Chapter 37 (บทที่ 37)
“The False and the True in Education”
“การศึกษาที่แท้จริงและการศึกษาที่ผิด”
The mastermind in the confederacy of evil is ever working to keep out of sight the words of God, and to bring into view the opinions of men. He means that we shall not hear the voice of God, saying, “This is the way, walk ye in it.” Isaiah 30:21. Through perverted educational processes he is doing his utmost to obscure heaven’s light. {MH 439.1}
ผู้บงการอยู่เบื้องหลังคณะของฝ่ายชั่วร้ายต่างเฝ้าทำงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อปิดบังพระวจนะของพระเจ้าและเพื่อนำความคิดเห็นของมนุษย์เข้ามาแทน ซาตานมีเจตนาไม่ให้เราสดับตรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสว่า “นี่เป็นหนทางจงเดินในทางนี้” อิสยาห์ 30:21 โดยอาศัยระบบการศึกษาที่ผิดๆ ซาตานกำลังทำงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อปิดบังแสงสว่างที่ส่องฉายมาจากสวรรค์ {MH 439.1}
Philosophical speculation and scientific research in which God is not acknowledged are making skeptics of thousands. In the schools of today the conclusions that learned men have reached as the result of their scientific investigations are carefully taught and fully explained; while the impression is distinctly given that if these learned men are correct, the Bible cannot be. Skepticism is attractive to the human mind. The youth see in it an independence that captivates the imagination, and they are deceived. Satan triumphs. He nourishes every seed of doubt that is sown in young hearts. He causes it to grow and bear fruit, and soon a plentiful harvest of infidelity is reaped. {MH 439.2}
การคาดเดาตามหลักปรัชญาและการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ยอมรับในพระเจ้าทำให้คนมากมายเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ในโรงเรียนทุกวันนี้ บรรดาครูอาจารย์ต่างนำผลสรุปต่างๆ ที่ได้มาจากการแสวงค้นคว้าในเชิงวิทยาศาสตร์ของผู้มีการศึกษาสูงมาสอนและอธิบายอย่างละเอียดและเอาใจใส่แก่นักเรียนนักศึกษา โดยมีนัยยะบ่งบอกกับผู้เรียนอย่างชัดเจนว่า หากผลของการค้นคว้าของผู้คงแก่การศึกษาเหล่านี้ถูกต้อง พระคัมภีร์ย่อมไม่ถูก ความเคลือบแคลงสงสัยเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของมนุษย์ คนหนุ่มสาวมองว่าเป็นเสรีภาพของจินตนาการ แล้วเขาทั้งหลายก็ถูกหลอกลวง ซาตานกลายเป็นผู้ชนะ มันคอยบำรุงเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยทุกๆเมล็ดที่หว่านลงไปในจิตใจของคนหนุ่มสาว ทำให้พวกมันเจริญงอกงามและเกิดผล ในไม่ช้าได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความไม่สัตย์ซื่อที่อุดมสมบูรณ์ {MH 439.2}
It is because the human heart is inclined to evil that it is so dangerous to sow the seeds of skepticism in young minds. Whatever weakens faith in God robs the soul of power to resist temptation. It removes the only real safeguard against sin. We are in need of schools where the youth shall be taught that greatness consists in honoring God by revealing His character in daily life. Through His word and His works we need to learn of God, that our lives may fulfill His purpose. {MH 440.1}
เนื่องจากธรรมชาติในจิตใจของมนุษย์ล้วนมีความโน้มเอียงไปในทางที่ชั่วร้าย จึงเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งหากมีการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยลงไปในจิตใจของคนหนุ่มสาว สิ่งใดก็ตามที่ตัดทอนความเชื่อในพระเจ้าก็จะบั่นทอนอำนาจต่อต้านการทดลองของจิตวิญญาณ ทำให้เครื่องป้องกันความผิดบาปเดียวอันแท้จริงที่มีถูกกำจัดทิ้งไป เรามีความจำเป็นต้องการโรงเรียนที่สอนคนหนุ่มสาวให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ในการเทิดทูนพระเจ้าโดยการสำแดงพระลักษณะของพระองค์ให้พวกเขาได้สัมผัสในทุกวัน ด้วยพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ เราจำเป็นต้องเข้าใจในพระองค์ เพื่อนำพาชีวิตของเราบรรลุถึงพระประสงค์ของพระองค์ {MH 440.1}
Infidel Authors In order to obtain an education, many think it essential to study the writings of infidel authors, because these works contain many bright gems of thought. But who was the originator of these gems of thought? It was God, and God only. He is the source of all light. Why then should we wade through the mass of error contained in the works of infidels for the sake of a few intellectual truths, when all truth is at our command. {MH 440.2}
นักประพันธ์ที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า หลายคนคิดว่า การที่จะได้มาซึ่งความรู้นั้น จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนงานเขียนของนักประพันธ์ที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เพราะผลงานเหล่านี้ต่างประกอบด้วยแนวคิดมากมายดั่งอัญมณีที่ส่องแสงอันเจิดจ้า แต่ผู้ใดเล่าที่เป็นผู้กำเนิดแนวของความคิดเหล่านี้ ผู้นั้นคือ พระเจ้า และพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งสติปัญญาและสรรพความรู้ทั้งหลาย ทำไมเราจึงต้องค้นหาความจริงทางปัญญาบางประการจากกองข้อผิดพลาดของคนที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเชียว ในเมื่อความจริงทั้งมวลเปิดเผยไว้ให้เราแล้ว {MH 440.2}
How is it that men who are at war with the government of God come into possession of the wisdom which they sometimes display? Satan himself was educated in the heavenly courts, and he has a knowledge of good as well as of evil. He mingles the precious with the vile, and this is what gives him power to deceive. But because Satan has robed himself in garments of heavenly brightness, shall we receive him as an angel of light? The tempter has his agents, educated according to his methods, inspired by his spirit, and adapted to his work. Shall we co-operate with them? Shall we receive the works of his agents as essential to the acquirement of an education? {MH 440.3}
มนุษย์ผู้ต่อสู้ขัดขืนต่อระบอบการปกครองของพระเจ้ามีสติปัญญาที่เขาเหล่านั้นแสดงออกมาให้เห็นในบางครั้งได้อย่างไร ซาตานเองได้รับการศึกษาเล่าเรียนจากราชสำนักแห่งสวรรค์ และมีความรู้เกี่ยวกับความดีตลอดจนถึงความชั่ว มันผสมผสานสิ่งที่ล้ำค่าเข้ากับสิ่งที่ชั่วร้าย และด้วยวิธีการเช่นนี้ทำให้มันมีอำนาจในการล่อลวง แต่เพราะว่าซาตานห่อหุ้มร่างของมันด้วยอาภรณ์ที่เจิดจ้าจากสวรรค์ เรายังจะต้อนรับมันในฐานะทูตแห่งสติปัญญาได้อย่างไร มารผู้ล่อลวงมีผู้แทนของมันที่ศึกษาเล่าเรียนตามแบบฉบับของมัน ได้รับการดลใจจากวิญญาณร้ายและถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นผู้ที่เหมาะสมในกิจการของมัน เราจะไปร่วมมือกับคนเหล่านั้นหรือ เราจะยอมรับผลงานของผู้แทนของซาตานว่ามีความจำเป็นต่อการศึกษาเล่าเรียนกระนั้นหรือ {MH 440.3}
If the time and effort spent in seeking to grasp the bright ideas of infidels were given to studying the precious things of the word of God, thousands who now sit in darkness and in the shadow of death would be rejoicing in the glory of the Light of life. {MH 440.4}
ถ้าเราใช้เวลาและความพากเพียรในการศึกษาพระวจนะอันล้ำค่าของพระเจ้า แทนที่จะใช้ไปเพื่อแสวงหาความคิดที่เฉิดฉายของผู้ที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ผู้คนมากมายที่กำลังตกอยู่ในความมืดและในเงามฤตยูแห่งความตาย ก็คงจะมีความชื่นชมยินดีในสง่าราศีของพระเจ้าผู้ทรงเป็นแสงสว่างแห่งชีวิต {MH 440.4}
Historical and Theological Lore As a preparation for Christian work, many think it essential to acquire an extensive knowledge of historical and theological writings. They suppose that this knowledge will be an aid to them in teaching the gospel. But their laborious study of the opinions of men tends to the enfeebling of their ministry, rather than to its strengthening. As I see libraries filled with ponderous volumes of historical and theological lore, I think, Why spend money for that which is not bread? The sixth chapter of John tells us more than can be found in such works. Christ says: “I am the Bread of Life: he that cometh to Me shall never hunger; and he that believeth on Me shall never thirst.” “I am the living Bread which came down from heaven: if any man eat of this Bread, he shall live forever.” “He that believeth on Me hath everlasting life.” “The words that I speak unto you, they are spirit, and they are life.” John 6:35, 51, 47, 63. {MH 441.1}
ตำนานประวัติศาสตร์และศาสนา ในการเตรียมพร้อมเพื่อทำงานของคริสเตียน หลายคนคิดว่าจำเป็นต้องหาความรู้ที่ครอบคลุมจากงานเขียนเชิงประวัติศาสตร์และศาสนา คนเหล่านี้คาดหวังว่าความรู้ประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อการประกาศข่าวประเสริฐ แต่ความมานะอุตสาหะในการศึกษาความคิดเห็นของมนุษย์ แทนที่จะสนับสนุนความสามารถ กลับไปบั่นทอนงานรับใช้ของคนเหล่านั้นลงเสียอีก เมื่อข้าพเจ้าเห็นห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือที่เป็นตำนานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศาสนา ข้าพเจ้าสงสัยขึ้นมาว่า เหตุไฉน เราจึงใช้เงินทองซื้อสิ่งที่มิใช่อาหาร พระธรรมยอห์นบทที่หกกล่าวถึงสิ่งที่เป็นความรู้ซึ่งเราไม่อาจหาได้จากงานเขียนเหล่านั้น พระคริสต์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” “เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์” “ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์” “ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต” ยอห์น 6:35, 51, 47, 63 {MH 441.1}
There is a study of history that is not to be condemned. Sacred history was one of the studies in the schools of the prophets. In the record of His dealings with the nations were traced the footsteps of Jehovah. So today we are to consider the dealings of God with the nations of the earth. We are to see in history the fulfillment of prophecy, to study the workings of Providence in the great reformatory movements, and to understand the progress of events in the marshaling of the nations for the final conflict of the great controversy. {MH 441.2}
Such study will give broad, comprehensive views of life. It will help us to understand something of its relations and dependencies, how wonderfully we are bound together in the great brotherhood of society and nations, and to how great an extent the oppression and degradation of one member means loss to all. {MH 442.1}
การศึกษาเล่าเรียนในลักษณะนี้ช่วยให้เราเห็นทรรศนะที่กว้างและละเอียดของภาพแห่งชีวิต ทำให้เราเข้าใจถึงบางสิ่งที่เกี่ยวเนื่องและพึ่งพาซึ่งกันและกัน มันช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์เพียงใดที่เราทั้งหลายถูกผูกพันร่วมกันอยู่ในสังคมและประชาชาติในฐานะพี่น้องซึ่งกันและกัน และผลกระทบช่างรุนแรงปานใดเมื่อการกดขี่ข่มเหงและการล้างผลาญทำลายที่เกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่งหมายถึงการสูญเสียของทุกคน {MH 442.1}
But history, as commonly studied, is concerned with man’s achievements, his victories in battle, his success in attaining power and greatness. God’s agency in the affairs of men is lost sight of. Few study the working out of His purpose in the rise and fall of nations. {MH 442.2}
แต่ประวัติศาสตร์ที่เรียนกันโดยทั่วไปนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จของมนุษย์ ทั้งชัยชนะในสงคราม ความสำเร็จในการครอบครองอำนาจและความยิ่งใหญ่ เราไม่อาจมองเห็นพระราชกิจของพระเจ้าในกิจการของมนุษย์ในตำราประวัติศาสตร์ มีน้อยคนเรียนรู้ถึงการดำเนินไปของพระประสงค์ของพระเจ้าในความเรืองอำนาจและล่มสลายของบรรดาประชาชาติเหล่านั้น {MH 442.2}
And, to a great degree, theology, as studied and taught, is but a record of human speculation, serving only to “darken counsel by words without knowledge.” Too often the motive in accumulating these many books is not so much a desire to obtain food for mind and soul, as it is an ambition to become acquainted with philosophers and theologians, a desire to present Christianity to the people in learned terms and propositions. {MH 442.3}
ศาสนศาสตร์ที่สอนและเรียนกันเป็นเพียงบันทึกความคิดเห็นส่วนตัวของมนุษย์ที่มีประโยชน์เพียง “ให้คำปรึกษาที่มืดมนไปด้วยถ้อยคำที่ปราศจากปัญญา” โยบ 38:2 บ่อยครั้ง ความมุ่งหมายในการสะสมหนังสือเหล่านี้ไว้มากมาย ไม่ใช่เป็นเพราะต้องการที่จะรับอาหารเลี้ยงจิตใจและจิตวิญญาณมากไปกว่าความทะเยอทะยานที่ต้องการรู้จักกับนักปรัชญาและนักศาสนาที่มีชื่อเสียง เป็นความปรารถนาที่จะเสนอเรื่องราวของคริสตศาสนาแก่ประชาชนด้วยถ้อยคำและข้อวินิจฉัยในฐานะของผู้ที่รอบรู้และคงแก่เรียน {MH 442.3}
Not all the books written can serve the purpose of a holy life. “‘Learn of Me’,” said the Great Teacher,” “‘take My yoke upon you,’ learn My meekness and lowliness.” Your intellectual pride will not aid you in communicating with souls that are perishing for want of the bread of life. In your study of these books you are allowing them to take the place of the practical lessons you should be learning from Christ. With the results of this study the people are not fed. Very little of the research which is so wearying to the mind furnishes that which will help one to be a successful laborer for souls. {MH 442.4}
มิใช่หนังสือทุกเล่มที่ถูกเขียนขึ้น จะสอนให้เราได้ดำเนินชีวิตในทางที่บริสุทธิ์ชอบธรรมได้ พระคริสต์ในฐานะพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ตรัสไว้ว่า “เรียนจากเรา เอาแอกของเราแบกไว้ เรียนจากความสุภาพและใจอ่อนน้อมของเรา”มัทธิว 11:29 ความทะนงตัวว่าท่านเป็นผู้ที่มีสติปัญญาและความรู้ จะไม่สามารถช่วยอะไรท่านในการที่จะให้การช่วยเหลือแก่จิตวิญญาณที่กำลังจะถึงซึ่งกับความพินาศเพราะขาดทิพย์อาหารแห่งชีวิต ในการที่ท่านศึกษาเล่าเรียนจากหนังสือเหล่านี้ ท่านกำลังยอมให้หนังสือดังกล่าวเข้าไปแทนที่บทเรียนในเชิงปฏิบัติที่แท้จริงที่ท่านควรจะเรียนรู้จากพระคริสต์ ผลที่ได้รับจากการศึกษาเล่าเรียนนี้ มิได้ช่วยให้มนุษย์ได้รับอาหารที่ช่วยบำรุงเลี้ยงในฝ่ายจิตวิญญาณ แต่เป็นการศึกษาหาความรู้ที่รังแต่จะทำให้ความคิดต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ซึ่งแทบจะไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือให้ใครได้เป็นผู้รับใช้ที่ทำงานเพื่อจิตวิญญาณอย่างบังเกิดผล {MH 442.4}
The Saviour came “to preach the gospel to the poor.” Luke 4:18. In His teaching He used the simplest terms and the plainest symbols. And it is said that “the common people heard Him gladly.” Mark 12:37. Those who are seeking to do His work for this time need a deeper insight into the lessons He has given. {MH 443.1}
พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมา “เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน” ลูกา 4:18 (THSV) ในคำสอนของพระองค์ๆทรงใช้ถ้อยคำที่ง่ายที่สุดและใช้สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่สามารถจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนที่สุด และมีคำกล่าวว่า “ประชาชนฟังพระองค์ด้วยความยินดี” มาระโก 12:37 ผู้ที่ปรารถนาจะได้ปรนนิบัติรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ในเวลานี้ จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงความหมายของบทเรียนที่พระองค์ได้ประทานให้แก่เรา {MH 443.1}
The words of the living God are the highest of all education. Those who minister to the people need to eat of the bread of life. This will give them spiritual strength; then they will be prepared to minister to all classes of people. {MH 443.2}
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เป็นการศึกษาในระดับสูงสุดของบรรดาการศึกษาทั้งปวง คนทั้งหลายที่ปรนนิบัติรับใช้แก่เพื่อนมนุษย์จำเป็นต้องได้รับทิพย์อาหารแห่งชีวิต สิ่งนี้จะช่วยให้เขามีกำลังฝ่ายวิญญาณจิต แล้วเขาทั้งหลายจะมีความพรักพร้อมในการปรนนิบัติรับใช้แก่ผู้คนในทุกชนชั้น {MH 443.2}
The Classics In the colleges and universities thousands of youth devote a large part of the best years of life to the study of Greek and Latin. And while they are engaged in these studies, mind and character are molded by the evil sentiments of pagan literature, the reading of which is generally regarded as an essential part of the study of these languages. {MH 443.3}
วรรณกรรมคลาสสิกของสมัยกรีกโรมัน ในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยหลายแห่ง บรรดานักศึกษาหนุ่มสาวมากมายต่างทุ่มเทช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเป็นเวลาหลายปีกับการศึกษาภาษากรีกและภาษาลาติน และในขณะที่หนุ่มสาวเหล่านี้มุมานะกับการเล่าเรียน จิตใจและอุปนิสัยของเขาทั้งหลายก็ถูกหล่อหลอมให้เป็นไปตามความรู้สึกอันชั่วร้ายแห่งวรรณกรรมของผู้ที่มิได้มีความเชื่อในพระเจ้า โดยทั่วไปแล้ว การอ่านวรรณกรรมเหล่านี้ถือว่าเป็นข้อกำหนดที่สำคัญของการศึกษาเล่าเรียนภาษากรีกและลาติน {MH 443.3}
Those who are conversant with the classics declare that “the Greek tragedies are full of incest, murder, and human sacrifices to lustful and revengeful gods.” Far better would it be for the world were the education gained from such sources to be dispensed with. “Can one go upon hot coals, and his feet not be burned?” Proverbs 6:28. “Who can bring a clean thing out of an unclean? not one.” Job 14:4. Can we then expect the youth to develop Christian character while their education is molded by the teaching of those who set at defiance the principles of the law of God? {MH 443.4}
ผู้ที่มีความรอบรู้เชี่ยวชาญในวรรณกรรมคลาสสิกกล่าวไว้ว่า “เรื่องโศกนาฏกรรมกรีก เต็มไปด้วยการผิดประเวณีระหว่างพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน การฆาตกรรม และการฆ่ามนุษย์เพื่อบูชายัญถวายเทพเจ้าที่มีความมักมากในกามและอาฆาตพยาบาท” โลกจะอยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้อย่างมากมายเพียงใด ถ้าเราละทิ้งการศึกษาเล่าเรียนหนังสือที่มาจากวรรณกรรมเหล่านี้ “ผู้ใดจะเดินบนถ่านที่ลุกโพลง โดยไม่ให้เท้าของเขาถูกไฟลวกได้หรือ” สุภาษิต 6:28 “ใครจะเอาสิ่งสะอาด ออกมาจากสิ่งไม่สะอาดได้ ไม่มีใครสักคน” โยบ 14:4 ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราหวังที่จะให้คนหนุ่มสาวพัฒนาอุปนิสัยตามแบบอย่างของคริสเตียนได้อย่างไร ในเมื่อการศึกษาของพวกเขาถูกหล่อหลอมขึ้นจากคำสั่งสอนของผู้ที่ท้าทายและไม่ยอมรับหลักการตามพระบัญญัติของพระเจ้า {MH 443.4}
In casting off restraint and plunging into reckless amusement, dissipation, and vice, students are but imitating that which is kept before their minds by these studies. There are callings in which a knowledge of Greek and Latin is needed. Some must study these languages. But the knowledge of them essential for practical uses might be gained without a study of literature that is corrupt and corrupting. {MH 444.1}
การที่นักเรียนนักศึกษาละทิ้งในสิ่งที่คอยเหนี่ยวรั้งตัวเองและได้ถลำเข้าไปสู่ความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยขาดสติยั้งคิดรวมทั้งใช้ชีวิตอย่างเสเพลเหลวแหลกอยู่ในความชั่วร้าย นั่นก็เพราะเขาทั้งหลายกำลังเลียนแบบสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในจิตใจจากการศึกษาเล่าเรียนสิ่งเหล่านี้ จริงอยู่ ความรู้เกี่ยวกับภาษากรีกและภาษาลาตินถือว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอยู่บ้าง และบางคนก็จำเป็นที่ต้องศึกษาภาษาเหล่านี้ แต่ความรู้ของภาษาเหล่านี้ที่จำเป็นต่อการนำไปใช้ประโยชน์สามารถหามาได้โดยไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนวรรณกรรมที่เสื่อมทรามและทำให้ผู้อ่านมีอุปนิสัยที่ชั่วร้ายเหล่านี้เลย {MH 444.1}
And a knowledge of Greek and Latin is not needed by many. The study of dead languages should be made secondary to a study of those subjects that teach the right use of all the powers of body and mind. It is folly for students to devote their time to the acquirement of dead languages or of book knowledge in any line, to the neglect of a training for life’s practical duties. {MH 444.2}
หลายคนไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษากรีกและภาษาลาตินแต่อย่างใด การเรียนภาษาที่ตายแล้ว ควรมีความสำคัญรองไปจากวิชาความรู้ที่สอนให้รู้จักใช้พละกำลังทั้งหมดของร่างกายและอำนาจของจิตใจอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งโง่เขลาที่นักเรียนนักศึกษาทุ่มเทเวลามากมายเพื่อได้มาซึ่งภาษาที่ตายแล้วหรือได้รับความรู้มาจากหนังสืออื่นๆ จนละเลยการฝึกฝนอบรมตนเองในหน้าที่เชิงปฏิบัติของชีวิต {MH 444.2}
What do students carry with them when they leave school? Where are they going? What are they to do? Have they the knowledge that will enable them to teach others? Have they been educated to be true fathers and mothers? Can they stand at the head of a family as wise instructors? The only education worthy of the name is that which leads young men and young women to be Christlike, which fits them to bear life’s responsibilities, fits them to stand at the head of their families. Such an education is not to be acquired by a study of heathen classics. {MH 444.3}
นักเรียนนักศึกษาเหล่านั้นนำอะไรติดตัวไปบ้างเมื่อสำเร็จการศึกษา เขาทั้งหลายมุ่งหน้าไปทางใด เขาทั้งหลายจะทำอะไร ความรู้ที่เขาทั้งหลายมีจะสามารถสั่งสอนคนอื่นๆได้หรือไม่ เขาทั้งหลายได้รับการศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่วันหนึ่งจะได้เป็นบิดาและมารดาที่ซื่อสัตย์ได้หรือไม่ เขาทั้งหลายจะอยู่ในฐานะของหัวหน้าครอบครัวที่สามารถให้คำแนะนำที่ฉลาดรอบคอบได้หรือไม่ การศึกษาเดียวที่ควรค่าแก่การเรียกเช่นนั้น คือ การศึกษาที่ช่วยนำคนหนุ่มสาวไปสู่การมีอุปนิสัยที่เป็นเหมือนอย่างพระคริสต์ ซึ่งจะช่วยตระเตรียมเขาทั้งหลายให้เป็นผู้มีความเหมาะสมที่จะแบกรับหน้าที่รับผิดชอบของชีวิตได้และเตรียมเขาทั้งหลายให้พร้อมที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัว การศึกษาเช่นนี้ ไม่ใช่ได้มาจากการศึกษาเล่าเรียนวรรณกรรมคลาสสิกของพวกนอกศาสนา {MH 444.3}
Sensational Literature Many of the popular publications of the day are filled with sensational stories that are educating the youth in wickedness and leading them in the path to perdition. Mere children in years are old in a knowledge of crime. They are incited to evil by the tales they read. In imagination they act over the deeds portrayed, until their ambition is aroused to see what they can do in committing crime and evading punishment. {MH 444.4}
วรรณกรรมประโลมโลก สื่อสิ่งพิมพ์มากมายที่ได้รับความนิยมในทุกวันนี้ ต่างเต็มไปด้วยเรื่องกามารมย์ประโลมโลกที่เสี้ยมสอนคนหนุ่มสาวให้มีพฤติกรรมชั่วร้ายและนำพาคนหนุ่มสาวไปสู่หนทางแห่งความพินาศ เด็กๆแม้ยังเยาว์วัย แต่ก็กลับช่ำชองในความรู้ที่เกี่ยวกับอาชญากรรม เด็ก ๆ เหล่านี้ถูกกระตุ้นไปสู่ความชั่วร้ายจากนิทานต่าง ๆ ที่เขาทั้งหลายอ่าน ในจินตนาการ เขาทั้งหลายจำลองการกระทำตามพฤติการณ์ที่บรรยายไว้ในหนังสือ จนถึงขั้นที่รุมเร้าให้เกิดความต้องการเห็นความสามารถของตนเองในการก่ออาชญากรรมและหลบหลีกให้พ้นจากโทษทัณฑ์ได้อย่างไร {MH 444.4}
To the active minds of children and youth the scenes pictured in imaginary revelations of the future are realities. As revolutions are predicted and all manner of proceedings described that break down the barriers of law and self-restraint, many catch the spirit of these representations. They are led to the commission of crimes even worse, if possible, than these sensational writers depict. Through such influences as these, society is becoming demoralized. The seeds of lawlessness are sown broadcast. None need marvel that a harvest of crime is the result. {MH 444.5}
สำหรับเด็กๆและคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยที่มีความคิดความอ่านที่แคล่วคล่องว่องไว ภาพเหตุการณ์ในจิตนาการที่แสดงถึงอนาคต เป็นเรื่องจริง เหมือนหนังสือที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการก่อกบฏรวมทั้งยังอธิบายถึงวิธีการและขั้นตอนต่าง ๆ ของเหตุการณ์จนทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพที่ไร้กฎหมายและประชาชนไร้การควบคุมตนเอง ผู้อ่านมากมายเกิดอารมณ์และความรู้สึกคล้อยตามไปกับการนำเสนอนี้ เขาทั้งหลายถูกชักจูงให้ก่ออาชญากรรม ที่เลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนไว้อย่างน่าเร้าใจในหนังสือด้วยซ้ำ โดยอิทธิพลของหนังสือเหล่านี้ ศีลธรรมในสังคมจึงเสื่อมทรามลง เมล็ดพันธุ์ของการทำผิดกฎหมายถูกหว่านออกไปอย่างแผ่กระจาย ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่า ผลที่ได้รับคือการเก็บเกี่ยวผลของอาชญากรรม {MH 444.5}
Works of romance, frivolous, exciting tales, are, in hardly less degree, a curse to the reader. The author may profess to teach a moral lesson, throughout his work he may interweave religious sentiments; but often these serve only to veil the folly and worthlessness beneath. {MH 445.1}
ผลงานประพันธ์ประเภทนวนิยายรักๆใคร่ๆ เรื่องอ่านเล่น เรื่องตื่นเต้นระทึกขวัญ ต่างเป็นคำสาปแช่งที่นำความหายนะมาสู่ผู้อ่านที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผู้ประพันธ์อาจอ้างว่า เพื่อสั่งสอนบทเรียนทางศีลธรรม เขาอาจสอดแทรกทรรศนะในด้านศาสนาลงไปด้วย แต่สิ่งนี้ก็เป็นเพียงการปิดบังอำพรางความโง่เขลาและความไร้ค่าที่มีอยู่ในหนังสือเหล่านั้น {MH 445.1}
The world is flooded with books that are filled with enticing error. The youth receive as truth that which the Bible denounces as falsehood, and they love and cling to deception that means ruin to the soul. {MH 445.2}
โลกนี้เต็มล้นไปด้วยสรรพหนังสือที่คอยชักจูงเราให้ไปในทางที่ผิด คนหนุ่มสาวยอมรับว่าเป็นความจริงในสิ่งที่พระคัมภีร์ประณามว่าเป็นความเท็จ คนหนุ่มสาวชื่นชอบและหลงติดอยู่กับการหลอกลวงที่มุ่งนำจิตวิญญาณไปสู่ความพินาศ {MH 445.2}
There are works of fiction that were written for the purpose of teaching truth or exposing some great evil. Some of these works have accomplished good. Yet they have also wrought untold harm. They contain statements and highly wrought pen pictures that excite the imagination and give rise to a train of thought which is full of danger, especially to the youth. The scenes described are lived over and over again in their thoughts. Such reading unfits the mind for usefulness and disqualifies it for spiritual exercise. It destroys interest in the Bible. Heavenly things find little place in the thoughts. As the mind dwells upon the scenes of impurity portrayed, passion is aroused, and the end is sin. {MH 445.3}
มีงานประพันธ์ประเภทนวนิยายที่เขียนขึ้นโดยมีความมุ่งหมายเพื่อสั่งสอนถึงความจริงหรือเปิดเผยให้เห็นถึงความชั่วอันเลวร้ายในบางประการ ผลงานในบางเล่มก็ให้คุณค่าแก่ผู้อ่าน แต่กระนั้นก็ตาม หนังสือเหล่านี้ก็ยังก่ออันตรายที่ไม่อาจจะบรรยายได้ หนังสือเหล่านี้มีถ้อยคำและสำนวนที่พรรณนาภาพไว้โดยละเอียดซึ่งกระตุ้นจินตนาการได้ และก่อให้เกิดแนวความคิดที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนหนุ่มสาว ภาพที่บรรยายไว้ในหนังสือจะผุดขึ้นมาในความคิดของหนุ่มสาวเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า การอ่านหนังสือประเภทนี้ทำให้ความคิดขาดความเหมาะสมในการนำไปใช้ประโยชน์และทำให้การทำงานฝ่ายจิตวิญญาณขาดคุณสมบัติ อีกทั้งยังบั่นทอนความสนใจที่จะศึกษาพระคัมภีร์ ความคิดแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้กับสิ่งที่เป็นฝ่ายสวรรค์ ในขณะที่จิตใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องราคีที่ได้พรรณนาไว้ในหนังสือ กิเลสตัณหาจึงถูกปลุกกระตุ้น และผลเบื้องปลายก็คือ ความผิดบาป {MH 445.3}
Even fiction which contains no suggestion of impurity, and which may be intended to teach excellent principles, is harmful. It encourages the habit of hasty and superficial reading merely for the story. Thus it tends to destroy the power of connected and vigorous thought; it unfits the soul to contemplate the great problems of duty and destiny. {MH 445.4}
แม้แต่นวนิยายที่ไม่มีเนื้อหาที่ไม่บริสุทธิ์ และอาจมุ่งหวังเพื่อสั่งสอนหลักศีลธรรมอันดีงาม ก็ยังมีโทษอยู่ดี เพราะจะส่งเสริมนิสัยในการอ่านแบบผ่านๆฉาบฉวยเพื่อให้เข้าใจถึงเนื้อเรื่องเท่านั้น โดยที่มิได้คิดพิจารณาอะไรๆอย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ จึงมีส่วนไปบั่นทอนความสามารถในการเชื่อมโยงและชลอความคิดลง ทำให้ความสามารถในการใคร่ครวญไตร่ตรองถึงหน้าที่และชีวิตในอนาคตของจิตวิญญาณถดถอยลง {MH 445.4}
By fostering love for mere amusement, the reading of fiction creates a distaste for life’s practical duties. Through its exciting, intoxicating power it is not infrequently a cause of both mental and physical disease. Many a miserable, neglected home, many a lifelong invalid, many an inmate of the insane asylum, has become such through the habit of novel reading. {MH 446.1}
ด้วยการถนอมเก็บความรักเพียงเพื่อความเพลิดเพลิน การอ่านนวนิยายจะก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในหน้าที่ที่แท้จริงที่พึงปฏิบัติในชีวิต ด้วยอิทธิพลของเนื้อหาที่ตื่นเต้นเร้าใจและชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหล บ่อยครั้งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางกายและโรคทางจิตใจ ครอบครัวที่น่าเศร้าและถูกทอดทิ้งจำนวนมาก คนพิการตลอดชีพมากมายรวมทั้งผู้ถูกกักกันในสถานบำบัดผู้ป่วยโรคจิต ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้โดยนิสัยการอ่านนวนิยายนั่นเอง {MH 446.1}
It is often urged that in order to win the youth from sensational or worthless literature, we should supply them with a better class of fiction. This is like trying to cure the drunkard by giving him, in the place of whisky or brandy, the milder intoxicants, such as wine, beer, or cider. The use of these would continually foster the appetite for stronger stimulants. The only safety for the inebriate, and the only safeguard for the temperate man, is total abstinence. For the lover of fiction the same rule holds true. Total abstinence is his only safety. {MH 446.2}
มีคำแนะนำที่ให้ไว้อยู่บ่อยครั้งว่า เพื่อชนะใจของคนหนุ่มสาวให้ปฏิเสธการอ่านงานเขียนที่ปลุกเร้ากามารมย์และไร้คุณค่า เราควรจัดหานวนิยายที่มีเนื้อหาสาระที่ดีกว่าให้หนุ่มสาวเหล่านั้น การกระทำเช่นนี้ก็เปรียบเหมือนการพยายามบำบัดคนขึ้เมาด้วยการจัดหาเครื่องดื่มมึนเมาที่มีฤทธิ์อ่อนกว่า เช่น ไวน์ เบียร์ หรือน้ำแอปเปิ้ล มาทดแทนเหล้าวิสกี้ หรือเหล้าบรั่นดี การใช้เครื่องดื่มเหล่านี้กลับจะส่งเสริมอย่างต่อเนื่องให้เกิดความอยากที่จะดื่มเครื่องดื่มที่แรงยิ่งขึ้น ความปลอดภัยเดียวของคนขี้เมาและเครื่องป้องกันเเดียวของผู้ที่ต้องการควบคุมตนเอง ก็คือ การงดดื่มอย่างเด็ดขาด หลักการเดียวกัน ยังคงเป็นความจริงสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการอ่านนวนิยาย การงดอ่านอย่างเด็ดขาดเป็นวิถีทางปลอดภัยเดียวของเขา {MH 446.2}
Myths and Fairy Tales In the education of children and youth, fairy tales, myths, and fictitious stories are now given a large place. Books of this character are used in the schools, and they are to be found in many homes. How can Christian parents permit their children to use books so filled with falsehood? When the children ask the meaning of stories so contrary to the teaching of their parents, the answer is that the stories are not true; but this does not do away with the evil results of their use. The ideas presented in these books mislead the children. They impart false views of life and beget and foster a desire for the unreal. {MH 446.3}
หนังสือนิยายปรัมปราและเทพนิยาย ในการศึกษาเล่าเรียนของเด็กๆและคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน หนังสือตำนานปรัมปราและเทพนิยายรวมทั้งเรื่องที่แต่งขึ้นมา เข้ามามีบทบาทสำคัญอยู่ไม่น้อย หนังสือประเภทนี้มีการใช้กันตามโรงเรียนต่างๆและมีอยู่ในหลายๆครอบครัว บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนอนุญาตให้ลูกๆอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องไม่จริงเหล่านี้ได้อย่างไร เมื่อเด็กๆถามความหมายของเรื่องที่อ่านซึ่งตรงกันข้ามกับคำสอนของบิดามารดา บิดามารดาก็จะตอบว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริง แต่การตอบเช่นนี้ไม่ได้ลบล้างผลร้ายจากการอ่านหนังสือเหล่านี้ ข้อคิดที่ปรากฏในหนังสือเหล่านี้ได้ชักนำเด็กๆไปในทางที่ผิด และถ่ายทอดทรรศนะชีวิตที่จอมปลอม พร้อมกับปลูกฝังและเพาะเลี้ยงความปรารถนาในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง {MH 446.3}
The widespread use of such books at this time is one of the cunning devices of Satan. He is seeking to divert the minds of old and young from the great work of character building. He means that our children and youth shall be swept away by the soul-destroying deceptions with which he is filling the world. Therefore he seeks to divert their minds from the word of God and thus prevent them from obtaining a knowledge of those truths that would be their safeguard. {MH 447.1}
การใช้หนังสือประเภทดังกล่าวอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ เป็นอุบายกลลวงอย่างหนึ่งของซาตาน มันพยายามเบี่ยงเบนจิตใจของคนหนุ่มสาวและคนที่มีอายุไปจากหน้าที่สำคัญในการฝึกฝนอุปนิสัยที่ดีงาม มันตั้งใจทำลายเด็กๆและคนหนุ่มสาวด้วยเรื่องหลอกลวงจิตวิญญาณที่มันกำลังกระจายจนเต็มล้นอยู่ในโลก มันจึงพยายามหันเหจิตใจของคนหนุ่มสาวให้ห่างเหินจากพระวจนะของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ ปิดกั้นไม่ให้เรียนรู้ถึงความจริงซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันเขาทั้งหลาย {MH 447.1}
Never should books containing a perversion of truth be placed in the hands of children or youth. Let not our children, in the very process of obtaining an education, receive ideas that will prove to be seeds of sin. If those with mature minds had nothing to do with such books, they would themselves be far safer, and their example and influence on the right side would make it far less difficult to guard the youth from temptation. {MH 447.2}
หนังสือที่บิดเบือนความจริงจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของเด็กๆ และคนหนุ่มสาว บนเส้นทางของการใฝ่หาการศึกษาและเล่าเรียน จงอย่าปล่อยให้เด็ก ๆ รับความรู้ใดที่จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความผิดบาป หากผู้มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ไม่ข้องแวะกับหนังสือเหล่านี้ เขาทั้งหลายก็จะมีความปลอดภัยกว่ามาก และด้วยแบบอย่างและอิทธิพลการดำเนินในทางที่ถูกต้อง จะทำให้เขาทั้งหลาคุ้มครองป้องกันคนหนุ่มสาวให้พ้นจากการทดลองได้ง่ายยิ่งขึ้น {MH 447.2}
We have an abundance of that which is real, that which is divine. Those who thirst for knowledge need not go to polluted fountains. The Lord says: “Bow down thine ear, and hear the words of the wise, And apply thine heart unto My knowledge…. That thy trust may be in the Lord, I have made known to thee this day, even to thee. Have not I written to thee excellent things In counsels and knowledge, That I might make thee know the certainty of the words of truth; That thou mightest answer the words of truth to them that send unto thee?” “He established a testimony in Jacob, And appointed a law in Israel, Which He commanded our fathers, That they should make them known to their children;” “Showing to the generation to come the praises of the Lord, And His strength, and His wonderful works that He hath done.” “That the generation to come might know them, Even the children which should be born; Who should arise and declare them to their children: That they might set their hope in God.” “The blessing of the Lord, it maketh rich, And He addeth no sorrow with it.” Proverbs 22:17-21; Psalm 78:5, 4, 6, 7; Proverbs 10:22. {MH 447.3}
เรามีหนังสืออีกมากมายที่กล่าวถึงความจริงในทางของพระผู้เป็นเจ้า คนทั้งหลายที่กระหายแสวงหาความรู้ ไม่จำเป็นต้องแสวงหาจากน้ำพุที่ไม่บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “เอียงหูของเจ้าและฟังถ้อยคำของปราชญ์ และเอาใจใส่ความรู้ของเรา……… เพื่อความไว้วางใจของเจ้าจะอยู่ในพระเจ้า เราให้แจ้งประจักษ์แก่เจ้าในวันนี้แม้แก่ตัวเจ้าเอง” “เราได้เขียนให้เจ้าถึงสิ่งวิเศษนัก ถึงเรื่องการปรึกษาและความรู้แล้วมิใช่หรือ” “เพื่อสำแดงแก่เจ้าว่าสิ่งใดถูกและจริง เพื่อเจ้าจะได้ให้คำตอบที่จริงแก่ผู้ที่ใช้เจ้าไป” “พระองค์ทรงสถาปนากฎเกณฑ์ไว้ในยาโคบ และทรงแต่งตั้งกฎหมายไว้ในอิสราเอล ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาแก่บรรพบุรุษของเรา ว่าให้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นแก่ลูกหลานของเขา” “เรา…..จะบอกแก่ชาติพันธุ์ที่กำลังเกิดมา ถึงพระราชกิจอันควรสรรเสริญของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระองค์ และการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ” “เพื่อชาติพันธุ์รุ่นต่อไปจะทราบเรื่อง คือลูกหลานที่จะเกิดมา และที่จะลุกขึ้นบอกลูกหลานของเขา เพื่อเขาจะตั้งความหวังของเขาไว้ในพระเจ้า” “พระพรของพระเจ้ากระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย” สุภาษิต 22:17-21; สดุดี 78:5, 4, 6, 7; สุภาษิต 10:22 {MH 447.3}
Christ’s Teaching So also Christ presented the principles of truth in the gospel. In His teaching we may drink of the pure streams that flow from the throne of God. Christ could have imparted to men knowledge that would have surpassed any previous disclosures, and put in the background every other discovery. He could have unlocked mystery after mystery, and could have concentrated around these wonderful revelations the active, earnest thought of successive generations till the close of time. But He would not spare a moment from teaching the science of salvation. His time, His faculties, and His life were appreciated and used only as the means for working out the salvation of the souls of men. He had come to seek and to save that which was lost, and He would not be turned from His purpose. He allowed nothing to divert Him. {MH 448.1}
คำสอนของพระคริสต์ พระคริสต์ทรงสำแดงหลักการแห่งความจริงไว้ในข่าวประเสริฐเช่นเดียวกัน ในคำสอนของพระองค์ เราดื่มธารน้ำอันบริสุทธิ์ที่ไหลรินจากพระบัลลังก์ของพระเจ้า พระคริสต์ประทานแก่มนุษย์ความรู้ที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยรู้มาก่อน และทรงกระทำให้ความรู้ทั้งปวงที่มนุษย์ค้นพบเป็นเพียงความรู้อย่างธรรมดาๆเท่านั้น พระองค์ทรงไขความลับได้อย่างไม่สิ้นสุด และทรงกระทำให้มนุษย์ในยุคสมัยต่อ ๆ มาจนถึงวาระสุดท้ายมุ่งความคิดอย่างจริงจังไปยังความจริงอันน่ามหัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงเปิดเผย แต่พระองค์ไม่ทรงปล่อยเวลาแม้แต่เพียงชั่วขณะให้ผ่านไปโดยไม่ทรงสั่งสอนถึงความรู้ที่จะนำไปสู่ความรอด พระองค์ทรงตระหนักถึงการใช้เวลา พระกายารวมทั้งพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเครื่องมือในการนำจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่ความรอดเท่านั้น พระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายให้ได้รับความรอดและจะไม่ทรงยอมล้มเลิกความมุ่งหมายของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงยอมให้มีสิ่งใดมาเบี่ยงเบนพระองค์ {MH 448.1}
Christ imparted only that knowledge which could be utilized. His instruction of the people was confined to the needs of their own condition in practical life. The curiosity that led them to come to Him with prying questions, He did not gratify. All such questionings He made the occasion for solemn, earnest, vital appeals. To those who were so eager to pluck from the tree of knowledge, He offered the fruit of the tree of life. They found every avenue closed except the way that leads to God. Every fountain was sealed save the fountain of eternal life. {MH 448.2}
พระคริสต์ประทานเฉพาะความรู้ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ คำสอนที่พระองค์ทรงถ่ายทอดให้แก่ประชาชนจำกัดอยู่แต่สิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการในชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของเขาทั้งหลายเท่านั้น พระองค์ไม่ทรงตอบคำถามที่สอดรู้สอดเห็นของคนที่มาหาพระองค์เพื่อสนองความต้องการของเขาเหล่านั้น ต่อคำถามเหล่านี้พระองค์ประทานคำตอบให้เฉพาะผู้ที่ร้องถามด้วยความจริงใจ จำเป็นและทุกข์โศก สำหรับคนทั้งหลายที่ร้อนรนต้องการเกี่ยวผลจากต้นไม้แห่งความรู้ พระองค์จะทรงยื่นผลจากต้นไม้แห่งชีวิตให้แทน เขาเหล่านั้นพบว่าหนทางทุกสายถูกปิดตาย ยกเว้นทางที่นำไปสู่พระเจ้า ธารน้ำพุทุกสายหยุดไหล ยกเว้นธารน้ำพุแห่งชีวิตนิรันดร์ {MH 448.2}
Our Saviour did not encourage any to attend the rabbinical schools of His day, for the reason that their minds would be corrupted with the continually repeated, “They say,” or, “It has been said.” Why, then, should we accept the unstable words of men as exalted wisdom, when a greater, a certain, wisdom is at our command? {MH 449.1}
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงไม่สนับสนุนผู้หนึ่งผู้ใดเข้าเรียนในโรงเรียนของเหล่าอาจารย์รับบีในสมัยของพระองค์ ด้วยเหตุผลที่ว่าสติปัญญาของผู้เรียนจะถูกกัดกร่อนด้วยคำสอนที่กล่าวอย่างซ้ำซากว่า “เขาทั้งหลายกล่าวว่า” หรือ “มีคำกล่าวไว้ว่า” แล้วทำไมเราจึงต้องยอมรับถ้อยคำอันโลเลของมนุษย์ว่าเป็นสติปัญญาที่สูงส่ง ในเมื่อสติปัญญาที่สูงค่ากว่าและเที่ยงแท้กว่าอยู่แค่การทูลขอของเรา {MH 449.1}
That which I have seen of eternal things, and that which I have seen of the weakness of humanity, has deeply impressed my mind and influenced my lifework. I see nothing wherein man should be praised or glorified. I see no reason why the opinions of worldly-wise men and so-called great men should be trusted in and exalted. How can those who are destitute of divine enlightenment have correct ideas of God’s plans and ways? They either deny Him altogether and ignore His existence, or they circumscribe His power by their own finite conceptions. {MH 449.2}
สิ่งที่ดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ที่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์แจ้งและความอ่อนแอของมนุษย์ที่ได้เห็น สิ่งเหล่านี้ได้ฝังประทับอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้าและมีอิทธิพลต่องานในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เห็นสิ่งใดในตัวของมนุษย์ที่ควรค่าแก่การยกย่องและสรรเสริญ ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมความเห็นของปราชญ์ทางโลกและของผู้ที่โลกกล่าวขานว่าเป็นมหาบุรุษ ควรจะได้รับการเชื่อถือและการยกย่องเทิดทูน ผู้ที่ขาดแสงสว่างของพระเจ้าจะมีความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับแผนงานและวิถีทางของพระเจ้าได้อย่างไร คนเหล่านี้ปฏิเสธพระองค์อย่างสิ้นเชิงและไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ หรือมิฉะนั้นก็พยายามลิดรอนพระราชอำนาจของพระองค์ด้วยกรอบความคิดอันจำกัดของตนเอง {MH 449.2}
Let us choose to be taught by Him who created the heavens and the earth, by Him who set the stars in their order in the firmament and appointed the sun and the moon to do their work. {MH 449.3}
ขอให้เราเลือกที่จะให้พระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ผู้ทรงจัดวางตำแหน่งแก่ดวงดาวที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้านภากาศอย่างมีระบบระเบียบและพระองค์ผู้ทรงกำหนดให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทำหน้าที่ของมัน เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่เรา {MH 449.3}
It is right for the youth to feel that they must reach the highest development of their mental powers. We would not restrict the education to which God has set no limit. But our attainments avail nothing if not put to use for the honor of God and the good of humanity. {MH 449.4}
เป็นเรื่องถูกต้องที่คนหนุ่มสาวจะรู้สึกว่าเขาทั้งหลายต้องบรรลุถึงการพัฒนาขั้นสูงสูดของกำลังฝ่ายสติปัญญาของตนเอง เราจะไม่จำกัดการศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดขอบเขตไว้ แต่ภูมิปัญญาที่เราได้มาย่อมจะไม่มีคุณค่าอันใด หากเราไม่ได้นำความรู้เหล่านั้นไปใช้เพื่อถวายเกียรติยศแด่พระเจ้าและเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ {MH 449.4}
It is not well to crowd the mind with studies that require intense application, but that are not brought into use in practical life. Such education will be a loss to the student. For these studies lessen his desire and inclination for the studies that would fit him for usefulness and enable him to fulfill his responsibilities. A practical training is worth far more than any amount of mere theorizing. It is not enough even to have knowledge. We must have ability to use the knowledge aright. {MH 449.5}
เราไม่ควรรกสมองด้วยการศึกษาเล่าเรียนหลากหลายวิชาอย่างคร่ำเคร่ง แล้วไม่ได้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง การศึกษาเช่นนี้ย่อมเป็นการสูญเปล่าสำหรับผู้เรียน เพราะวิชาเหล่านี้ลดทอนความปรารถนาและความต้องการของเขาในการเรียนรู้สิ่งที่มีความเหมาะสมในการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ และทำให้เขาสามารถบรรลุหน้าที่รับผิดชอบของเขาได้ การอบรมฝึกฝนทางภาคปฏิบัติมีคุณค่ามากกว่าความรู้ภาคทฤษฎีทุกระดับ การมีแต่ความรู้ย่อมไม่เพียงพอ เราต้องมีความสามารถที่จะนำความรู้ไปใช้อย่างถูกต้องอีกด้วย {MH 449.5}
The time, means, and study that so many expend for a comparatively useless education should be devoted to gaining an education that would make them practical men and women, fitted to bear life’s responsibilities. Such an education would be of the highest value. {MH 450.1}
เวลา เงินทองและความมานะบากบั่นมากมายที่ใช้ไปกับการศึกษาเล่าเรียนที่ไม่คุ้มค่า ควรถูกนำมาทุ่มเทให้กับการศึกษาหาความรู้ที่จะสร้างนักเรียนเหล่านั้นให้เป็นชายหญิงที่มีความเหมาะสมพร้อมที่จะแบกรับหน้าที่ๆแท้จริงในชีวิต การศึกษาเช่นนี้แหละ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการศึกษาที่มีคุณค่าสูงสุด {MH 450.1}
What we need is knowledge that will strengthen mind and soul, that will make us better men and women. Heart education is of far more importance than mere book learning. It is well, even essential, to have a knowledge of the world in which we live; but if we leave eternity out of our reckoning, we shall make a failure from which we can never recover. {MH 450.2}
สิ่งที่เราต้องการคือ ความรู้ที่ส่งเสริมจิตใจและจิตวิญญาณ ที่จะทำให้เราเป็นชายหญิงที่ดีขึ้นกว่าเดิม การศึกษาเรื่องของจิตใจมีความสำคัญมากยิ่งกว่าการเรียนรู้จากตำรับตำราเท่านั้น เป็นการดีแม้กระทั่งจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในทางโลกที่เราอาศัยอยู่ แต่ถ้าเราละทิ้งสิ่งที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ไปเสียจากความคิดของเรา เราจะทำสิ่งที่ผิดพลาดอย่างที่เราไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย {MH 450.2}
A student may devote all his powers to acquiring knowledge; but unless he has a knowledge of God, unless he obeys the laws that govern his own being, he will destroy himself. By wrong habits, he loses the power of self-appreciation; he loses self-control. He cannot reason correctly about matters that concern him most deeply. He is reckless and irrational in his treatment of mind and body. Through his neglect to cultivate right principles, he is ruined both for this world and for the world to come. {MH 450.3}
นักเรียนคนหนึ่งอาจทุ่มเทกำลังความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อที่ให้ได้มาซึ่งความรู้ แต่หากเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและไม่ประพฤติตามพระบัญญัติที่คอยควบคุมดูแลชีวิตของเขา เขาจะทำลายตัวเองให้พินาศ โดยนิสัยที่ผิดๆ เขาสูญเสียความสามารถที่จะตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและสูญเสียการควบคุมใจตนเองไป เขาใช้เหตุผลอย่างถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งมากที่สุดต่อตัวเขาเองไม่ได้ เขาเป็นคนที่ขาดความยั้งคิดและไร้เหตุผลในการใช้จิตใจและร่างกายเนื่องจากการละเลยต่อการปลูกฝังหลักการที่ถูกต้อง เขาจึงต้องพินาศทั้งในโลกนี้และในโลกภายภาคหน้า {MH 450.3}
If the youth understood their own weakness, they would find in God their strength. If they seek to be taught by Him they will become wise in His wisdom, and their lives will be fruitful of blessing to the world. But if they give up their minds to mere worldly and speculative study, and thus separate from God, they will lose all that enriches life. {MH 450.4}
หากคนหนุ่มสาวเข้าใจถึงความอ่อนแอของตนเอง เขาทั้งหลายจะพบพละกำลังของตนเองในพระเจ้า หากเขาทั้งหลายตั้งใจศึกษาหาความรู้จากพระองค์ เขาทั้งหลายก็จะเป็นผู้ที่ฉลาดรอบคอบในพระปัญญาของพระองค์ และชีวิตของเขาทั้งหลายย่อมจะบังเกิดผลเป็นพระพรแก่ชาวโลก แต่หากเขาเหล่านั้นมอบสติปัญญาให้กับการศึกษาเล่าเรียนที่เกี่ยวกับทางโลกและความคิดเห็นของมนุษย์เท่านั้น จนเหินห่างไปจากพระเจ้า เขาทั้งหลายจะสูญเสียความสุขสมบูรณ์ทั้งปวงของชีวิตไป {MH 450.4}