Chapter 8 (บทที่ 8)
The Temptation
การทดลอง
After His baptism, Christ was led by the Spirit into the wilderness, to be tempted of the devil. {SJ 43.1}
ภายหลังจากที่พระเยซูทรงรับศีลบัพติสมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำพระเยซูเข้าไปในป่า เพื่อจะได้ทรงถูกทดลองโดยพญามาร
In going into the wilderness, Christ was led by the Spirit of God. He did not invite temptation. He wanted to be alone, that he might contemplate His mission and work. {SJ 43.2}
ที่จริงแล้วพระองค์มิได้ปรารถนาที่จะถูกทดลอง พระองค์เพียงแต่อยากจะอยู่ตามลำพัง เพื่อตระเตรียมและครุ่นคิดถึงภารกิจของพระองค์
By prayer and fasting He was to brace Himself for the bloodstained path He must travel. But Satan knew where the Saviour had gone; so he went there to tempt Him. {SJ 43.3}
พระองค์ปรารถนาที่จะอดอาหารและอธิษฐานและภาวนาเพื่อเสริมกำลังใจของพระองค์เอง แต่ซาตานได้เฝ้าติดตามพระองค์เช่นกัน มันต้องการจะล่อลวงพระองค์
As Christ left the Jordan, His face was lighted with the glory of God. But after He entered the wilderness, this glory disappeared. {SJ 43.4}
ในขณะที่พระเยซูทรงจากแม่น้ำจอร์แดนมานั้น พระพักตร์ของพระองค์ทรงเปล่งรัศมี แต่รัศมีนั้นได้หายไป เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงเขตป่า
The sins of the world were upon Him, and His face showed such sorrow and anguish as man had never felt. He was suffering for sinners. {SJ 43.5}
พระองค์ทรงรู้สึกถึงภาระแห่งความบาปของโลกนี้ที่พระองค์จะต้องแบก พระองค์รู้สึกทุกข์ทรมานอย่างไม่มีใครเคยต้องทนมาก่อน พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานในความบาปของคนบาปทั้งหลาย
Adam and Eve in Eden had disobeyed God by eating of the forbidden fruit. Their disobedience had brought sin and sorrow and death into the world. {SJ 43.6}
อาดามและฮาวาได้ขัดขืนไม่เชื่อฟังพระเจ้าในสวนเอเดนด้วยการกินผลไม้ต้องห้าม การไม่เชื่อฟังครั้นนั้นแหละที่ทำให้โลกนี้ต้องมีแต่ความทุกข์โศกเศร้า
Christ came to give an example of obedience. In the wilderness, after fasting forty days, He would not, even to obtain food, depart from the will of His Father. {SJ 43.7}
พระเยซูทรงมาเป็นตัวอย่างของความเชื่อฟังให้แก่เราทุกคน พระองค์ทรงอดอาหารถึงสี่สิบวัน กระนั้นก็ไม่ทรงขัดขืนพระบัญชาของพระเจ้าเลย แม้แต่เพื่ออาหารที่จะกิน
One of the temptations that overcame our first parents was the temptation to indulge appetite. By this long fast Christ was to show that appetite can be brought under control. {SJ 45.1}
มนุษย์คู่แรกได้พ่ายแพ้แก่การทดลองเพราะอาหาร แต่พระเยซูได้แสดงตัวอย่างให้เห็นว่า ความอยากอาหารนั้นสามารถควบคุมได้
Satan tempts men to indulgence, because this weakens the body and beclouds the mind. Then he knows that he can the more easily deceive and destroy them. {SJ 45.2}
ซาตานพยายามทำให้คนเราทำตามใจตัวเอง ลุ่มหลงและหมกมุ่นในความต้องการของตัวเอง เพราะมันรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายอ่อนลงและทำให้ความนึกคิดขุ่นมัวลง ซึ่งจะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับมันที่จะทำการล่อลวงและทำลายมนุษย์
But Christ’s example teaches that every wrong desire must be overcome. Our appetites are not to rule us; we must rule them. {SJ 45.3}
แต่พระเยซูเป็นตัวอย่างถึงการควบคุมความอยากที่ผิดๆ เราต้องไม่อยู่ใต้อำนาจของความอยาก แต่ความอยากต้องอยู่ใต้บังคับของเรา
When Satan first appeared to Christ, he looked like an angel of light. He claimed to be a messenger from Heaven. {SJ 45.4}
เมื่อซาตานปรากฏกายแก่พระเยซูนั้น มันจำแลงร่างเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งมีรัศมีสว่างไหว มันอ้างตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าวจากสวรรค์
He told Jesus that it was not the will of His Father that He should endure this suffering; He was to show only a willingness to suffer. {SJ 45.5}
มันได้บอกพระเยซูว่า พระเจ้ามิได้ประสงค์ให้พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานอะไรหรอก เพียงแต่อยากจะลองใจพระองค์เท่านั้นว่า จะทรงยอมทำตามพระทัยของพระเจ้าหรือไม่
When Jesus was struggling against the keenest pangs of hunger, Satan said to Him: “If Thou be the Son of God, command that these stones be made bread.” {SJ 45.7}
เมื่อมันเห็นว่าพระเยซูทรงหิวโหยมันจึงพูดว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร”
But since the Saviour had come to live as our example, He must endure suffering as we have to endure it; He must not work a miracle for His own good. His miracles were all to be for the good of others. To the demand of Satan He answered: “It is written, Man shall not live by bread alone, but by every word that proceedeth out of the mouth of God.” {SJ 45.9}
แต่เพราะพระเยซูทรงมาเป็นแบบอย่างของความอดทนให้แก่เรา พระองค์ไม่ทรงทำการอัศจรรย์หรือแสดงฤทธิ์เดชเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ต้องเพื่อสาธารณประโยชน์เท่านั้น พระองค์จึงทรงตรัสตอบซาตานว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
Thus He showed that it is far less important to provide ourselves with food than that we should obey the word of God. Those who obey God’s word have the promise of all things needed for the present life, and they have also the promise of future life. {SJ 45.10}
พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นว่า เราต้องเชื่อฟังพระเจ้าก่อนที่จะเชื่อฟังความต้องการของตัวเราเอง พระเจ้าจะทรงประทานสิ่งที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า หากเราจะเชื่อฟังพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราจะได้รับตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้
Satan had failed to overcome Christ in the first great temptation; he next carried Him to a pinnacle of the temple at Jerusalem, and said: “If thou be the Son of God, cast Thyself down: for it is written, He shall give His angels charge concerning Thee: and in their hands they shall bear Thee up, lest at any time Thou dash Thy foot against a stone.” {SJ 46.2}
ซาตานมันไม่สามารถทำให้พระเยซูหลงผิดในเรื่องแรกได้ มันจึงพยายามต่อไป ครั้งนี้มันพาพระเยซูไปยังยอดวิหารในกรุงยะรูซาเล็มและบอกพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิดเพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน”
Satan here followed Christ’s example in quoting Scripture. But this promise is not for those who willfully venture into danger. God had not told Jesus to throw Himself down from the temple. Jesus would not do it to please Satan. He said: “It is written again, Thou shalt not tempt the Lord thy God.” {SJ 46.3}
ซาตานได้เลียนแบบพระเยซู โดยการอ้างคำเขียนในพระคัมภีร์แต่คำสัญญาในพระคัมภีร์ข้อนี้มิได้มีไว้สำหรับคนที่จงใจแสวงหาอันตราย พระเจ้ามิได้ทรงสั่งให้พระเยซูกระโดดลงมาจากยอดวิหาร พระเยซูไม่ได้ทรงทำตามที่ซาตานประสงค์ พระองค์ตรัสตอบมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”
We should trust in the care of our heavenly Father; but we must not go where He does not send us. We must not do what He has forbidden. {SJ 46.4}
เราควรมั่นใจในการค้าครองปกป้องของพระเจ้าที่มีต่อเรา แต่เราต้องระวังที่จะไปเฉพาะในที่ ที่พระองค์ทรงส่งเราไปเท่านั้น เราต้องไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้
Because God is merciful, and ready to forgive, there are those who say that it is safe to disobey Him. But this is presumption. God will forgive all who seek pardon and turn away from sin. But those who choose to disobey Him He can not bless. {SJ 46.5}
บางคนคิดว่าถ้าพระเจ้าทรงเมตตากรุณาและอภัยให้เสมอ ก็ไม่เป็นไรหากจะไม่เชื่อฟังพระองค์เป็นบางครั้ง จริงอยู่การที่พระเจ้าทรงอภัยให้กับคนที่ละทิ้งความชั่วและแสวงหาการอภัยโทษจากพระองค์ แต่พระองค์ไม่สามารถจะอวยพระพรให้กับคนที่จงใจทำความผิดบาปหรือไม่เชื่อฟังพระองค์
Satan now appeared what he really was–the prince of the powers of darkness. He took Jesus to the top of a high mountain, and showed Him all the kingdoms of the world. The sunlight lay on splendid cities, marble palaces, fruitful fields, and vineyards. Satan said: “All these things will I give Thee, if Thou wilt fall down and worship me.” {SJ 46.8}
ในที่สุด ซาตานก็สำแดงธาตุแท้ของมันออกมา คือ ในร่างของเจ้าชายแห่งความมืด มันได้นำพระเยซูขึ้นไปยังยอดเขาและสำแดงให้พระองค์เห็นถึงอาณาจักรต่างๆ ในโลกนี้ มันให้พระองค์ได้เห็นบ้านเมืองอันสวยงาม ปราสาทราชวัง สวนผลไม้อันอุดมสมบูรณ์ สวนองุ่นที่มีผลดก แล้วมันก็พูดว่า “ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน”
For a moment Christ looked upon the scene. Then He turned away. Satan had presented the world to Him in the most attractive light; but the Saviour looked beneath the outward beauty. {SJ 47.1}
พระเยซูทรงทอดพระเนตรดูภาพเหล่านั้น แต่แล้วก็ทรงเมินพระพักตร์เสีย ซาตานได้สำแดงให้พระองค์เห็นภาพอันสวยงามของโลก แต่พระองค์ทรงมองลึกลงไปกว่านั้นอีก
He saw the world in its wretchedness and sin, apart from God. All this misery was the result of man’s turning away from God to worship Satan. {SJ 47.2}
พระองค์ทรงเห็นว่า ภายใต้ความสวยงามเหล่านี้มันเต็มไปด้วยความเลวร้าย เนื่องจากความบาป ซึ่งสืบผลมาจากการที่มนุษย์ละทิ้งทางของพระเจ้า
Christ was filled with longing to redeem that which was lost. He longed to restore the world to more than its Eden beauty. He wanted to place men on vantage ground with God. {SJ 47.3}
พระเยซูต้องการอย่างมากที่จะกอบกู้โลกนี้ มิใช่แต่เพียงความสวยงามของมันเท่านั้น แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้มีทางชีวิตที่ดีกว่า พระองค์ทรงทนต่อการทดลองของซาตาน เพื่อที่จะได้รับชัยชนะ เพื่อมนุษย์จะได้ชัยชนะนี้ด้วยกันกับพระองค์
For sinful man He was withstanding temptation. He was to be an overcomer, that they might overcome, that they might be equal with the angels, and be worthy to be acknowledged as sons of God. {SJ 47.4}
เพื่อมนุษย์จะได้เท่าเทียมกับเหล่าทูตสวรรค์ สมควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
To Satan’s demand for worship, Christ answered: “Get thee hence, Satan: for it is written, Thou shalt worship the Lord thy God, and Him only shalt thou serve.” Matthew 4:3-10. {SJ 47.6}
พระองค์ทรงโต้ตอบการที่ซาตานขอให้พระองค์ทรงกราบไหว้มันว่า “อ้ายซาตานจงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” มัดธาย 4.3-10
The love of the world, the lust for power, and the pride of life–everything that draws man away from the worship of God–was embraced in this great temptation of Christ. Satan offered Christ the world and its riches if He would pay homage to the principles of evil. So Satan presents to us the advantages to be gained by wrongdoing. {SJ 47.8}
ในการที่พระเยซูทรงถูกทดลองครั้งนี้ เราสามารถเห็นตัวอย่างที่พระองค์ให้ไว้เกี่ยวกับความอยากได้อำนาจ ความหยิ่งจองหอง และทุกสิ่งที่จะนำมนุษย์ให้เหินห่างไปจากทางของพระเจ้า ซาตานได้ล่อลวงว่าจะยกโลกนี้ให้พระเยซูหากพระองค์ยอมนมัสการมันฉันใด มันก็ล่อลวงมนุษย์ให้ทำตามมันโดยให้ผลตอบแทนที่มากมายฉันนั้น
He whispers to us, “In order to succeed in this world, you must serve me. Do not be too particular about truth and honesty. Obey my counsel, and I will give you riches, honor, and happiness.” {SJ 47.9}
มันกระซิบกับเราว่า “ถ้าอยากจะประสพความสำเร็จในโลกนี้ก็ให้รับใช้มัน ไม่ต้องไปกังวลกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่นความซื่อสัตย์หรือความจริง จงเชื่อฟังฉันแล้วฉันจะให้ความร่ำรวย เกียรติยศและความสุขแก่ท่าน”
In obeying this counsel we are worshiping Satan instead of God. It will bring us only misery and ruin. {SJ 47.10}
หากเราทำตามที่มันบอก เราก็จะได้ชื่อว่านมัสการซาตานแทนที่จะนมัสการพระเจ้า แล้วเราก็จะได้รับความทุกข์และความบาปเป็นสิ่งตอบแทน
Christ has shown us what we should do when tempted. When He said to Satan, “Get thee hence,” the tempter could not resist the command. He was compelled to go. Writhing with baffled hate and rage, the rebel chief left the presence of the world’s Redeemer. {SJ 48.3}
พระเยซูทรงแสดงตัวอย่างว่า เราควรทำอย่างไร เมื่อถูกทดลอง เมื่อพระองค์ทรงตรัสแก่ซาตานว่า “จงไปเสียให้พ้น” ซาตานไม่สามารถจะขัดขืนคำสั่งนี้ได้ มันถูกบังคับให้หนีไป มันได้หนีไปด้วยความโกรธและเกลียด
The contest was ended for the time. Christ’s victory was as complete as had been the failure of Adam. {SJ 48.4}
และแล้วการต่อสู้ครั้งนั้นก็จบลง โดยพระเยซูเป็นฝ่ายมีชัยโดยสมบูรณ์ เมื่อเปรียบเทียบกับความปราชัยอันสิ้นเชิงของอาดาม
So we may resist temptation, and overcome Satan. The Lord says to us, “Resist the devil, and he will flee from you. Draw nigh to God, and He will draw nigh to you.” James 4:7, 8. {SJ 48.5}
ฉะนั้นเราจึงมั่นใจได้ว่า เราสามารถจะต่อต้านการทดลองและเอาชนะซาตานได้ พระเจ้าทรงตรัสกับเราว่า “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมารและมันจะหนีจากท่านไป ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน” ยาโกโบ (ยากอบ) 4.7, 8