Chapter 12 (บทที่ 12)
Help for the Unemployed and the Homeless
การช่วยเหลือคนว่างงานและคนที่ไร้บ้าน
There are largehearted men and women who are anxiously considering the condition of the poor and what means can be found for their relief. How the unemployed and the homeless can be helped to secure the common blessings of God’s providence and to live the life He intended man to live, is a question to which many are earnestly endeavoring to find an answer. But there are not many, even among educators and statesmen, who comprehend the causes that underlie the present state of society. Those who hold the reins of government are unable to solve the problem of poverty, pauperism, and increasing crime. They are struggling in vain to place business operations on a more secure basis. {MH 183.1}
มีหมู่ชายหญิงผู้มีใจกว้างขวางและเมตตากำลังพิจารณาถึงสภาพความเป็นอยู่ของคนยากจนด้วยความห่วงใยและคิดหาหนทางที่จะช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของพวกเขา เราจะช่วยเหลือคนว่างงานและคนไร้บ้านเพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมรับพระพรแห่งความกรุณาของพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไว้ได้อย่างไร จึงเป็นคำถามที่หลายคนพยายามอย่างจริงจังที่จะค้นคว้าหาคำตอบ แต่มีคนไม่มากนัก แม้แต่ในเหล่าผู้นำของประเทศและในหมู่นักการศึกษาที่จะเข้าใจถึงสาเหตุมูลฐานที่มาของสภาพสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผู้ที่กุมบังเหียนของประเทศไม่อาจที่จะแก้ไขปัญหาของความยากจน ความอัตคัดขาดแคลนและอาชญากรรมที่กำลังเพิ่มขึ้นได้ ผู้นำเหล่านี้ต่างกำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างไร้ผลเพื่อให้การดำเนินงานเหล่านี้ตั้งอยู่บนฐานรากที่มั่นคงกว่า {MH 183.1}
If men would give more heed to the teaching of God’s word, they would find a solution of these problems that perplex them. Much might be learned from the Old Testament in regard to the labor question and the relief of the poor. {MH 183.2}
หากมนุษย์จะได้ใส่ใจต่อคำสั่งสอนในพระวจนะของพระเจ้าให้มากยิ่งขึ้น เขาจะพบทางออกของปัญหายุ่งยากเหล่านี้ที่ทำให้เขาสับสนวุ่นวาย และจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอันเกี่ยวกับปัญหาแรงงานและการปลดเปลื้องความทุกข์ยากของคนยากจน {MH 183.2}
God’s Plan for Israel
แผนการของพระเจ้าสำหรับชนชาติอิสราเอล
In God’s plan for Israel every family had a home on the land, with sufficient ground for tilling. Thus were provided both the means and the incentive for a useful, industrious, and self-supporting life. And no devising of men has ever improved upon that plan. To the world’s departure from it is owing, to a large degree, the poverty and wretchedness that exist today. {MH 183.3}
ในแผนการของพระเจ้าสำหรับชนชาติอิสราเอลนั้น ทุกๆ ครอบครัวต่างมีบ้านในที่ดินของตนที่มีเนื้อที่เพียงพอที่จะทำการเพาะปลูกได้ ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาจึงได้รับการจัดสรรทั้งเครื่องมือและแรงจูงใจให้มีชีวิตที่เกิดประโยชน์ มีความขยันขันแข็งและสามารถมีชีวิตที่พื่งพาตนเองได้ และยังไม่เคยมีวิธีการใดของมนุษย์ที่จะสามารถสร้างสิ่งที่ดีไปกว่าแผนการนี้ เพราะเหตุที่มนุษย์ในโลกไม่ยอมดำเนินตามแผนการของพระเจ้า จึงได้ก่อให้เกิดความยากจนข้นแค้นที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในโลกทุกวันนี้ {MH 183.3}
At the settlement of Israel in Canaan, the land was divided among the whole people, the Levites only, as ministers of the sanctuary, being excepted from the equal distribution. The tribes were numbered by families, and to each family, according to its numbers, was apportioned an inheritance. {MH 184.1}
เมื่อชนชาติอิสราเอลได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินคะนาอัน ได้มีการแบ่งสรรปันส่วนที่ดินให้แก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมถ้วนทั่วทุกคน ยกเว้นก็แต่เพียงคนในตระกูลเลวีตระกูลเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ในพระวิหาร ที่ดินถูกแบ่งสรรมากน้อยต่างกันตามจำนวนของครอบครัวในแต่ละเผ่า แล้วจากนั้นจึงปันส่วนกันตามจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ในแต่ละครอบครัว {MH 184.1}
And although one might for a time dispose of his possession, he could not permanently barter away the inheritance of his children. When able to redeem his land, he was at liberty at any time to do so. Debts were remitted every seventh year, and in the fiftieth, or year of jubilee, all landed property reverted to the original owner. {MH 184.2}
และถึงแม้ว่าบุคคลผู้หนึ่งอาจจะเอาที่ดินของเขาไปจำนองไว้เป็นการชั่วคราว แต่เขาก็มิอาจที่จะขายกรรมสิทธิ์ถาวรของที่ดินผืนนั้นซึ่งสมควรตกเป็นมรดกแก่ลูกหลานออกไปได้ หากเขามีทรัพย์พอเขาย่อมมีสิทธิที่จะไถ่ถอนที่ดินผืนนั้นคืนได้ตลอดเวลา หนี้สินจะถูกยกเลิกไปในระยะเวลาทุกๆ เจ็ดปี และในปีที่ห้าสิบหรือปีเสียงเขาสัตว์นั้น ทรัพย์สมบัติที่เป็นที่ดินทั้งหมดจะต้องถูกส่งกลับคืนสู่เจ้าของเดิม {MH 184.2}
“The land shall not be sold forever,” was the Lord’s direction; “for the land is Mine; for ye are strangers and sojourners with Me. And in all the land of your possession ye shall grant a redemption for the land. If thy brother be waxen poor, and hath sold away some of his possession, and if any of his kin come to redeem it, then shall he redeem that which his brother sold. And if the man . . . himself be able to redeem it; . . . he may return unto his possession. But if he be not able to restore it to him, then that which is sold shall remain in the hand of him that hath bought it until the year of jubilee.” Leviticus 25:23-28. {MH 184.3}
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระดำรัสสั่งว่า “เจ้าทั้งหลายจะขายที่ดินของเจ้าให้ขาดไม่ได้ เพราะว่าแผ่นดินนั้นเป็นของเรา เพราะเจ้าเป็นแขกเมืองและเป็นคนอาศัยอยู่กับเรา ทั่วไปในแผ่นดินที่เจ้ายึดถืออยู่ เจ้าจงให้มีการไถ่ถอนที่ดินคืน ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลง และขายที่ดินส่วนหนึ่งของเขา ให้ญาติสนิทถัดเขาไป มาไถ่ถอนนาที่พี่น้องของเขาขายให้นั้น…… แต่ [เมื่อเขา]…..มีทรัพย์พอที่จะไถ่ถอนได้…….ตัวก็เข้าอยู่ในที่ดินของเขาได้ ถ้าเขาไม่มีทรัพย์พอที่จะไถ่คืน ที่ดินที่เขาได้ขายไปจะคงอยู่ในมือของผู้ซื้อ จนถึงปีเสียงเขาสัตว์” เลวีนิติ 25:23-28 {MH 184.3}
“Ye shall hallow the fiftieth year, and proclaim liberty throughout all the land unto all the inhabitants thereof: it shall be a jubilee unto you; and ye shall return every man unto his possession, and ye shall return every man unto his family.” Verse 10. {MH 185.1}
“เจ้าจงถือปีที่ห้าสิบไว้เป็นปีบริสุทธิ์ และประกาศอิสรภาพแก่บรรดาคนที่อาศัยอยู่ทั่วแผ่นดินของเจ้า ให้เป็นปีเสียงเขาสัตว์แก่เจ้า ให้ทุกคนกลับไปยังภูมิลำเนาอันเป็นทรัพย์สินของตนและกลับไปสู่ตระกูลของตน” เลวีนิติ 25:10 {MH 185.1}
Thus every family was secured in its possession, and a safeguard was afforded against the extremes of either wealth or want. {MH 185.2}
โดยประการฉะนี้แหละ ทุกๆ ครอบครัวจะได้มีทรัพย์สมบัติเป็นหลักฐานอันมั่นคงและจะเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันมิให้มีความมั่งคั่งที่มากจนเกินขอบเขตหรือเกิดความลำบากยากจนที่มากจนเกินไป {MH 185.2}
Industrial Training
การฝึกสอนวิชาชีพ
In Israel, industrial training was regarded as a duty. Every father was required to teach his sons some useful trade. The greatest men in Israel were trained to industrial pursuits. A knowledge of the duties pertaining to housewifery was considered essential for every woman. And skill in these duties was regarded as an honor to women of the highest station. {MH 185.3}
ในประเทศอิสราเอลนั้น ต่างถือกันว่าการฝึกสอนให้ทุกคนรู้จักวิชาชีพเป็นหน้าที่ๆ บิดาทุกคนจะต้องสอนบุตรของตนให้ประกอบงานอาชีพที่มีประโยชน์ แม้แต่บุคคลที่สำคัญที่สุดในประเทศอิสราเอลก็ได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักประกอบการงานอาชีพ ความรู้ในหน้าที่ๆ เกี่ยวกับงานบ้านงานเรือนจัดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของผู้หญิงทุกคนและความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของสตรี {MH 185.3}
Various industries were taught in the schools of the prophets, and many of the students sustained themselves by manual labor. {MH 186.1}
โรงเรียนของผู้เผยพระวจนะได้จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาชีพในแขนงต่างๆ และนักเรียนมากมายได้ทำมาหาเลี้ยงชีพตนเองด้วยงานฝีมือ {MH 186.1}
Consideration for the Poor
การเอาใจใส่ต่อคนยากคนจน
These arrangements did not, however, wholly do away with poverty. It was not God’s purpose that poverty should wholly cease. It is one of His means for the development of character. “The poor,” He says, “shall never cease out of the land: therefore I command thee, saying, Thou shalt open thine hand wide unto thy brother, to thy poor, and to thy needy, in thy land.” Deuteronomy 15:11. {MH 186.2}
อย่างไรก็ตามการจัดระบบเช่นนี้ก็มิอาจที่จะขจัดความยากจนออกไปให้หมดเสียสิ้นทีเดียว พระเจ้ามิทรงประสงค์ที่จะให้ความยากจนนั้นหมดสิ้นไป เพราะนี่เป็นวิธีการหนึ่งของพระองค์เพื่อช่วยในการพัฒนาอุปนิสัย พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าคนจนจะไม่หมดไปจากแผ่นดิน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านว่า ท่านต้องยื่นมือให้อย่างใจกว้างต่อพี่น้องของท่าน คือต่อคนขัดสนคนยากจน ซึ่งอยู่ในแผ่นดินของท่าน” เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11 {MH 186.2}
“If there be among you a poor man of one of thy brethren within any of thy gates in thy land which the Lord thy God giveth thee, thou shalt not harden thine heart, nor shut thine hand from thy poor brother. But thou shalt open thine hand wide unto him, and shalt surely lend him sufficient for his need, in that which he wanteth.” Verses 7, 8. {MH 186.3}
“ถ้าในท่ามกลางท่านทั้งหลายมีคนจนสักคนหนึ่งเป็นพี่น้องของท่านอยู่ในเมืองใด ๆ ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านอย่ามีใจแข็งหดมือของท่านไว้เสียต่อหน้าพี่น้องของท่านที่ยากจนนั้น แต่ท่านทั้งหลายจงยื่นมือของท่านให้เขาและให้เขายืมข้าวของพอแก่ความต้องการของเขา ไม่ว่าเป็นข้าวของสิ่งใดๆ” เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7, 8 {MH 186.3}
“If thy brother be waxen poor, and fallen in decay with thee; then thou shalt relieve him: yea, though he be a stranger, or a sojourner; that he may live with thee.” Leviticus 25:35. {MH 186.4}
“ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและเลี้ยงตัวเองอยู่กับเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้เขาอยู่กับเจ้าอย่างคนต่างด้าวและคนที่อาศัยอยู่” เลวินิติ 25:35 {MH 186.4}
“When ye reap the harvest of your land, thou shalt not wholly reap the corners of thy field.” “When thou cuttest down thine harvest in thy field, and hast forgot a sheaf in the field, thou shalt not go again to fetch it. . . . When thou beatest thine olive tree, thou shalt not go over the boughs again. . . . When thou gatherest the grapes of thy vineyard, thou shalt not glean it afterward: it shall be for the stranger, for the fatherless, and for the widow.” Leviticus 19:9; Deuteronomy 24:19-21.{MH 186.5}
“เมื่อเจ้าทั้งหลายเกี่ยวข้าวในนา อย่าเกี่ยวเก็บข้าวที่ขอบนาให้หมด เมื่อเกี่ยวแล้วก็อย่าเก็บข้าวที่ตก” “เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอามาเลย……เมื่อท่านฟาดต้นมะกอกเทศ ท่านอย่าเก็บที่กิ่งเดิมซ้ำครั้งที่สอง…….เมื่อท่านเก็บผลองุ่นจากสวนองุ่นของท่าน ท่านอย่าไปเก็บเล็มอีก จงเหลือไว้สำหรับคนต่างด้าว ทั้งลูกกำพร้าและแม่ม่าย” เลวีนิติ 19:9 เฉลยธรรมบัญญัติ 24:19-21 {MH 186.5}
None need fear that their liberality would bring them to want. Obedience to God’s commandments would surely result in prosperity. “For this thing,” God said, “the Lord thy God shall bless thee in all thy works, and in all that thou puttest thine hand unto.” “Thou shalt lend unto many nations, but thou shalt not borrow; and thou shalt reign over many nations, but they shall not reign over thee.” Deuteronomy 15:10, 6. {MH 187.1}
ไม่มีใครที่จะต้องกลัวว่าความมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของเขาจะทำให้เขาต้องขาดแคลน การเชื่อฟังต่อพระบัญญัติของพระเจ้าย่อมจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง พระเจ้าตรัสว่า “ในกรณีนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน ในบรรดากิจการทั้งสิ้นของท่านไม่ว่าท่านจะกระทำสิ่งใด” “ท่านทั้งหลายจะให้ประชาชาติหลายชาติยืมของของท่านแต่ท่านอย่ายืมของเขาเลย ท่านทั้งหลายจะปกครองอยู่เหนือหลายประชาชาติ แต่เขาทั้งหลายจะไม่ปกครองเหนือท่าน” เฉลยธรรมบัญญัติ 15:10, 6 {MH 187.1}
Business Principles
หลักการในการประกอบธุรกิจการงาน
God’s word sanctions no policy that will enrich one class by the oppression and suffering of another. In all our business transactions it teaches us to put ourselves in the place of those with whom we are dealing, to look not only on our own things, but also on the things of others. He who would take advantage of another’s misfortunes in order to benefit himself, or who seeks to profit himself through another’s weakness or incompetence, is a transgressor both of the principles and of the precepts of the word of God. {MH 187.2}
ตามพระวจนะของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงมิได้มีแผนการให้คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดร่ำรวยมั่งคั่งจากการกดขี่ข่มเหงและความทุกข์ยากของผู้อื่น ในการติดต่อเกี่ยวข้องด้านธุรกิจนั้น พระวจนะของพระเจ้าสั่งสอนเราให้วางตัวของเราในจุดยืนของผู้ที่เรากำลังติดต่อด้วยว่าเราจะมีความรู้สึกเช่นไร อย่าให้เราคิดถึงแต่ประโยชน์ของเราแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ขอให้เราได้คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ผู้ที่เอารัดเอาเปรียบในความทุกข์ยากของผู้อื่นเพื่อที่จะหาผลประโยชน์เข้าตัวเองหรือผู้ที่คอยขูดรีดเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวจากความเสียเปรียบหรือความอ่อนด้อยของผู้อื่น ย่อมจะกลายเป็นผู้ที่ล่วงละเมิดต่อทั้งหลักการและบทบัญญัติในพระวจนะของพระเจ้า {MH 187.2}
“Thou shalt not pervert the judgment of the stranger, nor of the fatherless; nor take a widow’s raiment to pledge.” “When thou dost lend thy brother anything, thou shalt not go into his house to fetch his pledge. Thou shalt stand abroad, and the man to whom thou dost lend shall bring out the pledge abroad unto thee. And if the man be poor, thou shalt not sleep with his pledge.” “If thou at all take thy neighbor’s raiment to pledge, thou shalt deliver it unto him by that the sun goeth down: for that is his covering only: . . . wherein shall he sleep? and it shall come to pass, when he crieth unto Me, that I will hear; for I am gracious.” “If thou sell aught unto thy neighbor, or buyest aught of thy neighbor’s hand, ye shall not oppress one another” Deuteronomy 24:17, 10-12; Exodus 22:26, 27; Leviticus 25:14. {MH 187.3}
“ท่านทั้งหลายอย่าให้เสียความยุติธรรมซึ่งควรได้แก่คนต่างด้าวหรือควรได้แก่ลูกกำพร้าและอย่ารับเสื้อผ้าของหญิงม่ายไว้เป็นประกัน” “เมื่อท่านทั้งหลายให้พี่น้องขอยืมสิ่งใด อย่าเข้าไปในเรือนของเขาและเอาสิ่งที่เขาใช้เป็นประกัน ท่านจงยืนอยู่ภายนอก และคนที่ยืมนั้นจะนำของประกันออกมาให้ท่านเอง ถ้าเขาเป็นคนยากจน อย่าเอาของประกันนั้นเก็บไว้จนข้ามคืน” “ถ้าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน จงคืนของนั้นให้เขาก่อนตะวันตกดิน เพราะเขาอาจมีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า เมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา” “เจ้าจะขายนาให้เพื่อนบ้านก็ดี หรือซื้อจากเพื่อนบ้านก็ดี เจ้าอย่าโกงกัน” เฉลยธรรมบัญญัติ 24:17,10-12; อพยพ 22;26, 27; เลวีนิติ 25:14 {MH 187.3}
“Ye shall do no unrighteousness in judgment, in measures of length, of weight, or of quantity.” “Thou shalt not have in thy bag diverse weights, a great and a small. Thou shalt not have in thy house diverse measures, a great and a small.” “Just balances, just weights, a just ephah, and a just hin, shall ye have.” Leviticus 19:35, A.R.V.; Deuteronomy 25:13, 14, A.R.V.; Leviticus 19:36, A.R.V. {MH 188.1}
“เจ้าอย่ากระทำผิดในการพิพากษา ในการวัดยาว หรือชั่งน้ำหนักหรือนับจำนวน” “ท่านอย่ามีลูกตุ้มสำหรับตาชั่งต่างกันไว้ในถุง อันหนึ่งหนักอันหนึ่งเบา ในเรือนของท่านอย่าให้มีเครื่องตวงสองชนิด ใหญ่อันหนึ่งเล็กอันหนึ่ง” “เจ้าจงใช้ตาชั่งเที่ยงตรง ลูกตุ้มเที่ยงตรง เอฟาห์เที่ยงตรงและฮิน เที่ยงตรง” เลวีนิติ 19:35, เฉลยธรรมบัญญัติ 25:13, 14, เลวีนิติ 19:36 {MH 188.1}
“Give to him that asketh thee, and from him that would borrow of thee turn not thou away.” “The wicked borroweth, and payeth not again: but the righteous showeth mercy, and giveth.” Matthew 5:42; Psalm 37:21. {MH 188.2}
“ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน” “คนอธรรมขอยืมและไม่จ่ายคืน แต่คนชอบธรรมนั้นใจกว้างขวางและแจกจ่าย” มัทธิว 5:42; สดุดี 37:21 {MH 188.2}
“Give counsel, execute justice; make thy shade as the night in the midst of the noonday; hide the outcasts; betray not the fugitive.” “Let Mine outcasts dwell with thee; . . . be thou a covert to them from the face of the spoiler.” Isaiah 16:3 (A.R.V.), 4. {MH 188.3}
“จงให้คำปรึกษา จงอำนวยความยุติธรรม จงทำร่มเงาของท่านเหมือนกลางคืน ณ เวลาเที่ยงวัน จงช่วยซ่อนผู้ถูกขับไล่ อย่าได้หักหลังผู้ลี้ภัย” “ให้ผู้ถูกขับไล่……..อาศัยอยู่ท่ามกลางท่าน จงเป็นที่กำบังภัยแก่เขาให้พ้นจากผู้ทำลาย” อิสยาห์ 16:3, 4 {MH 188.3}
The plan of life that God gave to Israel was intended as an object lesson for all mankind. If these principles were carried out today, what a different place this world would be! {MH 188.4}
แผนการในการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้แก่ชนชาติอิสราเอลนั้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์เพื่อจะให้เป็นบทเรียนแก่มวลมนุษย์ หากในวันนี้ มนุษย์จะได้ปฏิบัติตามในแผนการของพระองค์ โลกใบนี้ย่อมจะเป็นสถานที่ๆ แตกต่างไปจากโลกที่เป็นอยู่มากมายสักเพียงไร {MH 188.4}
Within the vast boundaries of nature there is still room for the suffering and needy to find a home. Within her bosom there are resources sufficient to provide them with food. Hidden in the depths of the earth are blessings for all who have courage and will and perseverance to gather her treasures.{MH 188.5}
ในเขตแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของธรรมชาติ ยังคงมีที่ว่างมากพอที่จะให้คนที่กำลังทนทุกข์ลำบากและคนที่ยากไร้ขัดสนได้มีบ้านสักหลังหนึ่ง ในอ้อมกอดของธรรมชาตินั้น ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อย่างเพียงพอที่จะเป็นอาหารเพื่อคอยเลี้ยงดูพวกเขาได้ ใต้ผืนพระสุธายังมีพระพรของพระเจ้าที่เก็บซ่อนไว้สำหรับคนทั้งหลายที่มีใจกล้า มีความตั้งใจอันมุ่งมั่นและมีความมานะบากบั่นที่จะเก็บเกี่ยวเอาขุมทรัพย์เหล่านั้น {MH 188.5}
The tilling of the soil, the employment that God appointed to man in Eden, opens a field in which there is opportunity for multitudes to gain a subsistence. “Trust in the Lord, and do good; So shalt thou dwell in the land, and verily thou shalt be fed.” Psalm 37:3. {MH 189.1}
พระเจ้าทรงมอบหมายงานในการเพาะปลูกพรวนดินให้แก่มนุษย์ในสวนเอเดนอันเป็นการเปิดโอกาสให้บรรดามนุษย์มากมายได้รู้จักเลี้ยงชีวิตของตนเอง “จงวางใจในพระเจ้า และกระทำความดี ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย” สดุดี 37:3 {MH 189.1}
Thousands and tens of thousands might be working upon the soil who are crowded into the cities, watching for a chance to earn a trifle. In many cases this trifle is not spent for bread, but is put into the till of the liquor seller, to obtain that which destroys soul and body. {MH 189.2}
ผู้คนนับพันนับหมื่นแทนทีจะทำงานในไร่นาต่างพากันเข้าไปแออัดอาศัยอยู่ในเมืองเพื่อเฝ้ามองหาโอกาสทำงานหาเลี้ยงชีพที่ได้เงินเพียงเล็กน้อย ในหลายกรณี เงินรายได้อันแสนน้อยนิดนี้มิได้นำไปใช้เพื่อซื้อหาอาหาร แต่กลับถูกนำไปใส่ไว้ในลิ้นชักเก็บเงินของคนขายสุรา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลทำลายทั้งต่อจิตวิญญาณและร่างกาย {MH 189.2}
Many look upon labor as drudgery, and they try to obtain a livelihood by scheming rather than by honest toil. This desire to get a living without work opens the door to wretchedness and vice and crime almost without limit. {MH 189.3}
หลายคนเห็นว่าการประกอบอาชีพนั้นเป็นงานที่หนักหนาน่าเบื่อหน่าย และพวกเขาจึงพยายามที่จะทำมาหาเลี้ยงชีวิตโดยการใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าที่จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความปรารถนาในการเลี้ยงชีพโดยที่มิต้องทำงานนี้เองที่ได้เปิดประตูไปสู่ความทุกข์ยาก ความชั่วร้ายและอาชญากรรมที่แทบจะไร้ขอบเขต {MH 189.3}
The City Slums
ชุมชนเออัดในเมือง
In the great cities are multitudes who receive less care and consideration than are given to dumb animals. Think of the families herded together in miserable tenements, many of them dark basements, reeking with dampness and filth. In these wretched places children are born and grow up and die. They see nothing of the beauty of natural things that God has created to delight the senses and uplift the soul. Ragged and half-starved, they live amid vice and depravity, molded in character by the wretchedness and sin that surround them. Children hear the name of God only in profanity. Foul speech, imprecations, and revilings fill their ears. The fumes of liquor and tobacco, sickening stenches, moral degradation, pervert their senses. Thus multitudes are trained to become criminals, foes to society that has abandoned them to misery and degradation. {MH 189.4}
ในเมืองใหญ่ๆ มีผู้คนมากมายที่ได้รับการดูแลและการเอาใจใส่น้อยยิ่งกว่าที่ให้กับสัตว์เดียรัจฉานเสียอีก ลองนึกสภาพถึงหลายครอบครัวที่เบียดเสียดยัดเยียดอยู่รวมกันในห้องเช่าที่แสนทุกข์เข็ญ ซึ่งหลายห้องเป็นใต้ถุนที่มืดๆ และชื้นแฉะไปด้วยสิ่งโสโครก ในสถานที่ๆ ดูน่าอเนจอนาถเหล่านี้ เด็กๆ เกิดและเติบโตขึ้นและตายไป เด็กๆ เหล่านี้ไม่เคยได้เห็นถึงความสวยงามของสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้เพื่อให้ความเบิกบานใจและช่วยยกชูจิตวิญญาณ เด็กๆ เหล่านี้สวมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและอยู่อย่างอดๆ อยากๆ อาศัยอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม หล่อหลอมอุปนิสัยจากความทุกข์ยากและความผิดบาปที่อยู่รายล้อมเขาทั้งหลาย เด็กๆ ได้ยินพระนามของพระเจ้าจากถ้อยคำที่หยาบคาย คำพูดที่หยาบคาย คำแช่งสาปและคำบริภาษด่าทอกรอกอยู่เต็มหูของเขาทั้งหลาย กลิ่นควันบุหรี่และเหล้ายา กลิ่นเหม็นที่น่าขยะแขยง และความเสื่อมทรามทางศีลธรรมจรรยาได้ทำลายความรู้สึกนึกคิดของเขาทั้งหลาย โดยประการฉะนี้แหละ ผู้คนจำนวนมากนี้จึงได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นอาชญากรและเป็นศัตรูของสังคมที่ได้ทอดทิ้งเขาให้อยู่กับความทุกข์ยากและความเสื่อมทราม {MH 189.4}
Not all the poor in the city slums are of this class. God-fearing men and women have been brought to the depths of poverty by illness or misfortune, often through the dishonest scheming of those who live by preying upon their fellows. Many who are upright and well-meaning become poor through lack of industrial training. Through ignorance they are unfitted to wrestle with the difficulties of life. Drifting into the cities, they are often unable to find employment. Surrounded by the sights and sounds of vice, they are subjected to terrible temptation. Herded and often classed with the vicious and degraded, it is only by a superhuman struggle, a more than finite power, that they can be preserved from sinking to the same depths. Many hold fast their integrity, choosing to suffer rather than to sin. This class especially demand help, sympathy, and encouragement. {MH 190.1}
ไม่ใช่คนยากคนจนทั้งหมดที่อยู่ในชุมชนแออัดของเมืองใหญ่จะเป็นคนประเภทนี้ ชายหญิงที่มีความยำเกรงพระเจ้ามากมายกลายเป็นคนยากจนเนื่องจากความเจ็บป่วยหรือเหตุร้าย บ่อยครั้งโดยการถูกหลอกลวงด้วยอุบายเล่ห์เหลี่ยมของพวกมิจฉาชีพ หลายคนที่เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและ ความตั้งใจดีกลับกลายเป็นคนยากจนเพราะขาดการอบรมสั่งสอนให้รู้จักการประกอบการงานอาชีพ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เขาไม่พร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคของชีวิต เมื่อต้องระเหเร่ร่อนเข้าไปยังเมืองใหญ่ เขามักจะหางานทำไม่ได้ ภาพแสงสีมายาของความชั่วร้ายที่ปรากฎอยู่ล้อมรอบได้ทำให้เขาต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของการทดลองที่โหดร้าย การที่ต้องอยู่ร่วมกับคนที่ชั่วร้ายและคนที่มีศีลธรรมเสื่อมทรามและบ่อยครั้งถูกจัดรวมให้เป็นพวกเดียวกัน มีแต่พลังที่เหนือมนุษย์เท่านั้นที่เขาจะเอาตัวรอดจากการถลำลึกลงสู่ความชั่วร้าย หลายคนได้ยึดมั่นอยู่ในจริยธรรมของตนเอง ยอมทนทุกข์ดีกว่าที่จะกระทำผิดบาป คนกลุ่มนี้แหละเป็นพวกที่ต้องการความช่วยเหลือ ความเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจเป็นพิเศษ {MH 190.1}
If the poor now crowded into the cities could find homes upon the land, they might not only earn a livelihood, but find health and happiness now unknown to them. Hard work, simple fare, close economy, often hardship and privation, would be their lot. But what a blessing would be theirs in leaving the city, with its enticements to evil, its turmoil and crime, misery and foulness, for the country’s quiet and peace and purity. {MH 190.2}
หากคนยากจนที่ยัดเยียดอยู่ในเมืองเวลานี้จะไปหาบ้านที่อยู่ในชนบทได้ เขามิใช่เพียงแต่จะได้ทำมาหาเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่ยังจะได้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงและมีความสุขอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน งานหนัก รายได้ต่ำ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ลำบากหน่อยและค่อนข้างสันโดษจะเป็นชีวิตประจำวันของเขา แต่เขาจะได้รับพระพรที่มากยิ่งเพียงไรจากการที่ได้ย้ายออกจากเมืองที่มีแต่สิ่งเย้ายวนของบาป ความสับสนวุ่นวาย อาชญากรรม ความทุกข์ยากและความสกปรกโสมม เพื่อมาอาศัยอยู่ในชนบทที่เงียบสงบและยังคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ {MH 190.2}
To many of those living in the cities who have not a spot of green grass to set their feet upon, who year after year have looked out upon filthy courts and narrow alleys, brick walls and pavements, and skies clouded with dust and smoke–if these could be taken to some farming district, surrounded with the green fields, the woods and hills and brooks, the clear skies and the fresh, pure air of the country, it would seem almost like heaven. {MH 191.1}
สำหรับหลายคนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่มีแม้แต่หย่อมหญ้าเขียวสดที่เท้าจะได้เหยียบย่าง ปีแล้วปีเล่าที่เขามองเห็นแต่ถนนหนทางที่สกปรก ตรอกซอยที่คับแคบ ทางเดินและกำแพงอิฐและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองและหมอกควัน ถ้าหากเขาได้โยกย้ายไปอยู่ในตำบลที่มีไร่นา ที่แวดล้อมไปด้วยท้องทุ่งอันเขียวขจี ป่าไม้ลำเนาไพร เนินเขาและลำธาร ท้องฟ้าอันสดใส อากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ของชนบทแล้ว เขาก็จะรู้สึกราวกับว่าได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ {MH 191.1}
Cut off to a great degree from contact with and dependence upon men, and separated from the world’s corrupting maxims and customs and excitements, they would come nearer to the heart of nature. God’s presence would be more real to them. Many would learn the lesson of dependence upon Him. Through nature they would hear His voice speaking to their hearts of His peace and love, and mind and soul and body would respond to the healing, life-giving power. {MH 192.1}
เมื่อเขามิได้ติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยในมนุษย์มากมายนัก และได้แยกตัวออกจากกฎเกณฑ์อันเสื่อมทรามของทางโลก จากธรรมเนียมนิยมและความตื่นเต้นวุ่นวาย เขาก็จะได้อยู่ใกล้ชิดภายใต้อ้อมกอดของธรรมชาติมากขึ้น เขาจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าได้สถิตอยู่ใกล้ๆ หลายคนจะมีโอกาสเรียนรู้การพึ่งพิงในพระเจ้า โดยอาศัยธรรมชาติพวกเขาก็จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสแก่จิตใจของเขาถึงสันติสุขและความรักของพระองค์ ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณก็จะตอบสนองต่อฤทธิ์อำนาจแห่งการบำบัดรักษาและฟื้นฟูชีวิต {MH 192.1}
If they ever become industrious and self-supporting, very many must have assistance, encouragement, and instruction. There are multitudes of poor families for whom no better missionary work could be done than to assist them in settling on the land and in learning how to make it yield them a livelihood. {MH 192.2}
ถ้าหากคนเหล่านี้เริ่มกลายเป็นผู้ที่ขยันขันแข็งและเลี้ยงดูตนเองได้ หลายคนจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ให้กำลังใจและคำแนะนำ งานในการประกาศเผยแพร่ศาสนาให้แก่ครอบครัวที่ยากจนมากมายเหล่านี้ ย่อมไม่มีวิธีการใดที่จะดีไปกว่าการช่วยเหลือเขาให้สามารถตั้งถิ่นฐานบนที่ดินในชนบทและสอนให้เขาทำมาหาเลี้ยงชีพในที่ดินให้ผลิดอกออกผล {MH 192.2}
The need for such help and instruction is not confined to the cities. Even in the country, with all its possibilities for a better life, multitudes of the poor are in great need. Whole communities are devoid of education in industrial and sanitary lines. Families live in hovels, with scant furniture and clothing, without tools, without books, destitute both of comforts and conveniences and of means of culture. Imbruted souls, bodies weak and ill-formed, reveal the results of evil heredity and of wrong habits. These people must be educated from the very foundation. They have led shiftless, idle, corrupt lives, and they need to be trained to correct habits.{MH 192.3}
ความต้องการความช่วยเหลือและคำแนะนำเหล่านี้ มิได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่ในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น แม้แต่ในชนบท คนยากจนจำนวนมากต่างต้องการที่มีชีวิตที่ดีกว่า ชุมชนมากมายขาดพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพและการดูแลในด้านสุขอนามัย หลายครอบครัวอาศัยอยู่ในกระท่อมที่สกปรก มีเครื่องเรือนและเครื่องนุ่งห่มเพียงเล็กน้อย ไม่มีเครื่องมือ ไม่มีหนังสือ ขาดซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย และแม้แต่เครื่องมือเพื่อการเพาะปลูก ร่างกายที่อ่อนแอและผิดปกติ จิตวิญญาณที่เสื่อมทราม บ่งบอกถึงผลสืบเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ที่ไม่ดีและนิสัยความเคยชินที่ผิดๆ เขาจำต้องได้รับการศึกษาตั้งแต่เบื้องต้น เขาได้ดำเนินชีวิตอย่างไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เกียจคร้าน เสื่อมทรามทางศีลธรรม ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงมีความจำเป็นต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเพื่อแก้ไขอุปนิสัย {MH 192.3}
How can they be awakened to the necessity of improvement? How can they be directed to a higher ideal of life? How can they be helped to rise? What can be done where poverty prevails and is to be contended with at every step? Certainly the work is difficult. The necessary reformation will never be made unless men and women are assisted by a power outside of themselves. It is God’s purpose that the rich and the poor shall be closely bound together by the ties of sympathy and helpfulness. Those who have means, talents, and capabilities are to use these gifts in blessing their fellow men. {MH 193.1}
เราจะกระตุ้นเตือนคนเหล่านี้ให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาปรับปรุงได้อย่างไร เราจะชักนำเขาสู่มาตรฐานของชีวิตที่สูงขึ้นได้อย่างไร เราจะช่วยเขาเขยิบฐานะให้สูงขึ้นได้อย่างไร ในที่ๆ เต็มไปด้วยความยากจน เราจะต้องทำอย่างไรในทุกฝีก้าวจึงจะเอาชนะความยากจนได้ แน่นอนทีเดียวว่า งานที่ต้องทำนั้นเป็นงานที่ยาก การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ นอกเสียจากชายหญิงเหล่านั้นจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากฤทธิ์อำนาจที่อยู่ภายนอกตัวของเขา มันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ทั้งคนมั่งมีและคนยากจนมีความผูกพันใกล้ชิดกันด้วยความเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือ ผู้ที่มีเงินทอง มีสติปัญญาและความสามารถ จะต้องนำของประทานเหล่านี้มาใช้ให้เป็นพระพรแก่เพื่อนมนุษย์ {MH 193.1}
Christian farmers can do real missionary work in helping the poor to find homes on the land and in teaching them how to till the soil and make it productive. Teach them how to use the implements of agriculture, how to cultivate various crops, how to plant and care for orchards. {MH 193.2}
คริสเตียนที่เป็นชาวนาชาวไร่สามารถทำการประกาศเผยแพร่ศาสนาได้อย่างแท้จริงด้วยการช่วยเหลือคนยากคนจนให้สามารถตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่ดินในชนบทและสอนให้เขารู้จักทำการเพาะปลูกให้บังเกิดผล สอนเขาให้รู้จักใช้เครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตร ให้รู้จักเพาะปลูกพืชผลต่าง ๆ และให้รู้จักการปลูกและบำรุงรักษาสวน {MH 193.2}
Many who till the soil fail to secure adequate returns because of their neglect. Their orchards are not properly cared for, the crops are not put in at the right time, and a mere surface work is done in cultivating the soil. Their ill success they charge to the unproductiveness of the land. False witness is often borne in condemning land that, if properly worked, would yield rich returns. The narrow plans, the little strength put forth, the little study as to the best methods, call loudly for reform. {MH 193.3}
หลายคนที่ทำการเพาะปลูกไม่ได้รับผลผลิตที่เพียงพอเพราะเขาเพิกเฉยละเลยขาดความเอาใจใส่ สวนของเขาไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง เขาไม่ได้ลงมือหว่านในเวลาที่เหมาะสม และเขาเตรียมหน้าดินอย่างฉาบฉวย เขาโทษว่าที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์จึงทำให้การเพาะปลูกไม่ผลิดอกออกผล เขามักจะทำตัวเป็นพยานเท็จโดยคอยที่จะกล่าวโทษในเรื่องของที่ดินซึ่งถ้าเขาได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ย่อมจะบังเกิดผลอย่างมากมาย การวางแผนอย่างหยาบ ๆ การทุ่มเทแรงกายแต่เพียงเล็กน้อย รวมทั้งการขาดการศึกษาถึงวิธีการที่จะให้ผลดีที่สุด ล้วนฟ้องว่าคนเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิรูป {MH 193.3}
Let proper methods be taught to all who are willing to learn. If any do not wish you to speak to them of advanced ideas, let the lessons be given silently. Keep up the culture of your own land. Drop a word to your neighbors when you can, and let the harvest be eloquent in favor of right methods. Demonstrate what can be done with the land when properly worked.{MH 193.4}
จงสอนวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องให้แก่ทุกๆ คนที่มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดไม่ต้องการให้ท่านพูดกับเขาถึงความรู้ที่ก้าวหน้า ก็จงสอนเขาโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก ดูแลการเพาะปลูกบนที่ดินของท่านอย่างดี สนทนากับเพื่อนบ้านของท่านเมื่อมีโอกาส และปล่อยให้ผลการเก็บเกี่ยวของท่านเป็นสื่อโน้มน้าวให้เห็นถึงวิธีการที่ถูกต้อง สาธิตให้เห็นว่าควรทำอย่างไรกับดินด้วยวิธีการที่ถูกต้อง {MH 193.4}
Attention should be given to the establishment of various industries so that poor families can find employment. Carpenters, blacksmiths, and indeed everyone who understands some line of useful labor, should feel a responsibility to teach and help the ignorant and the unemployed. {MH 194.1}
เราควรให้ความใส่ใจในการจัดตั้งธุรกิจด้านอุตสาหการต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้ครอบครัวที่ยากจนมีงานทำ งานช่างไม้ งานช่างเหล็ก และแน่นอนทีเดียวทุกคนที่มีความรู้ความชำนาญในงานอาชีพที่เป็นประโยชน์ในด้านใดด้านหนึ่งควรรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ต้องฝึกสอนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ขาดความรู้และตกงาน {MH 194.1}
In ministry to the poor there is a wide field of service for women as well as for men. The efficient cook, the housekeeper, the seamstress, the nurse–the help of all is needed. Let the members of poor households be taught how to cook, how to make and mend their own clothing, how to nurse the sick, how to care properly for the home. Let boys and girls be thoroughly taught some useful trade or occupation. {MH 194.2}
ในงานช่วยเหลือคนยากจนนั้น มีพันธกิจมากมายที่ผู้หญิงสามารถปฏิบัติได้เช่นเดียวกับผู้ชาย แม่ครัวที่มีความสามารถ แม่บ้าน ช่างตัดเย็บสตรีและนางพยาบาล ความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นที่ต้องการ จงช่วยสอนคนที่อยู่ในครอบครัวที่ยากจนให้ได้รู้จักวิธีการประกอบอาหาร วิธีการตัดเย็บและซ่อมแซมเสื้อผ้าของตนเอง วิธีการพยาบาลผู้เจ็บป่วย และวิธีการรักษาบ้านเรือนให้สะอาดเรียบร้อย จงช่วยสอนเด็กชายหญิงทุกคนได้รู้จักงานช่างฝีมือหรืองานอาชีพที่มีประโยชน์ {MH 194.2}
Missionary Families
ครอบครัวของผู้ที่ทำงานในการเผยแพร่ศาสนา
Missionary families are needed to settle in the waste places. Let farmers, financiers, builders, and those who are skilled in various arts and crafts, go to neglected fields, to improve the land, to establish industries, to prepare humble homes for themselves, and to help their neighbors. {MH 194.3}
ครอบครัวของผู้ที่ทำงานในการเผยแพร่ศาสนาจำเป็นต้องออกไปตั้งบ้านเรือนในสถานที่ๆ ยังไม่มีการใช้สอย ขอให้พวกชาวนา ผู้ที่มีเงินลงทุน ช่างก่อสร้างและผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในงานศิลป์และงานฝีมือด้านต่าง ๆ พากันออกไปยังถิ่นฐานที่ยังไม่มีคนออกไปจับจอง เพื่อพัฒนาที่ดินเหล่านั้น เพื่อก่อตั้งอุตสาหกรรม เพื่อสร้างบ้านที่เรียบง่ายสำหรับตัวเองและเพื่อที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเขา {MH 194.3}
The rough places of nature, the wild places, God has made attractive by placing beautiful things among the most unsightly. This is the work we are called to do. Even the desert places of the earth, where the outlook appears to be forbidding, may become as the garden of God. “In that day shall the deaf hear the words of the book, And the eyes of the blind shall see out of obscurity, and out of darkness. The meek also shall increase their joy in the Lord, And the poor among men shall rejoice in the Holy One of Israel.” Isaiah 29:18, 19. {MH 194.4}
“ในวันนั้น คนหูหนวกจะได้ยินถ้อยคำของหนังสือ และตาของคนตาบอดจะเห็น ออกมาจากความคลุ้มและความมืดของเขา คนใจอ่อนสุภาพจะได้ความชื่นบานสดใสในพระเจ้า และคนยากจนท่ามกลางมนุษย์จะลิงโลดในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล” อิสยาห์ 29:18, 19 {MH 194.4}
By instruction in practical lines we can often help the poor most effectively. As a rule, those who have not been trained to work do not have habits of industry, perseverance, economy, and self-denial. They do not know how to manage. Often through lack of carefulness and right judgment there is wasted that which would maintain their families in decency and comfort if it were carefully and economically used. “Much food is in the tillage of the poor: but there is that is destroyed for want of judgment.” Proverbs 13:23. {MH 194.5}
เราช่วยคนยากจนได้อย่างเห็นผลมากที่สุดโดยการแนะนำในเชิงปฏิบัติ ตามปกติแล้ว ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมให้ทำงาน ย่อมจะไม่มีนิสัยขยันหมั่นเพียร ความมานะบากบั่น ความมัธยัสถ์หรือยอมที่จะเสียสละความต้องการของตนเอง เขายังไม่รู้จักวิธีการจัดการอะไรเลย บ่อยครั้งจากการที่ขาดความเอาใจใส่และการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทำให้เขาล้มเหลวในการรักษาความอยู่ดีมีสุขของครอบครัว หากเขารู้จักจับจ่ายใช้สอยอย่างประหยัดและระมัดระวัง “ดินของคนยากจนที่ไถทิ้งไว้ก็เกิดผลอุดม แต่มันถูกกวาดไปตามความอยุติธรรม” สุภาษิต 13:23 {MH 194.5}
We may give to the poor, and harm them, by teaching them to be dependent. Such giving encourages selfishness and helplessness. Often it leads to idleness, extravagance, and intemperance. No man who can earn his own livelihood has a right to depend on others. The proverb “The world owes me a living” has in it the essence of falsehood, fraud, and robbery. The world owes no man a living who is able to work and gain a living for himself. {MH 195.1}
เราอาจจะให้ทานแก่คนยากจนแต่กลับทำร้ายเขาโดยสอนให้เขาเป็นคนที่คอยพึ่งพาผู้อื่น การให้ทานเช่นนี้ย่อมเป็นการสนับสนุนความเห็นแก่ตัวและสภาพที่ไม่ยอมช่วยเหลือตัวเอง บ่อยคร้งสิ่งเหล่านี้มักนำไปสู่ความเกียจคร้าน ใช้จ่ายเงินทองอย่างไม่จำเป็น และขาดการยับยั้งตนเอง ไม่มีใครที่สามารถหาเลี้ยงชีพตนเองได้มีสิทธิที่จะคอยพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ภาษิตที่พูดกันเสมอว่า “โลกมีหน้าที่เลี้ยงดูฉัน” เป็นคติที่แฝงด้วยธาตุแท้ของการป้อปดมดเท็จ หลอกลวงและการฉกฉวย โลกมิได้มีหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูผู้ใดที่สามารถทำงานหาเลี้ยงตนเองได้ {MH 195.1}
Real charity helps men to help themselves. If one comes to our door and asks for food, we should not turn him away hungry; his poverty may be the result of misfortune. But true beneficence means more than mere gifts. It means a genuine interest in the welfare of others. We should seek to understand the needs of the poor and distressed, and to give them the help that will benefit them most. To give thought and time and personal effort costs far more than merely to give money. But it is the truest charity. {MH 195.2}
การกุศลที่แท้จริงคือการช่วยผู้คนให้รู้จักช่วยเหลือตนเอง หากมีใครคนหนึ่งมาที่ประตูบ้านของเราและขออาหาร เราไม่ควรปฏิเสธและปล่อยให้เขาหิวโหย ความยากจนของเขาอาจเป็นผลจากการที่เขาต้องประสบกับเหตุการณ์ร้ายก็เป็นได้ ความเมตตากรุณาที่แท้จริงมิได้หมายถึงทานที่บริจาคให้ไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงการเอาใจใส่ในทุกข์สุขของผู้อื่นอย่างแท้จริง เราควรพยายามทำความเข้าใจถึงความต้องการของคนยากจนและความทุกข์ยากที่เขาต้องประสบและให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์แก่เขามากที่สุด การให้ความช่วยเหลือโดยยอมเสียสละความคิด เวลาและใช้ความพากเพียรพยายามของเราเป็นการส่วนตัวย่อมมีคุณค่ามากยิ่งกว่าการให้เงินทองแต่เพียงอย่างเดียว เพราะนั่นเป็นการกุศลที่แท้จริงที่สุด {MH 195.2}
Those who are taught to earn what they receive will more readily learn to make the most of it. And in learning to be self-reliant, they are acquiring that which will not only make them self-sustaining, but will enable them to help others. Teach the importance of life’s duties to those who are wasting their opportunities. Show them that Bible religion never makes men idlers. Christ always encouraged industry. “Why stand ye here all the day idle?” He said to the indolent. “I must work . . . while it is day: the night cometh, when no man can work.” Matthew 20:6; John 9:4.{MH 195.3}
คนทั้งหลายที่ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเองย่อมรู้จักใช้เงินทองที่หามาได้นั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และในการเรียนรู้ถึงการพึ่งตนเองนั้น เขามิได้กำลังสะสมความรู้ถึงการเลี้ยงดูตนเองเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย จงสอนให้ผู้ที่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ให้เห็นถึงความสำคัญของหน้าที่ความรับผิดชอบของชีวิต จงแสดงให้เขาเห็นว่าตามหลักความเชื่อในพระคัมภีร์นั้นไม่เคยสอนให้มนุษย์เป็นคนเกียจคร้าน พระคริสต์ทรงสนับสนุนให้เรามีความขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอ “พวกท่านยืนอยู่ที่นี่เปล่า ๆ วันยังค่ำทำไม” พระองค์ตรัสกับผู้ที่เกียจคร้านว่า “เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้” มัทธิว 20:6; ยอห์น 9:4 {MH 195.3}
It is the privilege of all to give to the world in their home life, in their customs and practices and order, an evidence of what the gospel can do for those who obey it. Christ came to our world to give us an example of what we may become. He expects His followers to be models of correctness in all the relations of life. He desires the divine touch to be seen upon outward things. {MH 196.1}
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นพยานให้คนทั้งหลายในโลกได้เห็นถึงข่าวประเสริฐว่าสามารถทำอะไรให้แก่คนทั้งปวงที่เชื่อได้บ้าง จากการดำเนินชีวิตภายในครอบครัวของเขาและจากการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมและในระเบียบแบบแผนของเขา พระคริสต์เสด็จมายังโลกของเราเพื่อประทานแบบอย่างให้เราดำเนินชีวิตตาม พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้บรรดาผู้ติดตามพระองค์ทั้งหลายได้เป็นแบบอย่างแห่งความชอบธรรมในทุก ๆ วิถีที่เกี่ยวข้องกับชีวิต พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้สัมผัสแห่งความเป็นพระเจ้าสำแดงอยู่ในทุกสิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของมนุษย์ {MH 196.1}
Our own homes and surroundings should be object lessons, teaching ways of improvement, so that industry, cleanliness, taste, and refinement may take the place of idleness, uncleanness, coarseness, and disorder. By our lives and example we can help others to discern that which is repulsive in their character or their surroundings, and with Christian courtesy we may encourage improvement. As we manifest an interest in them, we shall find opportunity to teach them how to put their energies to the best use. {MH 196.2}
บ้านของเราเองรวมทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกนั้นควรจะเป็นตัวอย่างเพื่อสอนให้คนอื่นได้ปรับปรุงตนเอง เพื่อว่าความขยันหมั่นเพียร ความสะอาด ความมีรสนิยมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยจะมาแทนที่ความเกียจคร้าน ความสกปรก ความหยาบกร้านและความไร้ระเบียบ จากแบบอย่างชีวิตของเรา เราสามารถช่วยผู้อื่นได้มองเห็นถึงสิ่งที่น่ารังเกียจในอุปนิสัยหรือในสภาพแวดล้อมของเขา และด้วยความสุภาพอ่อนโยนในแบบของคริสเตียน เราสามารถหนุนใจให้มีการพัฒนา เมื่อเราแสดงให้เห็นว่าเรามีความใส่ใจในตัวเขา เราก็พบโอกาสที่จะสอนเขาให้รู้จักใช้กำลังและความสามารถไปในทางที่ดีที่สุด {MH 196.2}
Hope and Courage
ความหวังและกำลังใจ
We can do nothing without courage and perseverance. Speak words of hope and courage to the poor and the disheartened. If need be, give tangible proof of your interest by helping them when they come into strait places. Those who have had many advantages should remember that they themselves still err in many things, and that it is painful to them when their errors are pointed out and there is held up before them a comely pattern of what they should be. Remember that kindness will accomplish more than censure. As you try to teach others, let them see that you wish them to reach the highest standard, and that you are ready to give them help. If in some things they fail, be not quick to condemn them. {MH 196.3}
เราทำอะไรไม่ได้หากเราขาดซึ่งกำลังใจและความพากเพียรพยายาม จงกล่าวถ้อยคำแห่งความหวังและที่เสริมสร้างกำลังใจให้แก่คนยากจนและผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวัง หากมีความจำเป็น จงพิสูจน์ให้เห็นว่าท่านมีความใส่ใจในตัวเขาโดยการหยิบยื่นความช่วยเหลือในเวลาที่เขาต้องประสบกับความอับจน คนทั้งหลายที่อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่ามากควรจดจำไว้ว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังกระทำในสิ่งที่ผิดพลาดอยู่มากมาย และตัวเขาก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อข้อผิดพลาดของเขาถูกเปิดเผยและมีการพูดตรงๆ ต่อหน้าถึงความประพฤติที่เหมาะสมที่เขาควรจะมี จงจำไว้ว่าความเมตตากรุณาจะบรรลุผลที่ตั้งใจไว้มากกว่าคำตำหนิติเตียน เมื่อท่านพยายามที่จะสอนคนอื่นๆ อยู่นั้น จงแสดงให้เขาเห็นว่าท่านปรารถนาที่จะช่วยให้เขาได้ก้าวขึ้นไปสู่มาตรฐานอันสูงสุด และท่านพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เขา หากมีบางจุดที่ทำให้เขาพลาดเป้าไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งด่วนตำหนิเขา {MH 196.3}
Simplicity, self-denial, economy, lessons so essential for the poor to learn, often seem to them difficult and unwelcome. The example and spirit of the world is constantly exciting and fostering pride, love of display, self-indulgence, prodigality, and idleness. These evils bring thousands to penury and prevent thousands more from rising out of degradation and wretchedness. Christians are to encourage the poor to resist these influences. {MH 196.4}
ความเรียบง่าย การรู้จักยับยั้งใจตนเองและความมัธยัสถ์ล้วนเป็นบทเรียนที่มีความสำคัญมากยิ่งที่คนยากจนต้องเรียนรู้ แต่เขามักจะรู้สึกว่าทำได้ยากและไม่เป็นที่ยอมรับ แบบอย่างและวิญญาณทางโลกคอยกระตุ้นและปลูกฝังความเย่อหยิ่ง ความชื่นชอบในการโอ้อวด การปล่อยตัวตามใจตัวเอง ความสุรุ่ยสุร่ายและความเกียจคร้านอยู่ตลอดเวลา ความชั่วร้ายเหล่านี้ได้ทำให้คนมากมายต้องกลายเป็นคนยากจนและขัดขวางผู้คนอีกจำนวนมากมิให้ก้าวพ้นออกจากความเสื่อมทรามและความโหดร้าย คริสเตียนทั้งหลายควรสนับสนุนหมู่คนยากจนต่อต้านอิทธิพลเหล่านี้ {MH 196.4}
Jesus came to this world in humility. He was of lowly birth. The Majesty of heaven, the King of glory, the Commander of all the angel host, He humbled Himself to accept humanity, and then He chose a life of poverty and humiliation. He had no opportunities that the poor do not have. Toil, hardship, and privation were a part of every day’s experience. “Foxes have holes,” He said, “and birds of the air have nests; but the Son of man hath not where to lay His head.” Luke 9:58. {MH 197.1}
พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ในสภาพที่ต่ำต้อย พระองค์ทรงถือกำเนิดในตระกูลของสามัญชน ผู้ทรงเดชานุภาพแห่งสวรรค์ กษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีและพระผู้ทรงบังคับบัญชาของเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง พระองค์ทรงถ่อมพระองค์เสด็จมาถือกำเนิดในสภาพเยี่ยงมนุษย์ และพระองค์ทรงเลือกชีวิตที่ยากจนและถ่อมตน พระองค์ทรงไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับคนยากจนทั้งหลายที่ไม่มี ทรงต้องตรากตรำทำงานหนัก ทรงต้องพบกับความยากลำบากและความขัดสนอันเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พระองค์ตรัสว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” ลูกา 9:58 {MH 197.1}
Jesus did not seek the admiration or the applause of men. He commanded no army. He ruled no earthly kingdom. He did not court the favor of the wealthy and honored of the world. He did not claim a position among the leaders of the nation. He dwelt among the lowly. He set at nought the artificial distinctions of society. The aristocracy of birth, wealth, talent, learning, rank, He ignored. {MH 197.2}
พระเยซูมิได้ทรงแสวงหาคำยกย่องชมเชยหรือคำสรรเสริญเยินยอจากมนุษย์ พระองค์มิได้ทรงบังคับบัญชาทหารใดๆ พระองค์มิได้ทรงปกครองราชอาณาจักรใดในโลก พระองค์มิได้ทรงประจบประแจงแสวงหาความชอบจากผู้มีเกียรติและมั่งคั่งของโลก พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องสิทธิ์เพื่อดำรงตำแหน่งอยู่ในเหล่าผู้นำของประเทศ พระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ต่ำต้อย พระองค์ทรงไม่ได้ให้ความสำคัญต่อความโดดเด่นจอมปลอมของสังคม การถือกำเนิดในตระกูลสูง ความมั่งคั่ง ตะลันต์ การศึกษาหรือยศตำแหน่ง ล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมิได้ใส่พระทัย {MH 197.2}
He was the Prince of heaven, yet He did not choose His disciples from among the learned lawyers, the rulers, the scribes, or the Pharisees. He passed these by, because they prided themselves on their learning and position. They were fixed in their traditions and superstitions. He who could read all hearts chose humble fishermen who were willing to be taught. He ate with publicans and sinners, and mingled with the common people, not to become low and earthly with them, but in order by precept and example to present to them right principles, and to uplift them from their earthliness and debasement. {MH 197.3}
พระองค์ทรงเป็นพระโอรสแห่งสวรรค์ แต่กระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงเลือกสาวกของพระองค์จากนักกฎหมายผู้รอบรู้ พวกผู้ปกครอง พวกธรรมาจารย์หรือฟาริสี พระองค์เสด็จผ่านคนเหล่านี้ไป เพราะคนเหล่านี้ต่างมีความเย่อหยิ่งในความรู้และตำแหน่งของตนเอง คนเหล่านี้ยึดติดอยู่กับธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อที่งมงาย พระองค์ผู้ทรงสามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ทั้งหลายได้นั้น ทรงเลือกชาวประมงผู้ถ่อมตนซึ่งเต็มใจที่จะได้รับการสั่งสอน พระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาป และทรงคลุกคลีร่วมกับสามัญชน มิใช่เพื่อจะเป็นคนที่ต่ำช้าหรือฝักใฝ่ในทางโลกเหมือนอย่างคนเหล่านั้น แต่เพื่อที่พระองค์จะได้วางแบบอย่างและคำสั่งสอนให้เขาทั้งหลายประพฤติตามทางอันชอบธรรม และเพื่อที่จะยกชูเขาทั้งหลายให้พ้นจากความเสื่อมทรามและจิตใจที่ฝักใฝ่ในทางโลก {MH 197.3}
Jesus sought to correct the world’s false standard of judging the value of men. He took His position with the poor, that He might lift from poverty the stigma that the world had attached to it. He has stripped from it forever the reproach of scorn, by blessing the poor, the inheritors of God’s kingdom. He points us to the path He trod, saying, “If any man will come after Me, let him deny himself, and take up his cross daily, and follow Me.” Verse 23. {MH 197.4}
พระเยซูทรงพยายามแก้ไขมาตรฐานที่ผิด ๆ ของโลกที่ใช้ในการตัดสินคุณค่าของมนุษย์ พระองค์ประทับอยู่ข้างคนยากจน เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงยกฐานะของเขาให้พ้นจากความยากจนขัดสนอันเป็นความอัปยศที่โลกได้ตราไว้ พระองค์ทรงขจัดคำดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยพระพรที่ประทานแก่พวกคนยากจน ให้เป็นผู้ร่วมรับมรดกในราชอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ทรงชี้ให้เราเห็นถึงมรรคาที่พระองค์เคยเสด็จดำเนินผ่านไปว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา” ลูกา 9:23 {MH 197.4}
Christian workers are to meet the people where they are, and educate them, not in pride, but in character building. Teach them how Christ worked and denied Himself. Help them to learn from Him the lessons of self-denial and sacrifice. Teach them to beware of self-indulgence in conforming to fashion. Life is too valuable, too full of solemn, sacred responsibilities, to be wasted in pleasing self. {MH 198.1}
ผู้ปฏิบัติงานที่เป็นคริสเตียนต้องออกไปพบกับผู้คนตามที่อยู่ของเขา และอบรมสั่งสอนพวกเขามิให้เป็นคนที่เย่อหยิ่ง แต่ให้รู้จักการพัฒนาเสริมสร้างอุปนิสัย จงสอนเขาให้ทราบว่าพระคริสต์ทรงปฏิบัติพันธกิจและเอาชนะตัวเองได้อย่างไร จงช่วยเขาให้เรียนรู้จากพระองค์ถึงบทเรียนแห่งการปฏิเสธความต้องการของตนเองและการเสียสละ จงสอนเขาให้ระมัดระวังการปล่อยตัวประพฤติตามค่านิยมทางโลก ชีวิตนั้นมีค่าและเต็มไปด้วยความรับผิดชอบที่จริงจังและมีคุณค่ามากเกินกว่าที่จะใช้ให้หมดเปลืองไปโดยการสนองแต่ความพึงพอใจของตนเอง {MH 198.1}
Life’s Best Things
สิ่งดีที่สุดของชีวิต
Men and women have hardly begun to understand the true object of life. They are attracted by glitter and show. They are ambitious for worldly pre-eminence. To this the true aims of life are sacrificed. Life’s best things–simplicity, honesty, truthfulness, purity, integrity–cannot be bought or sold. They are as free to the ignorant as to the educated, to the humble laborer as to the honored statesman. For everyone God has provided pleasure that may be enjoyed by rich and poor alike–the pleasure found in cultivating pureness of thought and unselfishness of action, the pleasure that comes from speaking sympathizing words and doing kindly deeds. From those who perform such service the light of Christ shines to brighten lives darkened by many shadows. {MH 198.2}
มนุษย์ชายหญิงยังไม่ทันเริ่มจะมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายอันแท้จริงของชีวิต เขาก็มีความหลงใหลในแสงสีเสียงไปเสียแล้ว เขาทะเยอทะยานที่จะมีเกียรติตำแหน่งทางโลก เพื่อสิ่งเหล่านี้ เขายอมเสียสละเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ความซื่อสัตย์ ความรักในความจริง ความบริสุทธิ์และความมีศีลธรรมจรรยา ไม่สามารถจะซื้อขายกันได้ สิ่งเหล่านี้มีไว้ให้โดยไม่ต้องจ่ายราคาแก่ผู้ไม่มีความรู้ทัดเทียมกับผู้ที่มีการศึกษาสูง แก่กรรมกรผู้มีฐานะต่ำต้อยทัดเทียมกับผู้นำประเทศผู้ทรงเกียรติ สำหรับทุกคน พระเจ้าทรงจัดหาความสุขสำราญเพื่อให้ความเพลิดเพลินแก่คนมั่งมีและคนยากจนเหมือนกัน นั่นคือ ความสุขที่เกิดจากการปลูกฝังความคิดที่บริสุทธิ์และการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัว ความสุขที่เกิดจากการกล่าวถ้อยคำที่แสดงความเห็นอกเห็นใจและการกระทำที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา คนทั้งหลายที่ได้ปรนนิบัติรับใช้ในสิ่งเหล่านี้ แสงสว่างของพระคริสต์ก็จะส่องฉายไปยังชีวิตของหลายคนที่มืดมนภายใต้เงามืด {MH 198.2}
While helping the poor in temporal things, keep always in view their spiritual needs. Let your own life testify to the Saviour’s keeping power. Let your character reveal the high standard to which all may attain. Teach the gospel in simple object lessons. Let everything with which you have to do be a lesson in character building. {MH 198.3}
ในขณะที่ช่วยเหลือคนยากจนในด้านทางฝ่ายกาย ขอให้เราได้คำนึงถึงความต้องการทางฝ่ายจิตวิญญาณของเขาอยู่เสมอ จงให้ชีวิตของท่านเองเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของการคุ้มครองรักษาของพระผู้ช่วยให้รอด จงให้อุปนิสัยของท่านสำแดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันสูงส่งที่คนทั้งหลายสามารถจะก้าวไปถึงได้ จงสอนเรื่องราวของข่าวประเสริฐด้วยบทเรียนอย่างง่ายๆ แก่เขา ให้ทุกสิ่งที่ท่านทำเป็นบทเรียนในการพัฒนาเสริมสร้างอุปนิสัย {MH 198.3}
In the humble round of toil, the very weakest, the most obscure, may be workers together with God and may have the comfort of His presence and sustaining grace. They are not to weary themselves with busy anxieties and needless cares. Let them work on from day to day, accomplishing faithfully the task that God’s providence assigns, and He will care for them. He says: {MH 199.1}
ในการกระทำกิจการอันเหนื่อยยากด้วยจิตใจที่ถ่อมนั้น แม้คนที่อ่อนแอที่สุดหรือคนที่ดูจะไม่มีความสำคัญมากที่สุด ก็สามารถที่จะเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้าได้ และอาจสัมผัสได้ถึงการสถิตที่ประโลมใจและพระคุณที่ยั่งยืนของพระองค์ เขาไม่ควรทำตัวให้เหน็ดเหนื่อยด้วยการกระวนกระวายหรือการวิตกกังวลจนเกินความจำเป็น ให้เขาทำงานไปเรื่อย ๆ ทุกวัน ประกอบภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้สำเร็จอย่างสัตย์ซื่อตามพระบัญชาของพระเจ้าและพระองค์จะทรงดูแลเขา พระองค์ตรัสว่า {MH 199.1}
“In nothing be anxious; but in everything by prayer and supplication with thanksgiving let your requests be made known unto God.” “And the peace of God, which passeth all understanding, shall keep your hearts and minds through Christ Jesus.” Philippians 4:6, A.R.V.; 4:7. {MH 199.2}
“อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ” “แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” ฟีลิปปี 4:6, 7 {MH 199.2}
The Lord’s care is over all His creatures. He loves them all and makes no difference, except that He has the most tender pity for those who are called to bear life’s heaviest burdens. God’s children must meet trials and difficulties. But they should accept their lot with a cheerful spirit, remembering that for all that the world neglects to bestow, God Himself will make up to them in the best of favors. {MH 199.3}
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคุ้มครองรักษาบรรดาสรรพสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกผู้นามโดยมิได้ทรงเลือกชนชั้นวรรณะ แต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตาสงสารมากที่สุดก็คือคนทั้งหลายที่ต้องทนรับภาระอันหนักหน่วงที่สุดในชีวิต เหล่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องพบกับการทดลองและความทุกข์ยากลำบาก แต่เขาควรยอมรับในสิ่งเหล่านั้นด้วยจิตใจที่ร่าเริง และจงจดจำไว้ว่าสำหรับทุกคนที่โลกมองข้ามที่จะจัดหาให้ พระเจ้าจะทรงโปรดประทานสิ่งชดเชยให้แก่เขาโดยครบถ้วนบริบูรณ์ {MH 199.3}
It is when we come into difficult places that He reveals His power and wisdom in answer to humble prayer. Have confidence in Him as a prayer-hearing, prayer-answering God. He will reveal Himself to you as One who can help in every emergency. He who created man, who gave him his wonderful physical, mental, and spiritual faculties, will not withhold that which is necessary to sustain the life He has given. He who has given us His word–the leaves of the tree of life– will not withhold from us a knowledge of how to provide food for His needy children. {MH 199.4}
เมื่อยามที่เราต้องประสบกับความทุกข์ยาก พระองค์ก็จะทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจและพระปัญญาของพระองค์ในการตอบคำอธิษฐานแก่ผู้ที่มีใจถ่อม จงวางใจในพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้สดับฟังและทรงตอบคำอธิษฐาน พระองค์จะทรงสำแดงพระองค์ให้ท่านเห็นว่าทรงเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือท่านในทุกๆ วิกฤต พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ ผู้ประทานกำลังกาย กำลังสติปัญญาตลอดจนอำนาจฝ่ายจิตวิญญาณที่แสนวิเศษให้แก่เขานั้น ย่อมจะมิทรงสงวนสิ่งใดที่จำเป็นในการรักษาชีวิตที่พระองค์ได้ประทานให้แก่เรา พระองค์ผู้ประทานพระวจนะของพระองค์ซึ่งเป็นดุจใบของต้นไม้แห่งชีวิต จะทรงไม่สงวนวิชาความรู้ในวิธีการจัดหาอาหารสำหรับบุตรผู้ขัดสนยากไร้ของพระองค์ {MH 199.4}
How can wisdom be obtained by him who holds the plow and drives the oxen? By seeking her as silver, and searching for her as for hid treasure. “For his God doth instruct him to discretion, and doth teach him.” Isaiah 28:26. “This also cometh forth from Jehovah of hosts, who is wonderful in counsel, and excellent in wisdom.” Verse 29, A.R.V. {MH 199.5}
ผู้ที่จับคันไถและไล่ต้อนโคให้ไถนาจะได้มาซึ่งสติปัญญาได้อย่างไร ก็โดยการแสวงหาสติปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างการหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ “เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนเขา ถูกต้อง พระเจ้าของเขาได้สอนเขา” อิสยาห์ 28:26 “เรื่องนี้มาจากพระเจ้าจอมโยธาด้วย พระองค์อัศจรรย์นักในการปรึกษา และวิเศษในเรื่องสติปัญญา” อิสยาห์ 28:29 {MH 199.5}
He who taught Adam and Eve in Eden how to tend the garden, desires to instruct men today. There is wisdom for him who drives the plow and sows the seed. Before those who trust and obey Him, God will open ways of advance. Let them move forward courageously, trusting in Him to supply their needs according to the riches of His goodness. {MH 200.1}
พระองค์ผู้ทรงสอนอาดัมและเอวาให้รู้จักบำรุงรักษาสวนเอเดน ทรงมีพระประสงค์ที่จะสอนมนุษย์เราในทุกวันนี้ ยังคงมีสติปัญญาสำหรับผู้ที่หว่านเมล็ดพืชและคราดไถ พระเจ้าจะทรงเปิดหนทางให้แก่คนทั้งหลายที่ไว้วางใจและเชื่อฟังพระองค์ให้มีความเจริญก้าวหน้า ให้เขาได้ก้าวต่อไปด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง และไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงจัดหาสิ่งจำเป็นของเขาตามพระกรุณาคุณอันอุดมของพระองค์ {MH 200.1}
He who fed the multitude with five loaves and two small fishes is able today to give us the fruit of our labor. He who said to the fishers of Galilee, “Let down your nets for a draft,” and who, as they obeyed, filled their nets till they broke, desires His people to see in this an evidence of what He will do for them today. The God who in the wilderness gave the children of Israel manna from heaven still lives and reigns. He will guide His people and give skill and understanding in the work they are called to do. He will give wisdom to those who strive to do their duty conscientiously and intelligently. He who owns the world is rich in resources, and will bless everyone who is seeking to bless others. {MH 200.2}
พระองค์ผู้ทรงเลี้ยงฝูงชนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาเล็ก ๆ สองตัวทรงสามารถให้การงานที่เราได้กระทำนั้นบังเกิดผล พระองค์ผู้ตรัสกับชาวประมงแห่งแคว้นกาลิลีว่า “จงหย่อนอวนลงจับปลา” และเมื่อเขาได้ทำตามพระดำรัสสั่งแล้ว ทรงให้ปลาเข้ามาเต็มจนอวนนั้นขาด พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ประชากรของพระองค์เห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า พระองค์จะทรงกระทำสิ่งใดให้แก่พวกเขาทั้งหลายได้บ้างในทุกวันนี้ พระเจ้าผู้ประทานมานาจากสวรรค์เพื่อเลี้ยงดูพวกอิสราเอลในดินแดนกันดารนั้นยังทรงดำรงพระชนม์และปกครองเขาทั้งหลายอยู่ พระองค์จะทรงนำประชากรของพระองค์และโปรดให้เขามีความสามารถและความเข้าใจในกิจการที่พระองค์ได้ทรงเรียกเขาให้กระทำ พระองค์จะประทานสติปัญญาให้แก่คนทั้งหลายที่มีความพยายามในการปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างมีสติและชาญฉลาด พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของพิภพโลก ทรงมั่งคั่งในทรัพยากร และจะทรงอำนวยพรให้แก่ทุกคนที่พยายามแสวงพระพรให้แก่ผู้อื่น {MH 200.2}
We need to look heavenward in faith. We are not to be discouraged because of apparent failure, nor should we be disheartened by delay. We should work cheerfully, hopefully, gratefully, believing that the earth holds in her bosom rich treasures for the faithful worker to garner, stores richer than gold or silver. The mountains and hills are changing; the earth is waxing old like a garment; but the blessing of God, which spreads for His people a table in the wilderness, will never cease. {MH 200.3}
เราควรที่จะเงยหน้าดูสวรรค์ด้วยความเชื่อ เราไม่ควรที่จะมีความท้อถอยเพราะความล้มเหลวที่ปรากฏ หรือหมดกำลังใจเพราะความล่าช้า เราควรทำงานด้วยจิตใจที่ร่าเริง ด้วยความหวัง และด้วยความซาบซึ้งในพระคุณโดยเชื่อว่าโลกนี้ยังคงสะสมสมบัติอันอุดมสมบูรณ์ไว้เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ คลังสมบัติที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำหรือเงิน ภูเขาและเนินเขาจะเปลี่ยนแปลงไป แผ่นดินโลกจะเก่าลงเหมือนกับอาภรณ์ แต่พระพรของพระเจ้าที่ประทานให้กับประชากรของพระองค์ในถิ่นทุรกันดารอย่างถ้วนทั่วนั้นจะยังไม่หมดสิ้น {MH 200.3}