเหี้ยมทารุณและการเข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างอำมหิตเลือดเย็น ทุกๆ วัน จะมีประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มตัวของความวิกลจริต การฆาตกรรมและการฆ่าตัวตาย จะมีผู้ใดไหมที่ไม่เชื่อว่าตัวแทนของซาตานกำลังเพิ่มความกระตือรือร้นในการทำงานอยู่ท่ามกลางมนุษย์เพื่อนำความว้าวุ่นสับสนและเสื่อมทรามมาสู่จิตใจ รวมทั้งนำความแปดเปื้อนและความพินาศมาสู่ร่างกายของมนุษย์ {MH 142.4}
And while the world is filled with these evils, the gospel is too often presented in so indifferent a manner as to make but little impression upon the consciences or the lives of men. Everywhere there are hearts crying out for something which they have not. They long for a power that will give them mastery over sin, a power that will deliver them from the bondage of evil, a power that will give health and life and peace. Many who once knew the power of God’s word have dwelt where there is no recognition of God, and they long for the divine presence. {MH 143.1}
และในขณะที่โลกเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเหล่านี้ บ่อยครั้งที่การประกาศข่าวประเสริฐได้เป็นไปอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก จึงกลับกลายเป็นว่าแทบจะไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อจิตสำนึกหรือต่อชีวิตของมนุษย์ ในทุกหนทุกแห่งได้มีจิตใจที่ร่ำร้องเรียกหาในสิ่งที่พวกเขาไม่มี พวกเขาปรารถนาถึงฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยพวกเขาให้ได้รับชัยชนะเหนือความผิดบาป ฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาออกจากพันธนาการของความชั่วร้าย ฤทธิ์อำนาจที่จะประทานสุขภาพและชีวิตและสันติสุข มีหลายคนที่ครั้งหนึ่งได้เคยประจักษ์ถึงฤทธิ์อำนาจในพระวจนะของพระเจ้าได้อาศัยอยู่ในที่ซึ่งไม่มีใครยอมรับในพระเจ้าและพวกเขาต่างปรารถนาที่จะให้พระเจ้าได้ทรงสถิตใกล้ชิดอยู่กับเขา {MH 143.1}
The world needs today what it needed nineteen hundred years ago–a revelation of Christ. A great work of reform is demanded, and it is only through the grace of Christ that the work of restoration, physical, mental, and spiritual, can be accomplished. {MH 143.2}
สิ่งที่โลกต้องการในวันนี้เป็นสิ่งที่โลกเคยต้องการมาแล้วเมื่อหนึ่งพันเก้าร้อยปีก่อน นั่นก็คือ การสำแดงพระคริสต์ให้ปรากฏ กิจการอันยิ่งใหญ่ของการปฏิรูปเป็นสิ่งที่ต้องการและโดยอาศัยพระคุณของพระคริสต์เท่านั้นที่จะทำให้งานด้านการฟื้นฟูสภาพของร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณสำเร็จลงได้ {MH 143.2}
Christ’s method alone will give true success in reaching the people. The Saviour mingled with men as one who desired their good. He showed His sympathy for them, ministered to their needs, and won their confidence. Then He bade them, “Follow Me.” {MH 143.3}
วิธีการของพระคริสต์เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จที่แท้จริงในการเข้าถึงจิตใจของประชาชน พระผู้ช่วยให้รอดทรงคลุกคลีกับมนุษย์ในฐานะบุคคลผู้หนึ่งซึ่งทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีงาม พระองค์ทรงสำแดงน้ำพระทัยอันการุณย์ต่อพวกเขา ทรงปรนนิบัติรับใช้ในสิ่งซึ่งเป็นความต้องการของพวกเขา และเมื่อพระองค์ทรงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเขาแล้ว พระองค์จึงทรงรับสั่งว่า “เชิญตามเรามา” {MH 143.3}
There is need of coming close to the people by personal effort. If less time were given to sermonizing, and more time were spent in personal ministry, greater results would be seen. The poor are to be relieved, the sick cared for, the sorrowing and the bereaved comforted, the ignorant instructed, the inexperienced counseled. We are to weep with those that weep, and rejoice with those that rejoice. Accompanied by the power of persuasion, the power of prayer, the power of the love of God, this work will not, cannot, be without fruit. {MH 143.4}
การทำตัวให้ใกล้ชิดกับประชาชนเป็นการส่วนตัวจำเป็นต้องใช้ความพยายาม หากใช้เวลาในการเทศนาสั่งสอนให้น้อยลงและใช้เวลาในการรับใช้เป็นการส่วนตัวให้มากขึ้น ก็จะเห็นผลมากกว่า คนยากจนจะได้รับการบรรเทาทุกข์ คนเจ็บคนป่วยจะได้รับการเอาใจใส่ดูแล ผู้ที่มีความทุกข์โศกและผู้สูญเสียคนรักก็จะได้รับการปลอบประโลมจิตใจ ผู้ที่ขาดความรู้ก็จะได้รับการสั่งสอน ผู้ที่ขาดประสบการณ์ก็จะได้รับคำแนะนำปรึกษา เราจะต้องหลั่งน้ำตาร่วมกับผู้ที่กำลังร่ำไห้ และชื่นชมยินดีร่วมกับผู้ที่มีความสุข โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจในการโน้มน้าวจิตใจ ฤทธิ์อำนาจของการอธิษฐาน และฤทธิ์อำนาจในความรักของพระเจ้า การงานในกิจการนี้ก็ย่อมจะไม่มีทางที่จะดำเนินไปโดยปราศจากผล {MH 143.4}
We should ever remember that the object of the medical missionary work is to point sin-sick men and women to the Man of Calvary, who taketh away the sin of the world. By beholding Him, they will be changed into His likeness. We are to encourage the sick and suffering to look to Jesus and live. Let the workers keep Christ, the Great Physician, constantly before those to whom disease of body and soul has brought discouragement. Point them to the One who can heal both physical and spiritual disease. Tell them of the One who is touched with the feeling of their infirmities. Encourage them to place themselves in the care of Him who gave His life to make it possible for them to have life eternal. Talk of His love; tell of His power to save. {MH 144.1}
เราควรจะระลึกไว้อยู่เสมอว่า ความมุ่งหมายของการเผยแพร่ศาสนาในด้านการแพทย์ก็คือ การแสดงให้ชายหญิงที่เจ็บป่วยด้วยโรคแห่งความผิดบาปได้เห็นถึงพระมหาบุรุษแห่งกางเขนคาลวารี ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย ด้วยการเฝ้ามองไปยังพระองค์ พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับพระฉายของพระองค์ เราต้องหนุนจิตใจให้คนที่เจ็บป่วยและผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานให้หันมาพึ่งพาองค์พระเยซูในการดำเนินชีวิต จงให้ผู้ที่ปฏิบัติงานได้เชิดชูพระคริสต์ พระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐไว้เบื้องหน้าผู้ที่มีจิตใจท้อแท้สิ้นหวัง จงแสดงให้พวกเขาได้เห็นถึงพระองค์ผู้ทรงสามารถเยียวยารักษาโรคทั้งทางฝ่ายกายและฝ่ายจิตวิญญาณได้ จงบอกพวกเขาถึงพระองค์ผู้ทรงรู้สึกเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของพวกเขา จงหนุนจิตใจพวกเขาให้ได้มอบตัวเองไว้ภายใต้การดูแลเอาใจใส่ของพระองค์ ผู้ทรงยอมประทานชีวิตเพื่อให้พวกเขาได้รับชีวิตนิรันดร์ จงกล่าวขานถึงความรักของพระองค์ และบอกกล่าวถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะช่วยให้รอดได้ {MH 144.1}
This is the high duty and precious privilege of the medical missionary. And personal ministry often prepares the way for this. God often reaches hearts through our efforts to relieve physical suffering. {MH 144.2}
นี้เป็นหน้าที่อันสูงส่งและเป็นสิทธิพิเศษอันล้ำค่าของผู้เผยแพร่ศาสนาในด้านการแพทย์ และบ่อยครั้งที่การรับใช้เป็นการส่วนตัวจะจัดเตรียมหนทางไว้สำหรับงานนี้ พระเจ้าทรงมักจะเข้าถึงจิตใจของมนุษย์โดยอาศัยความพากเพียรพยายามของเราที่จะคอยช่วยรักษาบรรเทาความเจ็บป่วยทรมานทางร่างกาย {MH 144.2}
Medical missionary work is the pioneer work of the gospel. In the ministry of the word and in the medical missionary work the gospel is to be preached and practiced. {MH 144.3}
การเผยแพร่ศาสนาในด้านการแพทย์เป็นงานบุกเบิกของการประกาศข่าวประเสริฐ การดำเนินการในพันธกิจของการประกาศพระวจนะของพระเจ้าและในการเผยแพร่ศาสนาในด้านการแพทย์ ข่าวประเสริฐต้องได้รับการเทศนาสั่งสอนและนำไปปฏิบัติ {MH 144.3}
In almost every community there are large numbers who do not listen to the preaching of God’s word or attend any religious service. If they are reached by the gospel, it must be carried to their homes. Often the relief of their physical needs is the only avenue by which they can be approached. Missionary nurses who care for the sick and relieve the distress of the poor will find many opportunities to pray with them, to read to them from God’s word, and to speak of the Saviour. They can pray with and for the helpless ones who have not strength of will to control the appetites that passion has degraded. They can bring a ray of hope into the lives of the defeated and disheartened. Their unselfish love, manifested in acts of disinterested kindness, will make it easier for these suffering ones to believe in the love of Christ. {MH 144.4}
ในชุมชนแทบทุกแห่งหน จะมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สนใจฟังคำเทศนาสั่งสอนในพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าร่วมในพิธีทางศาสนา หากจะให้ข่าวประเสริฐเข้าถึงพวกเขาได้ เราจะต้องนำไปยังบ้านของพวกเขา บ่อยครั้งที่การรักษาบรรเทาความเจ็บป่วยของร่างกายเป็นวิถีทางเดียวที่เราจะสามารถเข้าถึงพวกเขาได้ พยาบาลผู้ประกาศศาสนาที่คอยช่วยเหลือดูแลคนเจ็บคนป่วยและช่วยรักษาบรรเทาความทุกข์ให้แก่คนยากจน ย่อมมีโอกาสมากมายที่จะได้ร่วมอธิษฐานกับพวกเขา อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังและพูดถึงเรื่องของพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาสามารถที่จะอธิษฐานร่วมกันและอธิษฐานเผื่อคนทั้งหลายที่หมดสิ้นหนทางและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ซึ่งขาดกำลังใจอันเข้มแข็งที่จะควบคุมความใคร่อยากที่กิเลสตัณหาได้ทำให้เสื่อมทรามลง พวกเขาสามารถที่จะนำแสงสว่างแห่งความหวังไปสู่ชีวิตของคนที่สิ้นหวังและหมดกำลังใจ ความรักอันปราศจากความเห็นแก่ตัวซึ่งแสดงออกโดยการกระทำที่เมตตาแบบไม่มีส่วนได้ส่วนเสียย่อมจะทำให้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้มีความเชื่อในความรักของพระคริสต์ได้ง่ายขึ้น {MH 144.4}
Many have no faith in God and have lost confidence in man. But they appreciate acts of sympathy and helpfulness. As they see one with no inducement of earthly praise or compensation come into their homes, ministering to the sick, feeding the hungry, clothing the naked, comforting the sad, and tenderly pointing all to Him of whose love and pity the human worker is but the messenger–as they see this, their hearts are touched. Gratitude springs up. Faith is kindled. They see that God cares for them, and they are prepared to listen as His word is opened. {MH 145.1}
หลายคนไม่มีความเชื่อในพระเจ้าและขาดความไว้วางใจในมนุษย์ แต่พวกเขายังคงชื่นชมในการกระทำที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจและความโอบอ้อมอารี เมื่อพวกเขาเห็นผู้ที่ไม่ประสงค์จะรับคำยกย่องสรรเสริญจากทางโลกหรือค่าตอบแทนใดๆ เข้ามายังบ้านของพวกเขา คอยรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วย ช่วยจัดหาอาหารให้แก่คนที่หิวโหย จัดหาเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ที่เปลือยเปล่า ช่วยปลอบประโลมจิตใจของคนที่โศกเศร้า และนำพาพวกเขาอย่างอ่อนโยนมาพบกับความรักและความเมตตาสงสารของพระองค์ผู้ซึ่งผู้รับใช้เหล่านี้เป็นเพียงมนุษย์ผู้นำข่าว เมื่อพวกเขาได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ จิตใจก็จะได้รับความประทับใจ ความรู้สึกขอบพระคุณจะบังเกิดขึ้น ความเชื่อก็จะถูกจุดประกายขึ้นมา พวกเขาจะเห็นว่าพระเจ้าทรงห่วงใยพวกเขา จึงพร้อมที่จะรับฟังเมื่อเราประกาศสั่งสอนถึงพระวจนะของพระองค์ {MH 145.1}
Whether in foreign missions or in the home field, all missionaries, both men and women, will gain much more ready access to the people, and will find their usefulness greatly increased, if they are able to minister to the sick. Women who go as missionaries to heathen lands may thus find opportunity for giving the gospel to the women of these lands, when every other door of access is closed. All gospel workers should know how to give the simple treatments that do so much to relieve pain and remove disease. {MH 145.2}
ไม่ว่าจะเป็นการประกาศศาสนาในต่างแดนหรือในประเทศของตน ผู้ประกาศศาสนาทั้งชายและหญิง จะค่อยๆ เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น และจะพบว่างานของพวกเขายังเป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นทวีคูณ เมื่อพวกเขาช่วยเยียวยารักษาคนเจ็บป่วยได้ พวกผู้หญิงที่ออกไปเป็นผู้ประกาศศาสนายังดินแดนที่ยังมิได้นับถือพระเจ้า ย่อมมีโอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกผู้หญิงในดินแดนเหล่านั้น ในขณะที่ประตูที่จะเข้าถึงประชาชนได้ถูกปิดกั้นในทุกๆ ทาง ผู้ประกาศข่าวประเสริฐทั้งหลายควรจะทราบถึงการบำบัดรักษาแบบพื้นฐานที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและขจัดโรคภัยได้อย่างมากมาย {MH 145.2}
Teaching Health Principles
การสั่งสอนหลักการด้านสุขภาพ
Gospel workers should be able also to give instruction in the principles of healthful living. There is sickness everywhere, and most of it might be prevented by attention to the laws of health. The people need to see the bearing of health principles upon their well-being, both for this life and for the life to come. They need to be awakened to their responsibility for the human habitation fitted up by their Creator as His dwelling place, and over which He desires them to be faithful stewards. They need to be impressed with the truth conveyed in the words of Holy Writ: {MH 146.1}
ผู้ประกาศข่าวประเสริฐควรจะมีความสามารถในการให้คำแนะนำถึงหลักการในการดำเนินชีวิตที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ มีความเจ็บป่วยอยู่ทั่วไปในทุกหนแห่ง และโดยมากแล้วโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้สามารถที่จะป้องกันได้ด้วยการเอาใจใส่ในกฎของสุขภาพ ประชาชนจำเป็นจะต้องตระหนักถึงหลักการในด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อความผาสุกทั้งในชีวิตนี้และชีวิตในภายภาคหน้า พวกเขาจำเป็นจะต้องได้รับการกระตุ้นเตือนถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อร่างกายที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ได้ทรงสร้างไว้เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ และพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาได้เป็นผู้อารักขาที่ซื่อสัตย์ เขาจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอันกระจ่างแจ้งถึงความจริงของพระวจนะที่ได้รับการถ่ายทอดไว้ในพระคัมภีร์ที่ว่า {MH 146.1}
“Ye are the temple of the living God; as God hath said, I will dwell in them, and walk in them; and I will be their God, and they shall be My people.” 2 Corinthians 6:16. {MH 146.2}
“ท่านเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลาย และจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา” 2 โครินธ์ 6:16 (TKJV) {MH 146.2}
Thousands need and would gladly receive instruction concerning the simple methods of treating the sick–methods that are taking the place of the use of poisonous drugs. There is great need of instruction in regard to dietetic reform. Wrong habits of eating and the use of unhealthful food are in no small degree responsible for the intemperance and crime and wretchedness that curse the world. {MH 146.3}
ผู้คนเป็นอันมากต่างต้องการและมีความยินดีที่จะได้รับคำแนะนำสั่งสอนในเรื่องที่เกี่ยวกับการเยียวยารักษาคนที่เจ็บป่วยด้วยวิธีการแบบพื้นฐาน อันเป็นวิธีการที่กำลังเข้ามาแทนที่การใช้ยาอันตราย ประชาชนมีความต้องการเป็นอย่างมากที่จะได้รับการแนะนำสั่งสอนถึงการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับอาหารการกิน นิสัยความเคยชินที่ผิดๆ ของการรับประทานและการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะเป็นสาเหตุสำคัญของการขาดความยับยั้งชั่งใจ การกระทำผิดศีลธรรมและความทุกข์เวทนาที่นำความหายนะมาสู่มนุษย์ในโลก {MH 146.3}
In teaching health principles, keep before the mind the great object of reform–that its purpose is to secure the highest development of body and mind and soul. Show that the laws of nature, being the laws of God, are designed for our good; that obedience to them promotes happiness in this life, and aids in the preparation for the life to come.{MH 146.4}
ในการสั่งสอนเกี่ยวกับหลักการในด้านของสุขภาพนั้น ขอให้ระลึกถึงวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่ของการปฏิรูป นั่นก็คือ การบรรลุถึงขั้นสูงสุดของการพัฒนาร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ จงแสดงให้เห็นว่ากฎแห่งธรรมชาติอันเป็นบทบัญญัติของพระเจ้านั้นได้ทรงจัดตั้งไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเรา ซึ่งการเชื่อฟังตามกฎเหล่านั้นย่อมจะส่งเสริมความสุขในชีวิตนี้และช่วยในการตระเตรียมสำหรับชีวิตในภายภาคหน้าอีกด้วย {MH 146.4}
Lead the people to study the manifestation of God’s love and wisdom in the works of nature. Lead them to study that marvelous organism, the human system, and the laws by which it is governed. Those who perceive the evidences of God’s love, who understand something of the wisdom and beneficence of His laws, and the results of obedience, will come to regard their duties and obligations from an altogether different point of view. Instead of looking upon an observance of the laws of health as a matter of sacrifice or self-denial, they will regard it, as it really is, as an inestimable blessing. {MH 147.1}
จงชักนำให้ประชาชนได้เรียนรู้ถึงความรักและพระปัญญาของพระเจ้าที่ทรงสำแดงให้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติ จงนำพาพวกเขาให้ได้ศึกษาเล่าเรียนถึงความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิต ระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ และกฎที่คอยควบคุมดูแลร่างกาย ผู้ที่ประจักษ์เห็นร่องรอยอันแสดงถึงความรักของพระเจ้า ผู้ที่หยั่งถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นพระปัญญาและเป็นสิ่งล้ำเลิศที่มีอยู่ในธรรมบัญญัติของพระองค์ รวมทั้งผลแห่งการเชื่อฟังแล้ว ย่อมที่จะมีทัศนะที่ผิดแผกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างคำว่าหน้าที่ความรับผิดชอบและข้อผูกมัด แทนที่จะรู้สึกว่าการปฏิบัติตามกฎของสุขภาพนั้นเป็นเรื่องของการที่ต้องสละทิ้งความสุขส่วนตัวหรือการบำเพ็ญเพียรด้วยการข่มระงับจิตใจของตนเอง เขาจะรู้สึกว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นพระพรอันประเมินค่ามิได้อย่างแท้จริง {MH 147.1}
Every gospel worker should feel that the giving of instruction in the principles of healthful living is a part of his appointed work. Of this work there is great need, and the world is open for it. {MH 147.2}
ผู้ประกาศข่าวประเสริฐทั้งหลายควรจะได้ตระหนักว่าการอบรมสั่งสอนถึงหลักการในการดำเนินชีวิตที่ส่งผลดีต่อสุขภาพนั้น เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ๆ เขาได้รับมอบหมาย มนุษย์ในโลกมีความต้องการอันใหญ่หลวงในกิจการนี้และยังคอยเปิดประตูต้อนรับอยู่ {MH 147.2}
Everywhere there is a tendency to substitute the work of organizations for individual effort. Human wisdom tends to consolidation, to centralization, to the building up of great churches and institutions. Multitudes leave to institutions and organizations the work of benevolence; they excuse themselves from contact with the world, and their hearts grow cold. They become self-absorbed and unimpressible. Love for God and man dies out of the soul. {MH 147.3}
ในทั่วทุกหนแห่งจะพบว่ามีแนวโน้มที่จะเอางานขององค์กรไปทดแทนงานของส่วนบุคคล ความคิดของมนุษย์มักจะเอนเอียงไปในทางของการรวมตัวกัน การรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง และการก่อตั้งคริสตจักรและสถาบันขนาดใหญ่ คนจำนวนมากทิ้งงานการกุศลให้สถาบันและองค์กรต่างๆ เป็นผู้ดูแล พวกเขาหาข้อแก้ตัวที่จะได้ไม่ต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ดังนั้นจิตใจของพวกเขาจึงเย็นชาลง พวกเขาหมกมุ่นแต่กิจกรรมของตัวเองและไม่รู้ร้อนรู้หนาว ความรักที่มีต่อพระเจ้าและมนุษย์จึงเหือดหายไปจากจิตวิญญาณ {MH 147.3}
Christ commits to His followers an individual work–a work that cannot be done by proxy. Ministry to the sick and the poor, the giving of the gospel to the lost, is not to be left to committees or organized charities. Individual responsibility, individual effort, personal sacrifice, is the requirement of the gospel. {MH 147.4}
พระคริสต์ทรงมอบหมายหน้าที่ๆ ต้องกระทำเป็นการส่วนตัวให้แก่ผู้ที่ติดตามพระองค์ อันเป็นงานที่มิอาจจะใช้ให้ผู้อื่นกระทำแทนได้ การให้ความช่วยเหลือแก่คนที่เจ็บป่วยและคนยากคนจน การประกาศข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ที่หลงหาย สิ่งนี้มิใช่เป็นภาระที่จะมอบให้คณะกรรมการหรือองค์กรการกุศลใดๆ ปฏิบัติแทน หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล ความทุ่มเทบากบั่นของแต่ละบุคคล และการเสียสละส่วนตนจึงเป็นข้อเรียกร้องของการประกาศข่าวประเสริฐ {MH 147.4}
“Go out into the highways and hedges, and compel them to come in,” is Christ’s command, “that My house may be filled.” He brings men into touch with those whom they seek to benefit. “Bring the poor that are cast out to thy house,” He says. “When thou seest the naked, that thou cover him.” “They shall lay hands on the sick, and they shall recover.” Luke 14:23; Isaiah 58:7; Mark 16:18. Through direct contact, through personal ministry, the blessings of the gospel are to be communicated. {MH 147.5}
พระคริสต์ทรงมีพระดำรัสสั่งว่า “จงออกไปตามทางใหญ่ซอกน้อย และเร่งเร้าเขาให้เข้ามา เพื่อเรือนของเราจะเต็ม” พระองค์ทรงนำคนมากมายได้ติดต่อสัมพันธ์กับผู้ที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พระองค์ตรัสว่า “จงนำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้านของเจ้า” “เมื่อเจ้าเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้” “เขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” ลูกา 14:23; อิสยาห์ 58:7; มาระโก 16:18 ด้วยการพบปะเยี่ยมเยียนต่อกันโดยตรงและด้วยการให้ความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว พระพรที่ได้รับจากข่าวประเสริฐจึงได้แผ่ขยายออกไป {MH 147.5}
In giving light to His people anciently, God did not work exclusively through any one class. Daniel was a prince of Judah. Isaiah also was of the royal line. David was a shepherd boy, Amos a herdsman, Zechariah a captive from Babylon, Elisha a tiller of the soil. The Lord raised up as His representatives prophets and princes, the noble and the lowly, and taught them the truths to be given to the world. {MH 148.1}
การที่พระเจ้าได้ประทานแสงสว่างให้แก่ประชากรของพระองค์ในสมัยโบราณนั้น พระองค์มิได้ทรงจำกัดชนชั้นของบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกใช้ไว้โดยเฉพาะ ดาเนียลเป็นเจ้าชายของเผ่ายูดาห์ อิสยาห์ก็ สืบเชื้อสายมาจากราชตระกูลเช่นกัน ดาวิดเป็นเด็กชายที่คอยดูแลฝูงแกะ อาโมสเป็นคนเลี้ยงสัตว์ เศคาริยาห์เป็นเชลยศึกจากรุงบาบิโลน เอลีชาเป็นชาวไร่ชาวนา องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกชูผู้เผยพระวจนะ พวกเจ้านาย เหล่าผู้ที่สูงศักดิ์และสามัญชนมาเป็นผู้แทนของพระองค์ แล้วพระองค์ทรงสั่งสอนถึงความจริงเพื่อที่พวกเขาจะได้นำไปประกาศแก่มวลมนุษย์ {MH 148.1}
To everyone who becomes a partaker of His grace the Lord appoints a work for others. Individually we are to stand in our lot and place, saying, “Here am I; send me.” Isaiah 6:8. Upon the minister of the word, the missionary nurse, the Christian physician, the individual Christian, whether he be merchant or farmer, professional man or mechanic–the responsibility rests upon all. It is our work to reveal to men the gospel of their salvation. Every enterprise in which we engage should be a means to this end. {MH 148.2}
สำหรับทุกๆ คนที่ได้รับส่วนร่วมในพระคุณของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายงานให้เขาได้กระทำเพื่อคนอื่นๆ เราแต่ละคนจะต้องตั้งมั่นและเข้าประจำอยู่ในที่ของเรา พร้อมทั้งกล่าวว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด” อิสยาห์ 6:8 ด้วยเหตุนี้ผู้สอนศาสนาที่ได้สั่งสอนถึงพระวจนะของพระเจ้า ผู้เผยแพร่ศาสนาที่เป็นพยาบาล แพทย์ที่เป็นคริสเตียนและคริสเตียนแต่ละคน ไม่ว่าเขาจะเป็นพ่อค้าหรือชาวนา ผู้เชี่ยวชาญหรือนายช่าง ภาระความรับผิดชอบย่อมตกเป็นของทุกคน เรามีหน้าที่ๆ จะต้องประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดให้แก่มวลมนุษย์ กิจการทุกด้านที่เราได้มีส่วนร่วมจะต้องกลายเป็นเครื่องมือในการบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย {MH 148.2}
Those who take up their appointed work will not only be a blessing to others, but they will themselves be blessed. The consciousness of duty well done will have a reflex influence upon their own souls. The despondent will forget their despondency, the weak will become strong, the ignorant intelligent, and all will find an unfailing helper in Him who has called them. {MH 148.3}
คนทั้งหลายที่ได้กระทำกิจการตามที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมาย มิใช่เพียงแต่จะเป็นพระพรแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่ตัวเขาเองก็จะได้มีส่วนร่วมรับในพระพรนั้นไว้ด้วย ความรู้สึกถึงการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีย่อมจะส่งผลสะท้อนกลับมาสู่จิตวิญญาณของเขาเอง ผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวังก็จะลืมความท้อถอยของเขา ผู้ที่อ่อนกำลังก็จะกลับกลายเป็นคนที่เข้มแข็ง ผู้ที่ขาดสติปัญญาก็จะได้รับความเฉลียวฉลาดขึ้น และคนทั้งผองก็จะได้ประสบพบกับพระผู้ช่วยที่ทรงมิเคยพลั้งในพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเขาทั้งหลาย {MH 148.3}
The church of Christ is organized for service. Its watchword is ministry. Its members are soldiers, to be trained for conflict under the Captain of their salvation. Christian ministers, physicians, teachers, have a broader work than many have recognized. They are not only to minister to the people, but to teach them to minister. They should not only give instruction in right principles, but educate their hearers to impart these principles. Truth that is not lived, that is not imparted, loses its life-giving power, its healing virtue. Its blessing can be retained only as it is shared. {MH 148.4}
คริสตจักรของพระคริสต์ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อปรนนิบัติรับใช้ หลักการสำคัญของคริสตจักรก็คือ พันธกิจแห่งการรับใช้ สมาชิกในคริสตจักรเป็นกองกำลังทหารที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อการต่อสู้ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพผู้ทรงช่วยให้รอด ผู้สอนศาสนา แพทย์ และครูอาจารย์ที่เป็นคริสเตียน มีงานสำคัญที่จะต้องกระทำมากยิ่งกว่าที่หลายคนจะคาดคิด เขามิใช่แต่เพียงปรนนิบัติรับใช้ประชาชนเท่านั้น แต่ยังจะต้องสั่งสอนพวกเขาให้ได้ปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นต่อไปอีกด้วย เขาไม่ควรแต่เพียงอบรมสั่งสอนในหลักการที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังจะต้องฝึกฝนผู้ฟังให้ได้รู้จักที่จะแบ่งปันในหลักการเหล่านี้แก่ผู้อื่นต่อไป ความจริงที่ไม่ได้นำมาปฏิบัติในชีวิต ความจริงที่ไม่ได้รับการแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น ย่อมจะสูญเสียซึ่งฤทธิ์อำนาจที่ช่วยในการประสาทชีวิตและฤทธิ์อำนาจที่ช่วยในการเยียวยารักษา พระพรแห่งฤทธิ์อำนาจจะยังคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อได้แบ่งปันพระพรนี้ออกไป {MH 148.4}
The monotony of our service for God needs to be broken up. Every church member should be engaged in some line of service for the Master. Some cannot do so much as others, but everyone should do his utmost to roll back the tide of disease and distress that is sweeping over our world. Many would be willing to work if they were taught how to begin. They need to be instructed and encouraged. {MH 149.1}
เราจะต้องละทิ้งซึ่งความรู้สึกอันเหนื่อยหน่ายในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า สมาชิกของคริสตจักรทุกๆ คนควรจะได้มีส่วนร่วมในงานการรับใช้ของพระอาจารย์ในด้านใดด้านหนึ่ง แม้ว่าบางคนอาจจะไม่สามารถกระทำได้มากเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ก็ตาม แต่ทุกๆ คนควรจะได้พยายามโดยสุดกำลังของตนในการต่อสู้ต้านทานต่อกระแสคลื่นแห่งโรคภัยและความทุกข์ยากที่กำลังพัดกระหน่ำซัดโลกของเราอยู่ หลายคนคงจะมีจิตใจที่พร้อมจะปฏิบัติงาน หากเขาได้รับการอบรมสั่งสอนว่าจะเริ่มงานได้อย่างไร พวกเขาจำเป็นจะต้องได้รับการชี้แนะและการสนับสนุน {MH 149.1}
Every church should be a training school for Christian workers. Its members should be taught how to give Bible readings, how to conduct and teach Sabbath-school classes, how best to help the poor and to care for the sick, how to work for the unconverted. There should be schools of health, cooking schools, and classes in various lines of Christian help work. There should not only be teaching, but actual work under experienced instructors. Let the teachers lead the way in working among the people, and others, uniting with them, will learn from their example. One example is worth more than many precepts. {MH 149.2}
โบสถ์ทุกๆ โบสถ์ควรเป็นโรงเรียนเพื่อการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานที่เป็นคริสเตียน สมาชิกของคริสตจักรควรจะได้รับการอบรมถึงวิธีการอ่านพระคัมภีร์ การดำเนินรายการและการสอนในโรงเรียนวันสะบาโต การช่วยเหลือคนยากจนและการพยาบาลคนป่วยเจ็บอย่างดีที่สุด และการช่วยให้คนที่ยังไม่เชื่อได้กลับใจเสียใหม่ ควรจะมีชั้นสอนในเรื่องของสุขภาพ ชั้นสอนการประกอบอาหารและการเรียนการสอนในชั้นวิชาแขนงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการของคริสเตียนในด้านของการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ซึ่งไม่ควรจะเป็นแต่เพียงการเรียนการสอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะต้องมีการฝึกปฏิบัติจริงภายใต้การดูแลของครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ จงให้ครูผู้สอนเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานท่ามกลางเหล่าประชาชน เพื่อผู้อื่นที่ได้ร่วมงานจะได้เรียนรู้จากแบบอย่างของเขา แบบอย่างเพียงแบบเดียวย่อมมีคุณค่ายิ่งกว่าคำสั่งสอนนับร้อยนับพัน {MH 149.2}
Let all cultivate their physical and mental powers to the utmost of their ability, that they may work for God where His providence shall call them. The same grace that came from Christ to Paul and Apollos, that distinguished them for spiritual excellencies, will today be imparted to devoted Christian missionaries. God desires His children to have intelligence and knowledge, that with unmistakable clearness and power His glory may be revealed in our world.{MH 149.3}
ขอให้ทุกๆคนได้บ่มเพาะกำลังกายและกำลังสติปัญญาของตนอย่างสุดความสามารถ เพื่อเขาจะทำงานรับใช้พระเจ้าเมื่อถึงเวลาที่พระคุณของพระองค์จะทรงเรียก พระคุณแบบเดียวกันกับของพระคริสต์ที่ประทานให้แก่เปาโลและอปอลโลซึ่งแสดงถึงความโดดเด่นดีเลิศในจิตวิญญาณของพวกเขา พระคุณเดียวกันนี้จะทรงโปรดประทานแก่เหล่าคริสเตียนผู้เผยแพร่ศาสนาผู้ได้อุทิศตนในวันนี้ด้วยเช่นกัน พระเจ้าทรงประสงค์ให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์มีสติปัญญาและมีความรอบรู้พร้อมความบริสุทธิ์ที่ไร้ข้อกังขารวมทั้งฤทธิ์อำนวจเพื่อสง่าราศีของพระองค์จะได้สำแดงให้ปรากฏในโลกของเรา {MH 149.3}
Educated workers who are consecrated to God can do service in a greater variety of ways and can accomplish more extensive work than can those who are uneducated. Their discipline of mind places them on vantage ground. But those who have neither great talents nor extensive education may minister acceptably to others. God will use men who are willing to be used. It is not the most brilliant or the most talented persons whose work produces the greatest and most lasting results. Men and women are needed who have heard a message from heaven. The most effective workers are those who respond to the invitation, “Take My yoke upon you, and learn of Me.” Matthew 11:29. {MH 150.1}
ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับการศึกษาและได้มอบถวายจิตใจแด่พระเจ้าย่อมสามารถปรนนิบัติรับใช้ในกิจจานุกิจต่างๆได้มากกว่าและยังสามารถที่จะบรรลุผลถึงกิจการงานในวงกว้างกว่าผู้ที่ได้รับการศึกษามาแต่เพียงเล็กน้อย จิตใจที่มีวินัยของพวกเขาย่อมวางพวกเขาอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าผู้อื่น แต่คนทั้งหลายซึ่งมิได้มีสติปัญญาอันล้ำเลิศหรือได้รับการศึกษาในระดับสูงก็อาจจะได้รับการยอมรับในการปรนนิบัติช่วยเหลือผู้อื่นได้เช่นกัน พระเจ้าจะทรงเลือกใช้ผู้ที่มีความเต็มใจยอมให้พระองค์ทรงเลือกใช้ ซึ่งมิใช่คนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดหรือมีความสามารถมากที่สุด ผู้ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยั่งยืนยาวนานที่สุดเสมอไป เหล่าชายหญิงที่ได้สดับฟังถึงการทรงเรียกจากสวรรค์นั่นแหละย่อมเป็นที่ต้องการ ผู้ที่ปฏิบัติงานได้ผลดีที่สุดก็คือ ผู้ที่ตอบรับคำเชิญที่ว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา” มัทธิว 11:29 {MH 150.1}
It is heart missionaries that are needed. He whose heart God touches is filled with a great longing for those who have never known His love. Their condition impresses him with a sense of personal woe. Taking his life in his hand, he goes forth, a heaven-sent, heaven-inspired messenger, to do a work in which angels can co-operate. {MH 150.2}
ผู้ประกาศศาสนาด้วยหัวใจคือสิ่งที่ต้องการ หัวใจของผู้ใดที่พระเจ้าทรงสัมผัสย่อมจะเปี่ยมล้นด้วยความปรารถนาอันใหญ่หลวงที่จะแสวงหาผู้ที่ยังไม่เคยได้ประจักษ์ถึงความรักของพระองค์ สภาพของพวกเขาประทับในใจของเขาด้วยความรู้สึกของความเศร้าส่วนตัว เขากำชีวิตของเขาไว้ในมือ แล้วก้าวออกไปอย่างทูตผู้นำข่าวที่สวรรค์ส่งมา ที่สวรรค์ดลใจ เพื่อทำพันธกิจที่ทูตสวรรค์พร้อมจะร่วมมือ {MH 150.2}
If those to whom God has entrusted great talents of intellect put these gifts to a selfish use, they will be left, after a period of trial, to follow their own way. God will take men who do not appear to be so richly endowed, who have not large self-confidence, and He will make the weak strong, because they trust in Him to do for them that which they cannot do for themselves. God will accept the wholehearted service, and will Himself make up the deficiencies. {MH 150.3}
หากผู้ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้มีตะลันต์อันเฉลียวฉลาดแต่กลับนำของประทานเหล่านี้ไปใช้อย่างเห็นแก่ตัว ภายหลังที่ได้รับการทดสอบในระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็จะถูกปล่อยให้ดำเนินไปตามหนทางของพวกเขาเอง พระเจ้าจะทรงเลือกผู้ที่ดูเสมือนหนึ่งว่าไม่ได้รับพระราชทานด้วยของประทานอย่างเหลือล้น ผู้ซึ่งไม่ได้มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองมากมายนัก ดังนั้น พระองค์จึงทรงกระทำให้คนที่อ่อนแอ กลับเข้มแข็ง เพราะว่าพวกเขาไว้วางใจในพระองค์ว่าพระองค์จะทรงกระทำการในสิ่งที่เหนือความสามารถของพวกเขา พระเจ้าจะทรงยอมรับการปรนนิบัติรับใช้ที่กระทำด้วยความเต็มใจ และพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงที่ยังบกพร่องอยู่นั้นให้ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยพระองค์เอง {MH 150.3}
The Lord has often chosen for His colaborers men who have had opportunity to obtain but a limited school education. These men have applied their powers most diligently, and the Lord has rewarded their fidelity to His work, their industry, their thirst for knowledge. He has witnessed their tears and heard their prayers. As His blessing came to the captives in the courts of Babylon, so does He give wisdom and knowledge to His workers today.{MH 150.4}
บ่อยครั้งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเลือกผู้ร่วมงานของพระองค์มาจากคนที่มีโอกาสได้รับการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนอย่างจำกัด คนเหล่านี้ได้นำความสามารถของตนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยความขยันหมั่นเพียรอย่างที่สุด และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานบำเหน็จรางวัลในความสัตย์ซื่อของพวกเขาที่มีต่อพระราชกิจของพระองค์ ในความมานะอุตสาหะและการกระหายหาความรู้ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นหยาดน้ำตาของพวกเขาและสดับฟังคำอธิษฐานทูลขอของพวกเขา ดังเช่นพระพรของพระองค์ที่ทรงโปรดประทานแก่บรรดาเชลยในราชสำนักของกรุงบาบิโลนในกาลก่อนโน้น พระองค์ย่อมจะประทานสติปัญญาและความรู้ให้แก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ในยุคสมัยนี้ด้วยเช่นกัน {MH 150.4}
Men deficient in school education, lowly in social position, have, through the grace of Christ, sometimes been wonderfully successful in winning souls for Him. The secret of their success was their confidence in God. They learned daily of Him who is wonderful in counsel and mighty in power. {MH 151.1}
ด้วยพระคุณของพระคริสต์ ในบางครั้ง บุคคลที่ไม่ได้รับการศึกษาจากในโรงเรียนหรือมีสถานะทางสังคมที่ต่ำต้อย กลับเป็นผู้ที่ได้รับผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ในการนำจิตวิญญาณมาหาพระองค์ เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของพวกเขาก็คือ ความไว้วางใจในพระเจ้า พวกเขาได้เรียนรู้ในทุกวันจากพระองค์ผู้ทรงเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์และพระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ {MH 151.1}
Such workers are to be encouraged. The Lord brings them into connection with those of more marked ability, to fill up the gaps that others leave. Their quickness to see what is to be done, their readiness to help those in need, their kind words and deeds, open doors of usefulness that otherwise would remain closed. They come close to those in trouble, and the persuasive influence of their words has power to draw many trembling souls to God. Their work shows what thousands of others might do, if they only would. {MH 151.2}
ผู้รับใช้เหล่านี้แหละที่ควรจะได้รับการสนับสนุน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำพวกเขามาเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความสามารถเหนือกว่า เพื่อที่จะได้เติมเต็มในช่องว่างที่ผู้อื่นไม่ได้ให้ความสนใจ ความฉับไวในการเล็งเห็นถึงสิ่งที่จะต้องลงมือทำ ความเต็มใจที่พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา คำพูดและการกระทำที่กอปรด้วยความเมตตากรุณาของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ประตูที่ปิดอยู่ได้ถูกเปิดออก พวกเขาเข้ามาใกล้ชิดกับผู้ที่กำลังเดือดร้อน และด้วยถ้อยคำของพวกเขาที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจจึงมีอำนาจที่สามารถชักนำจิตวิญญาณมากมายที่กำลังเป็นทุกข์อยู่นั้นให้เข้ามาหาพระเจ้าได้ ผลงานของพวกเขาได้พิสูจน์ให้คนอื่นๆ มากมายได้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เช่นเดียวกัน หากเพียงแต่พวกเขาจะยอมลงมือทำ {MH 151.2}
A Broader Life
ชีวิตที่เปิดกว้างสู่โลกภายนอก
Nothing will so arouse a self-sacrificing zeal and broaden and strengthen the character as to engage in work for others. Many professed Christians, in seeking church relationship, think only of themselves. They wish to enjoy church fellowship and pastoral care. They become members of large and prosperous churches, and are content to do little for others. In this way they are robbing themselves of the most precious blessings. Many would be greatly benefited by sacrificing their pleasant, ease-conducing associations. They need to go where their energies will be called out in Christian work and they can learn to bear responsibilities. {MH 151.3}
ไม่มีสิ่งใดที่จะกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะยอมเสียสละความสุขส่วนตัวและช่วยเสริมอุปนิสัยให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งไปกว่าการที่ได้มีส่วนร่วมในการทำงานเพื่อผู้อื่น หลายคนที่แสดงตนว่าเป็นคริสเตียนได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคริสตจักรโดยคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น พวกเขาหวังที่จะได้รับความสนุกสนานกับการคบค้าสมาคมกันในโบสถ์และได้รับการดูแลจากศิษยาภิบาล พวกเขาเป็นสมาชิกของโบสถ์ที่โอ่อ่าและร่ำรวย และแทบจะไม่มีความเต็มใจที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ด้วยการกระทำเช่นนี้ พวกเขาจึงได้สูญเสียพระพรอันล้ำค่าที่สุดไปจากตนเอง ทั้งที่หลายคนน่าจะได้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย หากพวกเขาจะยอมเสียสละซึ่งความเพลิดเพลินและความสุขสบายจากการที่ได้พบปะสังสรรค์กัน พวกเขาจำเป็นจะต้องย้ายไปยังสถานที่ๆ พวกเขาจะได้นำเอากำลังความสามารถออกมาใช้ในกิจการงานของคริสเตียนและสามารถที่จะฝึกฝนเรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบ {MH 151.3}
Trees that are crowded closely together do not grow healthfully and sturdily. The gardener transplants them that they may have room to develop. A similar work would benefit many of the members of large churches. They need to be placed where their energies will be called forth in active Christian effort. They are losing their spiritual life, becoming dwarfed and inefficient, for want of self-sacrificing labor for others. Transplanted to some missionary field, they would grow strong and vigorous. {MH 152.1}
ต้นไม้ที่ขึ้นเบียดเสียดกันแน่นย่อมมิอาจที่จะเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง คนทำสวนจึงต้องย้ายต้นไม้เหล่านั้นออกไปปลูกยังที่อื่นๆ เสียบ้าง เพื่อให้ต้นไม้มีที่ว่างเหลือพอที่จะเจริญงอกงามได้ การดำเนินงานในลักษณะเดียวกันย่อมจะส่งผลดีต่อบรรดาสมาชิกจำนวนมากของโบสถ์ใหญ่ๆ เขาทั้งหลายจำเป็นจะต้องย้ายไปยังสถานที่ๆ ซึ่งเขาจะได้นำเอากำลังความสามารถของตนออกมาใช้ในกิจการงานของคริสเตียน เขาทั้งหลายต่างกำลังสูญเสียชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ต้องกลายเป็นคนที่แคระแกร็นและไร้ประสิทธิภาพ เพราะได้ขาดเสียซึ่งการเสียสละตนเองเพื่อทำงานรับใช้ผู้อื่น หากมีการโยกย้ายเขาทั้งหลายไปยังหน้างานของการประกาศเผยแพร่ศาสนาสักแห่งแล้ว คนเหล่านี้ก็จะได้เติบใหญ่เข้มแข็งและแกร่งกล้าขึ้นได้ {MH 152.1}
But none need wait until called to some distant field before beginning to help others. Doors of service are open everywhere. All around us are those who need our help. The widow, the orphan, the sick and the dying, the heartsick, the discouraged, the ignorant, and the outcast are on every hand. {MH 152.2}
แต่ไม่ควรมีใครจำเป็นต้องรอให้ถูกเรียกไปหน้างานที่ห่างไกลก่อนจะเริ่มให้การช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ประตูแห่งการปรนนิบัติรับใช้เปิดรอไว้อยู่แล้วในทั่วทุกหนแห่ง รอบๆ ตัวเราต่างมีผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา หญิงม่าย เด็กกำพร้า คนป่วยเจ็บและคนที่กำลังจะตาย คนที่มีความทุกข์โศก คนที่ท้อแท้สิ้นหวัง คนที่ขาดความรู้และคนที่ถูกสังคมรังเกียจเดียดฉันท์มีอยู่ในทั่วทุกหนแห่ง {MH 152.2}
We should feel it our special duty to work for those living in our neighborhood. Study how you can best help those who take no interest in religious things. As you visit your friends and neighbors, show an interest in their spiritual as well as in their temporal welfare. Speak to them of Christ as a sin-pardoning Saviour. Invite your neighbors to your home, and read with them from the precious Bible and from books that explain its truths. Invite them to unite with you in song and prayer. In these little gatherings, Christ Himself will be present, as He has promised, and hearts will be touched by His grace. {MH 152.3}
เราควรจะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่พิเศษที่เราจะทำงานเพื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันกับเรา ขอให้เราศึกษาว่าเราจะให้การช่วยเหลืออย่างดีที่สุดต่อบรรดาผู้ที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของศาสนาได้อย่างไร เมื่อท่านไปเยี่ยมเยือนมิตรสหายและเพื่อนบ้านของท่าน จงแสดงความสนใจทั้งในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณรวมทั้งความเป็นอยู่ในชีวิต จงพูดกับเขาถึงเรื่องของพระคริสต์ ให้เขาทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงยกความผิดบาปให้แก่มนุษย์ทั้งปวง จงเชิญเพื่อนบ้านมาที่บ้านของท่านและอ่านข้อความจากในพระคัมภีร์อันล้ำค่าและจากหนังสืออื่นๆ ที่อธิบายถึงความจริงให้เขาฟัง เชิญเขาให้มาร่วมร้องเพลงและร่วมอธิษฐานกับท่าน ในการสามัคคีธรรมกลุ่มเล็กๆ เช่นนี้ องค์พระคริสต์จะสถิตอยู่ด้วย ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และจิตใจย่อมจะได้รับการสัมผัสด้วยพระคุณของพระองค์ {MH 152.3}
Church members should educate themselves to do this work. This is just as essential as to save the benighted souls in foreign countries. While some feel the burden for souls afar off, let the many who are at home feel the burden of precious souls who are around them, and work just as diligently for their salvation. {MH 152.4}
สมาชิกของคริสตจักรควรจะฝึกฝนตนเองให้สามารถปฏิบัติงานนี้ได้ เรื่องนี้มีความสำคัญมากเท่าๆ กับการช่วยเหลือจิตวิญญาณที่ตกอยู่ในความมืดในต่างแดนให้ได้รับความรอด ขณะที่บางคนรู้สึกถึงภาระที่มีต่อจิตวิญญาณที่อยู่ในแดนไกล ขอให้อีกหลายๆ คนที่อยู่ในประเทศของตน รู้สึกถึงภาระที่มีต่อจิตวิญญาณอันมีค่าที่อยู่รายรอบตัวเขา และปฏิบัติงานด้วยความขยันเช่นเดียวกันเพื่อความรอดของคนเหล่านั้น {MH 152.4}
Many regret that they are living a narrow life. They themselves can make their life broad and influential if they will. Those who love Jesus with heart and mind and soul, and their neighbor as themselves, have a wide field in which to use their ability and influence. {MH 153.1}
หลายคนเสียใจที่เขามีชีวิตอยู่ในวงสังคมที่แคบๆ ที่จริงแล้วเขาสามารถที่จะทำให้ชีวิตของเขาเองเปิดกว้างออกสู่โลกภายนอกและมีอิทธิพลที่จะชักจูงจิตใจของผู้อื่นได้ หากเพียงแต่เขาต้องการจะกระทำ ผู้ที่รักพระเยซูด้วยสิ้นสุดใจ สิ้นสุดความคิดและจิตวิญญาณ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ย่อมจะมีผืนงานอันกว้างใหญ่ให้ได้ใช้ความสามารถและอิทธิพลของเขาเสมอ {MH 153.1}
Little Opportunities
โอกาสเล็กๆ น้อยๆ
Let none pass by little opportunities, to look for larger work. You might do successfully the small work, but fail utterly in attempting the larger work, and fall into discouragement. It is by doing with your might what you find to do that you will develop aptitude for larger work. It is by slighting the daily opportunities, by neglecting the little things right at hand, that so many become fruitless and withered. {MH 153.2}
ขออย่าให้มีใครปล่อยให้โอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องหลุดลอยไป เพียงเพราะคาดหวังแต่งานที่ดูยิ่งใหญ่กว่า ท่านอาจจะประสบความสำเร็จในการทำงานชิ้นเล็กๆ แต่อาจจะต้องล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเมื่อพยายามกระทำการใหญ่ และทำให้จิตใจตกอยู่ในสภาพที่ท้อแท้สิ้นหวัง การที่ท่านได้กระทำในสิ่งที่ท่านต้องทำอย่างสุดความสามารถย่อมจะทำให้ท่านได้รับการพัฒนาความสามารถสู่ชิ้นงานที่ใหญ่กว่าได้ การมองข้ามโอกาสที่ได้รับในแต่ละวันและการละเลยต่อหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ใกล้มือนี่แหละ ที่ทำให้คนมากมายเป็นเหมือนไม้ที่ไร้ผลและกลับต้องเหี่ยวแห้งไปในที่สุด {MH 153.2}
Do not depend upon human aid. Look beyond human beings to the One appointed by God to bear our griefs, to carry our sorrows, and to supply our necessities. Taking God at His word, make a beginning wherever you find work to do, and move forward with unfaltering faith. It is faith in Christ’s presence that gives strength and steadfastness. Work with unselfish interest, with painstaking effort, with persevering energy. {MH 153.3}
อย่าพึ่งพาความช่วยเหลือจากมนุษย์ แต่จงมองข้ามมนุษย์ไปยังพระองค์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้เพื่อทรงแบกรับเอาความทุกข์ของเราไป แบกความโศกเศร้าของเราไว้ และประทานสิ่งที่จำเป็นในชีวิตให้แก่เรา จงยึดถือในพระวจนะของพระเจ้า เริ่มลงมือปฏิบัติงานที่ท่านได้มาและเดินหน้าต่อไปด้วยความเชื่อที่มั่นคง การเชื่อว่าพระคริสต์สถิตอยู่ด้วยย่อมทำให้เรามีกำลังและมีความมั่นคง จงทำงานด้วยความเอาใจใส่อย่างไม่เห็นแก่ตัว ด้วยความมานะอุตสาหะและด้วยกำลังที่อดทน {MH 153.3}
In fields where the conditions are so objectionable and disheartening that many are unwilling to go to them, remarkable changes have been wrought by the efforts of self-sacrificing workers. Patiently and perseveringly they labored, not relying upon human power, but upon God, and His grace sustained them. The amount of good thus accomplished will never be known in this world, but blessed results will be seen in the great hereafter. {MH 153.4}
ในท้องที่ๆ มีปัจจัยแวดล้อมที่ดูจะไม่เป็นมิตรและทำให้เสียกำลังใจ จนหลายคนไม่อยากที่จะไปยังสถานที่เหล่านั้น แต่ด้วยความพากเพียรของผู้ปฏิบัติงานที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว จึงได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ขึ้น พวกเขาได้ทำงานด้วยความบากบั่นอดทน โดยไม่หวังพึ่งในกำลังอำนาจของมนุษย์แต่ได้ไว้วางใจในพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ได้ค้ำจุนพวกเขาไว้ คุณงามความดีที่พวกเขาได้กระทำไปนั้น แม้จะไม่มีผู้ใดในโลกนี้รับรู้ แต่ย่อมจะปรากฏผลอันมีค่าในวันอันยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า {MH 153.4}
Self-Supporting Missionaries
ผู้เผยแพร่ศาสนาที่ทำงานเลี้ยงดูตนเอง
In many places self-supporting missionaries can work successfully. It was as a self-supporting missionary that the apostle Paul labored in spreading the knowledge of Christ throughout the world. While daily teaching the gospel in the great cities of Asia and Europe, he wrought at the trade of a craftsman to sustain himself and his companions. His parting words to the elders of Ephesus, showing his manner of labor, have precious lessons for every gospel worker: {MH 154.1}
ในท้องถิ่นหลายแห่ง ผู้เผยแพร่ศาสนาที่เลี้ยงตัวเองได้สามารถปฏิบัติงานจนได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี อัครสาวกเปาโลได้ทำการประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์ไปยังทั่วทั้งโลกด้วยการเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาที่หาเลี้ยงชีพตนเอง ในขณะที่เปาโลได้สั่งสอนถึงข่าวประเสริฐอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ในทวีปเอเชียและยุโรปอยู่นั้น เขาได้ทำงานเป็นช่างฝีมือเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและเพื่อนร่วมงาน ถ้อยคำล่ำลาที่เขาได้กล่าวกับบรรดาผู้ปกครองแห่งเมืองเอเฟซัสแสดงให้เห็นถึงงานอาชีพที่เขาได้ทำ เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าแก่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐทุกๆ คน {MH 154.1}
“Ye know,” he said, “after what manner I have been with you at all seasons: . . . and how I kept back nothing that was profitable unto you, but have showed you, and have taught you publicly, and from house to house. . . . I have coveted no man’s silver, or gold, or apparel. Yea, ye yourselves know, that these hands have ministered unto my necessities, and to them that were with me. I have showed you all things, how that so laboring ye ought to support the weak, and to remember the words of the Lord Jesus, how He said, It is more blessed to give than to receive.” Acts 20:18-35. {MH 154.2}
เปาโลได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา…….และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน……..ข้าพเจ้ามิได้โลภเงินหรือทอง หรือเสื้อผ้าของผู้ใด ท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองได้จัดหาปัจจัยสำหรับตัวข้าพเจ้า กับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” กิจการ 20:18-35 {MH 154.2}
Many today, if imbued with the same spirit of self-sacrifice, could do a good work in a similar way. Let two or more start out together in evangelistic work. Let them visit the people, praying, singing, teaching, explaining the Scriptures, and ministering to the sick. Some can sustain themselves as canvassers; others, like the apostle, can labor at some handicraft or in other lines of effort. As they move forward in their work, realizing their helplessness, but humbly depending upon God, they gain a blessed experience. The Lord Jesus goes before them, and among the wealthy and the poor they find favor and help. {MH 154.3}
ทุกวันนี้ ถ้าหากหลายคนที่ได้ซาบซึ้งในจิตวิญญาณของการเสียสละตนเองอย่างเดียวกัน ก็จะทำงานให้ประสบผลได้เป็นอย่างดี ขอให้ใครสักสองคนหรือมากกว่านั้นเริ่มร่วมกันออกไปเผยแพร่ศาสนา ขอให้พวกเขาออกไปเยี่ยมเยียนผู้คน ด้วยการอธิษฐาน การร้องเพลง การสั่งสอน การอธิบายพระคัมภีร์และการรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่เจ็บป่วย บางคนสามารถที่จะยังชีพตนเองได้ด้วยการเป็นบรรณกรผู้จำหน่ายหนังสือ ส่วนคนอื่นๆ อาจจะทำงานฝีมือหรืองานอาชีพอื่นๆ ได้เช่นเดียวกับเหล่าอัครสาวก ขณะเมื่อพวกเขาทำงานต่อไปโดยตระหนักถึงการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แต่ถ่อมใจที่จะวางใจในพระเจ้า พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์อันมีค่ายิ่ง องค์พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงนำหน้าพวกเขาไป ทั้งคนมั่งมีและคนยากคนจนจะให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูและให้การสนับสนุนเขา {MH 154.3}
Those who have been trained for medical missionary work in foreign countries should be encouraged to go without delay where they expect to labor, and begin work among the people, learning the language as they work. Very soon they will be able to teach the simple truths of God’s word. {MH 155.1}
ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมให้ทำการเผยแพร่ศาสนาด้านการแพทย์ในต่างประเทศ ควรจะได้รับการสนับสนุนให้ออกไปปฏิบัติงานในดินแดนเป้าหมายโดยมิรอช้า และเริ่มทำงานท่ามกลางประชาชน โดยเรียนภาษาไปด้วยในขณะที่ทำงาน ในไม่ช้าพวกเขาก็จะทำการสั่งสอนความจริงอย่างง่ายๆ จากพระวจนะของพระเจ้าได้ {MH 155.1}
Throughout the world, messengers of mercy are needed. There is a call for Christian families to go into communities that are in darkness and error, to go to foreign fields, to become acquainted with the needs of their fellow men, and to work for the cause of the Master. If such families would settle in the dark places of the earth, places where the people are enshrouded in spiritual gloom, and let the light of Christ’s life shine out through them, what a noble work might be accomplished. {MH 155.2}
ตลอดทั่วทุกหนทุกแห่งในโลกต่างมีความต้องการทูตของพระเจ้าผู้กอปรด้วยความเมตตากรุณา พระเจ้าได้ทรงเรียกครอบครัวของคริสเตียนให้เดินทางไปประกาศสั่งสอนในชุมชนต่างแดนที่ยังอยู่ในความมืดและความผิดบาป เพื่อจะได้ทราบถึงความต้องการของเพื่อนมนุษย์เหล่านั้น และทำงานเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระอาจารย์ ถ้าครอบครัวเช่นนี้จะเข้าไปตั้งรกรากอยู่ในสถานที่มืดมนเหล่านี้บนโลก ในที่ซึ่งผู้คนยังถูกครอบงำไว้ด้วยความมืดมนในฝ่ายจิตวิญญาณ และให้แสงสว่างของพระคริสต์ส่องผ่านไปยังตัวพวกเขา งานอันประเสริฐน่าจะสัมฤทธิ์ผลได้มากเพียงไร {MH 155.2}
This work requires self-sacrifice. While many are waiting to have every obstacle removed, the work they might do is left undone, and multitudes are dying without hope and without God. Some for the sake of commercial advantage, or to acquire scientific knowledge, will venture into unsettled regions and cheerfully endure sacrifice and hardship; but how few for the sake of their fellow men are willing to move their families into regions that are in need of the gospel. {MH 156.1}
งานนี้ต้องการการเสียสละซึ่งความสุขส่วนตัว ในขณะที่หลายคนต่างรอที่จะให้อุปสรรคทั้งหลายผ่านพ้นไปเสียก่อน งานที่เขาควรจะทำจึงถูกทิ้งค้างไว้ และคนมากมายกำลังต้องตายไปโดยปราศจากความหวังและปราศจากพระเจ้า เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ บางคนถึงกับยอมเสี่ยงภัยเข้าไปยังดินแดนที่ยังไม่มีผู้คนเข้าไปตั้งรกรากอยู่มาก่อนและยินดีทนต่อความยากลำบากด้วยการอุทิศตัว แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นแก่ประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยยอมเต็มใจที่จะโยกย้ายครอบครัวไปยังดินแดนที่ต้องการข่าวประเสริฐ {MH 156.1}
To reach the people, wherever they are, and whatever their position or condition, and to help them in every way possible–this is true ministry. By such effort you may win hearts and open a door of access to perishing souls. {MH 156.2}
การเข้าถึงประชาชน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่แห่งใดและอยู่ในฐานะอะไรหรืออยู่ในสภาพใดก็ตามและพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาในทุกวิถีทางที่กระทำได้คือการรับใช้ที่แท้จริง ด้วยความมานะพยายามเช่นนี้ ท่านเอาชนะจิตใจมากมายและเปิดประตูเพื่อเข้าไปสู่จิตวิญญาณที่กำลังถูกทำลายได้ {MH 156.2}
In all your work remember that you are bound up with Christ, a part of the great plan of redemption. The love of Christ, in a healing, life-giving current, is to flow through your life. As you seek to draw others within the circle of His love, let the purity of your language, the unselfishness of your service, the joyfulness of your demeanor, bear witness to the power of His grace. Give to the world so pure and righteous a representation of Him, that men shall behold Him in His beauty. {MH 156.3}
จงระลึกอยู่เสมอว่าในกิจการทั้งหลายของท่าน ท่านได้ผูกพันอยู่กับพระคริสต์ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแห่งการไถ่ให้รอดอันยิ่งใหญ่ ในการรักษาผู้ป่วยเจ็บนั้น ความรักของพระคริสต์ประดุจธารน้ำธำรงชีวิตจะหลั่งไหลผ่านชีวิตของท่าน ในขณะที่ท่านพยายามนำพาคนอื่นๆ ให้เข้ามาในวิถีแห่งความรักของพระองค์ จงให้ความบริสุทธิ์ของภาษาที่ท่านใช้พูดจา ความไม่เห็นแก่ตัวในการปรนนิบัติรับใช้ ความชื่นชมยินดีในสีหน้าท่าทีของท่านได้เป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจในพระคุณของพระองค์ จงแสดงให้โลกได้เห็นถึงความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของผู้แทนของพระองค์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้มองเห็นถึงสง่าราศีอันรุ่งเรืองของพระองค์ {MH 156.3}
It is of little use to try to reform others by attacking what we may regard as wrong habits. Such effort often results in more harm than good. In His talk with the Samaritan woman, instead of disparaging Jacob’s well, Christ presented something better. “If thou knewest the gift of God,” He said, “and who it is that saith to thee, Give Me to drink; thou wouldest have asked of Him, and He would have given thee living water.” John 4:10. He turned the conversation to the treasure He had to bestow, offering the woman something better than she possessed, even living water, the joy and hope of the gospel. {MH 156.4}
เป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์มากนักในการพยายามจะปฏิรูปผู้อื่นด้วยการติเตียนพวกเขาในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นนิสัยที่ไม่ถูกต้อง การกระทำเช่นนี้มักจะก่อผลร้ายมากกว่าผลดี ในการสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย แทนที่พระคริสต์จะทรงกล่าวว่าบ่อน้ำของยาโคบนั้นไม่ดี แต่พระองค์กลับแสดงให้หญิงนั้นได้เห็นสิ่งที่ดียิ่งกว่า พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” ยอห์น 4:10 พระองค์ทรงเปลี่ยนเรื่องที่สนทนาไปยังสิ่งที่ล้ำค่าซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่หญิงนั้น โดยการทรงเสนอสิ่งซึ่งดีกว่าสิ่งที่หญิงนั้นมีอยู่ นั่นคือ น้ำที่ธำรงชีวิต อันเป็นความชื่นชมยินดีและเป็นความหวังแห่งข่าวประเสริฐ {MH 156.4}
This is an illustration of the way in which we are to work. We must offer men something better than that which they possess, even the peace of Christ, which passeth all understanding. We must tell them of God’s holy law, the transcript of His character, and an expression of that which He wishes them to become. Show them how infinitely superior to the fleeting joys and pleasures of the world is the imperishable glory of heaven. Tell them of the freedom and rest to be found in the Saviour. “Whosoever drinketh of the water that I shall give him shall never thirst,” He declared. Verse 14. {MH 157.1}
นี่เป็นแบบอย่างวิธีการที่เราควรจะนำมาใช้ในงานของเรา เราต้องมอบสิ่งที่ดีกว่าที่เขามีอยู่ให้แก่เขา แม้แต่สันติสุขในพระพระคริสต์ซึ่งเกินความเข้าใจทั้งปวง เราต้องบอกเขาให้ทราบถึงธรรมบัญญัติอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นสำเนาที่แสดงถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้เขาได้มุ่งไปสู่ จงชี้ให้เขาได้เห็นว่าสง่าราศีแห่งสวรรค์ที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์นั้นมีความสูงส่งเหลือคณายิ่งกว่าความสุขสำราญและความสนุกสนานของโลกที่มีอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม จงบอกให้เขาได้ทราบถึงอิสรภาพความเป็นไทและการพักผ่อนที่เขาจะได้พบในพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเปิดเผยว่า “ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย” ยอห์น 4:14 {MH 157.1}
Lift up Jesus, crying, “Behold, the Lamb of God, that taketh away the sin of the world!” John 1:29, A.R.V. He alone can satisfy the craving of the heart and give peace to the soul. {MH 157.2}
จงเทิดทูนพระเยซูและประกาศว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” ยอห์น 1:29 พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสามารถจะประทานความอิ่มเอมใจให้แก่จิตใจของผู้ที่โหยหาและประทานสันติสุขให้แก่จิตวิญญาณได้ {MH 157.2}
Of all people in the world, reformers should be the most unselfish, the most kind, the most courteous. In their lives should be seen the true goodness of unselfish deeds. The worker who manifests a lack of courtesy, who shows impatience at the ignorance on waywardness of others, who speaks hastily or acts thoughtlessly, may close the door to hearts so that he can never reach them. {MH 157.3}
ในบรรดาคนทั้งหลายในโลก นักปฏิรูปควรเป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณา และมีความสุภาพอ่อนโยนอย่างมากที่สุด ในชีวิตของคนเหล่านี้ จะต้องมองเห็นแต่ความดีอย่างแท้จริงในการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัว ผู้รับใช้ที่สำแดงออกถึงความไม่อ่อนสุภาพ เผยให้เห็นถึงความโมโหฉุนเฉียวเมื่อเห็นผู้อื่นแสดงความรู้ไม่เท่าทันหรือไม่ยอมเชื่อฟัง คนที่พูดจาโดยไม่ยั้งคิดหรือแสดงกริยาที่ขาดสติ ก็อาจปิดประตูใจจนไม่มีทางที่จะเข้าถึงจิตใจของคนเหล่านั้นได้ {MH 157.3}
As the dew and the still showers fall upon the withering plants, so let words fall gently when seeking to win men from error. God’s plan is first to reach the heart. We are to speak the truth in love, trusting in Him to give it power for the reforming of the life. The Holy Spirit will apply to the soul the word that is spoken in love. {MH 157.4}
เฉกเช่นเดียวกับหยาดน้ำค้างและละอองฝนที่โปรยลงบนต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉา ขอให้คำพูด โปรยปรายลงมาอย่างอ่อนโยนในขณะที่กำลังแสวงหาหนทางที่จะนำคนทั้งหลายให้หันกลับจากความผิดบาป แผนการของพระเจ้าคือ สิ่งแรก ต้องเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ให้ได้เสียก่อน เราจึงต้องพูดถึงความจริงของความรัก การไว้วางใจในพระองค์ที่จะประทานฤทธิ์อำนาจในการปฏิรูปชีวิต พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำถ้อยคำที่กล่าวด้วยความรักมาสู่จิตวิญญาณของเขา {MH 157.4}
Naturally we are self-centered and opinionated. But when we learn the lessons that Christ desires to teach us, we become partakers of His nature; henceforth we live His life. The wonderful example of Christ, the matchless tenderness with which He entered into the feelings of others, weeping with those who wept, rejoicing with those who rejoiced, must have a deep influence upon the character of all who follow Him in sincerity. By kindly words and acts they will try to make the path easy for weary feet. {MH 157.5}
โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เรามักจะยึดผลประโยชน์ของตนเองและความคิดของตนเองเป็นใหญ่ แต่เมื่อเราเรียนรู้ถึงบทเรียนที่พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะสั่งสอนเรา เราจะกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในสภาพของพระองค์ จากนั้น เราจึงดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ ซึ่งมีความอ่อนโยนอันไร้ที่เปรียบปราน และเป็นสิ่งซึ่งพระองค์ทรงนำเข้าไปใส่ไว้ในความรู้สึกของผู้อื่น ทรงกันแสงร่วมกับคนที่ร่ำไห้ ทรงมีความชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความสุข สิ่งเหล่านี้จะต้องมีอิทธิพลอันใหญ่ยิ่งเหนืออุปนิสัยของคนทั้งหลายที่ได้ติดตามพระองค์ด้วยความจริงใจ ด้วยถ้อยคำและการกระทำที่กอปรด้วยความเมตตากรุณา เขาจะพยายามปูทางเดินให้ราบเรียบสำหรับเท้าที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง {MH 157.5}
“The Lord Eternal hath given me a tongue for teaching.” “That I should know how to speak a word in season to him that is weary.” Isaiah 50:4, Leeser; A.V. {MH 158.1}
“พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชูผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ” อิสยาห์ 50:4 {MH 158.1}
All around us are afflicted souls. Here and there, everywhere, we may find them. Let us search out these suffering ones and speak a word in season to comfort their hearts. Let us ever be channels through which shall flow the refreshing waters of compassion. {MH 158.2}
รอบๆ ตัวเรามีผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน เราจะพบคนเหล่านี้ในที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้างและในทั่วทุกหนแห่ง ให้เราเสาะหาผู้ที่ทุกข์ทรมานเหล่านี้ และปลอบประโลมจิตใจด้วยถ้อยคำเสนาะหู ขอให้เราได้เป็นร่องน้ำที่ธารน้ำแห่งความเมตตาปรานีอันแสนชื่นใจไหลผ่านตลอดไป {MH 158.2}
In all our associations it should be remembered that in the experience of others there are chapters sealed from mortal sight. On the pages of memory are sad histories that are sacredly guarded from curious eyes. There stand registered long, hard battles with trying circumstances, perhaps troubles in the home life, that day by day weaken courage, confidence, and faith. Those who are fighting the battle of life at great odds may be strengthened and encouraged by little attentions that cost only a loving effort. To such the strong, helpful grasp of the hand by a true friend is worth more than gold or silver. Words of kindness are as welcome as the smile of angels. {MH 158.3}
ในการคบหาสมาคมร่วมกับผู้อื่นนั้น เราควรจดจำจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นว่า มีบางเรื่องที่พระเจ้าได้ทรงปิดบังมิให้มนุษย์ได้รู้เห็น บนหน้าบันทึกแห่งความทรงจำมีเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดใจในชีวิตที่พระเจ้าทรงป้องกันมิให้สายตาที่อยากรู้อยากเห็นได้ล่วงรู้ มีการต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักในสถานการณ์อันยากลำบากที่ได้รับการบันทึกไว้ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากในครอบครัวที่เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าจนได้บั่นทอนกำลังใจ ทำให้ต้องขาดเสียซึ่งความไว้วางใจและความเชื่อในพระเจ้า ผู้ที่กำลังต่อสู้ในสงครามแห่งชีวิตจะมีกำลังใจที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น หากพวกเขาได้รับความรักใคร่และความเอาใจใส่แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม สำหรับคนเหล่านี้ มือของเพื่อนแท้ที่กำไว้แน่นและคอยที่จะให้ความช่วยเหลือนั้น ย่อมมีค่ามากยิ่งกว่าเงินหรือทองคำ ถ้อยคำที่แสดงออกถึงความเมตตากรุณาเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีมากเท่ากับรอยยิ้มของทูตสวรรค์ {MH 158.3}
There are multitudes struggling with poverty, compelled to labor hard for small wages, and able to secure but the barest necessities of life. Toil and deprivation, with no hope of better things, make their burden very heavy. When pain and sickness are added, the burden is almost insupportable. Careworn and oppressed, they know not where to turn for relief. Sympathize with them in their trials, their heartaches, and disappointments. This will open the way for you to help them. Speak to them of God’s promises, pray with and for them, inspire them with hope. {MH 158.4}
มีคนอีกมากมายที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่กับความยากจน ถูกบีบบังคับให้ต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินค่าจ้างเพียงเล็กน้อยพอประทังชีวิตเท่านั้น การต้องตรากตรำทำงานอย่างหนักและความอัตคัดขัดสน มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความหวังในสิ่งที่ดีกว่า ทำให้ภาระที่แบกอยู่นั้นเพียบหนัก เมื่อมีความเจ็บป่วยซ้ำเติมเข้ามาอีก ภาระนั้นก็เกินกว่าจะทานทน สูญสิ้นในความหวังและคับแค้นในชีวิต พวกเขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครเพื่อคลายทุกข์ จงเห็นอกเห็นใจพวกเขาในยามทนทุกข์ทรมาน ในความปวดร้าวใจและรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังของเขา สิ่งเหล่านี้จะเปิดช่องทางให้ท่านช่วยเหลือเขาได้ จงพูดกับเขาถึงพระสัญญาของพระเจ้า จงอธิษฐานเผื่อเขาและอธิษฐานร่วมกับเขา หนุนจิตใจเขาให้เกิดมีความหวัง {MH 158.4}
Words of cheer and encouragement spoken when the soul is sick and the pulse of courage is low–these are regarded by the Saviour as if spoken to Himself. As hearts are cheered, the heavenly angels look on in pleased recognition. {MH 159.1}
คำพูดหนุนใจและให้กำลังใจที่กล่าวในยามที่จิตวิญญาณป่วยและความกล้าหาญตกต่ำล้วนเป็นถ้อยคำที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงถือว่าได้กล่าวต่อพระองค์ เมื่อหัวใจเหล่านั้นชื่นบานขึ้น เหล่าทูตสวรรค์ก็จะเฝ้ามองด้วยความยินดี {MH 159.1}
From age to age the Lord has been seeking to awaken in the souls of men a sense of their divine brotherhood. Be co-workers with Him. While distrust and alienation are pervading the world, Christ’s disciples are to reveal the spirit that reigns in heaven. {MH 159.2}
ตลอดทุกยุคทุกสมัย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคอยปลุกจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ตระหนักถึงความเป็นพี่น้องในพระเจ้า ขอให้ทำงานร่วมกับพระองค์ ในขณะที่การขาดซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจและการกลายเป็นศัตรูต่อกันกำลังแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก สาวกของพระคริสต์จะต้องสำแดงให้เห็นถึงจิตสำนึกฝ่ายจิตวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในสรวงสวรรค์ {MH 159.2}
Speak as He would speak, act as He would act. Constantly reveal the sweetness of His character. Reveal that wealth of love which underlies all His teachings and all His dealings with men. The humblest workers, in co-operation with Christ, may touch chords whose vibrations shall ring to the ends of the earth and make melody throughout eternal ages. {MH 159.3}
จงพูดแบบเดียวกับที่พระองค์ตรัส จงทำเหมือนดังเช่นที่พระองค์ทรงกระทำ จงแสดงออกถึงความหวานในพระอุปนิสัยของพระองค์ จงสำแดงถึงความสมบูรณ์ในความรักของพระองค์ที่แฝงอยู่ในคำสอนและความสัมพันธ์ทั้งปวงระหว่างพระองค์กับมวลมนุษย์ ผู้ปฏิบัติงานที่ถ่อมตนอย่างที่สุดเมื่อได้ร่วมงานกับพระคริสต์จะสัมผัสได้ถึงเสียงประสานที่จะดังกังวานไปจนถึงสุดปลายของแผ่นดินโลกและบรรเลงท่วงทำนองอันไพเราะไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์ {MH 159.3}
Heavenly intelligences are waiting to co-operate with human instrumentalities, that they may reveal to the world what human beings may become, and what, through union with the Divine, may be accomplished for the saving of souls that are ready to perish. There is no limit to the usefulness of one who, putting self aside, makes room for the working of the Holy Spirit upon his heart and lives a life wholly consecrated to God. All who consecrate body, soul, and spirit to His service will be constantly receiving a new endowment of physical, mental, and spiritual power. The inexhaustible supplies of heaven are at their command. Christ gives them the breath of His own Spirit, the life of His own life. The Holy Spirit puts forth its highest energies to work in mind and heart. Through the grace given us we may achieve victories that because of our own erroneous and preconceived opinions, our defects of character, our smallness of faith, have seemed impossible. {MH 159.4}
บรรดาชาวสวรรค์ต่างกำลังรอคอยที่จะได้ร่วมมือกับตัวแทนของมนุษย์ เพื่อให้พวกเขาได้สำแดงให้โลกได้เห็นว่ามนุษย์นั้นสามารถจะกระทำสิ่งใดได้บ้าง และโดยการผูกสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเขาสามารถที่จะช่วยจิตวิญญาณที่กำลังจะพินาศให้รอดได้ ผู้ที่ไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองและยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงประกอบกิจอยู่ภายในจิตใจ และได้มอบถวายชีวิตด้วยการอุทิศตนแด่พระเจ้าอย่างหมดสิ้น ย่อมจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด คนทั้งหลายที่ได้ยอมมอบถวายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณเพื่อปรนนิบัติรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ย่อมที่จะได้รับกำลังทั้งทางฝ่ายร่างกาย สติปัญญาและทางฝ่ายจิตวิญญาณอยู่เสมอ ของประทานจากสวรรค์ที่ไม่มีวันหมดสิ้นนั้นมีอยู่พร้อมตามที่เขาต้องการ พระคริสต์ทรงระบายลมปราณมาจากพระวิญญาณและจากชีวิตของพระองค์เองแก่พวกเขา พระวิญญาณบริสุทธ์ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่สูงสุดเพื่อที่จะทำงานอยู่ภายในความคิดและจิตใจ โดยพระคุณที่ประทานให้แก่เรา ทำให้เราบรรลุถึงชัยชนะและความสำเร็จได้ ซึ่งโดยความเป็นจริงด้วยความผิดพลาดของเรา ทัศนะแบบอคติตามแนวคิดของเรา ความบกพร่องในอุปนิสัยของเรา และความเชื่ออันน้อยนิดของเรา ดูเหมือนว่าชัยชนะเหล่านี้มิอาจจะบังเกิดขึ้นได้ {MH 159.4}
To everyone who offers himself to the Lord for service, withholding nothing, is given power for the attainment of measureless results. For these God will do great things. He will work upon the minds of men so that, even in this world, there shall be seen in their lives a fulfillment of the promise of the future state. “The wilderness and the solitary place shall be glad for them; And the desert shall rejoice, and blossom as the rose. It shall blossom abundantly, and rejoice even with joy and singing; The glory of Lebanon shall be given unto it, The excellency of Carmel and Sharon, They shall see the glory of the Lord, And the excellency of our God. “Strengthen ye the weak hands, And confirm the feeble knees. Say to them that are of a fearful heart, Be strong, fear not; Behold, your God. . . . “Then the eyes of the blind shall be opened, And the ears of the deaf shall be unstopped. Then shall the lame man leap as an hart, And the tongue of the dumb sing: For in the wilderness shall waters break out, And streams in the desert. “And the parched ground shall become a pool, And the thirsty land springs of water. . . . And an highway shall be there, and a way, And it shall be called The way of holiness; The unclean shall not pass over it; But it shall be for those; The wayfaring men, though fools, shall not err therein. “No lion shall be there, Nor any ravenous beast shall go up thereon, It shall not be found there; But the redeemed shall walk there; And the ransomed of the Lord shall return, And come to Zion with songs And everlasting joy upon their heads; They shall obtain joy and gladness, And sorrow and sighing shall flee away.” Isaiah 35:1-10. {MH 160.1}
สำหรับทุกคนที่ได้มอบถวายตัวเองเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยมิได้หวงแหนสิ่งใดไว้ เขาจะได้รับพระราชทานฤทธิ์อำนาจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอันเหลือที่จะคำนวณได้ พระเจ้าจะทรงกระทำการยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา พระองค์จะทรงประกอบกิจอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ เพื่อจะให้เห็นถึงความบรรลุผลสำเร็จตามพระสัญญาสำหรับชีวิตเบื้องหน้าภายในช่วงชีวิตของเขา “ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก อย่างต้นดอกฝรั่น มันจะออกดอกอุดม และเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานและการร้องเพลง ศักดิ์ศรีของเลบานอนก็จะประทานให้มัน ทั้งความโอ่อ่าตระการของคารเมลและชาโรน ที่เหล่านี้จะเห็นพระสิริของพระเจ้า ความโอ่อ่าตระการของพระเจ้าของพวกเรา “จงหนุนกำลังของมือที่อ่อน และกระทำหัวเข่าที่อ่อนให้มั่นคง จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ……. “แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะเปิดออก แล้วหูของคนหูหนวกจะเบิก แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงด้วยความชื่นบาน เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในป่าดอน และลำธารจะพลุ่งขึ้นในทะเลทราย “ทรายที่ร้อนจัดจะเป็นสระน้ำ และดินที่แตกระแหงจะเป็นน้ำพุ…… และจะมีทางหลวงที่นั่น และเขาจะเรียกทางนั้นว่า วิสุทธิมรรค คนไม่สะอาดจะไม่เดินทางนั้น แม้คนโง่ก็จะไม่หลงในนั้น “จะไม่มีสิงห์ที่นั่น หรือจะไม่มีสัตว์ร้ายมาบนทางนั้น จะหามันที่นั่นไม่พบ แต่ผู้ที่ไถ่ไว้แล้วจะเดินบนนั้น ผู้ที่รับการไถ่แล้วของพระเจ้าจะกลับ และจะมายังศิโยนด้วยร้องเพลง มีความชื่นบานเป็นนิตย์บนศีรษะของเขาทั้งหลาย เขาจะได้รับความชื่นบานและความยินดี ความโศกเศร้าและการถอนหายใจจะปลาตไปเสีย” อิสยาห์ 35:1-10 {MH 160.1}