Chapter 36 (บทที่ 36)
“Danger in Speculative Knowledge”
“ภัยอันตรายของความรู้ในเชิงทฤษฎีแบบวิทยาศาสตร์”

One of the greatest evils that attends the quest for knowledge, the investigations of science, is the disposition to exalt human reasoning above its true value and its proper sphere. Many attempt to judge of the Creator and His works by their own imperfect knowledge of science. They endeavor to determine the nature and attributes and prerogatives of God, and indulge in speculative theories concerning the Infinite One. Those who engage in this line of study are treading upon forbidden ground. Their research will yield no valuable results and can be pursued only at the peril of the soul. {MH 427.1}

ความเลวที่ชั่วร้ายที่สุดอย่างหนึ่งที่มากับการแสวงหาความรู้ด้วยการสืบสวนเสาะหาคำตอบโดยทางวิทยาศาสตร์ ก็คืออารมณ์โน้มเอียงต้องการยกย่องเหตุผลตามวิสัยของมนุษย์ที่ให้คุณค่าเกินความจริงและขอบเขตของความรู้ที่ถูกต้อง นักวิทยาศาสตร์มากมายพยายามวินิจฉัยเรื่องของพระผู้สร้างและพระหัตถกิจของพระองค์ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่ขาดตกบกพร่องของตน เขาทั้งหลายพยายามตัดสินและกำหนดสภาพ พระลักษณะและพระราชอำนาจของพระเจ้า โดยหมกมุ่นอยู่กับทฤษฎีต่างๆที่คาดเดากันเองเกี่ยวกับผู้ทรงฤทธานุภาพนิจนิรันดร คนเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ต่างกำลังล่วงล้ำเข้าไปสู่เขตแดนที่มิได้รับอนุญาต การวิจัยค้นคว้าของคนเหล่านั้นจะไม่ก่อเกิดผลที่มีคุณค่าและความหมายประการใด แต่จะเป็นผลทำให้จิตวิญญาณตกอยู่ในอันตรายหายนะ {MH 427.1}

Our first parents were led into sin through indulging a desire for knowledge that God had withheld from them. In seeking to gain this knowledge, they lost all that was worth possessing. If Adam and Eve had never touched the forbidden tree, God would have imparted to them knowledge– knowledge upon which rested no curse of sin, knowledge that would have brought them everlasting joy. All that they gained by listening to the tempter was an acquaintance with sin and its results. By their disobedience, humanity was estranged from God and the earth was separated from heaven. {MH 427.2}

บิดามารดาคู่แรกของเราถูกชักจูงให้กระทำความผิดบาปโดยปล่อยตัวให้กับความอยากจะรู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงปิดบังไว้ ในการเสาะแสวงหาความรู้นี้ พวกเขาต้องสูญเสียทุกสิ่งที่มีค่าในชีวิตไป หากอาดัมและเอวาไม่ไปแตะต้องต้นไม้ที่ตรัสห้ามไว้ พระเจ้าคงจะทรงถ่ายทอดความรู้ให้กับเขาทั้งสอง ความรู้ที่ไม่ผูกมัดด้วยโทษของความผิดบาป ความรู้ที่นำความสุขเกษมศานต์มาสู่พวกเขาไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์ สิ่งทั้งหมดที่เขาทั้งสองได้มาจากการฟังคำของผู้ทดลองก็คือความผิดบาปและผลลัพท์ต่าง ๆ ที่ตามมา เพราะเหตุที่เขาทั้งสองไม่เชื่อฟัง มนุษย์จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้าและแผ่นดินโลกได้ถูกแยกออกจากสวรรค์ {MH 427.2}

The lesson is for us. The field into which Satan led our first parents is the same to which he is alluring men today. He is flooding the world with pleasing fables. By every device at his command he tempts men to speculate in regard to God. Thus he seeks to prevent them from obtaining that knowledge of God which is salvation. {MH 428.1}

บทเรียนนี้มีไว้สำหรับเราด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ซาตานกำลังล่อลวงมนุษย์ให้หลงกระทำผิดด้วยวิธีการเช่นเดียวกับที่ล่อลวงบิดามารดาคู่แรกของเรามาแล้ว มันกำลังกรอกหูชาวโลกด้วยนิทานสอนเด็กที่ชวนฟัง ด้วยทุกอุบายแผนการที่สั่งการได้ มันลวงมนุษย์ให้สงสัยในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้า ทั้งนี้เพื่อขัดขวางไม่ให้มนุษย์ได้รับความรู้ของพระเจ้าซึ่งนำไปสู่ความรอด {MH 428.1}

Pantheistic Theories Today there are coming into educational institutions and into the churches everywhere spiritualistic teachings that undermine faith in God and in His word. The theory that God is an essence pervading all nature is received by many who profess to believe the Scriptures; but, however beautifully clothed, this theory is a most dangerous deception. It misrepresents God and is a dishonor to His greatness and majesty. And it surely tends not only to mislead, but to debase men. Darkness is its element, sensuality its sphere. The result of accepting it is separation from God. And to fallen human nature this means ruin. {MH 428.2}

ทฤษฎีสรรพเทวนิยม ทุกวันนี้ มีหลักคำสอนฝ่ายจิตวิญญาณแทรกซึมเข้ามายังสถาบันการศึกษาและคริสตจักรในทั่วทุกแห่งหนซึ่งบั่นทอนความเชื่อในพระเจ้าและในพระวจนะของพระองค์ หลักคำสอนนี้เป็นทฤษฎีที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นจิตวิญญาณที่ครอบคลุมทุกสิ่งในธรรมชาติซึ่งหลายคนที่แสดงตนว่ามีความเชื่อในพระคัมภีร์ ต่างยอมรับในทฤษฎีนี้ แต่ไม่ว่าจะถูกตกแต่งไว้ให้งดงามมากสักเพียงใด หลักคำสอนนี้ก็ยังคงเป็นการหลอกลวงตบตาที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นการบิดเบือนความจริงที่เกี่ยวกับพระเจ้าและเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นพระเกียรติยศ ความยิ่งใหญ่และความสูงส่งของพระองค์ หลักคำสอนนี้ไม่ได้เพียงแต่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดเท่านั้น แต่ยังทำให้มนุษย์ต้องเสื่อมทรามลง ธาตุแท้ของมันคือการปิดบังความจริงและขอบข่ายของมันคือการมักมากในกาม ผลของการยอมรับในหลักคำสอนนี้ ทำให้มนุษย์ถูกแยกจากพระเจ้าและสภาพความเสื่อมทรามของมนุษย์คือความหายนะในที่สุด {MH 428.2}

Our condition through sin is unnatural, and the power that restores us must be supernatural, else it has no value. There is but one power that can break the hold of evil from the hearts of men, and that is the power of God in Jesus Christ. Only through the blood of the Crucified One is there cleansing from sin. His grace alone can enable us to resist and subdue the tendencies of our fallen nature. The spiritualistic theories concerning God make His grace of no effect. If God is an essence pervading all nature, then He dwells in all men; and in order to attain holiness, man has only to develop the power within him. {MH 428.3}

สภาพของมนุษย์ที่เกิดจากความผิดบาปนั้นเป็นสภาพที่ผิดธรรมชาติ และอำนาจที่จะฟื้นฟูเราได้นั้นต้องเป็นอำนาจที่เหนือธรรมชาติ มิฉะนั้นแล้ว อำนาจนั้นก็ไม่มีค่า มีอำนาจอยู่เพียงอำนาจเดียว ที่สามารถจะกำจัดพันธนาการแห่งความชั่วร้ายออกไปจากจิตใจของมนุษย์ได้ ก็คือ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนเท่านั้น ที่สามารถชำระล้างความผิดบาปของมนุษย์ได้ พระคุณของพระองค์เพียงประการเดียว ที่จะช่วยให้เราสามารถต้านทานและเอาชนะแรงจูงใจที่ชั่วร้ายของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราได้ คำสอนฝ่ายจิตวิญญาณที่เกี่ยวกับพระเจ้านี้ ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น หากพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณที่ครอบคลุมอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ พระองค์ก็สถิตอยู่ในมนุษย์ทุกๆคนด้วยเช่นกัน การที่มนุษย์จะก้าวไปให้ถึงความบริสุทธิ์ เขาก็เพียงแต่จะต้องพัฒนากำลังอำนาจที่มีอยู่ภายในตัวเองเท่านั้น โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาในพระคุณของพระเจ้าแต่ประการใด {MH 428.3}

These theories, followed to their logical conclusion, sweep away the whole Christian economy. They do away with the necessity for the atonement and make man his own savior. These theories regarding God make His word of no effect, and those who accept them are in great danger of being led finally to look upon the whole Bible as a fiction. They may regard virtue as better than vice; but, having shut out God from His rightful position of sovereignty, they place their dependence upon human power, which, without God, is worthless. The unaided human will has no real power to resist and overcome evil. The defenses of the soul are broken down. Man has no barrier against sin. When once the restraints of God’s word and His Spirit are rejected, we know not to what depths one may sink. “Every word of God is pure: He is a shield unto them that put their trust in Him. Add thou not unto His words, Lest He reprove thee, and thou be found a liar.” “His own iniquities shall take the wicked himself, And he shall be holden with the cords of his sins.” Proverbs 30:5, 6; 5:22. {MH 428.4}

ทฤษฏีเหล่านี้เมื่อติดตามศึกษาเหตุผลไปจนถึงที่สุดจะยกเลิกกำจัดหลักคำสอนของคริสเตียนไปจนหมดสิ้น ทฤษฏีเหล่านี้ลบล้างความจำเป็นของเรื่องการชำระมลทินบาปออกไปแล้วยกชูมนุษย์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตนเอง ทฤษฎีเหล่านี้ที่เกี่ยวกับพระเจ้าทำให้พระวจนะของพระองค์ไม่บังเกิดผล และผู้ที่ยอมรับในทฤษฎีเหล่านี้ ต้องตกอยู่ในอันตรายด้วยการถูกชักนำให้เห็นว่าพระคัมภีร์นั้นเป็นเรื่องแต่งขึ้น เขาทั้งหลายอาจเห็นว่าคุณงามความดีนั้น มีคุณค่าสูงส่งกว่าความชั่วร้าย แต่เนื่องจากได้ปฏิเสธพระเจ้าจากพระราชอำนาจสูงสุดโดยชอบธรรมของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงพึ่งพาในกำลังอำนาจของมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งหากปราศจากพระเจ้าเสียแล้ว อำนาจของมนุษย์จะไร้ค่า ความตั้งใจของมนุษย์ที่ไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าคอยช่วยเหลือ ย่อมไม่มีกำลังอำนาจที่แท้จริงไปต้านทานและเอาชนะเหนือความชั่วร้ายได้ เกราะป้องกันที่ช่วยคุ้มครองจิตวิญญาณพังทลายไป มนุษย์ไม่เหลือสิ่งใดที่จะคอยขวางกั้นมิให้เขาต้องตกอยู่ในความผิดบาป เมื่อพวกเขาปฏิเสธพระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามนุษย์จะต้องจมดิ่งถลำลึกลงไปสักเพียงใด “พระวจนะทุกคำของพระเจ้านั้นก็บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นโล่แก่บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ อย่าเพิ่มอะไรเข้ากับพระวจนะของพระองค์ เกรงว่าพระองค์จะทรงขนาบเจ้าและเขาจะเห็นว่าเจ้าเป็นคนมุสา” “บาปชั่วของคนชั่วร้ายดักเขาเอง และเขาก็ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา” สุภาษิต 30:5, 6; 5:22 {MH 428.4}

Searching Into Divine Mysteries “The secret things belong unto the Lord our God: but those things which are revealed belong unto us and to our children forever.” Deuteronomy 29:29. The revelation of Himself that God has given in His word is for our study. This we may seek to understand. But beyond this we are not to penetrate. The highest intellect may tax itself until it is wearied out in conjectures regarding the nature of God, but the effort will be fruitless. This problem has not been given us to solve. No human mind can comprehend God. None are to indulge in speculation regarding His nature. Here silence is eloquence. The Omniscient One is above discussion. {MH 429.1}

การค้นคว้าเพื่อให้ทราบถึงความลึกลับของพระเจ้า “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัตินี้” เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 (THSV) พระวจะของพระเจ้าที่ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏนั้น มีไว้เพื่อให้เราเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถจะแสวงหาเพื่อความเข้าใจ แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนี้ เราต้องไม่ถือสิทธิเข้าไปล่วงล้ำ ผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศที่สุด แม้ต้องใช้ความพยายามจนเหนื่อยล้าก็มิอาจที่จะหยั่งรู้ถึงสภาพของพระเจ้าได้อย่างหมดสิ้น และความพยายามก็ไร้ผล ปริศนานี้ไม่ใช่มีไว้ให้มนุษย์หาคำตอบ ไม่มีสมองของมนุษย์คนใดจะเข้าใจถึงพระเจ้าได้ในทุกประการ เป็นการเปล่าประโยชน์ที่มนุษย์จะวุ่นวายอยู่กับการคาดเดาถึงลักษณะของพระเจ้า การนิ่งเงียบโดยเก็บความลึกลับของพระเจ้าไว้ในจิตใจของเราแทน ย่อมอธิบายถึงพระองค์ได้เหมาะสมกว่า พระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูทรงอยู่เหนือคำอภิปรายใดๆ {MH 429.1}

Even the angels were not permitted to share the counsels between the Father and the Son when the plan of salvation was laid. And human beings are not to intrude into the secrets of the Most High. We are as ignorant of God as little children; but, as little children, we may love and obey Him. Instead of speculating in regard to His nature or His prerogatives, let us give heed to the words He has spoken: “Canst thou by searching find out God? Canst thou find out the Almighty unto perfection? It is as high as heaven; what canst thou do? Deeper than hell; what canst thou know? The measure thereof is longer than the earth, And broader than the sea.” “Where shall wisdom be found? And where is the place of understanding? Man knoweth not the price thereof; Neither is it found in the land of the living. The depth saith, It is not in me: And the sea saith, It is not with me. It cannot be gotten for gold, Neither shall silver be weighed for the price thereof. It cannot be valued with the gold of Ophir, With the precious onyx, or the sapphire. The gold and the crystal cannot equal it: And the exchange of it shall not be for jewels of fine gold. No mention shall be made of coral, or of pearls: For the price of wisdom is above rubies. The topaz of Ethiopia shall not equal it, Neither shall it be valued with pure gold. Whence then cometh wisdom? And where is the place of understanding? . . . Destruction and death say, We have heard the fame thereof with our ears. God understandeth the way thereof, And He knoweth the place of thereof. “For He looketh to the ends of the earth, And seeth under the whole heaven. . . . When He made a decree for the rain, And a way for the lightning of the thunder: Then did He see it, and declare it; He prepared it, yea, and searched it out. And unto man He said, Behold, the fear of the Lord, that is wisdom; And to depart from evil is understanding.” Job 11:7-9; 28:12-28. {MH 429.2}

แม้แต่เหล่าทูตสวรรค์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือระหว่างพระบิดาและพระบุตร เมื่อครั้นที่พระองค์ทรงกำหนดแผนการแห่งการช่วยให้รอด ดังนั้น มนุษย์จึงไม่ควรเข้าไปล่วงล้ำในสิ่งที่เป็นความลับขององค์ผู้สูงสุด เรายังมีความไม่เข้าใจอีกมากมายในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าเหมือนดังเช่นเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่ประสีประสาในสิ่งใด แต่เราจะรักและเชื่อฟังพระองค์เหมือนดังเช่นเด็กๆ ได้ แทนที่เราจะพยายามคาดเดาถึงลักษณะหรือพระราชอำนาจของพระองค์ เราควรเชื่อฟังพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ท่านจะหยั่งรู้สภาพของพระเจ้าได้หรือ ท่านหยั่งรู้องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดหรือ นั่นสูงกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้ ลึกกว่าแดนคนตาย ท่านจะทราบอะไรได้ วัดดูก็ยาวกว่าโลก และกว้างกว่าทะเล” “แต่จะพบพระปัญญาที่ไหน และที่ของความเข้าใจอยู่ที่ไหน มนุษย์ไม่รู้จักค่าของพระปัญญา และในแผ่นดินของคนเป็นก็หาไม่พบ บาดาลพูดว่า ที่ข้าไม่มี และทะเลกล่าวว่า ไม่อยู่กับข้า จะเอาทองคำซื้อก็ไม่ได้ และจะชั่งเงินให้ตามราคาก็ไม่ได้ จะตีราคาเป็นทองคำโอฟีร์ก็ไม่ได้ หรือเป็นโกเมนหรือแก้วไพฑูรย์ประเสริฐก็ไม่ได้ จะเทียบเท่าทองคำและแก้วก็ไม่ได้ หรือจะแลกกับเครื่องทองคำนพคุณก็ไม่ได้ อย่าเอ่ยถึงปะการังและแก้วผลึกเลย ค่าของพระปัญญาสูงกว่ามุกดา บุษราคัมน้ำอ่อนแห่งเมืองเอธิโอเปีย ก็เปรียบกับพระปัญญาไม่ได้ หรือจะตีราคาเป็นทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่ได้ “ดังนั้นพระปัญญามาจากไหนเล่า และที่ของความเข้าใจอยู่ที่ไหน แดนพินาศและมัจจุราชกล่าวว่า เราได้ยินเสียงลือเรื่องพระปัญญากับหูของเรา พระเจ้าทรงทราบทางไปหาพระปัญญานั้น และพระองค์ทรงทราบที่อยู่ของพระปัญญาด้วย “เพราะพระองค์ทอดพระเนตรไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก และทรงเห็นทุกสิ่งที่ใต้ฟ้าสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงสร้างกฎให้ฝน และสร้างทางไว้ให้แสงแลบของฟ้าผ่า แล้วพระองค์ทอดพระเนตรพระปัญญา และทรงชันสูตร ทรงสถาปนาไว้และทรงวิจัย และพระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า ‘ดูเถิด ความยำเกรงพระเจ้า นั่นแหละคือพระปัญญาและที่จะหันจากความชั่ว คือความเข้าใจ’” โยบ 11:7-9; 28:12-28 {MH 429.2}

Neither by searching the recesses of the earth nor in vain endeavors to penetrate the mysteries of God’s being, is wisdom found. It is found, rather, in humbly receiving the revelation that He has been pleased to give, and in conforming the life to His will. {MH 431.1}

แม้ว่าเราจะค้นหาในทุกซอกทุกมุมของแผ่นดินโลกหรือพยายามอย่างไร้ผลที่จะล่วงล้ำเข้าไปยังความลึกลับของพระเจ้า เราก็มิอาจที่จะพบสติปัญญา เราจะพบสติปัญญาได้ก็ต่อเมื่อเราถ่อมใจยอมรับในสิ่งที่พระเจ้าทรงโปรดสำแดงให้ปรากฏแก่เราตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย และดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น {MH 431.1}

Men of the greatest intellect cannot understand the mysteries of Jehovah as revealed in nature. Divine inspiration asks many questions which the most profound scholar cannot answer. These questions were not asked that we might answer them, but to call our attention to the deep mysteries of God and to teach us that our wisdom is limited; that in the surroundings of our daily life there are many things beyond the comprehension of finite beings. {MH 431.2}

มนุษย์ผู้มีสติปัญญาอันล้ำเลิศที่สุด ก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงความลึกลับที่พระเยโฮวาห์ทรงสำแดงให้ปรากฏในธรรมชาติ พระคัมภีร์อันเป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าได้ถามถึงคำถามมากมายที่ผู้คงแก่เรียนที่มีสติปัญญามากที่สุดก็มิอาจที่จะตอบได้ คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ถามเพื่อที่จะให้เราตอบ แต่เพื่อให้เราสนใจต่อความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและเพื่อที่จะสอนให้เรารู้ว่าสติปัญญาของเรานั้นมีขอบเขตที่จำกัดเพียงไร แม้แต่สิ่งรอบข้างในชีวิตประจำวันของเรา ก็มีอยู่หลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ผู้มีขีดจำกัดมิอาจที่จะเข้าใจได้ {MH 431.2}

Skeptics refuse to believe in God because they cannot comprehend the infinite power by which He reveals Himself. But God is to be acknowledged as much from what He does not reveal of Himself, as from that which is open to our limited comprehension. Both in divine revelation and in nature, God has given mysteries to command our faith. This must be so. We may be ever searching, ever inquiring, ever learning, and yet there is an infinity beyond. “Who hath measured the waters in the hollow of His hand, And meted out heaven with the span, And comprehend the dust of the earth in a measure, And weighed the mountains in scales, And the hills in a balance? Who hath directed the Spirit of Jehovah, Or being His counselor hath taught Him? . . . Behold, the nations are as a drop of a bucket, And are accounted as the small dust of the balance: Behold, He taketh up the isles as a very little thing. And Lebanon is not sufficient to burn, Nor the beasts thereof sufficient for a burnt offering. All the nations are as nothing before Him; They are accounted by Him as less than nothing, and vanity. “To whom then will ye liken God? Or what likeness will ye compare unto Him? . . . Have ye not known? Have ye not heard? Hath it not been told you from the beginning? Have ye not understood from the foundations of the earth? It is He that sitteth above the circle of the earth, And the inhabitants thereof are as grasshoppers; That stretcheth out the heavens as a curtain, And spreadeth them out as a tent to dwell in. . . . To whom then will ye liken Me? . . . Saith the Holy One. Lift up your eyes on high, And see who hath created these, That bringeth out their host by number; He calleth them all by name; By the greatness of His might, and for that He is strong in power, Not one is lacking. “Why sayest thou, O Jacob, and speakest, O Israel, My way is hid from Jehovah, And the justice due to me is passed away from my God? Hast thou not known? Hast thou not heard? The everlasting God, Jehovah, The Creator of the ends of the earth, Fainteth not, neither is weary; There is no searching of His understanding.” Isaiah 40:12-28, A.R.V. {MH 431.3}

ผู้ที่มีความสงสัยไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่อาจเข้าใจถึงฤทธานุภาพอันไม่จำกัดของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสำแดงโดยพระองค์เอง แต่มนุษย์ต้องยอมรับในพระเจ้าจากสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ทรงสำแดงเท่าๆกับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยให้แก่ความเข้าใจอันมีขีดจำกัดของเรา ทั้งในการทรงสำแดงพระองค์เองและในสิ่งต่างๆตามธรรมชาติ พระเจ้าประทานความเร้นลับเกิดขึ้นเพื่อกำกับความเชื่อของเรา ซึ่งจะต้องเป็นเช่นนี้ เราอาจจะต้องค้นคว้าแสวงหาอยู่เรื่อยไป ตั้งคำถามต่อไปและเรียนรู้อยู่เสมอไปและกระนั้นก็ตาม สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่มีวันสิ้นสุด “ผู้ใดได้เคยตวงน้ำทั้งสิ้นด้วยอุ้งมือของตน และวัดฟ้าสวรรค์ด้วยคืบเดียว บรรจุผงคลีของแผ่นดินโลกไว้ในถังเดียว และชั่งภูเขาในตาชั่ง และชั่งเนินด้วยตราชู ผู้ใดได้ให้กำหนดแก่พระวิญญาณของพระเจ้า หรือเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ให้คำแนะนำแก่พระองค์…….. ดูเถิด บรรดาประชาชาติก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งจากถัง และนับว่าเหมือนผงบนตาชั่ง ดูเถิด พระองค์ทรงหยิบเกาะทั้งหลายขึ้นมาเหมือนผงคลี เลบานอนไม่พอเป็นฟืน และสัตว์ของป่านั้นก็ไม่พอเป็นเครื่องเผาบูชา ต่อพระองค์บรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ก็เหมือนไม่มีอะไรเลย พระองค์ทรงนับว่าเขาน้อยยิ่งกว่าศูนย์และศูนยภาพ “ท่านจะเปรียบพระเจ้าเหมือนผู้ใด หรือเปรียบพระองค์คล้ายกับอะไร ท่านทั้งหลายไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ ไม่มีผู้ใดบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วหรือ ท่านไม่เข้าใจรากฐานของแผ่นดินโลกหรือ คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เหมือนอย่างตั๊กแตนโม ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางออกเหมือนเต็นท์ที่อาศัย……… เจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใดเล่า……….. องค์บริสุทธิ์ตรัสว่า จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมด โดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็ง จึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว “โอ โอ ยาโคบเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงว่า โอ อิสราเอลเอ๋ย ทำไมจึงพูดว่า ทางของข้าพเจ้าปิดบังไว้จากพระเจ้า และความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าพเจ้านั้น ก็ผ่านพระเจ้าของข้าพเจ้าไปเสีย ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้” อิสยาห์ 40:12-28 {MH 431.3}

From the representations given by the Holy Spirit to His prophets, let us learn the greatness of our God. The prophet Isaiah writes: {MH 432.1}

จากสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานแก่บรรดาผู้เผยพระวจนะ ขอให้เราเรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เขียนไว้ว่า {MH 432.1}

“In the year that King Uzziah died I saw the Lord sitting upon a throne, high and lifted up; and His train filled the temple. Above Him stood the seraphim: each one had six wings; with twain he covered his face, and with twain he covered his feet, and with twain he did fly. And one cried unto another, and said, Holy, holy, holy, is Jehovah of hosts: the whole earth is full of His glory. And the foundations of the thresholds shook at the voice of him that cried, and the house was filled with smoke. {MH 432.2}

“ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับ ณ พระที่นั่งสูงและเทิดทูนขึ้น และชายฉลองพระองค์ของพระองค์เต็มพระวิหาร เหนือพระองค์มีเสราฟิมยืนอยู่ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า และสองปีกคลุมเท้า และด้วยสองปีกบินไป ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์ และรากฐานของธรณีประตูทั้งหลาย ก็สั่นสะเทือนด้วยเสียงของผู้ร้อง และพระนิเวศก็มีควันเต็มไปหมด {MH 432.2}

“Then said I, Woe is me! for I am undone; because I am a man of unclean lips, and I dwell in the midst of a people of unclean lips: for mine eyes have seen the King, Jehovah of hosts. {MH 433.1}

“และข้าพเจ้าว่า วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด และข้าพเจ้าอยู่ในหมู่ชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือพระเจ้าจอมโยธา {MH 433.1}

“Then flew one of the seraphim unto me, having a live coal in his hand, which he had taken with the tongs from off the altar: and he touched my mouth with it, and said, Lo, this hath touched thy lips; and thine iniquity is taken away, and thy sin expiated.” Isaiah 6:1-7, A.R.V., margin. “There is none like unto Thee, O Lord; Thou art great, And Thy name is great in might. Who would not fear Thee, O King of nations?” “O Lord, Thou hast searched me, and known me. Thou knowest my downsitting and mine uprising, Thou understandest my thought afar off. Thou compassest my path and my lying down, And art acquainted with all my ways. For there is not a word in my tongue, But, lo, O Lord, Thou knowest it altogether. Thou hast beset my behind and before, And laid Thine hand upon me. Such knowledge is too wonderful for me; It is high, I cannot attain unto it.” Jeremiah 10:6, 7; Psalm 139:1-6. {MH 433.2}

“แล้วตนหนึ่งในเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิง ซึ่งเขาเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา และเขาถูกต้องปากของข้าพเจ้าพูดว่า ดูเถิด สิ่งนี้ได้ถูกต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว กรรมชั่วของเจ้าก็ถูกยกเสีย และเจ้าก็จะรับการลบมลทินบาป” อิสยาห์ 6:1-7 “ข้าแต่พระเจ้า หามีผู้ใดเหมือนพระองค์ไม่ พระองค์ทรงเป็นใหญ่ และพระนามของพระองค์มีฤทธิ์มาก ข้าแต่พระราชาแห่งบรรดาประชาชาติ ผู้ใดจะไม่ยำเกรงพระองค์” “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์ และทรงรู้จักข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์ ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง” เยเรมีย์ 10:6, 7; สดุดี 139:1-6 {MH 433.2}

“Great is our Lord, and of great power: His understanding is infinite.” Psalm 147:5. {MH 433.3}

“องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราใหญ่ยิ่งและทรงฤทธานุภาพอุดม ความเข้าใจของพระองค์นั้นวัดไม่ได้” สดุดี 147:5 {MH 433.3}

“The ways of man are before the eyes of the Lord, and He pondereth all his goings.” Proverbs 5:21. {MH 433.4}

“เพราะว่าทางของคนก็อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า และพระองค์ทรงเฝ้าดูวิถีทั้งสิ้นของเขา” สุภาษิต 5:21 {MH 433.4}

“He revealeth the deep and secret things: He knoweth what is in the darkness, and the light dwelleth with Him.” Daniel 2:22. {MH 433.5}

“พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้งและลี้ลับ พระองค์ทรงทราบสิ่งที่อยู่ในความมืด และความสว่างก็อยู่กับพระองค์” ดาเนียล 2:22 {MH 433.5}

“Known unto God are all His works from the beginning of the world.” “Who hath known the mind of the Lord? or who hath been His counselor? Or who hath first given to Him, and it shall be recompensed unto him again? For of Him, and through Him, and to Him, are all things: to whom be glory forever.” Acts 15:18; Romans 11:34-36. {MH 433.6}

“องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแจ้งเหตุการณ์เหล่านี้ให้ทราบแต่โบราณกาลได้ตรัสไว้แล้ว” “เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ หรือใครเล่าได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้องประทานตอบแทนให้แก่เขา เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน” กิจการ 15:18; โรม 11:34-36 {MH 433.6}

“Unto the King eternal, immortal, invisible,” “who only hath immortality, dwelling in the light which no man can approach unto; whom no man hath seen, nor can see: to whom be honor and power everlasting.” 1 Timothy 1:17; 6:16. “Shall not His excellency make you afraid? And His dread fall upon you?” “Is not God in the height of heaven? And behold the height of the stars, how high they are!” “Is there any number of His armies? And upon whom doth not His light arise?” “Great things doeth He, which we cannot comprehend. For He saith to the snow, Fall thou on the earth; Likewise to the shower of rain, And to the showers of His mighty rain. He sealeth up the hand of every man, That all men whom He hath made may know it…. He spreadeth abroad the cloud of His lightning: And it is turned round about by His guidance, That they may do whatsoever He commandeth them Upon the face of the habitable world; Whether it be for correction, or for His land, Or for loving-kindness, that He cause it to come. “Hearken unto this:… Stand still, and consider the wondrous works of God. Dost thou know how God layeth His charge upon them, And causeth the lightning of His cloud to shine? Dost thou know the balancings of the clouds, The wondrous works of Him who is perfect in knowledge?… Canst thou with Him spread out the sky, Which is strong as a molten mirror? Teach us what we shall say unto Him; For we cannot set our speech in order by reason of darkness…. And now men cannot look on the light when it is bright in the skies, “When the wind hath passed, and cleared them. Out of the north cometh golden splendor: God hath upon Him terrible majesty. Touching the Almighty, we cannot find Him out: He is excellent in power; And in justice and plenteous righteousness…. Men do therefore fear Him.” “Who is like unto the Lord our God, who dwelleth on high, Who humbleth Himself to behold the things that are in heaven, and in the earth!” “The Lord hath His way in the whirlwind and in the storm, And the clouds are the dust of His feet.” “Great is the Lord, and greatly to be praised; And His greatness is unsearchable. One generation shall praise Thy works to another, And shall declare Thy mighty acts. I will speak of the glorious honor of Thy majesty, And of Thy wondrous works. And men shall speak of the might of Thy terrible acts: And I will declare Thy greatness. They shall abundantly utter the memory of Thy great goodness, And shall sing of Thy righteousness…. “All Thy works shall praise Thee, O Lord; And Thy saints shall bless Thee. They shall speak of the glory of Thy kingdom, And talk of Thy power; To make known to the sons of men His mighty acts, And the glorious majesty of His kingdom. Thy kingdom is an everlasting kingdom, And Thy dominion endureth throughout all generations…. My mouth shall speak the praise of the Lord: And let all flesh bless His holy name for ever and ever.” Job 13:11; 22:12; Job 25:3; 37:5-24, A.R.V., margin; Psalm 113:5, 6; Nahum 1:3; Psalm 145:3-21. {MH 434.1}

“พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน” “พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น” 1 ทิโมธี 1:17; 6:16 “ความโอ่อ่าตระการของพระองค์จะไม่กระทำ ให้ท่านคร้ามกลัว และความครั่นคร้ามต่อพระองค์จะไม่ตกเหนือท่านหรือ” “พระเจ้ามิได้สถิตอยู่ ณ ที่สูงในฟ้าสวรรค์หรือ ดูดาวที่สูงที่สุดเถิด มันสูงจริงๆ” “กองทัพของพระองค์มีจำนวนหรือ ความสว่างของพระองค์มิได้ส่องมาเหนือผู้ใดบ้าง” “พระองค์ทรงกระทำการใหญ่โตซึ่งเราเข้าใจไม่ได้ เพราะพระองค์ตรัสกับหิมะว่า ตกลงบนแผ่นดินซี และในทำนองเดียวกันก็ตรัสกับฝน และกับห่าฝนอันหนักของพระองค์ พระองค์ทรงมัดมือของมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนซึ่งพระองค์ทรงสร้างจะรู้ได้……. พระองค์ทรงกระจายเมฆแห่งฟ้าแลบออกไป มันหันไป ๆ ตามการนำของพระองค์ เพื่อให้สำเร็จกิจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชามัน ที่เหนือผิวพิภพที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการตีสอน หรือเพื่อแผ่นดินของพระองค์ หรือเพื่อความรักมั่นคง พระองค์ทรงกระทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น “ขอฟังข้อนี้……… จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันอัศจรรย์ของพระเจ้า ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับมันอย่างไร และกระทำให้ฟ้าแลบแห่งเมฆของพระองค์มีแสง ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้ ท่านแผ่ฟ้าออกไปอย่างพระองค์ได้หรือ ให้แข็งอย่างคันฉ่องหลอม จงสอนเรามาว่าเราควรจะทูลพระองค์อย่างไร เพราะความมืดเราจึงร่างสำนวนของเราไม่ได้…….. ฝ่ายมนุษย์เพ่งดูแสงสว่างไม่ได้ เมื่อมันสุกใสอยู่ในท้องฟ้า “เมื่อลมผ่านไปกวาดให้กระจ่าง แสงทองส่องมาจากทิศเหนือ พระเจ้าทรงฉลองพระองค์ด้วยความโอ่อ่าตระการ อย่างน่าคร้ามกลัว องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น เราจะค้นพบพระองค์ไม่ได้ พระองค์ใหญ่ยิ่งในเรื่องฤทธานุภาพ ความยุติธรรมและความชอบธรรมอันมากยิ่งพระองค์……. เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์” “ไม่มีพระใดเป็นเหมือนพระเจ้าของเราผู้ประทับบนที่สูง ผู้ทอดพระเนตรลงมาที่ต่ำเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” “พระมรรคาของพระองค์อยู่ในลมบ้าหมูและพายุ และเมฆเป็นผงคลีแห่งพระบาทของพระองค์” “พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือจะหยั่งรู้ คนชั่วอายุหนึ่งจะสรรเสริญพระราชกิจของพระองค์ ให้คนอีกชั่วอายุหนึ่งฟัง และประกาศกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ ข้าพระองค์จะภาวนาถึงสง่าราศี อันรุ่งโรจน์ของความสูงส่งของพระองค์ และถึงพระราชกิจอัศจรรย์ของพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงอานุภาพแห่งกิจการอันน่าเกรงขามของพระองค์ และข้าพระองค์จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาทั้งหลายจะโฆษณาข่าวเลื่องลือถึงคุณ ความดีอันอุดมของพระองค์ออกมา และจะร้องเพลงถึงความชอบธรรมของพระองค์ ……. “ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ จะถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ และธรรมิกชนทั้งสิ้นของพระองค์จะถวาย สาธุการแด่พระองค์ เขาทั้งหลายจะพูดถึงพระสิริแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงฤทธานุภาพของพระองค์ เพื่อให้กิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ และสง่าราศีอันรุ่งโรจน์แห่งราชอาณาจักรของพระองค์ แจ้งแก่บรรดาบุตรของมนุษย์ ราชอาณาจักรของพระองค์เป็นราชอาณาจักรนิรันดร์ และแผ่นดินของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์…….. ปากของข้าพเจ้าจะกล่าวสรรเสริญพระเจ้า และให้บรรดาเนื้อหนังทั้งสิ้นถวายสาธุการ แด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นนิจกาล” โยบ 13:11; 22:12; 25:3; 37:5-24; สดุดี 113:5, 6; นาฮูม 1:3; สดุดี145:3-21 {MH 434.1}

As we learn more and more of what God is, and of what we ourselves are in His sight, we shall fear and tremble before Him. Let men of today take warning from the fate of those who in ancient times presumed to make free with that which God had declared sacred. When the Israelites ventured to open the ark on its return from the land of the Philistines, their irreverent daring was signally punished. {MH 435.1}

เมื่อเราเรียนรู้ถึงพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และเรียนรู้ถึงสภาพของเราเองในสายพระเนตรของพระองค์ เราก็จะมีความยำเกรงและหวาดหวั่นเมื่อเราอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ขอให้มนุษย์ในยุคนี้เข้าใจคำเตือนสติจากเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับคนทั้งหลายในยุคกาลก่อน ที่บังอาจเข้าไปก้าวก่ายต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อชนอิสราเอลบังอาจไปเปิดหีบพันธะสัญญาในขณะที่นำกลับมาจากแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย ความท้าทายอย่างไม่เคารพยำเกรงนี้ได้รับการลงโทษอย่างที่เห็น{MH 435.1}

Again, consider the judgment that fell upon Uzzah. As in David’s reign the ark was being carried to Jerusalem, Uzzah put forth his hand to keep it steady. For presuming to touch the symbol of God’s presence, he was smitten with instant death. {MH 436.1}

อีกครั้งหนึ่ง ให้เราพิจารณาการทรงลงอาญาแก่อุสซาห์ ในรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด หีบพันธะสัญญาถูกนำกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม อุสซาห์เหยียดมือของตนออกไปขยับหีบพันธสัญญาให้เข้าที่ เพราะการขาดความยำเกรงไปแตะต้องหีบพันธสัญญาอันเป็นสัญลักษณ์ถึงการสถิตของพระเจ้า เขาจึงเสียชีวิตที่นั่นในทันที {MH 436.1}

At the burning bush, when Moses, not recognizing God’s presence, turned aside to behold the wonderful sight, the command was given: {MH 436.2}

เมื่อโมเสสเห็นพุ่มไม้ที่ลุกโชนอยู่แต่ไม่เห็นเปลวไฟ โดยที่ไม่ทราบว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นั่น เขาได้เดินเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ พระเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า {MH 436.2}

“Draw not nigh hither: put off thy shoes from off thy feet, for the place whereon thou standest is holy ground…. And Moses hid his face; for he was afraid to look upon God.” Exodus 3:5, 6. {MH 436.3}

“อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์…… โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า” อพยพ 3:5, 6 {MH 436.3}

“And Jacob went out from Beersheba, and went toward Haran. And he lighted upon a certain place, and tarried there all night, because the sun was set; and he took of the stones of that place, and put them for his pillows, and lay down in that place to sleep. {MH 436.4}

“ยาโคบออกจากเมืองเบเออร์เชบาเดินไปยังเมืองฮาราน เขามาถึงที่แห่งหนึ่ง และพักอยู่ที่นั่นในคืนนั้น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ แล้วนอนลงที่นั่น {MH 436.4}

“And he dreamed, and behold a ladder set up on the earth, and the top of it reached to heaven: and behold the angels of God ascending and descending on it. And, behold, the Lord stood above it, and said, {MH 436.5}

“เขาฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลก ยอดถึง ฟ้าสวรรค์ ทูตทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้น พระเจ้าประทับยืนอยู่เหนือบันได และตรัสว่า {MH 436.5}

“I am the Lord God of Abraham thy father, and the God of Isaac: the land whereon thou liest, to thee will I give it, and to thy seed…. And, behold, I am with thee, and will keep thee in all places whither thou goest, and will bring thee again into this land; for I will not leave thee, until I have done that which I have spoken to thee of. {MH 436.6}

“เราคือเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินซึ่งเจ้านอนอยู่นั้นเราจะให้แก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้า………เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดกับเจ้าไว้นั้นแล้ว {MH 436.6}

“And Jacob awaked out of his sleep, and he said, Surely the Lord is in this place; and I knew it not. And he was afraid, and said, How dreadful is this place! this is none other but the house of God, and this is the gate of heaven.” Genesis 28:10-17. {MH 436.7}

“ยาโคบตื่นขึ้นและพูดว่า พระเจ้าสถิต ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่ เขากลัวและพูดว่า สถานที่นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก สถานที่นี้มิใช่อื่นไกลเป็นที่ประทับของพระเจ้า และประตูฟ้าสวรรค์” ปฐมกาล 28:10-17 {MH 436.7}

In the sanctuary of the wilderness tabernacle and of the temple that were the earthly symbols of God’s dwelling place, one apartment was sacred to His presence. The veil inwrought with cherubim at its entrance was not to be lifted by any hand save one. To lift that veil, and intrude unbidden into the sacred mystery of the most holy place, was death. For above the mercy seat dwelt the glory of the Holiest– glory upon which no man might look and live. On the one day of the year appointed for ministry in the most holy place, the high priest with trembling entered God’s presence, while clouds of incense veiled the glory from his sight. Throughout the courts of the temple every sound was hushed. No priests ministered at the altars. The host of worshipers, bowed in silent awe, offered their petitions for God’s mercy. {MH 437.1}

ในสถานบริสุทธิ์ของพลับพลาในถิ่งทุรกันดาร และในสถานบริสุทธิ์ของพระวิหารอันเป็นสัญลักษณ์บนโลกของพระวิหารของพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ มีห้องศักดิ์สิทธิ์สำหรับการประทับของพระองค์ ผ้าม่านที่ทอด้วยภาพของเครูปที่กั้นทางเข้านั้นไม่สมควรถูกเปิดโดยมือของผู้ใดยกเว้นเพียงผู้เดียว การเปิดผ้าม่านแล้วล่วงล้ำเข้าไปยังห้องอภิสุทธิสถานอันศักดิ์สิทธิ์และลึกลับนั้น ย่อมหมายถึงความตาย เพราะเหนือพระที่นั่งกรุณา พระสิริขององค์บริสุทธิ์ที่สุดสถิตอยู่ อันเป็นพระสิริที่ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็นแล้วยังคงมีชีวิตอยู่ ในวันที่ถูกกำหนดไว้เพื่อการปรนนิบัติในห้องอภิสุทธิสถานของรอบปีหนึ่งๆ มหาปุโรหิตจะเข้าไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าด้วยอาการตัวสั่นยำเกรง ในขณะที่ควันของเครื่องหอมลอยขึ้นบดบังพระสิริอันเจิดจ้าจากสายตาของเขา ตลอดทั่วลานวิหาร ทุกๆเสียงต่างนิ่งเงียบ ไม่มีปุโรหิตคนใดปรนนิบัติอยู่ที่แท่นเผาบูชา เหล่าคนทั้งหลายที่มาร่วมนมัสการต่างก้มกราบลงด้วยความยำเกรงอย่างนิ่งสงบ และทูลอ้อนวอนขอให้พระเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อเขาทั้งหลาย {MH 437.1}

“These things happened unto them for ensamples: and they are written for our admonition, upon whom the ends of the world are come.” 1 Corinthians 10:11. “The Lord is in His holy temple: Let all the earth keep silence before Him.” “The Lord reigneth; let the people tremble: He sitteth between the cherubims; let the earth be moved. The Lord is great in Zion; And He is high above all the people. Let them praise Thy great and terrible name; For it is holy.” “The Lord’s throne is in heaven: His eyes behold, His eyelids try, the children of men.” “From the height of His sanctuary” “He hath looked down;” “From the place of His habitation He looketh Upon all the inhabitants of the earth. He fashioneth their hearts alike; He considereth all their works.” “Let all the earth fear the Lord: Let all the inhabitants of the world stand in awe of Him.” Habakkuk 2:20; Psalm 99:1-3; 11:4; 102:19; 33:14, 15, 8. {MH 438.1}

“เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย ซึ่งกำลังประสบวาระสุดท้ายแห่งบรรดายุคเก่า” 1 โครินธ์ 10:11 “แต่พระเจ้าสถิตในพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์ จงให้สิ้นทั้งพิภพอยู่สงบต่อพระพักตร์พระองค์เถิด” “พระเจ้าทรงครอบครอง ให้ชนชาติทั้งหลายตัวสั่น พระองค์ประทับเหนือเครูบ ให้แผ่นดินโลกหวั่นไหว พระเจ้าใหญ่ยิ่งอยู่ในศิโยน พระองค์สูงเด่นอยู่เหนือประชาชาติทั้งปวง ให้เขาสรรเสริญพระนามอันยิ่งใหญ่และน่าคร้ามกลัวของพระองค์ พระองค์ศักดิ์สิทธิ์” “พระที่นั่งของพระเจ้าอยู่บนฟ้าสวรรค์ พระเนตรของพระองค์มองและทดสอบลูกหลานของมนุษย์ “จากที่สูงอันบริสุทธิ์ของพระองค์” “พระองค์ทอดพระเนตรลงมา” “จากที่ซึ่งพระองค์ประทับพระองค์ทอดพระเนตร เหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คือพระองค์ผู้ทรงประดิษฐ์จิตใจของเขาทั้งหลายทุกคน และทรงพิจารณากิจการของเขาทั้งหลายทั้งสิ้น” “ให้แผ่นดินโลกทั้งสิ้นยำเกรงพระเจ้า ให้บรรดาชาวพิภพทั้งปวงยืนตะลึงพรึงเพริดต่อพระองค์” ฮาบากุก 2:20; สดุดี 99:1-3; 11:4; 102:19; 33:14, 15, 8 {MH 438.1}

Man cannot by searching find out God. Let none seek with presumptuous hand to lift the veil that conceals His glory. “Unsearchable are His judgments, and His ways past finding out.” Romans 11:33. It is a proof of His mercy that there is the hiding of His power; for to lift the veil that conceals the divine presence is death. No mortal mind can penetrate the secrecy in which the Mighty One dwells and works. Only that which He sees fit to reveal can we comprehend of Him. Reason must acknowledge an authority superior to itself. Heart and intellect must bow to the great I AM. {MH 438.2}

ด้วยการสืบเสาะค้นหา มนุษย์พบพระเจ้าไม่ได้ ขออย่าให้มีผู้ใดพยายามใช้มือที่อาจเอื้อมเปิดผ้าม่านที่ปิดบังพระสิริของพระองค์ “ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้” โรม11:33 การที่พระเจ้าทรงสงวนฤทธานุภาพของพระองค์ไว้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงพระเมตตาคุณของพระองค์ เพราะการเปิดผ้าม่านที่ซ่อนพระสิริของพระเจ้าคือความตาย ไม่มีสติปัญญาของมนุษย์สามารถหยั่งรู้ถึงความเร้นลับของสถานที่ประทับและพระราชกิจของพระผู้ทรงมหิทฤทธิ์ได้ ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นชอบที่จะเปิดเผยให้รู้เท่านั้นจึงจะเข้าใจถึงพระองค์ เมื่อใช้เหตุและผลใคร่ครวญดูแล้ว มนุษย์ก็จะต้องยอมรับในอำนาจที่เหนือกว่าตัวเขาเอง จิตใจและสติปัญญาต้องน้อมนมัสการ ผู้ทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ {MH 438.2}